การเทศมหาชาติ ๑๓ กัณฑ์/กัณฑ์ ๑๐ สักกปัพพ์

จาก วิกิซอร์ซ

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกปัพพ์

ฉบับวิงวอนหลวง(ล้านนา)

สักกบรรพ์ ๔๓ คาถา

...ข้ามาสู่สำนักแห่งมหาราชะเจ้า ก็เพื่อจักค้ำชูปารมีแห่งมหาราชะเจ้า หื้อเถิงจอมยอดที่สุดที่เมี้ยนแห่งพระพุทธปรารถนา ข้าจักหื้อพร ๘ ประการแก่มหาราชะเจ้า อินทาธิราชเจ้าเยียะจา ก็เยียะรุ่งเรืองด้วยทิพพสยองขึ้นสู่อากาศ ดูวิลาศดั่งสุริยะอันพุ่งขึ้นมาเมื่อยามเช้า เมื่อดั่งอั้น ...
นโม ตสฺสตฺถุ ฯ เอวนฺเตสุ อญฺญมญฺญํ สมฺโมทนียํ กถํ กเถนเตสุฯ สกฺโก เทวราชา จินเตสิฯ ทวีสุ ทวิขตฺติเยสุฯ
ในเมื่อขัตติยะทังสอง คือว่าเวสสันตระระสี และราชะมัททีระสินี ยังผ้งปากต้านเจียรจา เซิ่งกันไปมาด้วยอุตมะทานและโมทนาทาน ว่ากรียาอันเราได้สละหื้อลูกรักทังสองเป็นทานอันอุดม เหตุจักเป็นปัจจัย หื้อได้สัพพัญญูตัณญาณอันประเสริฐแห่งเรานี้เทอะฯ ส่วนราชะมัททีจิ่งกล่าวว่า เทวะข้าแด่พระราชะเจ้า ผู้ข้าก็ขออนุโมทนา อันสละปุตตาลูกรักหื้อเป็นอุตมทานอันประเสริฐ แท้และฯ
สกฺโก ส่วนอินทาสักกพราหมณ์ตนอันได้ครบทานแล้ว ในเมื่อก่อนปรากฏได้ชื่อว่าสักโก จิ่งร่ำเพิงว่า อิทานิ ในกาละบัดนี้ จักมีชายผู้ใดผู้นึ่ง มีชาติอันถ่อยช้า เข้าไปสู่พระยาเวสสันตระแล้ว ขอเอานางแก้วมัทที ผู้ประกอบด้วยอิตถีลักขณะงามชุแง่ มีวัตรปฏิบัติแก่ผัวตน ก็เที่ยงจักละหน่อพระทสพลหื้ออยู่ ในแก้วกู่กลางดงเขียว แต่คนเดียวในป่าไม้ คันได้นางนาฏไธ้ราชะมัทที จักนำนางหนีไปจาก พระยาเวสสันตรราชก็จักบ่มีผู้อุปฐาก ด้วยลูกไม้หมากหัวมัน คันกูอินทร์ลงลุ่มฟ้า กลายกลับเพศหน้าเป็นพราหมณ์ เข้าสู่อารามพระระสีแล้ว ขอเอานางแก้วมัทที ยังยอดทานปารมีอันท้าวตนนั้นเขาะขิ่งเอาแล้ว บ่ควรหื้อนางแก้วนงคราญ เป็นสาธารณ์แก่ชายผู้ใดผู้นึ่งแล้ว จักคืนนางแก้วมัทที หื้อแก่พระระสีดั่งเก่า เยียะแล้วควรฅืนเล่าเมืองสวรรค์ หากเพิงแท้แลฯ พระยาอินทร์ร่ำเพิงดั่งนี้แล้ว จิ่งลงมาสู่แก้งดงรามพระบาท ยามขึ้นวะวาดแห่งรัศมี พระสุริยะรังษีเรืองรอด วงกฏยอดเขายุคันธร วันนั้นแล ฯ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห ฯ พระพุทธเจ้าจักสำแดงอัตถะ อันนั้นมาหื้อแจ้ง พระจิ่งแสร้งเทสนาว่า ตโต รตฺติยา วิวสเน สุริยุคฺคมนสมฺปตฺติโก พราหมณวณฺเณ ปาโต เนสํ อติสฺสถฯ ภิกฺขเว ดูราภิกขุทังหลาย ส่วนราชะมัททีระสินี อันยังจะเดินไปแอ่วหายังลูกรักทังสอง ด้วยอันลูกรักทังสอง บ่หันในที่ใดที่นึ่งสักแห่ง สุดวิสัยอันจักไปแสวงหาฅืนมาแล้ว นางยังมีพลวโศกทุกข์หากมาครอบงำ ก็สยบท่าวตายลืมฅิง ทัดส่องหน้าแห่งพระยาเวสสันตระตนสามิกา ในฅืนอันใดฯ วิวสเน ในเมื่อเสี้ยงกลางฅืนอันนั้นและรุ่งแจ้ง อินทาธิราช จิ่งมีเพศดั่งพราหมณ์ ก็เข้ามาปรากฏที่ส่องหน้า แห่งขัตติยระสีทังสอง ในกาละเมื่อยามเช้า
ท้าวจิ่งธัมมะปฏิสันฐานกับด้วยเวสสันตระว่า กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ กจฺจิ นุ โภโต อนามยํ กจฺจิ อุญเฉน ยาเปถ กจฺจิ มูลผลา พหู ฯ ข้าแด่พระมหาระสีเป็นเจ้า สภาวะอันหาเพียธิบ่ได้ แห่งพระระสีเจ้ายังมีอันชะรือ สภาวะอันหาทุกข์ลำบาก แห่งเจ้าระสียังมีอันชะรือ ฯ ท่านยังค่อยหื้ออัตตะตนเป็นไปด้วยมูละผลา อันเพิงแสวงหาอันชะรือ มูละผาลาน้อยใหญ่ ยังมีมากได้บ่ยาก ยังเป็นไปด้วยอั้นชารือฯ
เหลือกและยุงทังหลาย มีงูเป็นต้น บ่มีอั้นชารือฯ การลำบากบีบเบียนแห่งเนื้อทังหลาย บ่มีแก่พระระสีอั้นชะรือ ฯ พระมหาสัตว์ จักกระทำปฏิสันฐานกับด้วยอินทาสักกพราหมณ์ จิ่งกล่าวคาถาว่า กุสลัญฺเจ วโน พราหมเณ อโถ พราหเม อนามยํอุนเฉน ยาเปถ อโถ มูลผลา พห ูดูกราท่านพราหมณ์ สภาวะหาเพียธิบ่ได้ก็ดี สภาวะหาทุกข์บ่ได้ก็ดี ก็บ่มีแก่เราและฯ เราก็ยังค่อยหื้ออัตตภาวะตนเป็นไปกับด้วยมูลผาลา อันควรแสวงหา มูลละผาลาก็มีมากได้บ่ยากเป็นไป เหลือกและยุงสัตว์ทังหลายมีงูเป็นต้น ก็ยังมีมาก แม่นดั่งอั้นก็ดี ก็บ่มาบีบเบียนหื้อลำบากแก่เรา การอันลำบากด้วยเนื้อกล้าฅะนองทังหลาย ก็บ่มาบีบเบียนและฯ เรามาอยู่ป่าที่นี้ อันอาเกียนเต็มไปด้วยสีหมิคคราชเป็นต้นฯ
ดูกราพราหมณ์ สุขอันใดแห่งเรา อันมาอยู่ในป่าที่นี้ เป็นอันมีชีวิตติดกับด้วยโศกทุกข์ เหตุปิยะวิปโยคบ่คลาดจากตนสักยาม แต่อันได้พลัดพรากจากเมือง มาอยู่ในป่านานได้เจ็ดเดือน ทุกข์เป็นนิรันดรบ่ขาดสักยาม หาความสุขใจบ่ได้สักอันแลฯ เราหันท่านพราหมณ์มีเพศอันประเสริฐ เกิดเป็นระสีมีตัปปะอันกล้า มีอินทรีย์ใจผจญแพ้ดั่งนี้ นุ่งหนังเสือถือไม้เท้า มีวรรณะเหลืองเรืองงาม เหมือนดั่งหน่อไม้ไผ่และเข้ามาสันนี้ กรียาอันมาหันท่านพราหมณ์มาปางนี้เป็นฅนถ้วนสอง แต่อันพราหมณ์ผู้นึ่งในวันวานนี้แลฯ
ดูราท่านพราหมณ์ กรียาอันมาแห่งท่าน จักเป็นเหตุหื้อบังเกิดโศกทุกข์ก็บ่มีสักอัน ความสวัสดีจุ่งมีแก่ท่านเทอะ ท่านจุ่งเข้าไปสู่โรงน้ำ แล้วชำระปาทะทังคู่แห่งท่านเทอะฯ อันว่าลูกไม้ทังหลาย คือว่าหมากคับทองกินฝาด หมากหาดหมากซางหมากม่วงมือฝูงนี้ ประกอบด้วยรสอันหวาน เป็นดั่งเจือจานด้วยน้ำเผิ้งน้ำมิ้น ท่านจุ่งเลือกกินลูกอันสุกเทอะฯ แม่นว่าน้ำกินอันนี้ใสเย็นยิ่งนัก อันมัททีระสินีหากตักติ้วมาแต่ท้องดอยมาไว้ ผิว่าท่านอิดพักมักใคร่กินใคร่ดูดดั่งอั้น จุ่งดูดกินแต่รางน้ำเราพุ้นเทอะ ฯ
พระมหาสัตว์เจ้ากระทำปฏิสันฐาน กับด้วยวรอินโทสักกะพราหมณ์แล้ว จักถามหาเหตุอันมาแห่งพราหมณ์เล่า จิ่งกล่าวคาถาว่า อถ ตวํ เกน วณฺเณน วา พณฺณเหตุนา อนุปตฺโต พราหมณรญฺญํ ทํเม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต ดูกราท่านพราหมณ์ เราถามท่านพราหมณ์มารอดนี้ มักว่าด้วยคุณอันใดเป็นเหตุ หื้อบังเกิดปรมัตถสุขอันกว้างขวางพายหน้าอั้นชะรือ ประการนึ่ง ด้วยเหตุและปัจจัยอันใด คือจักขอเอายังเข้าของสมบัติอันใด ท่านจุ่งบอกเหตุและปัจจัยเยื่องนั้นหื้อแจ้งแก่เราเทอะฯ
ในกาละยามนั้น เทวินทาสักกพราหมณ์ได้โอกาสอันขอแล้ว จักกระทำราชะสัทธาแห่งมหาสัตว์เจ้า หื้อเป็นอุปมัยแล้วสักเสริญไปด้วยอุปมาอันชอบ ประกอบด้วยพระมหาสัตว์เจ้าหื้อใจลง เพิงหื้อปลงภริยาอัคคราชทานด้วยแต่บ่หันแก่ตนเป็นหมั้น จิ่งกล่าวว่า ยถา วาริวหา ปูโร สัพพะกำลัง ดั่งนี้ ข้าแด่พระระสีเจ้า หมู่ลำน้ำอันมีในมหานที คือคงคา ยมมุนา อจิรวดี สาลภู มหิ อันสัตว์ทังหลาย มาแต่ทิสะต่าง ๆลงมาอาบกิน หาบติ้วไปพอแรงด้วยภาชนะอันหน้อยอันใหญ่เท่าใดก็ดี ก็ยังพ่ำเพ็งเต็มไปบ่ขาด บ่รู้แห้งเหือดเขินเสียวัง ตั้งอยู่ต่อเท้าเสี้ยงกัปป์ อุปมาสันใด คือสัทธาธรรมชาติแห่งมหาระสีเจ้า ก็อุปมาดั่งอั้น แม่นดั่งอั้นก็ดี ยาจกวนิพกมาแต่ทิสะต่าง ๆหากมาขอเยื่องใดก็ดี สัทธาธรรมชาติดวงนั้น ก็บ่หดหย้อท้อหวั่นไหว ยังบัวระมวลพ่ำเพ็งเต็มในมหาปริจาคะ ๕ ประการ เสี้ยงกาละทังมวลบ่ห่อนแห้งสักเทื่อ มหาราชะเจ้าตนประเสริฐ อันประกอบด้วยสัทธามีมากหาที่สุดบ่ได้ ก็อุปมาดั่งอั้น ข้ามาอยู่สำนักแห่งมหาราชะเจ้า ก็เพื่อขอเอาภริยารักแห่งท่าน มหาราชะเจ้าตนประกอบด้วยราชะสัทธาอันมาก เสมอดั่งปัญจมหานที อันข้าหากขอจุ่งทานอัคคภริยาผู้มีวัตรปฏิบัติอันดีแก่ข้าเถ้า อันข่มเท้าเข้ามาขอ ( ข้อความตรงนี้จากต้นฉบับดูไม่ต่อเนื่อง-ผู้คัดลอก )
ราชะมัททีระสินีเซิ่งเราสันนี้ เราก็หื้อมัททีเป็นทานแก่ท่านดั่งอั้น เท่าจักหลอแต่เราผู้เดียวกลางป่าที่นี้ จักเถิงภาวะอันลำบาก เหตุจักหาผู้พ่ำเรือนอุปฐากบ่ได้ เราก็บ่หื้อทานแก่ท่านได้แลฯ มหาสัตว์เจ้าก็บ่กล่าวสันนี้ หื้อพราหมณ์ใจหน้อยสักอัน เหมือนดั่งจักตั้งไว้ยังถงฅำพันนึ่งเหนือมือพราหมณ์ อันเหยียดยื่นมาขอนั้น ด้วยหื้อพราหมณ์ยินดีแล้วในภริยาทานแห่งตน บ่มีใจหดหย้อสักอัน เหมือนดั่งจักปัพพตาคิรีร้องก้องสนั่นหวั่นไหวด้วยภริยาทานแห่งตน ก็กล่าวว่า ดูกราท่านพราหมณ์ ท่านมาขอราชะมัททีระสินีเซิ่งเราดั่งอั้น เราก็หื้อบัดนี้ยังราชะมัททีตนนั้นเป็นทานแก่ท่านแล เรานี้บ่หวั่นไหวกั้งบังรับไว้ยังแท้ เยียวผู้มีอันควรหื้อทานด้วยกำลังเรา ใจแห่งเราเท่ายินดีในอันหื้อทานทุกเมื่อแลฯ
มหาสัตว์เจ้ากล่าวดังนี้แล้ว ก็เอาน้ำต้นคัณฑีมาพลัน ก็หื้อยังทักขิโณทกา ตกเหนือมือพราหมณ์แล้ว ก็สละหื้อราชะมัททีเป็นทาน แก่อินทาสักกพราหมณ์ ด้วยอันอัศจรรย์ทังมวล มีประการดั่งได้กล่าวมาแล้วในพายหลัง ก็ปรากฏเกิดมีในขณะนั้นสิ่งเดียวแลฯ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อันว่าพระพุทธเจ้า ตนเป็นครูเค้าแก่ฅนและเทวดาทังหลาย จักส่ำแดงอัตถะอันนั้นมาหื้อแจ้ง ก็เทสนาว่า มทฺทิ หตฺเถ คเหตฺวา ดั่งนี้ ภิกฺขเว ดูราภิกขุทังหลาย เวสสันตระตนเป็นเจ้าแก่บ้านเมือง หื้อวุฒิจำเริญแก่ชาวสีพีราษฎร์ทังหลายมาแล้ว ยังน้ำต้นคัณฑี อันเต็มด้วยน้ำหยาดตกเหนือมือพราหมณ์แล้ว ก็หื้อราชะมัททีเป็นทานแก่อินทาสักกะพราหมณ์ วันนั้นแลฯ
เวสสันตระพุทธางกูรตนประเสริฐ คันได้หื้อราชะมัททีเป็นทานแก่อินทาสักกพราหมณ์ดั่งอั้น ลวดได้ถือเอายอดทานปารมีธัมม์ อันเป็นที่สุดเมี้ยนแห่งอันสร้างสมพารและฯ
ดูกราภิกขุทังหลาย เวสสันตระสรีเจ้าสละยังราชะมัททีเป็นทานในกาละเมื่อใด อจฺจริยํ ปูนกลัวหนังหัวพองสยองเส้น ก็มีในกาละเมื่อนั้นแล ฯ แผ่นพสุธาลวงหนาได้ ๒ แสน ๔ หมื่นโยชนะ บ่อาจจักตั้งอยู่ตามปกติได้ ก็ร้องก้องสนั่นหวั่นไหวไปมา ด้วยเตชะภริยาทานอุตตมทานแห่งพระยาเวสสันตรราชแล ฯ
ส่วนนางราชมัททีพ้อยจักต่ำคล้อยน้อยใจและร้องไห้ก็บ่มี เท่าเป็นปกติอยู่บ่ปาก เล็งดูหน้าแห่งมหาสัตว์เจ้าด้วยอันร่ำเพิงว่า กัมม์อันใดประเสริฐ อันจักบังเกิดในอนาคตกาลดั่งอั้น พระยาเวสสันตรเจ้าสามีแห่งกู ก็รู้ยังกัมม์อันนั้นแจ้งแล้ว จิ่งหื้อกูมัททีเป็นทาน เจ้าร่ำเพิงสันนี้แล้วก็อยู่หั้นแล ฯ มหาสตฺโต ส่วนมหาสัตว์เจ้า ก็จากับด้วยอินทาสักกพราหมณ์ ว่าดูราพราหมณ์ เท่ามีสัพพัญญูตัณญาณสิ่งเดียว เป็นอันรักจำเริญใจแก่เรายิ่งกว่าราชมัททีเทวี ด้วยอันร้อยเท่าพันปูน เหตุดั่งอั้นปิยภริยาทานอันนี้ ขอจุ่งหื้อเป็นปกตุปนิสัยปัจจัย อันจักรอดแห่งสัพพัญูตัณญาณแก่เราเทอะฯ ส่วนมัททีเทวีผู้นั้น ปราศจากอิตถีโทษทังมวล เป็นอิตถีนางแก้วผู้ประเสริฐเกิดกับบุญแท้ สุขวาสี อยู่กินกับกันสุขสำราญบานใจ เหตุดั่งอั้นบ่มีคำควรหน่ายกัน บ่มีคำผิดเถียงกันไปมา ควรรักและอิ่นดูกรุณาชุเยื่องชุประการ จักหาผู้ญิงจักเสมอและเปรียบเทียมบ่ได้แลฯ
ดูกราสารีบุตร ขัตติยะทังสามแม่ลูก ก็เป็นผู้รักจำเริญใจ แห่งพระตถาคตะมากนักดั่งนี้ เหตุดั่งอั้นพระจิ่งสละหื้อเป็นทาน ก็เพื่อแลกเอาประญาสัพพัญญูตัณญาณดวงประเสริฐนั้นแลฯ อถา มหาสตฺโต กิตฺติ สา มัทฺทิ ในกาละยามนั้น มหาสัตว์เจ้า เล็งดูนางเหน้ามัทที อัคคเทวีด้วยคำร่ำเพิงว่า ราชะมัททีเป็นดั่งรือชา เคียดแก่กูรู้ว่าบ่เคียดอั้นชา ฯ
สาปิ ส่วนราชะมัททีก็กล่าวว่า มหาราชะเจ้าเล็งดูหน้าข้าเจ้าดั่งรืออั้นชา กล่าวดั่งนี้แล้วก็กล่าวสีหนาท จาองอาจบ่เกรงขาม(เข็งขาม) ว่าข้าแด่มหาราชะเจ้า เมื่อข้าเป็นกุมารี อายุได้ ๑๖ ขวบเข้า ก็ได้มาเป็นปาทะบริจาคแห่งมหาราชะเจ้าตนใด มหาราชะเจ้าตนนั้นก็ได้เป็นผัวแห่งข้าแต่ยามเมื่อเป็นกุมารี ก็หากเป็นอิสระแก่ข้า และมหาราชะเจ้า มักหื้อทานข้าแก่ปุคคละผู้ใด ก็จุ่งหื้อทานแก่ปุคคละผู้นั้นเทอะ ฯ
อิสสโร นาม ชื่อว่าปุคคละผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่นี้ มีประโยชนะด้วยเข้าของ ก็เพิงขายยังข้าญิงแห่งตน คันประโยชนะด้วยชิ้นเลือดไขมัน ก็เพิงข้า(ฆ่า)ยังข้าตนญิง แม่นข้าญิงก็บ่ควรขัดขืน เหตุดั่งอั้น คำเยื่องใดเพิงใจแก่มหาราชะเจ้าดั่งอั้น จุ่งกระทำยังคำเยื่องนั้น ข้าบ่เคียดขัดขืนใจแก่มหาราชะเจ้าสักอัน จุ่งพ่ำเพ็งมโนรสหื้อแล้วบัวรมวลเทอะฯ
ราชะมัททีจาคำองอาจ ตามสภาวะอันมีแท้ ด้วยจิตใจอันบัวริสุทธิ์ใสงาม คำจาเป็นสันใดใจก็เป็นดั่งอั้นแท้สิ่งเดียว ฯ ยามนั้น อินทาธิราชอันทรงเพศเป็นพราหมณ์อยู่ในที่นั้น รู้ยังปณิธานอัชฌาสยะแห่งขัตติยะทังสอง อันเป็นอัจฉริยะหายาก ก็สักเสิญมากนักต่อส่องหน้าแห่งขัตติยะทังสอง วันนั้นแลฯ
ภิกฺขเว ดูกราภิกขุทังหลาย อินทาธิราชตนเป็นใหญ่แก่ฅนทังหลาย รู้สภาวะหัวใจแห่งขัตติยะทังสองก็สักเสิญว่า ข้าแด่เจ้าระสี ข้าเสิกทังหลายฝูงใด คือว่าอกุสลธัมม์อันเป็นลามกะ มีโลภะมัจเฉรธัมม์เป็นต้น จักห้ามเสียยังสมบัติในเทวโลกดั่งอั้น ข้าเสิกอันนั้น มหาราชะเจ้าก็ได้สละหื้อปิยะปุตทาน ก็ได้ผจญแพ้ชุอันแท้แลฯ แผ่นพสุธาอันหนาได้ ๒ แสน ๔ หมื่นโยชนา ก็ร้องก้องสนั่นหวั่นไหวไปมามากนัก เสียงลือซาสาธุการเซิ่งทานอันประเสริฐ แห่งมหาราชะเจ้า ก็เกิดแต่ท้องพื้นธรณีขึ้นไปเถิงพรหมโลกพู้นก็มีแลฯ
วิชุรตา สายฟ้าอันมากนัก ใช่กาละอันควรแมบ ก็มาแมบมะเมิง เรืองรอดชุก้ำชุพาย ในประเทศท้องหิมพานต์อันใหญ่ปูนกลัว เหมือนจักเกลื่อนจักพังไปแห่งดอยหิมวันต์ทังหลายก็เกิดปรากฏมีแลฯ อุโภ เทวนิกายา หมู่เทวดาทังหลาย ๒ จ่ำพวก คือนารทะเทวดามีวิมานตั้งอยู่บนอากาศ ปัพพตาเทวดามีวิมานเหนือจอมดอย ก็ยืนอยู่ทิพพวิมานแห่งตน ก็อนุโมทนาเซิ่งอุตตมทานแห่งมหาระสีเจ้า ชุหมู่เจ้าเทวดาก็มีแลฯ
อินทาธิราชก็ดี มหาพรหมก็ดี ราชาธิราชตนเป็นใหญ่แก่ปชาทังหลายในกามธาตุก็ดี พระยายม พระยาเวสสุวัณณ์ตนเป็นใหญ่แก่ยักษ์ทังหลาย ก็อนุโมทนาเซิ่งอุตตมทานแห่งมหาราชะเจ้า ก็ลวดสักเสิญว่า เวสสันตระราชาเจ้า อยู่ในป่าหื้อทานภริยาแก่พราหมณ์แล้ว หากอยู่ป่าได้กระทำกัมม์อันกระทำยากนักแท้แลฯ ต่างฅนก็ต่างอนุโมทนาทานสันนี้เสี้ยงแลฯ
อินทาธิราช จักตั้งไว้ยังทานแห่งปุคคละไว้เป็น ๒ คือว่า ใช่ปุริสะและป่ใช่ปุริสะก็กล่าวว่า ข้าแด่มหาราชะเจ้า อันว่าอสัปปุริสะฝูงบ่มีปัญญา เข้าอำนาจปาปธัมม์โลภมัจเฉรธัมม์เป็นต้น บ่อาจจักกระทำตามได้ ตามกัมม์แห่งสัปปุริสะทังหลายฝูงปรารถนาเอาสัพพัญญูตัณญาณ อันหันมาปานดั่งมหาราชะเจ้าสันนี้ อันหื้อลูกรักเมียแพงเป็นทาน ได้ชื่อว่า ทุพฺพการํ ควรหื้อทานยากนัก สัปปุริสะทังหลาย ฝูงปรารถนาเอาสัพพัญญูตัณญาณหื้อทานอันนั้นบ่ได้หากเท่าดอมดายฯ อสนฺโต สัปปุริสะทังหลาย บ่อาจจักกระทำตามได้ ยังกัมม์แห่งสัปปุริสะทังหลาย อันกระทำกัมม์อันกระทำยากแท้แลฯ การอันสละลูกเมียเป็นทาน ด้วยบ่อาลัยใจข้อง ได้ชื่อว่า ทุกฺกรํ กระทำยากนักแท้แลฯ สัปปุริสะทังหลาย ฝูงปรารถนาเอาสัพพัญญูตัณญาณ กระทำการอันนั้น อสัปปุริสะทังหลาย จักกระทำการอันนั้นตามบ่ได้ หากเท่าดูดายฯ สตํ ธมฺโม ปารมีอันเป็นสภาวะแห่ง สัปปุริสะทังหลายฝูงเป็นบุญวันตา ปรารถนาสัพพัญญูนั้นฯ โย อันว่าฅนหนาหนืดมืดด้วยปาปธัมม์จักตรัสรู้ยาก หากบ่อาจจักรู้ได้ เหตุดั่งอั้น พระยาเจ้าอันจักจุติจากภาวะอันนี้แล้ว ไปเอาปฏิสันธิในโลกพายหน้า แห่งสัปปุริสะและอสัปปุริสะทังหลาย เป็นอันต่าง ๆกัน ไกลกันนักฯ
อสัปปุริสะทังหลาย บ่หื้อทาน บ่รักษาศีล บ่ภาวนา เท่ากระทำบาปไว้กับตนหื้อแหน้นหนาชุวันยาม กระทำทุจริตตามใจมัก คันจุติตายก็ได้ไปสู่นิรยนารกฯ ส่วนสัปปุริสะฝูงดีมีประญา หื้อทานรักษาศีลภาวนาพ่ำเพ็งสุจริต ๓ คันจุติก็มีสวรรค์เทวโลกเป็นที่ไปแล ฯ
อินทาธิราชกล่าวดั่งนี้แล้ว ก็กล่าวกับตนแก้วว่า มหาราชะเจ้ามาอยู่ป่าใหญ่ที่นี้ ได้หื้อกุมารทังสองเป็นทาน แก่พราหมณ์ในวันวานี้แล้ว วันนี้พ้อยได้หื้อภริยาเป็นทาน แก่ข้ามหาสักกะสันนี้เล่า ร่ำบุตตะทานและภริยาทาน ๒ ประการนั้น ภริยาทานในวันนี้เป็นพรหมยานอันประเสริฐ จุ่งนำเอามหาราชะเจ้าข้ามพ้นจากอบายทัง ๔ แล้วหื้อแก่กล้ายังวิปากะผละ จุ่งหื้อได้ประญาสัพพัญญูตัณญาณ ในภาวะอันสุดซ้อยแด่เทอะฯ อินทาธิปติ ก็กระทำอนุโมทนาเซิ่งทานแห่งมหาสัตว์เจ้าดั่งนี้ บัดนี้กูอย่าช้านาน ควรเฝียดฝืนขืนนางมัททีเทวี ไว้แก่เวสสันตระราชระสีอย่างเก่าแต่สิ่งเดียว แล้วฅืนไปสู่สวรรค์เพิงชะแล ฯ
ร่ำเพิงสันนี้แล้ว ก็กล่าวแก่มหาราชะเจ้าว่า ข้าแด่พระระสีเจ้า ข้าก็ขืนยังภริยาคือมัททีเทวีผู้ประกอบด้วยอิตถีลักขณะอันงามไว้แก่มหาราชะเจ้า ก็สมควรแก่มัททีเทวี และมัททีเทวีก็สมควรแก่มหาราชะเจ้าอันเป็นสามี อันว่าน้ำนมงัวใหม่และหอยสังข์อันขัดปัดดีแล้ว วัตถุสองเยื่องนี้มีวัณณะขาวพาวบริสุทธิ์กันมีเสมอใด มหาราชะเจ้าและนางมัททีก็มีใจบริสุทธิ์เสมอกันและฯ มหาราชะเจ้าทังสองอันท่านหากขับหนีจากเมืองมาอยู่ในป่าไม้ที่นี้ มหาราชะเจ้าทังสองเป็นหน่อท้าวกษัตริย์ เป็นใหญ่แก่ไร่นาคามะเขตประเทศ ด้วยโคตมะวิเศษกระกูลอันงาม เกิดมาดีแต่พ่อแม่เสมอกัน จุ่งค่อยเอากันอุตสาหะพ่ำเพ็งทานะกุสละกัมม์ไปไจ้ ๆอย่าขาด อย่าประมาทละวาง กรียาอันกระทำบุญนั้นว่าเมี้ยนเท่านี้ก่อนเทอะ อย่าได้ว่าอั้นจุ่งหื้อยิ่งกว่าเก่าเล่าเทอะ
อินทาธิราชหื้อมหาสัตว์เจ้ารับเอามัททีเทวีแล้ว จักบอกตนหื้อรู้ว่าเป็นอินทา จิ่งกล่าวคาถาว่า สกฺโก มหมสฺสมึ ดั่งนี้ ข้าแด่เจ้าระสี ส่วนตนผู้ข้าก็พ่ำเพ็งวัตต์ ๗ ประการ คือ มาตาปิตุอุปฏฺฐาน ํเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยคารวะครบยำ กุเรเชฏฺฐาปจฺจายนํ หื้อครบยำผู้เถ้าผู้แก่ในกระกูล สจฺจาภาวนา กล่าวคำหมั้นเที่ยงแท้ มุทุภาวน ํปากม่วนจาหวาน ปิสุณาวาจา กล่าวถ้อยคำบ่สนส่อหื้อท่านผิดกัน มจฺเฉรวนยํ ละเสียยังความตระหนี่ อโกธํ บ่เคียด วัตต์ ๗ ประการฝูงนี้ ข้าก็ได้พ่ำเพ็งมาบ่ขาด เป็นบั้งเป็นท่อนในกาละเมื่อก่อนได้เกิดเป็นอินทา อันเป็นใหญ่แก่เทวดาทังหลายในสองสวรรค์ชั้นฟ้า ฯ
ข้ามาสู่สำนักแห่งมหาราชะเจ้า ก็เพื่อจักค้ำชูปารมีแห่งมหาราชะเจ้า หื้อเถิงจอมยอดที่สุดที่เมี้ยนแห่งพระพุทธปรารถนา ข้าจักหื้อพร ๘ ประการแก่มหาราชะเจ้า อินทาธิราชเจ้าเยียะจา ก็เยียะรุ่งเรืองด้วยทิพพสยองขึ้นสู่อากาศ ดูวิลาศดั่งสุริยะอันพุ่งขึ้นมาเมื่อยามเช้า เมื่อดั่งอั้น
มหาสัตว์เจ้ารู้ว่าเป็นอินทร์แท้ดั่งอั้น จักขอเอาพรจิ่งกล่าวคาถาว่า วรญฺเจ เม อโธ สกฺกสปฺปภูตา ดูกราพระยาอินทาธิราช ตนเป็นใหญ่แก่เทวดาทังหลาย ผิว่ามหาราชะเจ้าจักหื้อพรแก่เราดั่งอั้น ปิตา มํ อนุโมเทยฺย ว่าขอสัญไชยราชะตนพ่อแห่งเราเพิงยินดีกับเรา แล้วมาอัญเชิญเราออกจากป่าที่นี้ อารธนาไปนั่งแท่นแก้วเล่าสองทีเทอะฯ ปุริสสฺส วฆํ น เจยฺย ปางเมื่อเราเป็นท้าวพระยา อย่าได้เพิงใจในอันจักข้า(ฆ่า)ฅน เหมือนดั่งท้าวพระยาฝูงอื่นเทอะ ฯ แม้นผู้กระทำกัมม์อันหนัก เป็นราชะปราชิกะ ผิดอาชญาท้าวพระยาอันควรข้านั้น ก็จุ่งปล่อยผู้นั้นพ้นจากกัมม์อันนั้น ได้อยู่สวัสดีแด่เทอะฯ
อันนึ่ง คันข้าเมือสู่บุรีรอดแล้ว ในเมืองแก้วใหญ่สีพี อย่าหื้อข้ามีใจมักใคร่ข้า ถ้วนหน้าหมู่ญิงชาย ได้ผิดหลายแด่ท้าว พวกดาบน้าวไปพลัน ขอหื้อข้าได้ปันได้โปรด ปล่อยหื้อพ้นโทษทางตาย ฯ อันนึ่งฝูงฅนชายหนุ่มเหน้า ฝูงแถ่วเถ้าเด็กงาม หื้อมีฅวามยินดีบ่หยาบช้า ได้เพิ่งบุญข้าเลี้ยงชีวิต ฯ
อันนึ่ง อย่าหื้อข้ามีใจง่าย เหล้นชู้ช่ายเมียไผ รักษาใจหื้อรอด อย่าได้จอดอิตถี แหนอินทรีย์อย่าขาด อย่าได้เข้าอำนาจมาตุคาม พรอันงามถ้วนถี่ ข้าขอไว้ที่แหนใจ ชาลีใดงามองอาจ อันข้าปราสาทหื้อเป็นทาน แก่พราหมณาจารย์ผู้เถ้า ลูกเต้าอยู่ยินดี จุ่งหื้อมีฤทธีกล้าแก่ ผจญแพ้แก่ฝูงฅนด้วยบุญตนหน่อท้าว ปราบทั่วด้าวเหนือดิน ขอขุนอินทร์เจ้าฟ้า พรถ้วนห้าของดี ไว้ปันชาลีลูกพ่อ อันเป็นหน่อราชะแด่เทอะ ฯ
ในเมื่อข้าไปรอดแล้ว นั่งแท่นแก้วบุรี ในรวายตรีจักใกล้รุ่ง คันข้าคึดกรุ่งร่ำเพิงทาน ขออินทร์บันดาลผายแผ่แก้วฟ้า ขอหื้อท้าวฟ้าช่วยข้าวางลง ตกเต็มโขงเมืองเทศ ของวิเศษนำถวาย ปรายลงมาแต่ฟ้า แถวถั่งหน้าสู่ธรณี อันนึ่ง ข้าหื้อทานน้อยใหญ่ อย่าหื้อข้าใฝ่กินแหนง ด้วยอันแพงทานไปไจ้ ๆ อย่าหื้อได้บกบาง หื้อข้าได้เซิ่งทานปานใจ พรอันใดเจ็ดสิ่ง ขอเจ้าฟ้าจิ่งปันทาน แด่เทอะฯ
คันข้าตายจากชาติ คลาคลาดอันเป็นฅน จุ่งหื้อเอาตนเมือเกิด ในห้องเลิศตุสิตา คันตายคลาจากเมืองฟ้า จุ่งได้อว่ายหน้าลงมา หื้อได้ตรัสประญาสัพพัญญูเลิศแล้ว นั่งแท่นแก้วเทสนาธัมม์ พรอันดีงามถ้วนแปด ข้าขอแขวดสงสารก่อนและนาฯ
ตสฺส วจฺนา สุตฺวา พระยาอินทร์หน่อแก้ว ได้ยินแล้วเซิ่งคำจา คำปรารถนาแห่งพระยายสยิ่ง ท้าวไธ้จิ่งเจียรจา ว่าข้าแด่มหาราชะเจ้า ยสทั่วเท้าเวียงไชย บ่เหิงนานเท่าใด ท้าวไธ้ตนพ่อ ตั้งใจต่อสมพาร จักเอาริพลโยธาหาญเอนก มาอภิเศกเจ้าแล้วนำเมือเมือง สมบัติเรืองตั้งไว้ ตกแต่งให้เป็นพระยา ฯ
คันพระยาอินทร์หื้อโอวาท แก่พระบาทเจ้าบุญเหลือ ก็เสด็จเมือสู่ปราสาท ที่นั่งแก้วอาสน์วิไชยนตร์ อันเป็นที่อยู่แห่งตนก็มีวันนั้นแลฯ
ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห อิทํ วตฺวาน มฆวา เทวราชา สุจมฺปติ เวสฺสนฺตรสฺส วรํ ทตวา สกกฺกายํ อปกฺกมิ ฯ ภิกฺขเว ดูราภิกขุทังหลาย ตนทรงศีลใสบัวริยาต อันว่าท้าวไท้ราชอินทา ชื่อว่ามัฆวาชาติก่อน ใจอ่อนน้อมสัทธา สร้างศาลาหลังใหญ่ ตัดไม้ใส่ฅาดี ทังยองปลีและกาบจว้า ทังช่อฟ้าใส่บัวฅำ เป็นลำนำใหญ่สูงมุงเมฆ ข้างประเทศหนทาง มีบริวารพร้อมคู่ ใจน้อมสู่กองกุศล ฅนทังหลายเทียวหนอินลำบาก ยั้งภักหากเย็นใจ ฅนผู้ใดฝูงจอดแล้ว สุขเพื่อเจ้าแก้วมัฆวา คันตนตายคลาคลาด จากอายุพรากเป็นฅน จิ่งเอาตนไปเกิด ชั้นฟ้าเลิศตาวติงสา จิ่งไปเกิดเป็นพระยาอินทร์เลิศแล้ว จอมเขาแก้วเกิดเป็นเมือง ปราสาทเรืองรอดแล้ว มีแท่นแก้วเป็นศิลา มีนางกัญญาแวดล้อม แห่แหนอ้อมนอนแฝง
ท้าวแถลงลงมาสู่ ยังที่อยู่เจ้าเวสสันดร มางอนส่องหน้านางเหน้า เพศพราหมณ์เถ้าแก่ชรา คันขอเอานางพระยาได้แล้ว ซ้ำฅืนนางแก้วแก่พระเวสสันดร ลวดถวายพรทังแปด ท้าวก็แขวดหื้อเพียงใจ ตาวันใสส่องแล้ว ก็ขึ้นสู่ชั้นฟ้าแก้วเมืองบน อันเป็นที่อยู่แห่งตน ก็มีวันนั้นและฯ
สกฺก ปพฺพํ นิฏฺฐิตํ กรียาอันกล่าวยังสักกะปัพพถ้วนสิบ อันประดับประดาว่าด้วยคาถาว่าได้ ๔๓ คาถา ก็บังฅมสมเร็จ เสด็จ