กฎหมายไทยฯ/เล่ม 6/เรื่อง 2
- พระราชบัญญัติ
- คำปรารภ
- หมวดที่ 1 ว่าด้วยลักษณไต่สวนก่อนเวลาพิจารณา
- ห้ามไม่ให้จับกุมกักขังโดยไม่มีหมายจับ ยกเสียแต่จับกุมกำลังทำผิดฤๅสงไสยว่าจะหนี
- คนต้องจับกุมมาถึงที่ขังแล้ว ต้องจดบาญชีตามเหตุที่ต้องจับนั้น
- ต้องไต่สวนใน 48 ชั่วโมงตั้งแต่จับตัวมา ถ้าช้าไปด้วยเหตุใด ต้องจดหมายไว้ตามเหตุนั้น
- ให้ไต่สวนพิเคราะห์ดูตามถ้อยคำที่สาบาลเปนหลักถานว่าเปนพิรุธหรือไม่
- คู่ความซักพยานได้
- ให้ผู้พิพากษามีคำสั่งตามคำพยานชั้นต้นที่พิรุธหรือไม่
- หมวดที่ 2 ว่าด้วยการชำระความแผ่นดิน
- หมวดที่ 3 ว่าด้วยลักษณพิจารณา
- คู่ความแต่งทนายช่วยว่าความได้
- ถึงกำหนดชำระ โจทย์ไม่มา ก็ให้ยกฟ้องเสีย เว้นแต่มีเหตุที่ควรเลื่อนเวลาชำระต่อไป
- โจทย์หา จำเลยให้การรับแล้ว ให้ตัดสินลงโทษ
- ถ้าจำเลยไม่รับ ให้ศาลซักไซ้จำเลยแลพยานทั้งสองฝ่าย
- จำเลยให้การแก้ได้เต็มที่ แลซักถามพยานได้
- พยานต้องให้การเรียงตัวกันโดยลำดับตามที่ศาลจะบังคับ
- วิธีสืบพยาน ใช้ตามพระราชบัญญัติลักษณพยาน ร,ศ, 113
- คู่ความจะขอให้พยานให้การอีกครั้งหนึ่ง หรือให้พยานไปจากศาล ๆ ก็สั่งได้
- ให้ศาลพิเคราะห์ดูว่าควรพิจารณาข้อหาข้อใดก่อนแลหลัง
- เริ่มชำระแล้ว ก็ให้ชำระต่อไปให้แล้ว อย่าให้ชักช้า
- เมื่อฟังคำพยานแลคำชี้แจงของคู่ความแล้ว ให้ศาลตัดสิน
- หมวดที่ 4 ว่าด้วยลักษณพิพากษาตัดสิน
- คู่ความอุทธรณ์ได้ใน 15 วัน
- คำฟ้องอุทธรณ์ต้องให้เก็บใจความตามเหตุความจริงแลตามบทกฎหมาย อย่าให้เรียกผู้พิพากษามาเปนจำเลย
- ถ้าผู้อุทธรณ์ติดตรางอยู่ จะยื่นฟ้อง ให้ผู้คุมไปยื่นต่อศาลก็ได้
- ให้ศาลอันต้องอุทธรณ์ยื่นสำนวนแลคำฟ้องต่อศาลอุทธรณ์ใน 5 วัน
- ให้ศาลอุทธรณ์กำหนดวันชำระใน 15 วัน เว้นแต่มีเหตุขัดข้อง แต่อย่าให้ช้าเกินกว่า 2 เดือน
- ให้นัดคู่ความก่อน 5 วัน
- ชำระความอุทธรณ์นั้น ให้อ่านสำนวนแลฟังคำชี้แจงของคู่ความ
- ศาลอุทธรณ์หรือคู่ความจะเรียกพยานเก่าใหม่สืบก็ได้
- ความในมาตรา 12, 14, 15, 16 ให้ชำระชั้นอุทธรณ์ด้วย
- ศาลอุทธรณ์ชำระแล้ว ต้องตัดสินใน 3 วัน
- ศาลอุทธรณ์แก้คำตัดสินได้ตามความเหน
- ค่าธรรมเนียม
๏มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ได้ทรงพระราชดำริห์เหนว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีสภาปฤกษากันเรียบเรียงข้อพระราชบัญญัติลักษณพิจารณาความซึ่งมีโทษขึ้นใหม่ ให้ใช้แทนพระราชกำหนดกฎหมายลักษณพิจารณาเดิมซึ่งยังคงใช้อยู่ในพระราชอาณาจักร์สยามนี้ แต่ว่าการที่จะตรวจตราร่างแต่งพระราชบัญญัติลักษณพิจารณาความซึ่งมีโทษใหม่นี้ยังจะต้องช้าอยู่ไม่แล้วทันกับเวลาที่จะใช้พระราชบัญญัตินั้น บัดนี้มีความอาญาซึ่งมีโทษยังค้างพิจารณาอยู่มากมาย ทั้งความซึ่งจะได้ฟ้องร้องกันขึ้นใหม่อีกในศาลซึ่งชำระความมีโทษเหล่านี้ ควรที่จะชำระให้แล้วเสร็จไปเสียคราวหนึ่งก่อน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความมีโทษสำหรับใช้ไปพลางก่อนนั้นไว้ ดังนี้
มาตรา๑การจับกุมผู้กระทำผิดล่วงละเมิดพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งมีโทษหลวงนั้น ห้ามไม่ให้เกาะกุมจับตัวคนใดคนหนึ่งมาฤๅจะเอาตัวคนใดคนหนึ่งกักขังไว้สำหรับที่จะพิจารณาความนั้นโดยที่ผู้พิพากษาผู้มีน่าที่ตามกฎหมายไม่ได้ออกหมายให้เกาะกุมจับตัวคนนั้นมา เว้นไว้แต่เมื่อจับกุมคนใดคนหนึ่งกำลังทำการผิดล่วงละเมิดพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งมีโทษหลวงอยู่ก็ดี ฤๅคนใดคนหนึ่งซึ่งมีเหตุสงไสยว่าทำการล่วงละเมิดพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งมีโทษหลวงจะหลบหลีกหนีไปเสียก็ดี จึงไม่ต้องออกหมายจับก่อน แลในหมายจับนั้นต้องกล่าวโดยย่อไว้ด้วยว่า คนผู้ต้องจับนั้นเปนผู้ที่ต้องสงไสยว่ากระทำการผิดล่วงลเมิดพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งมีโทษหลวงอย่างไร เมื่อใด ณที่ตำบลใด ๆ นั้นด้วย
มาตรา๒ถ้าเกาะกุมจับเอาตัวคนใดคนหนึ่งมาได้แล้ว ก็ให้นำตัวมาส่งยังตรางที่กักขังสำหรับแผ่นดิน แล้วให้เจ้าพนักงานจดชื่อของคนผู้ต้องจับนั้นลงไว้ในสมุดบาญชี แลให้จดหมายบันทึกลงไว้ด้วยว่า คนผู้ต้องจับนั้นต้องหาว่ากระทำการผิดล่วงละเมิดพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งมีโทษหลวงอย่างไร ณที่ตำบลใด กับชื่อของผู้จับ ฤๅชื่อของผู้พิพากษาผู้มีน่าที่ตามกฎหมายซึ่งได้ออกหมายจับนั้น ลงไว้ด้วยจงทุกคราวเมื่อ
มาตรา๓บันดาคนผู้ต้องจับมาทุก ๆ คนนั้น ถ้าการควรไต่สวนได้ภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับแต่เวลาจับเอาตัวมาไว้แล้ว ต้องให้เอาตัวมาให้ผู้พิพากษาไต่สวน คือ
(๑)ให้ผู้พิพากษาผู้ออกหมายจับนั้นเอาตัวคนผู้ต้องจับมาไต่สวน
(๒)คนผู้ต้องจับมานั้นต้องจับมาโดยทางอื่นนอกจากที่ได้มีหมายจับ ดังนี้ก็ให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งผู้มีน่าที่ตามกฎหมายเอาตัวคนผู้ต้องจับนั้นมาไต่สวน ถ้าในเรื่องใดรายใดต้องไต่สวนช้าไปกว่า ๔๘ ชั่วโมงตั้งแต่จับมาไว้แล้ว ก็ให้ผู้พิพากษาผู้ไต่สวนนั้นจดหมายบันทึกเหตุการที่ต้องชักช้าไปมิได้ไต่สวนในกำหนดนั้นลงไว้ในเรื่องนั้นรายนั้นจงทุกคราว ๚ะ
มาตรา๔เมื่อได้ตัวคนผู้ต้องหามาแล้ว ต้องให้ผู้พิพากษาไต่สวนถามให้ได้ความแน่ว่า ผู้ต้องหาจะให้การแก้คำฟ้องหรือคำหาว่ากระไร แลให้เอาตัวคนทั้งหลายผู้รู้เหตุการในคำฟ้องคำหานั้นมาสาบาลตัวถามเปนพยานเอาถ้อยคำเปนหลักถานไว้ชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้ผู้พิพากษาไต่สวนพิเคราะห์ดูถ้อยคำของพยานเหล่านั้นจงถ่องแท้ว่า พอควรจะฟังเอาว่าคนผู้ต้องหาหรือผู้ต้องกล่าวโทษนั้นมีพิรุธหรือไม่
มาตรา๕คู่ความจะซักไซ้ถามพยานคนหนึ่งคนใดตามพระราชบัญญัติลักษณพยานได้ทั้งพยานฝ่ายโจทย์ฝ่ายจำเลย แลคำตอบของพยานต่อคำถามเช่นนี้ต้องให้ฟังเอาเปนคำพยานด้วย
มาตรา๖ถ้าผู้พิพากษาพิเคราะห์ดูเหตุผลแลถ้อยคำของพยานทั้งปวงโดยถ่องแท้แล้วเหนว่า ถ้อยคำของพยานเหล่านั้นไม่ควรฟังได้ว่าคนผู้ต้องหามีพิรุธประการใด หรือถ้อยคำของพยานเหล่านั้นไม่มีมูลพอที่จะสั่งให้เอาตัวคนผู้ต้องหาไว้พิจารณาต่อไป เมื่อวินิจฉัยเหนว่าดังนี้แล้ว ก็ให้ผู้พิพากษามีคำสั่งให้ปล่อยคนผู้ต้องหานั้นหลุดพ้นไปทีเดียวไม่เกี่ยวข้องต้องพิพาทด้วยคดีนั้นต่อไป ถ้าผู้พิพากษาไต่สวนพิเคราะห์ดูถ้อยคำของพยานทั้งปวงโดยถ่องแท้แล้วเหนว่า ถ้อยคำของพยานเหล่านั้นพอควรฟังได้ว่าคนผู้ต้องหานั้นมีพิรุธบ้างแล้ว แลถ้าผู้พิพากษาศาลที่ไต่สวนนั้นมีอำนาจที่จะพิจารณาความตลอดไปได้ ก็ให้กำหนดนัดวันเวลาที่จะพิจารณาต่อไป แต่ถ้าศาลไต่สวนนั้นไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาความต่อไปได้ ก็ให้ผู้พิพากษากำหนดวันแลเวลาที่จะส่งคะดีนั้นไปยังศาลที่สมควรชำระกำหนดเวลาพิจารณาต่อไป แลให้ส่งตัวคนผู้ต้องหาไปขังไว้ในตรางคอยกำหนดวันพิจารณา หรือจะอนุญาตให้คนผู้ต้องหามีประกันไปก็ได้ สุดแต่ผู้พิพากษาจะเหนสมควรแก่รูปความมีโทษหนักแลเบา
มาตรา๗บันดาความอาญาทั้งปวงซึ่งมีโทษหลวง เช่น ความหาว่าขบถประทุษฐร้าย หาว่ากระทำการผิดร้ายฆ่าคนตาย หาว่ากระทำโจรกรรมปล้นสดมภ์ หาว่าลอบลักทิ้งไฟ หาว่าฉ้อบังพระราชทรัพย์ หาว่าทำเงินอัฐทองแดงปลอม หาว่ากรรโชกราษฎร กดขี่ด้วยอาญาลงเอาเงินทอง หาว่ารับสินบนหรือทนสาบาล หาว่าข่มขืนโทรมหญิง หาว่าทำร้ายต่อพระสาสนา มีการทำลายพระพุทธรูปพระสถูปเจดีย์ หาว่าภิกษุเปนปาราชิก แลความอาญาอย่างอื่น บันดาที่หากันอันมีโทษหลวงตามพระราชกฤษฎีกาเปนต้นนั้น ในความเหล่านี้ ถ้าไม่มีคนใดคนหนึ่งเปนโจทย์ฟ้องกล่าวโทษผู้ล่วงละเมิดพระราชอาญาก็ดี หรือถ้ามีโจทย์ฟ้องกล่าวโทษผู้ล่วงละเมิดพระราชอาญาอยู่แล้ว แต่ผู้นั้นไม่ติดใจว่าความเรื่องนั้นต่อไปด้วยเหตุประการใดก็ดี ต้องเปนน่าที่ของเจ้าพนักงานกรมอัยการแลผู้รักษากฎหมายจะต้องฟ้องกล่าวโทษผู้ล่วงละเมิดพระราชอาญาในความที่ไม่มีคนอื่นเปนโจทย์ หรือจะต้องว่าความเรื่องที่โจทย์เดิมไม่ติดใจว่านั้นต่อไป เมื่อเหนว่า มีพยานพอที่จะพิสูทธิ์ให้สมจริงได้ว่า ผู้ล่วงละเมิดพระราชอาญานั้นมีข้อพิรุธกระทำผิดต่อพระราชกำหนดกฎหมาย
มาตรา๘ให้เจ้าพนักงานอำเภอกำนันกองตระเวรแลกองไต่สวนโทษหลวงในกรุงแลหัวเมืองสืบสวนหาคำพยานหรือสิ่งสำคัญอันเปนหลักถานใช้เปนตัวพยาน หรือตัวคนผู้ซึ่งควรอ้างเปนพยานนั้น ส่งมาให้กรมอัยการหรือเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมายที่จะเปนผู้ฟ้องคะดีนั้นเสมอไป
มาตรา๙ในการพิจารณาความนั้น ให้โจทย์แลจำเลยมีอำนาจแต่งทนายช่วยว่าความได้ แต่ต้องทำหนังสือแต่งทนายไว้เปนสำคัญต่อศาลด้วย แม้ว่าแต่งทนายแล้วก็ดี คู่ความหรือผ้พิพากษาตระลาการจะให้เอาตัวความมาให้การด้วยก็ได้
มาตรา๑๐เมื่อถึงกำหนดวันแลเวลานัดพิจารณาแล้ว ถ้าฝ่ายโจทย์ไม่มาศาลเองก็ดี หรือไม่ได้แต่งทนายให้มาแทนตัวก็ดี ก็ให้ศาลไต่สวนดู ถ้าได้ความจริงว่า โจทย์ได้รับหมายนัด ได้รู้วัน แลเวลา แลที่ ๆ ได้กำหนดนัดพิจารณาแล้วดังนี้ ก็ให้ศาลตัดสินยกฟ้องของโจทย์เสียทีเดียว เว้นไว้แต่ศาลจะดำริห์ดูเหนมีเหตุสมควรที่จะเลื่อนวันพิจารณาต่อไปใหม่เท่านั้น
มาตรา๑๑ถ้าโจทย์หรือทนายของโจทย์มาศาลตามกำหนดนัด แลได้ตัวจำเลยมาพร้อมแล้ว ก็ให้ศาลพิจารณาต่อไปดังนี้ คือ ให้อ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพจริงตามคำฟ้อง แลไม่ได้ให้การยกเหตุผลขึ้นแก้ตัวต่อสู้คำฟ้อง หรือไม่ได้ให้การยกเหตุขอความกรุณาเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษมากให้น้อยลง ในการที่ตนกระทำผิดล่วงละเมิดกฎหมายแล้ว ก็ให้ศาลตัดสินลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดกฎหมายเสียทีเดียว
มาตรา๑๒ถ้าจำเลยไม่ให้การ หรือให้การปฏิเสธคำฟ้องแล้ว ก็ให้ศาลถามซักไล่เลียงจำเลยตามคำฟ้องก่อน แล้วให้สืบพยานฝ่ายโจทย์หมดแล้ว ถ้าฝ่ายจำเลยมีพยาน ก็ให้สืบพยานฝ่ายจำเลยต่อไป
มาตรา๑๓ศาลต้องยอมให้จำเลยมีโอกาศให้การแก้ตามคำฟ้องได้โดยเต็มทุกประการ แลให้จำเลยซักถามพยานคนใดคนหนึ่งซึ่งต้องอ้างมาให้การยืนยันเอาจำเลยได้ทุกคน
มาตรา๑๔บรรดาพยานทุกคนจะต้องให้การแยกกันเรียงตัวกันไปทีละคนโดยลำดับ ให้ผู้พิพากษาวินิจฉัยดูว่า ควรจะเรียกพยานคนใดมาให้การก่อนแลหลัง สุดแต่จะเหนสมควร
มาตรา๑๕ข้อบังคับสำหรับการสืบพยานดังมีอยู่ในพระราชบัญญัติลักษณพยาน ลงวันที่ ๒๒ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ นั้น ให้เอามาใช้ในการสืบพยานในกระบวนพิจารณาความอาญาซึ่งมีโทษหลวงได้ทุกประการ
มาตรา๑๖เมื่อพยานให้การเสร็จแล้ว จำเลยจะร้องขอให้พยานบางคนออกไปอยู่เสียภายนอกศาล แล้วขอให้พยานคนหนึ่งหรือหลายคนมาให้การอีกครั้งหนึ่ง คือ ให้การแยกกันทีละคน หรือให้มาให้การยันปากต่อกัน ก็ให้ศาลยอมอนุญาต ฝ่ายผู้พิพากษาจะสั่งให้ถามพยานดังนี้บ้างก็ได้ หรือฝ่ายโจทย์จะร้องขอถามพยานดังนี้บ้าง ก็ให้ศาลอนุญาตเหมือนกัน
มาตรา๑๗ในคะดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งมีจำเลยต้องฟ้องหลายคนแล้ว ก็ให้ผู้พิพากษาพิเคราะห์ดูว่า ควรพิจารณาข้อหาในฟ้องซึ่งกล่าวโทษจำเลยคนใดก่อนคนใดหลัง สุดแต่จะเหนสมควร
มาตรา๑๘ถ้าคะดีเรื่องใดศาลได้ตั้งต้นพิจารณาแล้ว ก็ต้องรีบพิจารณาพิพากษาคะดีเรื่องนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ อย่าให้ต้องหยุดการพิจารณาไว้โดยไม่มีเหตุอันจำเปนที่จะต้องชักช้าต่อไป
มาตรา๑๙เมื่อผู้พิพากษาได้ฟังคำพยาน แลได้ฟังคำชี้แจงในคำพยาน แลในบทกฎหมาย ทั้งฝ่ายโจทย์ฝ่ายจำเลยเสร็จแล้ว ก็ให้พิพากษาตัดสินในที่ประชุมศาล ถ้าเหนว่าพิจารณาได้ความจริงตามฟ้องแล้ว ก็ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดกฎหมาย ถ้าเหนว่าพิจารณาไม่ได้ความจริงตามฟ้องแล้ว ก็ให้ยกฟ้องเสีย
มาตรา๒๐ผู้พิพากษาต้องพิพากษาตัดสินในวันที่ได้ชำระเสร็จแล้ว หรือมิฉนั้น ในกำหนดภายใน ๓ วันนับตั้งแต่วันที่ได้ชำระแล้ว แลผู้พิพากษาจะพิพากษาตัดสินวันใดแล้ว ก็ต้องนัดให้โจทย์จำเลยทราบล่วงน่าเสียก่อน
มาตรา๒๑คำพิพากษาตัดสินนั้น ต้องให้เขียนเปนตัวอักษร แล้วให้บันดาผู้พิพากษาทั้งปวงผู้ได้ลงเนื้อเหนพิพากษาตัดสินคดีเรื่องนั้นเขียนชื่อลงลายมือของตนไว้จงทุกนาย
มาตรา๒๒ในคำตัดสินนั้น ให้ผู้พิพากษาลงเนื้อเหนชี้ขาดในข้อซึ่งจะกล่าวไว้ต่อไปนี้ คือ
ข้อ๑พิจารณาได้ความจริงว่า จำเลยได้กระทำการผิดล่วงลเมิดกฎหมายตามเช่นกล่าวในฟ้องนั้นหรือไม่
ข้อ๒ถ้าฝ่ายโจทย์ฟ้องหากล่าวว่า จำเลยทำการผิดโดยเหตุต่าง ๆ อันควรทวีโทษให้หนักขึ้นก็ดี หรือถ้าฝ่ายจำเลยให้การแก้กล่าวว่า จำเลยทำการผิดโดยมีเหตุต่าง ๆ อันควรจะลดหย่อนผ่อนโทษได้ก็ดี เมื่อฝ่ายโจทย์หรือฝ่ายจำเลยกล่าวดังนี้แล้ว ก็ให้ชี้ขาดว่า จำเลยได้ทำการผิดด้วยเหตุต่าง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งดังเช่นว่ามาแล้วนี้หรือไม่
ข้อ๓ถ้าฝ่ายจำเลยให้การแก้กล่าวว่า ข้อที่จำเลยทำการผิดนั้น ย่อมไม่มีโทษตามกฎหมาย ดังนี้แล้วก็ให้ชี้ขาดว่า
(๑)ข้อที่ฝ่ายจำเลยกล่าวแก้นั้นพิจารณาได้สมจริงหรือไม่ แลถ้าพิจารณาสมจริงแล้ว ก็ให้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่งว่า
(๒)ข้อที่ฝ่ายจำเลยกล่าวแก้ แลพิจารณาได้สมจริงดังนั้น ย่อมเปนการไม่มีโทษตามกฎหมายจริงหรือไม่จริง ถ้าชี้ขาดว่าจำเลยไม่ผิด ก็ให้สั่งปล่อย เมื่อได้ชี้ขาดตามความซึ่งได้กล่าวมาข้างต้นนี้แล้วเหนว่า จำเลยไม่ได้กระทำการผิดล่วงลเมิดต่อกฎหมายแล้ว ก็ให้มีคำสั่งเด็ดขาดในคำพิพากษาตัดสินให้ปล่อยจำเลยหลุดพ้นไปทีเดียว
เมื่อได้ชี้ขาดเหนว่า จำเลยได้ทำการผิดโดยมีเหตุต่าง ๆ อันควรจะทวีโทษให้หนักหรือไม่ก็ดี แลกระทำผิดโดยมีเหตุต่าง ๆ อันควรจะลดหย่อนผ่อนโทษได้ฤๅไม่ก็ดี แลการผิดนั้นไม่มีข้อยกเว้นโทษไว้ในกฎหมาย ดังนี้แล้วก็ให้ผู้พิพากษาลงเนื้อเหนชี้ขาดพิพากษาตัดสินว่าโทษจำเลยลงให้ชัดเจนโดยโทษานุโทษตามพระราชกำหนดกฎหมายซึ่งคงใช้อยู่ในสมัยนั้น
มาตรา๒๓ในเวลาประชุมพิพากษาตัดสินคะดีทุก ๆ เรื่องนั้น ให้อธิบดีผู้พิพากษาถามผู้พิพากษาทั้งปวงผู้นั่งประชุมอยู่ด้วยให้แสดงความเหนของตนเรียงตัวไปทีละคนในข้อความซึ่งจะต้องวินิจฉัยให้ตกลงเด็ดขาดกันนั้นจงทุก ๆ ข้อ แต่ให้อธิบดีผู้พิพากษาแสดงความเหนของตนภายหลังผู้พิพากษาทั้งปวง แลให้วินิจฉัยข้อความทุก ๆ ข้อเปนตกลงกันตามความเหนของผู้พิพากษาซึ่งมากกว่ากันนั้น
ถ้าในข้อความอันเดียวกันนั้น มีผู้พิพากษาแสดงความเหนแตกต่างกันออกไปกว่าสองพวกแล้ว แลถ้าจะวินิจฉัยความข้อนั้นเอาเปนตกลงกันตามความเหนของผู้พิพากษาซึ่งเหนมากกว่ากันนั้นไม่ได้แล้ว ดังนี้ก็ให้ผู้พิพากษาผู้ซึ่งมีความเหนว่าจำเลยมีพิรุธแรงกว่าผู้พิพากษาคนอื่น ๆ นั้นยอมลงเนื้อเหนด้วยกับผู้พิพากษาผู้อื่นซึ่งมีความเหนว่าจำเลยมีพิรุธน้อยกว่าความเหนนั้น
ในการลงความเหนในข้อความที่ควรฟังเอาเปนจริงหรือไม่ก็ดี ในข้อบทกฎหมายที่ประกอบใช้นั้นก็ดี ให้ผู้พิพากษาทั้งปวงพิจารณาเอาแต่โดยที่เหนบริสุทธิ์แก่ใจ แลปราศจากอะคะติ ๔ ประการ อย่าได้ปล่อยให้จิตร์ของตนลำเอียงไปด้วยความเหนแก่หน้าบุคคล หรือเหนแก่พวกพ้องหรือประชุมชนใด ๆ เพื่อว่าคำพิพากษาตัดสินของผู้พิพากษาเหล่านี้จะได้ประกอบไปด้วยความสัตย์แลความยุติธรรมอย่างยิ่งที่จะเปนไปได้
มาตรา๒๔ถ้าฝ่ายโจทย์หรือฝ่ายจำเลยเหนว่า คำพิพากษาตัดสินของศาลเดิมนั้นไม่ถูกต้องด้วยกฎหมายแลยุติธรรมแล้ว จะฟ้องอุทธรณ์ก็ได้ แต่ต้องยื่นฟ้องต่อศาลนั้นในกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันอ่านคำพิพากษาตัดสินเปนต้นไป
มาตรา๒๕คำอุทธรณ์นี้ ให้เขียนเปนฟ้อง แล้วให้ผู้อุทธรณ์หรือทนายของตนนำไปยื่นต่อศาลเดิมนั้น แลในฟ้องอุทธรณ์ทุกฉบับต้องรวมใจความเรียงเปนข้อยกเหตุตามความจริงหรือตามบทกฎหมายที่เหนว่าเปนองค์อุทธรณ์ได้ การอุทธรณ์คำตัดสินอย่างนี้ ห้ามอย่าให้เรียกผู้พิพากษามาเปนจำเลย ให้เรียกแต่คำตัดสินมาพิจารณา แลให้คู่ความเดิมมาว่าความกันต่อไป ถ้าคู่ความจะฟ้องหาให้เรียกผู้พิพากษามาเปนจำเลย ก็ต้องให้ฟ้องเปนคดีใหม่ต่างหากตามความผิดที่จะฟ้องหานั้น ๆ
มาตรา๒๖ถ้าผู้อุทธรณ์ต้องขังอยู่ในตรางแล้ว จะส่งฟ้องอุทธรณ์ต่อพนักงานผู้ดูแลรักษาตรางนั้นใหนำมายื่นต่อศาลแทนตัวก็ได้
มาตรา๒๗ภายใน ๕ วันนับแต่วันได้รับฟ้องอุทธรณ์ไว้เปนต้นไปนั้น ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลซึ่งได้พิพากษาตัดสินคดีเรื่องที่ต้องอุทธรณ์นั้นส่งฟ้องกับคำตัดสินแลเทียบถ้อยคำสำนวนทั้งปวงในคดีเรื่องนั้นมายังศาลอุทธรณ์
มาตรา๒๘เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับบรรดาถ้อยคำสำนวนมาหมดแล้ว ก็ให้ศาลอุทธรณ์ออกหมายนัดกำหนดวันแลเวลาที่จะพิจารณาความอุทธรณ์นั้นไปให้คู่ความทราบล่วงน่าก่อน แลถ้าฝ่ายผู้มิได้อุทธรณ์ร้องขอสำเนาฟ้องอุทธรณ์เมื่อใด ศาลอุทธรณ์ก็ต้องอนุญาตให้สำเนาฟ้องอุทธรณ์ตามความประสงค์
กำหนดนัดวันแลเวลาที่จะพิจารณาความอุทธรณ์นั้น อย่าให้ช้าเกินไปกว่า ๑๕ วันนับตั้งแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้รับบรรดาถ้อยคำสำนวนมา เว้นไว้แต่มีเหตุพิเศษเกิดขึ้น จึงให้กำหนดนัดเกินกว่านี้ขึ้นไปได้ แลต้องให้จดหมายบันทึกเหตุพิเศษนั้นลงไว้ด้วยจงทุกคราว แต่อย่างใดก็ดี ห้ามไม่ให้กำหนดนัดเกินกว่า ๒ เดือนขึ้นไปนับแต่วันได้รับบรรดาถ้อยคำสำนวนไว้
มาตรา๒๙ศาลอุทธรณ์จะต้องส่งหมายนัดไปยังฝ่ายโจทย์แลฝ่ายจำเลยให้รู้ล่วงน่าอย่างช้าที่สุดเพียง ๕ วันก่อนถึงวันกำหนดนัดพิจารณาความอุทธรณ์
มาตรา๓๐เมื่อถึงวันกำหนดนัดพิจารณาความอุทธรณ์แล้ว ให้ศาลอุทธรณ์อ่านถ้อยคำสำนวนในความเดิมแลฟ้องอุทธรณ์จนจบ แล้วให้ฟังคำชี้แจงมูลคดีของเจ้าพนักงานกรมอัยการผู้รักษากฎหมาย หรือถ้าในความเดิมนั้นมีโจทย์ว่ากล่าว ก็ให้ฟังคำชี้แจงของโจทย์แลจำเลยในความเดิม ฤๅคำของทนายฝ่ายโจทย์แลฝ่ายจำเลย
มาตรา๓๑ถ้าศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ดูเหนจำเปนจะต้องพิจารณาข้อประเด็นข้อใดข้อหนึ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้องอุทธรณ์ออกดูให้แจ่มแจ้งแล้ว ก็ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเรียกพยานซึ่งได้ให้การไว้ในความเดิมนั้นมาสืบอีกครั้งหนึ่งก็ได้ หรือให้เรียกคนอื่นหรือสิ่งสำคัญอื่นมาสืบเปนพยานใหม่อีกก็ได้ การสืบพยานอีกดังว่ามานี้ ศาลอุทธรณ์ดำริห์เหนสมควรให้สืบเองก็ได้ หรือฝ่ายโจทย์ฝ่ายจำเลยจะขอให้สืบ ก็ให้ศาลอุทธรณ์อนุญาตตามความประสงค์ สุดแต่ศาลอุทธรณ์จะดำริห์เหนสมควร
มาตรา๓๒ข้อบังคับสำหรับการสืบพยานดังมีอยู่ในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ แลมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้เอามาใช้ในการสืบพยานชั้นพิจารณาความอุทธรณ์ความอาญาซึ่งมีโทษหลวงได้ทุกประการ
มาตรา๓๓ศาลอุทธรณ์จะต้องพิพากษาตัดสินในวันพิจารณาเสร็จสำนวนแล้ว ฤๅภายในกำหนด ๓ วันนับตั้งแต่วันพิจารณาเสร็จสำนวนแล้วเปนต้นไป แต่ศาลอุทธรณ์จะต้องแจ้งความให้ฝ่ายโจทย์แลจำเลยทราบวันแลเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนดจะพิพากษาตัดสินด้วย
มาตรา๓๔ในการพิพากษาตัดสินชั้นอุทธรณ์ความอาญาซึ่งมีโทษหลวงนี้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเต็มที่จะยกเสีย หรือเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไข หรือเอาตามคำวางบทปรับโทษของศาลซึ่งต้องอุทธรณ์ แล้ววางบทปรับโทษในครั้งที่สุดตามแต่ศาลอุทธรณ์จะดำริห์เห็นว่าศาลเดิมควรต้องวางบทปรับโทษฉะนั้น คือ พิพากษาให้ปล่อยตัวจำเลยหลุดพ้นไป หรือพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษ หรือทวีโทษขึ้นซึ่งศาลเดิมได้พิพากษาปรับไว้แต่เดิม สุดแต่ะจะเหนชอบด้วยกฎหมายแลยุติธรรม
มาตรา๓๕การพิจารณาความตามพระราชบัญญัตินี้ ห้ามอย่าให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งอย่างใด เว้นไว้แต่คดีที่ฟ้องหาเรียกเอาค่าสินไหมเติมกับโทษด้วย จึงให้เรียกค่าธรรมเนียมขึ้นศาลจากโจทย์นั้น
มาตรา๓๖คำตัดสินความมีโทษทั้งปวงย่อมเปนที่สุด และจะได้กระทำตามคำตัดสินนั้น คือ
ข้อ๑เมื่อศาลชั้นแรกได้ตัดสินแล้ว ไม่มีฟ้องอุทธรณ์ภายในกำหนด หรือคู่ความทั้งสองฝ่ายลงลายมือยอมตามคำตัดสินอย่างหนึ่ง กับ
ข้อ๒เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินแล้ว แลไม่มีฎีกา ก็ต้องกระทำโทษตามคำตัดสินนั้น เว้นไว้แต่คำตัดสินโทษประหารชีวิตร หรือริบทรัพย์สมบัติ จึงต้องงดไว้ทำตามความที่ว่าไว้ในมาตรา ๓๙ ต่อไปนี้
มาตรา๓๗เมื่อคำตัดสินได้ถึงที่สุดแล้ว ผู้ต้องหานั้นไม่มีโทษแล้ว ก็ต้องปล่อยตัวเสียทันที แลจะกลับเอาตัวมากักขังหรือตัดสินลงโทษในคดีอันเดียวกันอีกนั้นไม่ได้
มาตรา๓๘เมื่อศาลที่ได้พิจารณาชั้นแรกนั้นได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตร หรือริบทรัพย์สมบัติ แลจำคุกจนตลอดชีวิตรในคดีเรื่องใด ต้องให้ส่งสำนวนคดีเรื่องนั้นมาให้ศาลอุทธรณ์ตรวจก่อน ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามนั้นแล้ว จึงจะเปนถึงที่สุดได้
มาตรา๓๙คำตัดสินอันใดอันหนึ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว แลเปนคำตัดสินมีโทษประหารชีวิตร ริบทรัพย์สมบัติ หรือจำคุกจนตลอดชีวิตรก็ดี ต้องให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมนำคำตัดสินนั้นทูลเกล้าฯ ถวาย ถ้ามีฎีกาของผู้ต้องตัดสินโทษนั้นด้วย ก็ให้ทูลเกล้าฯ ถวายพร้อมกัน เมื่อทราบกระแสพระบรมราชโองการให้เปนไปตามคำพิพากษา หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้งดเว้นเสียประการใด จึงให้กระทำตามพระบรมราชโองการนั้นทุกประการ
มาตรา๔๐พระราชบัญญัตินี้จะควรใช้ในศาลหัวเมืองมณฑลใดตั้งแต่เมื่อใด จะได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แลให้เจ้ากระทรวงมีสารตราบังคับไปยังหัวเมืองมณฑลนั้น ๆ แต่หัวเมืองมณฑลใดที่ยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ ให้คงปฏิบัติไปตามเดิมก่อน
พระราชบัญญัตินี้ตราไว้แต่วันที่ ๒๗ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๕ เปนวันที่ ๑๐๐๓๐ ในรัชกาลปัตยุบันนี้
