ข้ามไปเนื้อหา

จดหมายเหตุเรื่องทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ 3 เมื่อปีจอ พ.ศ. 2393

จาก วิกิซอร์ซ
จดหมายเหตุเรื่องทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ ๓
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓
พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
โปรดให้พิมพ์ในการบำเพ็ญพระกุศล
เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

จดหมายเหตุเรื่องทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ ๓
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓
พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
โปรดให้พิมพ์ในการบำเพ็ญพระกุศล
เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายปรียชาติสุขุมพันธุ์
ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
พ.ศ. ๒๔๖๓–๒๔๖๕

คำนำ

พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัยยิกา พร้อมพระหฤทัยกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต พระบิดา จะทรงบำเพ็ญพระกุศลประทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายปรียชาติสุขุมพันธุ์ ซึ่งสิ้นพระชนม์มาครบปี ๑ ถึงอภิลักขิตสมัยในเดือนพฤษภาคมนี้ มีรับสั่งมายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครให้กรรมช่วยเลือกหนังสือในหอพระสมุดฯ พิมพ์ถวายเปนของประทานแจกเนื่องในทักษณานุปทานที่ทรงบำเพ็ญสักเรื่อง ๑

เมื่อได้รับกระแสรับสั่งประจวบเวลาหอพระสมุดฯ ได้ต้นฉบับจดหมายเหตุมาเรื่อง ๑ เปนจดหมายเหตุเรื่องราวครั้งโยเสฟบัลเลศเตียทูตอเมริกันมาขอแก้หนังสือสัญญาเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓ ในรัชกาลที่ ๓ และครั้งนั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ เมื่อยังเปนเจ้าพระยาพระคลังที่สมุหพระกลาโหม ลงไปสักเลขอยู่ที่เมืองชุมพร พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ เมื่อยังเปนที่พระยาศรีพิพัฒน์ เปนผู้รับทูตแทนเจ้าพระยาพระคลัง การที่จัดรับทูตอเมริกันครั้งนั้น ตลอดจนที่ได้สนทนาว่าขานกันอย่างไร มีแจ้งอยู่ในจดหมายเหตุบริบูรณ์หมดทุกอย่าง เข้าใจว่าต้นฉบับจดหมายเหตุที่หอพระสมุดฯ ได้มานี้ เดิมจะเปนของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใดองค์หนึ่ง มิได้ปรากฎว่ามีที่อื่นอิก เมื่ออ่านดูเห็นว่าเปนหนังสือซึ่งให้ความรู้กระบวนราชการในสมัยนั้นเปนอย่างดีเรื่อง ๑ สมควรจะจัดถวายพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ทรงพิมพ์แจกในงานบำเพ็ญพระกุศลอุทิศประทานพระองค์เจ้าชายปรียชาติสุขุมพันธุ์ได้ นำความขึ้นกราบทูลก็พอพระหฤทัย ข้าพเจ้าจึงได้แต่งคำอธิบายเพิ่มเติมลงข้างน่าจดหมายเหตุ แล้วจัดการพิมพ์ถวายตามพระประสงค์

กรรมการหอพระสมุดฯ ขออนุโมทนาพระกุศลบุญราษีทักษิณานุปทานซึ่งทรงบำเพ็ญ ทั้งที่ได้โปรดให้พิมพ์จดหมายเหตุเรื่องนี้รักษาไว้มิให้สูญเสีย หวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับประทานหนังสือนี้ไปคงจะถวายอนุโมทนาทั่วกัน

สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖

สารบาน
อธิบายเหตุที่ทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ ๓
น่า
อธิบายบุคคลที่ปรากฎนามในจดหมายเหตุ
เรือรบอเมริกันมาถึงสันดอน
ว่าด้วยกำหนดวันรับทูต
๑๑
ทูตมาถึงกรุงเทพฯ
๑๑
ทูตไปหาพระยาศรีพิพัฒน์ ครั้งที่ ๑
๑๔
จดหมายทูตมีถึงพระยาศรีพิพัฒน์ ฉบับที่ ๑
๑๙
คำของทูตเตรียมจะกราบทูลพระกรุณา
๒๔
จดหมายพระยาศรีพิพัฒน์ตอบทูต ฉบับที่ ๑
๒๖
จดหมายทูตมีถึงเจ้าพระยาพระคลัง
๓๐
จดหมายทูตมีถึงพระนายไวยวรนาถ
๓๒
จดหมายพระยายไวยวรนาถมีถึงนายพลเรือรบอเมริกัน
๓๓
ส่งเสบียงให้เรือรบอเมริกัน
๔๑
ส่งทูตไปจากกรุงเทพฯ
๔๑
จดหมายทูตมีถึงพระยาศรีพิพัฒน์ ฉบับที่ ๒
๔๓
จดหมายนายพลเรือรบอเมริกันถึงพระนายไวยวรนาถ
๔๖
สำเนาอักษรสาสน์ของประธานาธิบดีอเมริกันถวายพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
๔๗
สำเนาตราตั้งบัลเลศเตียเปนทูตอเมริกัน
๔๗
คำให้การจีนเสี่ยงที่มากับเรือทูตอเมริกัน
๔๙
สำเนาหมายรับสั่งในการรับทูตอเมริกัน
๕๑

อธิบายเหตุ
ที่ทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ ๓

ประเทศสหปาลีรัฐอเมริกาแรกมามีทางพระราชไมตรีกับกรุงสยามในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๗๕ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๘๓๓ ครั้งนั้นประธานาธิบดีแยกสันแต่งให้เอตมันต์รอเบิตเปนทูตเข้ามาขอทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าขาย ได้ตกลงทำหนังสือสัญญากันเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ หนังสือสัญญาการค้าขายที่ทำกับอเมริกาครั้งนั้นเป็นทำนองเดียวกับหนังสือสัญญาที่ไทยได้ทำกับอังกฤษครั้งเฮนรีเบอร์นีเปนทูตเข้ามาในต้นรัชกาลที่ ๓ เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๖๙ ข้อสำคัญนั้นคืออังกฤษและอเมริกันยอมให้ไทยเก็บค่าปากเรือซึ่งบรรทุกสินค้าเข้ามาขายตามขนาดเรือ คิดเปนวาละ ๑,๗๐๐ บาท ถ้าเปนเรือเปล่าบรรทุกแต่อับเฉาเข้ามาหาซื้อสินค้า เก็บวาละ ๑,๕๐๐ บาท ฝ่ายไทยยอมว่า ถ้าได้เก็บค่าปากเรือเช่นว่าแล้ว จะไม่เก็บภาษีอากรอย่างอื่นจากสินค้าอิกดังนี้ ก็และในสมัยนั้นทั้งในหลวงและเจ้านายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยยังประกอบการค้าขายตามประเพณีซึ่งมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า แต่งเรือของตนเองไปซื้อขายสินค้าถึงนานาประเทศบ้าง เช่าระวางเรือของผู้อื่นฝากสินค้าไปมาบ้าง ส่วนการค้าขายของหลวงยังมีพระคลังสินค้าสำหรับซื้อขายสินค้าบางอย่างซึ่งห้ามมิให้ผู้อื่นซื้อขาย เปนประเพณีมา พวกอังกฤษและอเมริกันเมื่อมีหนังสือสัญญาแล้วกล่าวหาว่ารัฐบาลแย่งค้าขาย และตั้งพระคลังสินค้าเก็บภาษีโดยทางอ้อม ไม่ทำตามสัญญา ฝ่ายข้างไทยว่า ไม่ได้ทำผิดสัญญา เพราะพวกพ่อค้าแขกและจีนต้องเสียภาษีอากรอยู่อย่างเดิม พวกฝรั่งจะขอเปลี่ยนเสียค่าปากเรือแทนภาษีก็ได้ ยอมตามใจสมัค การที่ทำสัญญานั้นไม่ได้หมายความว่าจะเลิกการค้าขายของหลวงฤๅไม่อนุญาตให้เจ้านายข้าราชการค้าขาย เปนข้อทุ่งเถียงกันดังนี้

ครั้นถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓ รัฐบาลอเมริกันแต่งให้มิศเตอร์โยเสฟบัลเลศเตียเปนทูตเข้ามาขอแก้สัญญาที่ได้ทำไว้ ทูตอเมริกันมาด้วยเรือรบ มาถึงในเดือน ๕ ต้นปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓ เวลานั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ เมื่อยังเปนเจ้าพระยาพระคลังที่สมุหพระกลาโหม ลงไปสักเลขอยู่ที่เมืองชุมพร พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ เมื่อยังเปนที่พระยาศรีพิพัฒน์ เปนผู้รับทูตแทนเจ้าพระยาพระคลัง ได้จัดการรับทูตอเมริกันตามแบบอย่างราชทูตที่มาแต่ก่อน แต่โยเสฟบัลเลศเตียไม่สันทัดวิธีการทูต ความประพฤติและพูดจากก้าวร้าวผิดกับทูตที่เคยมาแต่ก่อน พอพูดจากับไทยเพียงข้อที่จะเข้าเฝ้า ก็เกิดเปนปากเสียงเกี่ยงแย่งกัน บัลเลศเตียเกิดโทษะ ก็กลับไปในเดือน ๖ ปีจอ หาสำเร็จประโยชน์ที่เข้ามาคราวนั้นไม่ รายการที่จัดรับบัลเลศเตียและที่ได้พูดจาว่ากล่าวกันประการใดแจ้งอยู่ในจดหมายเหตุที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้โดยถ้วนถี่ทุกประการ เมื่อบัลเลศเตียทูตอเมริกันกลับไปแล้ว ถึงเดือน ๙ ในปีจอนั้น รัฐบาลอังกฤษแต่งให้เซอร์เชมสบรุกเปนทูตเข้ามาขอแก้หนังสือสัญญาเช่นเดียวกัน แต่ประจวบเวลาพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มทรงประชวรคราวจะเสด็จสวรรคต การที่ปฤกษาก็หาตกลงกันไม่ จดหมายเหตุคราวเซอร์เชมสบรุกเข้ามานั้น หอพระสมุดฯ ได้มาก่อนฉบับนี้ ได้พิมพ์แต่เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๕๖ แล้ว

ลักษณะการพูดจากันในระหว่างไทยกับทูตอังกฤษเมื่อคราวครอเฟิตเข้ามาในรัชกาลที่ ๒ ก็ดี และคราวเฮนรีเบอร์นีเข้ามาเมื่อต้นรัชกาลที่ ๓ ก็ดี เปนการลำบากมาก ด้วยยังไม่มีผู้ใดที่จะรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยสำหรับใช้เปนล่าม ทูตอังกฤษมีแต่ล่ามที่รู้ภาษาอังกฤษกับภาษามลายู ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ล่ามส่งภาษามลายูมาให้ล่ามมลายูของไทยแปลเสนอเปนภาษาไทย ฝ่ายไทยจะพูดไปก็ต้องใช้ล่าม ๒ ต่อเช่นนั้น ครั้นมาถึงทูตอเมริกันเข้ามาครั้งเอตมันด์รอเบิต มีพวกมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ จนรู้ภาษาไทยแล้ว ได้อาศรัยพวกมิชชันนารีเปนล่าม เมื่อมาถึงคราวบัลเลศเตียเข้ามา มีมิชชันนารีเข้ามาอยู่หลายคน และได้มาฝึกหัดคนไทย เช่นขุนปรีชาชาญสมุที่ปรากฎนามในจดหมายเหตุนี้เปนต้น ให้รู้ภาษาอังกฤษมีขึ้นบ้างในชั้นนั้น ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง เมื่อคราวเซอรเชมสบรุกเข้ามาถึง มีไทย คือพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงผนวช สามารถจะตรวจหนังสือภาษาอังกฤษที่มีโต้ตอบกันได้ การที่จะส่งภาษาก็ไม่ลำบากดังแต่ก่อน เปนต้นที่ภาษาอังกฤษจะรุ่งเรืองในเมืองไทยแต่สมัยนี้มา

อนึ่งจดหมายเหตุที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ผู้ที่มีนามปรากฎต่อมาได้เลื่อนยศศักดิ์เปลี่ยนนามไปจากที่เรียกในจดหมายเหตุโดยมาก จึงสืบนามตามที่ปรากฎในชั้นหลังทำเปนบาญชีไว้ข้างท้ายคำอธิบายนี้เพื่อให้สดวกแก่ผู้อ่านในสมัยนี้ แต่ส่วนมิชชันนารีอเมริกันที่ปรากฎนามในจดหมายเหตุต่างกันเปน ๒ พวก จะต้องอธิบายให้ชัดเจนอิกสักหน่อย

พวกมิชชันนารีอเมริกันที่ออกมาสั่งสอนสาสนาคฤศตังจนถึงเมืองไทยเรานี้เรียกว่าอเมริกันเปรสะบิเตอเรียนมิชชัน เดิมมาตั้งสั่งสอนในเมืองจีนพวก ๑ เรียกว่าอเมริกันบัปติสต์มิชชัน เดิมมาตั้งสั่งสอนในเมืองพม่าพวก ๑ เหตุที่พวกมิชชันนารีอเมริกันจะเข้ามาถึงเมืองไทยนั้น เดิมพวกอเมริกันเปรสะบิเตอเรียนมิชชันที่สอนสาสนาอยู่ในเมืองจีนทราบว่า มีจีนเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมาก และมีทางคมนาคมไปมากับเมืองไทยได้สดวก มิชชันนารีชื่อตอมลินคน ๑ ชื่อคุตสะลัฟ (ซึ่งมีชื่อในหนังสือกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์เรียกว่าหมอกิศลับ) คน ๑ จึงชวนกันเข้ามากรุงเทพฯ ในต้นรัชกาลที่ ๓ เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๗๑ มาขออนุญาตอยู่สอนสาสนาคฤศตังแก่พวกจีน ก็ได้รับอนุญาตตามประสงค์ ในชั้นแรกพวกมิชชันารีรู้แต่ภาษาจีนและมีหนังสือสอนแต่ในภาษาจีน ไม่สามารถจะสอนไทยได้ จึงเปนแต่ช่วยรักษาไข้เจ็บให้แก่ไทย ๆ จึงเรียกว่าหมอ เปนมูลเหตุให้ไทยเรียกพวกมิชชันนารีอเมริกันว่าหมอทุกคนสืบมาจนกาลบัดนี้ ต่อมาถึงปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๗๕ มิชชันนารีชื่อยอนเตเลอโยนส์พวกอเมริกันบัปติสต์มิชชันมาจากเมืองพม่าเข้ามาตั้งอิกพวก ๑

ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๙๑ หมอบรัดเลตั้งอเมริกันมิชชันนารีแอสโซสิเอชันขึ้นอิกคณะ ๑ จึงมีมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาตั้งในกรุงเทพฯ ๓ พวกแต่นั้นมา ภายหลังพวกบัปติสต์กับพวกแอสโซซิเอชันถอนไปทำการที่อื่น ปล่อยให้พวกเปรสะบิเตอเรียนตั้งสั่งสอนสาสนาและวิชาการอยู่แต่พวกเดียวสืบมาจนทุกวันนี้

ด.ร.

อธิบายบุคคลที่ปรากฎนามในจดหมายเหตุ

  1. เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรสรังสรรค์ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
  2. เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศในรัชกาลที่ ๔ เวลานั้นลงไปตั้งสักเลขอยู่ที่เมืองชุมพร
  3. พระยาศรีพิพัฒน (ทัต) คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติในรัชกาลที่ ๔
  4. พระยาราชสุภาวดี (โต) คือเจ้าพระยานิกรบดินทรที่สมุหนายกในรัชกาลที่ ๔
  5. พระยาสุรเสนา (สุก) เปนเจ้าพระยาไกรโกษาในรัชกาลที่ ๔
  6. พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (บุญมา) เปนพระยาไกรโกษาในรัชกาลที่ ๔
  7. พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม)
  8. พระยาพิพัฒนโกษา (บุญศรี) เปนพระยามหาอำมาตย์ แล้วเลื่อนเปนเจ้าพระยาธรรมาในรัชกาลที่ ๔ เลื่อนเปนเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีในรัชกาลที่ ๕
  9. พระยาเพ็ชรชฎา สืบไม่ได้ความ
  10. พระยาราชวังสรรค์ (บัว)
  1. พระยาวิเศษสงคราม (จัน นามคฤศตังว่าเบเนดิกต์)
  2. พระยาวิเศษศักดา สืบไม่ได้ความ
  3. พระยาสวัสดิวารี (ฉิม) เรียกในจดหมายเหตุบางแห่งว่าเจ๊สัวฉิม
  4. พระพิทักษทศกร (ย้ง) เรียกในจดหมายเหตุบางแห่งว่าเจ๊สัวยง
  5. พระนายไวยวรนาถ (ช่วง) ต่อมาเปนพระยาศรีสุริยวงศจางวางมหาดเล็ก ถึงรัชกาลที่ ๔ เปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศที่สมุหพระกลาโหม ถึงรัชกาลที่ ๕ เปนสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ
  6. พระมหามนตรี (สวัสดิ์) ถึงรัชกาลที่ ๔ เปนพระยาสุรเสนา
  7. พระยาสุริยภักดี (นุช) ในรัชกาลที่ ๔ เปนพระยามหามนตรี แล้วเลื่อนเปนเจ้าพระยายมราช และเปนเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายก
  8. พระนรินทรเสนี สืบไม่ได้ความ
  9. จมื่นราชามาตย์ (ขำ) ถึงรัชกาลที่ ๔ เปนเจ้าพระยารวิวงศ แล้วเลื่อนเปนเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี
  10. หลวงอาจณรงค์ สืบไม่ได้ความ
  11. หลวงวุฒสรเดช สืบไม่ได้ความ
  12. หลวงฤทธิสรเดช สืบไม่ได้ความ
  13. หลวงฤทธิสำแดง สืบไม่ได้ความ
  14. ขุนปรีชาชาญสมุท (ดิศ) ฝรั่งเรียกว่ากัปตันดิก เปนข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงรัชกาลที่ ๔ เปนหลวงสุรอาสา
  1. นายยิ้ม เปนฝรั่ง ชื่อเชมส์ เฮส์
  2. นายใหญ่ สืบไม่ได้ความ
  3. หมอยอน เตเลอ โยนส์ (ในจดหมายเหตุเรียกแต่ว่าหมอยอน) เปนมิชชันนารีอเมริกันพวกบัปติสต์ มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖
  4. หมอดีน เปนมิชชันนารีอเมริกันพวกบัปติสต์ มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๘ อยู่มาจนรัชกาลที่ ๕
  5. หมอมะตูน เปนมิชชันนารีอเมริกันพวกเปรสะบิเตอเรียน มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๐
  6. หมอเฮาส ในจดหมายเหตุเรียกว่าหมอเหา เปนหมอยาในพวกมิชชันนารีอเมริกันเปรสะบิเตอเรียน มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๐ อยู่มาจนรัชกาลที่ ๕
  7. หมอสมิท เปนมิชชันนารีพวกบัปติสต์ มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๒ เปนเจ้าของโรงพิมพ์ที่บางคอแหลม อยู่มาจนรัชกาลที่ ๕

จดหมายเหตุเรื่องบัลเลศเตียราชทูตอเมริกัน
เข้ามาในรัชกาลที่ ๓ เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓

ณวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ จุลศักราช ๑๒๑๒ ปีจอโทศก กำปั่นไฟทำด้วยเหล็กกะปิตันออเล็ตถือหนังสือเจ้าเมืองสิงหโปรากับหนังสือเซอร์เชมสบรุกเข้ามาส่งที่เมืองสมุทปราการ แล้วกำปั่นไฟกะปิตันออเล็ตกลับไปณวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๕ เพลาใกล้รุ่ง รุ่งขึ้นณวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ คอยนอกเข้ามาแจ้งว่า เห็นกำปั่นรบใหญ่ ๓ เสาเข้ามาทอดอยู่นอกสันดอนน้ำลึกลำ ๑ แต่สังเกตดูเห็นว่าจะเปนกำปั่นรบชาติอเมริกัน

เพลานั้นสมเด็จพระบวรมหาอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศร์รังสรรค์ พระนายไวยวรนาถ ยังอยู่ที่เมืองสมุทปราการ จึงมีรับสั่งจัดให้ขุนปรีชาชาญสมุทพูดภาษาอังกฤษได้ กับคนชาวการ ๖ คน ขี่เรือศีร์ษะญวนยาว ๔ วาออกไปที่กำปั่น ขุนปรีชาชาญสมุทกลับเข้ามาแจ้งว่า ไปถึงกำปั่นรบกำมะโดอรหิต แจ้งว่า กำปั่นชื่อว่าแประโมตยาว ๒๖ วา ปากกว้าง ๖ วาคืบ กินน้ำลึก ๑๑ ศอก คนในลำกำปั่นชาติอเมริกัน กำมะโดอรหิต ๑ บาเลศเตียทูต ๑ ดิศมิตกะปิตัน ๑ นายทหาร ๑๗ ต้นหนลูกเรือ ๑๙๖ รวม ๒๑๖ คน จีนคนใช้ ๔ คน รวม ๒๒๐ คน มีปืนสำหรับลำ ปืนโบมยาว ๔ ศอกเศษ กระสุน ๘ นิ้ว ๑๘ กระบอก ปืนโบมยาว ๔ ศอกเศษ กระสุน ๑๐ นิ้ว ๔ กระบอก รวม ๒๒ กระบอก มาแต่เมืองอเมริกันไปเมืองจีนแล้วกลับมาเมืองสิงหโปรา แต่มาอยู่ที่เมืองจีนกับเมืองสิงหโปราประมาณ ๔ ปีเศษ มีหนังสือเปรสิเดนต์เจ้าเมืองอเมริกันมา[1] ให้บาเลศเตียเปนทูตไปทำหนังสือสัญญาการค้าขายกับเมืองญวน ไปเข้าอยู่ที่อ่าวตุรน ๑๐ วัน หาพบปะขุนนางญวนไม่ ฝากแต่หนังสือไว้ แล้วใช้ใบมาจากอ่าวตุรน ๘ วัน ถึงที่นอกสันดอนน้ำลึก ๕ วา ขุนนางในกำปั่นฝากหนังสือเข้ามาถึงพระนายไวยวรนาถฉบับ ๑ แปลได้ความในหนังสือว่า หนังสือกำมะโดอรหิตขุนนางนายทหารกำปั่นรบอเมริกันบอกมายังพระนายไวยวรนาถให้แจ้งว่า เปรสิเดนต์เจ้าเมืองอเมริกันแต่งให้บาเลศเตียเปนทูตเข้ามาณกรุงศรีอยุธยา ขอให้พระยาไวยวรนาถจัดเรือที่สมควรไปรับทูตเข้ามา ถ้าพระยาไวยวรนาถพบกับทูตที่เข้ามาแล้ว ก็ให้รับโดยดี ด้วยคนนั้นเปนขุนนางผู้ใหญ่ มิใช่เปนคนน้อย และเขาจะใคร่ทราบว่า ความใข้ที่กรุงเทพฯ กับเมืองสมุทปราการเปนอย่างไรบ้าง ขอให้เขียนหนังสือออกไปให้ทราบความก่อน มีความมาในหนังสือแต่เท่านี้ พระนายไวยวรนาถ พระยาสุรเสนา พระยาโชฎึกราชเศรษฐี พระยาราชวังวรรค์ พระยาวิเศษศักดา แจ้งความแล้วบอกขึ้นมาณกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดเรือรบไล่สลัด มีเสาใบเก๋ง ทั้งปักธงทวน พลแจวใส่เสื้อแดงหมวกแดง ส่งลงไปให้ แล้วสั่งให้ปลูกเรือนรับทูตเรือนใหญ่ ๕ ห้อง เฉลียงรอบ หลัง ๑ โรงครัว ๓ ห้องหลัง ๑ โรงพักคนใช้ ๓ ห้องหลัง ๑ ที่น่าวัดประยุรวงศ์อาวาส ให้เจ้าพนักงานจัดสิ่งของไปเตรียมไว้ณโรงพักฝรั่งให้พร้อมสำหรับทูตจะได้อยู่ แจ้งอยู่ในหมายรับสั่งนั้นแล้ว

ครั้นณวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเช้าพระนายไวยวรนาถ พระยาสุรเสนา พระยาโชฎึกราชเศรษฐี พระยาราชวังสรรค์ พระยาวิเศษศักดา ซึ่งลงไปรักษาเมืองสมุทปราการบอกขึ้นมาถึงกรุงเทพฯ ว่า ทูตนั้นจะให้ส่งขึ้นมาเมื่อไร พระยาพิพัฒน์โกษาตอบลงไปว่า เพลานี้ยังติดการพระศพพระเจ้าลูกยาเธออยู่[2] ให้งดไว้ถึงณวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ สิ้นการพระศพแล้วจึงให้ส่งทูตขึ้นไป แต่พระนายไวรวรนาถให้ขึ้นไปคิดราชการณกรุงเทพฯ แล้วจึงให้กลับลงมา

ครั้นถึงณวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ เพลากลางคืนพระนายไวยวรนาถ พระยาสุรเสนา พระยาโชฎึกราชเศรษฐี พระยาราชวังสรรค์ พระยาวิเศษศักดา จึงจัดให้หลวงยกกระบัตร หลวงอาจณรงค์ หลวงวุฒสรเดชเจ้ากรมทหารปืน หลวงฤทธิสรเดช ฝรั่งแม่นปืน ล่ามฝรั่ง ๒ คน ขี่เรือรบไล่สลัดที่ส่งลงไปลำ ๑ กับเรือแง่ทรายยาว ๑๑ วา ๑๒ วา ๒ ลำ คนแจวลำละ ๔๐ คน ๕๐ คน ใส่เสื้อแดงหมวกแดง มีธงทวนปัก ออกไปรับทูตที่กำปั่น โยเสฟบาเลศเตียทูต ๑ มิดฉนารีหมอดีน ๑ คนใช้ ๑ ลงจากกำปั่นมาลงเรือที่ไปรับ เรือออกจากกำปั่น กำมะโดอรหิตให้ยิงปืนส่งทูต ๒๑ นัด ณวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเช้า ๓ โมงเรือซึ่งไปรับทูตเข้ามาถึงเมืองสมุทปราการ ให้ยิงปืนป้อมผีเสื้อสมุทรับทูต ๒๑ นัด พระยาวิเศษสงครามทำกับข้าวของกินอย่างฝรั่งเลี้ยงดูทูตที่ศาลากลางเมืองสมุทปราการ แล้วส่งทูตเข้ามาถึงเมืองนครเขื่อนขันธ์เพลาบ่าย เจ้าเมืองกรมการได้รับเลี้ยงดูทูต เอาของมาทัก ทูตพักที่ศาลากลางเมืองนครเขื่อนขันธ์ แล้วส่งทูตขึ้นมาถึงกรุงเทพฯ ขึ้นอยู่ที่เรือนปลูกด้วยไม้น่าวัดประยุรวงศ์อาวาส

ณวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเช้าจัดให้พระยาวิเศษสงครามจางวางทหารแม่นปืน ๑ หลวงวุฒสรเดชเจ้ากรมทหารแม่นปืน ๑ หลวงฤทธิสำแดงเจ้ากรมทหารแม่นปืน ๑ แต่งตัวโอ่โถงลงไปด้วยรับทูตขึ้นเรือนพัก แล้วสั่งให้พระยาวิเศษสงครามฝรั่งเบิกเอาเงินที่เจ้าภาษีกรมท่าพระคลังสินค้าจัดพวกครัวฝรั่งมาอยู่สำหรับทำกับข้าวของกินอย่างฝรั่งเลี้ยงทูตกว่าทูตจะกลับไป

ครั้นวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ บาเลศเตียทำหนังสือให้ล่ามมาส่งให้พระนายไวยวรนาถฉบับ ๑ ในหนังสือว่า หนังสือมิศบาเลศเตียฝากมาถึงคุณพระนายไวยวรนาถ จะใคร่ให้ท่านทราบความว่า เจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันสั่งข้าพเจ้าให้ถือหนังสือของเจ้าแผ่นดินนั้นมาถวายแก่ท่านผู้เปนกระษัตริย์ในเมืองไทย ข้าพเจ้าขอให้ได้ช่องได้โอกาศจะได้หาฤๅปฤกษากันกับขุนนางผู้ใหญ่อันตั้งเปนธุระที่ว่ากล่าว จะได้เอาหนังสือเข้าถวายตามรับสั่ง อันจะได้ช่องนั้นยิ่งเร็วยิ่งดี หนังสือมาณวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก พระนายไวยวรนาถทำหนังสือตอบไปให้บาเลศเตียฉบับ ๑ ว่า หนังสือพระนายไวยวรนาถหัวหมื่นมหาดเล็กมายังมิศโยเสฟบาเลศเตีย ด้วยมีหนังสือมาถึงเรานั้น ได้แจ้งแล้ว ได้นำความขึ้นกราบเรียนแต่ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ เสนาบดีผู้ใหญ่ว่า ครั้งก่อนอิศตาโดอุนิโดดาอเมริกาเจ้าเมืองอเมริกันให้เอดแมนรอเบตขุนนางเปนทูตเข้ามาขอทำหนังสือสัญญาเปนทางไมตรี จะให้ลูกค้าชาติอเมริกันเข้ามาค้าขายณกรุงฯ ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่มีความยินดี จึงพร้อมกันทำหนังสือสัญญากับเอดแมนรอเบตเปนไมตรีทางค้าขาย เอดแมนรอเบตได้เอาหนังสือสัญญาออกไปปิดตราเจ้าเมืองอเมริกันมาในหนังสือสัญญาแล้วว่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยณเมืองอเมริกันก็เห็นดีพร้อมกัน ได้ปิดตราสำหรับเมืองมาที่ต้นหนังสือสัญญาอิกดวงหนึ่ง ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ณกรุงฯ และขุนนางผู้ใหญ่ณเมืองอเมริกันก็เห็นดีพร้อมกันทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว ทางไมตรีกรุงฯ กับเมืองอเมริกันก็สนิทกันจนทุกวันนี้ ซึ่งบาเลศเตียเข้ามาครั้งนี้ จะเฝ้าทูลลอองฯ ในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น ยังไม่ควรก่อน จะว่าด้วยการซื้อขายประการใดก็ให้มาพูดจากันกับท่านเสนาบดีผู้ใหญ่โดยฉันทางไมตรีเถิด หนังสือมาณวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก แล้วท่านเสนาบดีจึงให้ล่ามมาบอกกับทูตว่า เปนอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน ทูตมาถึงที่พักแล้ว ให้จัดเรือมารับหนังสือไปแปล รู้ความแล้วจึงได้นำทูตเข้าเฝ้า ณวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเที่ยงจะให้เรือลงมารับหนังสือ บาเลศเตียก็ยอม ท่านเสนาบดีจึงสั่งให้เจ้าพนักงานจัดแจงเรือไว้จะมารับหนังสือพร้อมแล้ว

ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าบาเลศตียให้มิดฉนารียหมอมะตุนมาบอกว่า มีหนังสือมา ๒ ฉบับ ๆ หนึ่งเปนหนังสือเปรสิเดนต์เจ้าแผ่นดินอเมริกันมาถวายในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวณกรุงฯ เมื่อทูตเข้าเฝ้าทูลลอองฯ แล้ว จึงจะเอาหนังสือถวายในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว อิกฉบับ ๑ เปนหนังสือเปรสิเดนต์มีมาสำหรับตัวทูต ไม่ได้มีมาถึงผู้ใด จะให้ไปรับนั้นไม่ได้ การซึ่งจัดเรือไว้จะให้ไปรับหนังสือก็หาได้ไปรับไม่ ด้วยครั้งนั้นเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม[3] หาอยู่ไม่ ออกไปราชการสักเลขหัวเมืองฝ่ายตวันตก จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา[4] จางวางพระคลังสินค้ารับทูตแทน

ครั้นณวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก เพลาบ่าย ๓ โมงเศษท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ๑ พระยาราชสุภาวดี ๑ พระยาสุรเสนา ๑ พระยาพิพัฒน์โกษา ๑ พระยาจุฬาราชมนตรี ๑ พระยาเพ็ชร์ชฎา ๑ พระยาสวัสดิ์วารี ๑ พระมหามนตรี ๑ พระสุริยภักดี ๑ พระนายไวยวรนาถ ๑ พระนรินทร์เสนี ๑ จมื่นราชามาตย์ ๑ รวม ๑๒ คน ข้าราชการณกรุงฯ และหัวเมือง พร้อมกันที่บ้านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาเปนอันมาก ให้เอาเรือเก๋งทั้งบรรจุพลพายให้ครบกระทงไปรับโยเสฟบาเลศเตียที่เรือนพัก ครั้นเรือทูตมาถึงบ้านท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ๆ ให้พระยาวิเศษสงครามจางวางทหารปืนใหญ่ หลวงวุฒสรเดช หลวงฤทธิ์สำแดงเจ้ากรม แต่งตัวโอ่โถง กับเจ้ากรมปลัดกรมนายทหาร ๘ คน ลงไปรับทูตที่สพานตามธรรมเนียมฝรั่ง ขุนนางไทยนั้นพร้อมกันที่รับแขก รับตามธรรมเนียม โยเสฟบาเลศเตียทูตขึ้นจากเรือ เอามิดฉนารีหมอสมิทบุตรเลี้ยงมิดฉนารียหมอยอนซึ่งอยู่ที่กรุงฯ แต่ก่อนถือหีบราชสาส์นเจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันมามือหนึ่ง ถือร่มของโยเสฟบาเลศเตียหนีบรักแร้มาคันหนึ่ง เดินตามหลังขึ้นไปบนหอนั่ง แต่มิดฉนารียหมอดีน มิดฉนารียหมอยอน มิดฉนารียหมอมะตุน มาคอยอยู่ก่อนแล้ว ครั้นโยเสฟบาเลศเตียมาถึงที่ประชุมแล้ว ก็นั่งบนเก้าอี้อย่างดี มิดฉนารียหมอดีนนั่งถัดลงมา กับมิดฉนารียหมอยอน มิดฉนารียหมอมะตุน ซึ่งอยู่ณกรุงฯ ก็นั่งเปนลำดับถัด ๆ กันลงมา ท่านเสนาบดีปราไสยกับโยเสฟบาเลศเตียทูตว่า บาเลศเตียมาทางทเลสบายอยู่ฤๅ มาแต่เมืองอเมริกันเมื่อไร บาเลศเตียตอบว่า มาแต่เมืองอเมริกันเมื่อณเดือน ๑๐ ปีระกาเอกศก มาตามทางสบายอยู่ จึงถามว่า มาแต่เมืองอเมริกันมากำปั่นลำนี้ฤๅมากำปั่นลำใด บาเลศเตียบอกว่า มาแต่เมืองอเมริกันมากำปั่นไฟลำหนึ่ง มาลงกำปั่นลำนี้ที่เมืองกวางตุ้ง จึงถามว่า มาอยู่ที่เมืองกวางตุ้งเมื่อเดือนไร มาแวะที่ไหนบ้าง ฤๅเข้ามากรุงฯ ทีเดียว บาเลศเตียตอบว่า ถามอยู่อย่างนี้ป่วยการเพลา บาเลศเตียจึงชักหนังสือเขียนอักษรไทยใช้กระดาษฝรั่งเหน็บมาในกลีบเสื้อส่งให้ว่า ให้ดูความในหนังสือนั้นเถิด

ความในหนังสือนั้นว่า ท่านโยเสฟบาเลศเตียราชทูตอเมริกันมาถึงท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ให้ทราบ ด้วยว่าข้าพเจ้าได้รับคำสั่งเจ้าแผ่นดินอเมริกันแล้วถือราชสาส์นเข้ามาถวาย และข้าพเจ้าปราถนาจะหาช่องโอกาศที่จะเอาราชสาส์นนี้เข้าถวายตามคำสั่งเจ้าอเมริกัน และเมื่อถวายราชสาส์นของเจ้าอเมริกันแล้ว จะใคร่เอาหนังสือข้าพเจ้าแต่งไว้ฉบับ ๑ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวคราวเมื่อยังเฝ้าอยู่นั้น หนังสือแปลพอเปนใจความภาษาไทยแล้ว เพื่อท่านจะได้ทราบ หนังสือทำณวันอังคาร แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก

(พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา) จึงว่า อย่างธรรมเนียมกรุงฯ ที่จะเอาหนังสือเข้าไปถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดังว่านั้นไม่ควร จะพูดจาการสิ่งใดให้พูดกับเสนาบดีให้รู้ความก่อน เสนาบดีทั้งปวงก็รักใคร่กับชาติอเมริกันเปนอันมาก ความจะพูดจากันประการใดก็จะได้พูดจากันไปตามการให้สมควรกับที่เปนไมตรีอันสนิทกัน

บาเลศเตียตอบว่า จะเอาหนังสือให้กับเสนาบดีนั้นไม่ได้ จะขอเฝ้าเอาหนังสือฉบับนี้ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก่อน ให้ถูกกับในหนังสือเจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันซึ่งมีเข้ามาถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จะโปรดฯ ให้ขุนนางคนใดพูดการอันนี้ จึงจะได้พูดความต่อไป

(พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา) จึงว่า กรุงฯ กับเมืองอเมริกันแต่ก่อนมาก็ยังหาเคยรู้จักอย่างธรรมเนียมบ้านเมืองกันไม่ทั้ง ๒ ฝ่าย เมื่อปีมะโรงจัตวาศก ศักราชฝรั่ง ๑๘๓๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๘๖) เอดแมนรอเบตถือหนังสืออันเรยักสอนเจ้าเมืองอเมริกันเข้ามาขอทำหนังสือสัญญาทางค้าขาย หนังสือซึ่งเจ้าเมืองอเมริกันมีเข้ามาปิดตราประจำผนึกเปนสำคัญเข้ามา ท่านเสนาบดีได้จัดเรือกัญญารับหนังสือมาแปลได้ความแล้ว จึงพาเอดแมนรอเบตเข้ามาเฝ้าทูลลอองฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเสนาบดีจึงทำหนังสือสัญญาทางค้าขายกับชาติอเมริกัน เอดแมนรอเบตพาเอาหนังสือสัญญาออกไปปิดตราเจ้าเมืองอเมริกัน ครั้นปีวอกอัฐศก ศักราชฝรั่ง ๑๘๓๗ ปี (พ.ศ. ๒๓๘๐) เอดแมนรอเบตกับขุนนางหลายคนเอาหนังสือสัญญาเข้ามาส่งแล้วว่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองอเมริกันมีความยินดีพร้อมกัน จึงได้ปิดตราเจ้าเมืองอเมริกันลงในหนังสือดวง ๑ ปิดตราสำหรับเมืองผูกมาในหนังสือสัญญาอิกดวง ท่านเสนาบดีก็ได้จัดแจงเรือสีเขียนทองไปรับหนังสือสัญญา กรุงฯ กับชาติอเมริกันจึงได้เปนไมตรีสนิทกันมา ที่กรุงฯ จึงได้ถือเอาหนังสือสัญญากันอย่างเอดแมนรอเบตเข้ามาสองครั้งเปนธรรมเนียมมาจนทุกวันนี้ บาเลศเตียเข้ามาครั้งนี้ว่า ถือหนังสือเจ้าเมืองอเมริกันเข้ามา เราก็ได้จัดแจงเรือจะให้ไปรับหนังสือให้เปนยศเปนเกียรติในเจ้าเมืองอเมริกันเหมือนครั้งเอดแมนรอเบตเข้ามา ด้วยสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวรักใคร่ในเจ้าเมืองอเมริกันมาก จะให้ไมตรียืนยาวสืบไป บาเลศเตียว่า มีหนังสือเข้ามาว่า ๒ ฉบับ ๆ ๑ ว่าเปนหนังสือสำหรับตัว เจ้าเมืองอเมริกันให้มาให้คนทั้งปวงรู้ว่าบาเลศเตียเปนทูตเมืองอเมริกันฉบับ ๑ ต่อบาเลศเตียได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงจะถวาย ไม่ส่งให้ ผิดอย่างธรรมเนียมเมื่อครั้งเอดแมนรอเบตมาทำอย่างธรรมเนียมไว้แต่ก่อน บาเลศเตียจึงเอาหนังสือคลี่ออกให้ดูดวงตรา (พระยาศรีพิพัฒน์ฯ) จึงตอบว่า ตราซึ่งปิดมาในหนังสือนั้นเราไม่สงสัย เราสงสัยอยู่แต่ว่า ตราไม่ปิดประจำผนึก จะมาเขียนเอาอย่างไรก็เขียนได้ ผิดกับอย่างที่เคยมาแต่ก่อน บาเลศเตียตอบว่า เจ้าเมืองอเมริกันเปลี่ยนกันมาหลายคนแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าเมืองอเมริกันจะมีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฝรั่งเศสเมืองอังกฤษ ก็มีไปอย่างนี้ มอบกุญแจหีหนังสือให้ผู้ถือหนังสือไปแล้ว ก็หาได้ปิดตราประจำผนึกไม่

(พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา) จึงว่า ซึ่งมีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฝรั่งเศสเจ้าเมืองอังกฤษใส่หีบลั่นกุญแจไม่ปิดตราดังนี้ เราไม่รู้ เราถืออย่างธรรมเนียมครั้งเอดแมนรอเบตเข้ามาทำหนังสือสัญญา ครั้งนั้นมีหนังสือปิดตราประจำผนึกเข้ามาด้วยเปนสำคัญ หนังสือเข้ามาครั้งนี้ว่าเปนหนังสือเจ้าเมืองอเมริกัน ไม่ประจำผนึก ผิดกับเมื่อครั้งเอดแมนรอเบตเข้ามา จะเชื่อฟังยังไม่ได้ ที่กรุงฯ เราถือพระ (พุทธสาสนา) ได้พูดจาสัญญาเปนธรรมเนียมลงแล้ว ถึงจะนานไปสักเท่าใด ๆ ก็กลับธรรมเนียมไม่ได้

บาเลศเตียตอบว่า หนังสือเจ้าเมืองอเมริกันเข้ามาครั้งนี้ จะรับฤๅไม่รับ

(พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา) จึงว่า หนังสือนั้นจะส่งให้ก็จะรับ แต่ที่จะให้เฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้นไม่ได้ ด้วยผิดธรรมเนียมกรุงฯ อยู่

บาเลศตียก็ลุกจากเก้าอี้ยืนขึ้นแล้วจึงว่า ถ้าไม่รับหนังสือแล้ว จะไปบอกเจ้าเมืองอเมริกัน เขาจะคิดอย่างไรไม่รู้ด้วย หันหน้าออกเดินไปประมาณ ๕ ศอก ๖ ศอก แล้วกลับเข้ามาถามว่า จะรับหนังสือฤๅไม่รับ

(พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา) จึงว่า หนังสือให้ไว้ก็จะรับ แต่ความในหนังสือสัญญา ข้อ ๙ มีอยู่ว่า ชาติอเมริกันเข้ามาณกรุงฯ ก็ให้ทำตามอย่างธรรมเนียมกรุงฯ บาเลศเตียพูดให้ผิดอย่างธรรมเนียมกรุงฯ ไปดังนี้ จะให้เข้าเฝ้าไม่ได้

บาเลศเตียจึงว่ากับพวกหมออเมริกันว่า ให้หมออยู่เถิด ข้าจะไปแล้ว บาเลศเตียก็ลงเรือไปโดยกำลังโทโส

ครั้นณวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ โยเสฟบาเลศเตียทูตทำหนังสือมายื่นอีก ความในหนังสือที่บาเลศเตียยื่นนั้นว่า มิศโยเสฟบาเลศเตียผู้เปนราชทูตรับใช้แต่เจ้าแผ่นดินอเมริกันทั้ง ๓๐ เมืองที่เข้ากันเปนเมืองเดียวจะได้ถือราชสาส์นมาถึงเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ส่วนพิภพอาเซียทิศตวันออกเฉียงใต้ มีมหานครศรีอยุธยาเปนต้น เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นควรจะแต่งหนังสือใบนี้มาเรียนท่านเจ้าคุณศรีพิพัฒน์ฯ ด้วยความว่า เพลาวานนี้เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่ที่หอเฝ้าเจ้าคุณ มีขุนนางเปนอันดับอยู่พร้อม มีเจ้าคุณเปนใหญ่ ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่า ธุระที่ประชุมกันนั้นเปนที่จะได้ปฤกษาด้วยการเอาราชสาส์นซึ่งข้าพเจ้าถือมาถวายแก่ท่านผู้เปนกระษัตริย์ในมหานครศรีอยุธยานี้ เมื่อแรกเดิมเจ้าคุณได้ถามข้าพเจ้าว่าด้วยออกมาจากเมืองอเมริกันเมื่อไร ข้าพเจ้าเห็นว่าคำถามดังนี้มิได้เข้าในเรื่องความอันเปนเหตุให้ประชุมกัน แต่ยังได้ตอบให้ท่านทราบด้วยดี ท่านจึงได้ถามข้าพเจ้าต่อไปว่า ครั้นออกจากเมืองจีนแล้ว ได้ไปแวะที่เมืองอื่นบ้างฤๅไม่ คำถามอันนี้ข้าพเจ้ามิได้ควรจะตอบประการใด ด้วยธุระที่ให้ประชุมกันเปนที่ปฤกษาด้วยการถวายราชสาส์น ข้าพเจ้าจึงนำหนังสือที่แปลเปนภาษาไทยแล้วส่งให้แก่เจ้าคุณให้ทราบ เมื่อเจ้าคุณได้อ่านหนังสือนั้นแล้ว ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า หนังสือที่ถือมานั้นเปนอย่างไร จึงเรียกว่าเปนราชสาส์น ข้าพเจ้าได้ตอบว่า หนังสือพระราชสาส์นนัน้ได้แปลเปนภาษาไทย และคุณพระนายไวยวรนาถได้รับฉบับ ๑ เปน ๔ วัน ๕ วันแล้ว คุณพระนายไวยวรนาถอยู่ในประชุมก็ว่าได้ด้วยความนี้ เจ้าคุณยังได้ว่า หนังสือราชสาส์นนั้นไม่มีตราสำหรับแผ่นดินเปนสำคัญ ท่านยังมิได้เห็นหนังสือ ข้าพเจ้าจึงได้ไขหีบอันเปนที่รักษาเอาหนังสือพระราชสาส์นยกออกมาชี้ให้เห็นว่ามีตราหลวงสำหรับแผ่นดินอเมริกันตีไว้ตามธรรมเนียม เจ้าคุณก็ได้ว่าต่อไปว่า กระดาษอันห่อพระราชสาส์นนั้นมิได้ผนึกตามอย่างแต่ก่อน ข้าพเจ้าได้ตอบว่า ราชสาส์นได้รักษาไว้ในหีบทำด้วยไม้จันทน์ มีกุญแจทั้งลูกเปนทองตามอย่างที่ถวายราชสาส์นแก่มหากระษัตริย์เจ้าปักกิ่ง อันได้รักษาดังนี้ก็เปนด้วยหวังจะให้เปนเกียรติยศแก่กระษัตริย์แห่งมหานครนี้เปนอันยิ่ง เจ้าคุณได้อ้างว่าด้วยอย่างธรรมเนียมคราวมิศรอเบตถือราชสาส์นมา ข้าพเจ้าได้ตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้มีช่องจะรู้ด้วยธรรมเนียมของมิศรอเบตไปทั่ว ไม่เปนข้อใหญ่ ที่อื่นมิได้ถือ เมื่อเจ้าคุณว่าด้วยอย่างธรรมเนียมคราวมิศรอเบตมาเปนอันมากแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า วันข้าพเจ้าจะได้โอกาศถวายพระราชสาส์นตามรับสั่ง เสนาบดีผู้ใหญ่จะยอมฤๅมิยอมเปนประการใด เจ้าคุณได้รื้อความว่าด้วยความคราวมิศรอเบตถือราชสาส์นมา ข้าพเจ้าได้ถามอีกว่า อันข้าพเจ้าจะได้เข้าเฝ้าถวายราชสาส์นจะได้ฤๅมิได้ เจ้าคุณได้กล่าวว่า เสนาบดีจะรับหนังสือราชสาส์น และครั้นได้ปฤกษากันจะจัดแจงตามสมควร ข้าพเจ้าจึงได้ว่า ถ้าเสนาบดีทั้งปวงจะรับหนังสือ และครั้นพิจารณาปฤกษากันแล้ว จึงจะคืนให้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะได้ถวายตามรับสั่ง ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือมอบให้เสนาบดีใดมิได้ขัด เมื่อข้าพเจ้าว่าดังนี้ ไม่มีผู้ใดตอบประการใด ข้าพเจ้าเห็นว่า เสนาบดีผู้ใหญ่มิยอมให้เอาพระราชสาส์นถวายตามรับสั่ง ข้าพเจ้าจึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่งและได้ว่า อันมิยอมให้รับราชสาส์นนี้เปนการประมาทต่อท่านผู้เปนเจ้าแผ่นดินอเมริกันทั้ง ๓๐ เมืองที่เข้ากันเปนเมืองเดียว การประมาทนี้เปนข้อใหญ่ เจ้าแผ่นดินนั้นแต่งหนังสือราชสาส์นให้จำเริญพระราชไมตรีตีตราสำหรับแผ่นดินลงชื่อด้วยลายมือของตน ตั้งข้าพเจ้าเปนทูตถือราชสาส์นมาในกำปั่นหลวง ใช้ข้างอเมริกันมาทางไกลสุดแผ่นดิน มาแต่เมืองอันเปนเมืองใหญ่ อันเสนาบดีมิยอมให้เอาราชสาส์นถวายแก่ท่านผู้เปนกระษัตริย์ในมหานครนี้ เปนที่อัประยศต่อเมืองอเมริกันโดยมาก จะบันดาลเหตุเปนประการใดข้าพเจ้าจะว่ามิได้ ครั้นข้าพเจ้าได้ว่าทั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้ก้มหน้าคำนับเจ้าคุณกับขุนนางทั้งหลายแล้วก็ถอยออกมาถึงที่อยู่

ทีนี้นั้นราชทูตจะใคร่ว่าด้วยข้อที่เจ้าคุณได้ถามด้วยความอันมีอยู่ในราชสาส์นแห่งเจ้าเมืองอเมริกัน ถ้าเจ้าคุณเข้าใจว่าหนังสือราชสาส์นผนึกไว้แล้ว ที่ไหนเจ้าคุณจะได้เห็นว่าราชการ ทูตได้รู้จักความในหนังสืออันผนึกไว้แล้ว แต่ครั้นออกมาดูเห็นว่าตีตราหลวงเปนปรากฎแก่ตาอยู่แล้ว ท่านจึงอ้างเอาเหตุว่า เมื่อมิศรอเบตนั้น ราชสาส์นติดผนึกอยู่ ดูเปนเหมือนหนึ่งท่านจะก่อเหตุมิให้รับราชสาส์นได้ ที่มิให้ถวายราชสาส์นแห่งเจ้าแผ่นดินอเมริกันตามรับสั่งจะเปนเหตุให้อัประยศแต่ข้อเดียวเท่านั้นหามิได้ ราชทูตได้จ้างคนจีนคนหนึ่งจะให้เขียนหนังสือ ครั้นคนจีนนั้นขึ้นบกแล้ว พวกขุนนางให้พาเอาจีนคนนั้นไปบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ ให้ซักถามด้วยเหตุทั้งปวงของราชทูตตั้งแต่ออกจากเมืองจีนจนถึงเมืองนี้ ครั้นได้ความแล้วก็จดเขียนไว้ต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่ อันทำดังนี้ต่อราชทูตที่มาจากเมืองอันเปนไมตรีกันเปนการผิดการเคืองมากนัก ท่านได้ต้องการจะแก้โทษเสีย

อนึ่งราชทูตนึกเสียดายว่า ได้อยู่ที่นี่แปดวันมาแล้ว และขุนนางผู้ใหญ่ผู้ใดผู้หนึ่งมิใดมาเยี่ยมเยือนสักทีสักครั้งหนึ่งเลย อันใครผู้ใดจะได้เชิญไปหาผู้ใหญ่ผู้ใดฤๅไปดูอะไรแปลกประหลาดก็หามีไม่ เห็นจะผิดธรรมเนียมแต่ก่อน

อนึ่งราชทูตได้ยินข้อหนึ่งซึ่งเปนเหตุให้หลากใจหนักหนา ซึ่งราชทูตขึ้นมาจากกำปั่นแต่ผู้เดียว มีแต่คนหนึ่งมาด้วยสำหรับจะช่วยแต่งหนังสือ ขุนนางผู้ใหญ่เอาเปนเหตุว่ากล่าวเปนที่สงสัย เจ้าคุณทราบอยู่ว่า ที่กำมะโดผู้เปนใหญ่ในกำปั่นกับขุนนางฝ่ายทหารและทหารทั้งหลายมิได้ขึ้นมานั้น เปนเพราะขุนนางไทยอันมีธุระออกไปถึงกำปั่นเปนพยานได้กล่าวว่า โรคลงรากเปนกำลังมีที่ในกรุงฯ ผู้คนตายมากหนักแล้ว และยังตายทุกวัน ๆ วันละหลายคน จึงมีคำสั่งมิให้ชาวเรือขึ้นบกเลย เปนเหตุดังนี้สิ่งเดียว

อนึ่งนอกจากการถวายราชสาส์น ราชทูตได้รับสั่งให้ว่าด้วยการเปลี่ยน (แก้) หนังสือสัญญาอันแต่งไว้แต่ก่อน เปลี่ยน (แก้) บ้าง เติมเข้าบ้าง เพราะเหตุดังนี้ ราชทูตได้แต่งหนังสือฉบับ ๑ จะได้กราบทูลพระกรุณาให้ทราบ หนังสือนั้นแปลเปนภาษาไทยฉบับ ๑ ฝากไปให้เจ้าคุณด้วยกันกับหนังสือใบนี้

ข้อ ๒ ในหนังสือสัญญาอันแต่งไว้ในศักราชปี ๑๘๓๓ คือปีมะโรงศักราชไทย ข้อนั้นว่า ใครผู้ใดที่มีสินค้าจะซื้อขายกันได้ มิให้ใครห้าม แต่ครั้นตั้งเจ้าภาษีแล้ว ไม่มีใครว่าจะซื้อขาย เว้นไว้แต่ตามคำของเจ้าภาษีนั้น คำสัญญานั้นจึงสิ้นกำลังเปนประโยชน์มิได้ เพราะเจ้าภาษีคาดค่าแพงให้เกินขนาด พ่อค้าจะซื้อขายมิได้ อันจะขายกันได้มีแต่เจ้าภาษีพวกเดียว เพราะมิได้ถือคำสัญญาข้อนี้ และเพราะค่าธรรมเนียมเปนอันมากนัก หนังสือสัญญานั้นฝ่ายการซื้อขายกันจึงเปนเหมือนหนึ่งไม่ได้เปน ดังนี้เปนหลายปีมาแล้ว ในศักราชปี ๑๘๓๘ (พ.ศ. ๒๓๗๑) มีกำปั่นอเมริกัน ๒ เสาครึ่งชื่อสตัดมาถึงเมืองไทยนี้ จะใคร่ซื้อน้ำตาลทรายบรรทุกเต็มลำ คราวนั้นน้ำตาลทรายมีอยู่ใน (คลังสินค้า) โรงหลวงเปนอันมาก อันจะตีราคามีแต่เจ้าภาษี และว่า เจ้าภาษีว่าราคาแพงนัก ผู้ทำน้ำตาลทรายมิอาจจะขายผิดคำสั่งเจ้าภาษี กำปั่นนั้นจึงต้องไปซื้อในเมืองมนีลา ตั้งแต่คราวนั้นเปนสิบสองปีมาแล้ว และกำปั่นอเมริกันมิอาจจะเข้ามาสักลำ

ประการหนึ่งราชทูตจะใคร่ว่าต่อไปให้เจ้าคุณทราบว่า การตั้งเจ้าภาษีดังว่ามาแล้วเปนการผิดต่อสัญญา แล้วการซื้อขายกับประเทศอื่น ๆ จะทำได้แต่ในกำปั่นถือธงไทย กำปั่นเหล่านั้นมิได้เสียค่าธรรมเนียม และกรมสินค้าเปนของพวกไทย ถึงจะฝากขายเมืองนอกฤๅจะซื้อเข้ามามิต้องเสียภาษี อันนี้เปนร้ายต่อการซื้อขายของพวกชาวอเมริกัน ครั้นการดังนี้แล้ว และแผ่นดินอเมริกันกับแผ่นดินไทยเปนมิตร์สหายกันดีแล้ว เห็นเปนอันควรจะได้จัดแจงแต่งหนังสือสัญญาใหม่ ฝ่ายเจ้าแผ่นดินและขุนนางในเมืองอเมริกันก็ปราถนาจะได้ไปมาซื้อขายทำการเปนอันสมควรใจกว้างอารีอารอบ ถ้าและท่านผู้เปนกระษัตริย์และขุนนางในเมืองไทยยอมให้ทำอันสมด้วยทางไมตรีต่อเมืองอเมริกัน ข้างเมืองอเมริกันก็จะยอมทำต่อเมืองไทยเหมือนกัน กำปั่นอเมริกันได้เข้ามาในเมืองไทยฉันใด กำปั่นไทยจะเข้าถึงเมืองอเมริกันก็ฉันนั้น ขอ (ความในต้นฉบับขาด) ราชทูตในปลายหนังสือ (ความในต้นฉบับขาด) คำนับเปนอันดี หนังสือนี้เขียนไว้ที่อยู่ของราชทูตในกรุงฯ (ความที่ขาดตอนนี้คงเปนลงวันที่เขียนหนังสือฉบับนี้ คือที่ ๑๐ เมษายน คฤตศก ๑๘๕๐)

(จดหมายฉบับต่อไปนี้ความเปนคำที่เตรียมจะกราบบังคมทูลเวลาเข้าเฝ้า) ข้าพเจ้า (ผู้ซึ่งเปรสิเดนต์) อเมริกัน (ซึ่ง) ครองทั้งสามสิบเมืองที่เข้ากันเปนเมืองเดียว ท่านได้โปรดตั้งให้ข้าพเจ้าเปนทูตใช้มาถึงเมืองในทวีปอาเซียอันตั้งอยู่ในส่วนทวีปอาเซียตวันออกเฉียงใต้ มีพระนครศรีอยุธยาเปนต้น จึงถือราชสาส์นมาถวายแก่พระองค์ ราชสาส์นนั้นขอถวายเดี๋ยวนี้ ท่านเจ้าแผ่นดินนั้นได้สั่งข้าพเจ้าให้กราบทูลว่า ท่านมีใจถือไมตรีต่อพระองค์เปนอันดี ด้วยหวังจะให้ทรงพระราชไมตรีจำเริญยิ่งใหญ่ ด้วยเปิดทางขึ้นให้ชาวอเมริกันกับชาวมหานครศรีอยุธยานี้ไปมาหาสู่ค้าขายถึงให้ยิ่งมาก เมื่อเจ้าแผ่นดินอเมริกันตั้งใจดังนี้ ท่านจึงตั้งข้าพเจ้าให้ถืออาชญามาปฤกษาหาฤๅกันกับเสนาบดีผู้ใหญ่ จะได้เอาหนังสือสัญญาเดิมซึ่งได้จัดแจงไว้ในปีคฤศตศักราช ๑๘๓๓ เปนปีมะโรง มาแปลงเปลี่ยนตกแต่งเสียใหม่ให้ถูกต้องตามธรรมเนียมแห่งเมืองอื่นที่เปนเมืองใหญ่ มีเมืองอเมริกันเปนต้น ด้วยว่าในเมืองทั้งหลายเหล่านั้น ผู้เปนกระษัตริย์ครองและขุนนางผู้ใหญ่เข้าใจชัดอยู่แล้วว่า เมื่อชาวบ้านชาวเมืองไปมาค้าขายถึงกันกับประเทศอื่น ๆ มากเท่าใด วาสนาเกียรติยศแห่งเมืองนั้นก็แผ่ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

อนึ่งเจ้าแผ่นดินอเมริกันประสงค์จะให้พระองค์ทราบว่า เมืองอเมริกันนั้นหามีเมืองในประเทศอื่นมาขึ้นไม่ แล้วการศึกสงครามกับประเทศใด ๆ ทั่วทั้งโลกนี้ไม่มี ชาวบ้านชาวเมืองทั้งปวงจึงปลงใจทำมาหากินด้วยวิชาต่าง ๆ คือหากินด้วยทางค้าขายในประเทศอื่นโดยมาก

อนึ่งเจ้าแผ่นดินนั้นก็ได้สั่งข้าพเจ้าว่า ซึ่งพวกหมออเมริกันที่ได้มาอาศรัยในมหานครนี้ได้พึ่งพระบารมีของพระองค์ จึงปราศจากภัยอันตราย ท่านได้รู้พระคุณแล้วก็ขอบใจ แล้วท่านยัง (หวัง) ใจว่า พระองค์ยังจะโปรดอนุเคราะห์ต่อไปแต่พวกหมอกับทั้งชาวอเมริกันผู้ใด ๆ ที่จะมาและมิได้ประพฤติให้เลมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน ข้าพเจ้าก็ยินดีเปนอันมาก เพราะข้าพเจ้ามีโอกาศที่จะว่า อันได้รับคำนับข้าพเจ้าโดยสมควรตามอย่างที่ได้รับราชทูต ก็ขอบใจหนักหนา อันข้าพเจ้าได้โอกาศเข้ามาเฝ้าพระองค์เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเปนเกียรติยศและคุณต่อข้าพเจ้าเปนอันมาก

ท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาทำหนังสือตอบบาเลศเตียไป ใจความว่า หนังสือพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาเสนาบดีมาถึงโยเสฟบาเลศเตียทูต ด้วยมีหนังสือมาว่า ข้อ ๒ ในหนังสือสัญญาอันแต่งไว้ในศักราช ๑๘๓๓ คือปีมะโรงศักราชไทย ข้อนั้นว่า ใครผู้ใดที่มีสินค้าจะซื้อขายกัน มิให้ใครห้าม แต่ครั้นตั้งเจ้าภาษีแล้ว ไม่มีใครอาจจะซื้อขาย เว้นไว้แต่ตามคำของเจ้าภาษีนั้น คำสัญญาจึงสิ้นกำลังเปนประโยชน์มิได้ เพราะเจ้าภาษี (พิกัด) ค่าแพงให้เกินขนาด พ่อค้าจะซื้อขายกันมิได้ อันจะขายกันได้มีแต่เจ้าภาษีพวกเดียว เพราะมิได้ถือสัญญาข้อนี้ และเพราะค่าธรรมเนียมเปนอันมากนัก หนังสือสัญญานั้นฝ่ายการซื้อขายกันจึงเปนเหมือนหนึ่งมิได้เปน ดังนี้เปนหลายปีมาแล้ว ในศักราช ๑๘๓๘ มีกำปั่นอเมริกัน ๒ เสาครึ่งชื่อสตัดมาถึงเมืองไทย จะใคร่ซื้อน้ำตาลทรายบรรทุกพอเต็มลำ คราวนั้นน้ำตาลทรายมีอยู่โรงหลวงเปนอันมาก อันจะตีราคามีแต่เจ้าภาษี และเจ้าภาษีว่าราคาแพงนัก ผู้ทำน้ำตาลทรายมิอาจจะขายผิดคำเจ้าภาษี กำปั่นนั้นจึงต้องซื้อในเมืองมนีลา ตั้งแต่คราวนั้นเปนสิบสองปีมาแล้ว และกำปั่นอเมริกันมิอาจจะเข้ามาสักลำ

ประการหนึ่งราชทูตจะใคร่ว่าต่อไปให้เจ้าคุณทราบว่า การตั้งเจ้าภาษีดังว่ามาแล้วเปนการผิดข้อคำสัญญา และการซื้อขายกับประเทศอื่น ๆ จะทำได้แต่ในกำปั่นถือธงไทย กำปั่นเหล่านั้นมิได้เสียค่าธรรมเนียม และครั้นสินค้าเปนของพวกไทย ถึงจะฝากขายเมืองนอกฤๅจะซื้อเข้ามามิต้องเสียภาษี อันนี้เปนร้ายต่อการซื้อขายของพวกชาวอเมริกัน ครั้นการดังนี้แล้ว และแผ่นดินอเมริกันกับแผ่นดินไทยเปนมิตร์สหายกันดีแล้ว เห็นเปนอันควรจะได้จัดแจงแต่งหนังสือสัญญาใหม่ ฝ่ายเจ้าแผ่นดินและขุนนางในเมืองอเมริกันก็ปราถนาจะได้ไปมาซื้อขายทำการเปนอันสมควรใจกว้างอารีอารอบ ถ้าและท่านผู้เปนกระษัตริย์และขุนนางในเมืองไทยยอมให้ทำอันสมด้วยทางไมตรีต่อเมืองอเมริกัน ข้างเมืองอเมริกันก็จะยอมทำต่อเมืองไทยเหมือนกัน กำปั่นอเมริกันได้เข้ามาในเมืองไทยฉันใด กำปั่นไทยจะเข้าถึงเมืองอเมริกันก็ฉันนั้น

ความข้อนี้เห็นว่า เมื่อศักราชฝรั่ง ๑๘๓๓ ปี เอดแมนรอเบตเปนทูตเข้ามาทำหนังสือสัญญาไว้ ๑๐ ข้อ ตั้งแต่นั้นมาหามีกำปั่นชาวอเมริกันเข้ามาค้าขายไม่ ด้วยอยู่หลายปีเมื่อศักราชฝรั่ง ๑๘๓๘ ปี ศักราชไทย ๑๑๘๙ ปีระกนพศก กำปั่นชาติอเมริกันเข้ามาลำ ๑ จะมาจัดซื้อน้ำตาลทรายเปนปลายมรสุม น้ำตายทรายซื้อขายกันสิ้นแล้ว น้ำตาลทรายในโรงหลวงก็ไม่มี ยังมีอยู่บ้างแต่น้ำตาลลูกค้าคนละเล็กน้อย ประมาณน้ำตาลทรายสิ้นด้วยกันหนักสัก ๕,๐๐๐ บาท ครั้งนั้นนักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด แขกลูกค้าเมืองมุมไบ คุมกำปั่น ๒ ลำเข้ามาจัดซื้อน้ำตาลทราย ราคาน้ำตาลทรายแพง เจ้าของจะขายหาบละ ๒ ตำลึง ๒ บาท นักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด ต่อให้หาบละ ๒ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ลูกค้าอเมริกันจะซื้อหาบละ ๒ ตำลึง เจ้าพนักงานเห็นว่า ลูกค้าชาติอเมริกันไม่ได้มาค้าขายนานแล้วพึ่งจะมีมา จะช่วยสงเคราะห์ให้ลูกค้าชาติอเมริกันได้ซื้อน้ำตาลทรายไป จะได้เข้ามาซื้อขายอิก ช่วยว่ากล่าวกับลูกค้าณกรุงฯ จะให้ขายน้ำตาลทรายให้กับพวกอเมริกันให้ลดราคาลงบ้าง ให้พวกอเมริกันขึ้นราคาให้บ้าง นักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด ลูกค้าเมืองบุมไบ มาต่อไว้หาบละ ๒ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ลูกค้าพวกอเมริกันก็ไม่ขึ้นราคาให้ เจ้าของน้ำตาลทรายก็ไม่ยอมขาย ก็ไม่ได้ซื้อกัน ความดังนี้จะว่าเจ้าภาษีตั้งพิกัดราคาน้ำตาลทรายให้ลูกค้าซื้อขายกันให้ผิดหนังสือสัญญาประการใด ใครเอาความไปบอกเล่ากับโยเสฟบาเลศเตียทูต จึงได้หยิบยกเอาขึ้นว่าข้อหนึ่งว่า การตั้งเจ้าภาษีดังว่ามาแล้วเปนการผิดข้อคำสัญญา และการซื้อขายกับประเทศอื่น ๆ จะทำได้ก็แต่ในกำปั่นถือธงไทย กำปั่นเหล่านี้มิได้เสียค่าธรรมเนียม และครั้นสินค้าเปนของพวกไทย ถึงจะฝากขายเมืองนอกฤๅจะซื้อเข้ามามิต้องเสียภาษี อันนี้เปนการร้ายของพวกชาวอเมริกัน ครั้นการอันนี้แล้ว และแผ่นดินอเมริกันกับแผ่นดินไทยเปนมิตร์สหายกันดีแล้ว เห็นเปนอันจะได้จัดแจงแต่งหนังสือสัญญาใหม่ ความดังนี้ยากที่จะพูดจาความบ้านเมืองด้วยโยเสฟบาเลศเตียต่อไป มาถึงแรกจะได้พบปะกัน ควรที่จะปราไสยพูดจาเปนความยินดีต่อกัน โยเสฟบาเลศเตียก็โกรธขึ้นมา ตัดความห้ามเสียไม่ให้พูดจาว่าป่วยการเพลา เอาหนังสือซึ่งเขียนใส่กลีบเสื้อมาส่งให้ ความในหนังสือว่า จะขอถวายหนังสือแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว แล้วจะใคร่เอาหนังสือที่ทำไว้ฉบับ ๑ ถวายแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวในคราวเมื่อยังเฝ้าอยู่นั้น เสนาบดีพร้อมกันตอบว่า ธรรมเนียมกรุงฯ ต้องรับเอาพระราชสาส์นมาแปลให้รู้ความในพระราชสาส์นก่อน จึงจะนำทูตเข้าเฝ้าทูลลอองฯ เหมือนอย่างเมื่อครั้งเอดแมนรอเบตเปนทูตเข้ามา โยเสฟบาเลศเตียก็โกรธ ลุกขึ้นกระทำหยาบหยามข่มขู่ในที่ประชุม กรุงฯ รักใคร่ในทางไมตรีชาติอเมริกันอยู่ จงกระทำได้ดังนี้ ผิดกับทูตขรมาแต่ก่อน ๆ จะพูดจาการบ้านเมืองกันสืบต่อไปประการใดได้

ข้อหนึ่งว่า ได้ว่าจ้างคนจีนคนหนึ่งจะให้เขียนหนังสือ ครั้นจีนคนนั้นขึ้นบกแล้ว พวกขุนนางให้พาตัวจีนคนนั้นไปบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ ให้ซักถามด้วยเหตุทั้งปวงของโยเสฟบาเลศเตียราชทูตตั้งแต่ออกจากเมืองจีนมาจนถึงเมืองนี้ ครั้นได้ความแล้วก็ให้จดหมายเขียนไว้ต่อน่าขุนนางผู้ใหญ่ อันทำดังนี้โยเสฟบาเลศเตียราชทูตที่มาจากเมืองอันเปนไมตรีเปนการผิดการเคืองมากนัก ทนไม่ได้ ต้องการจะแก้โทษเสีย ความข้อนี้จีนซึ่งโดยสานเรือนำขึ้นมาจากกำปั่นรบ จีนคนนี้เปนจีนเข้ามาอยู่เมืองไทยแล้วกลับออกไปเมืองจีน กลับเข้ามากับกำปั่นรบ ฝ่ายไทยจะได้รู้ว่าโยเสฟบาเลศเตียจ้างมาให้เขียนหนังสือนั้นหาไม่ เปนอย่างธรรมเนียมกรุงฯ คนมาแต่ทางไกลแล้วก็ต้องถามไถ่ถามถึงทางไปมาตามธรรมเนียม ไม่เกี่ยวข้องกันใดกับโยเสฟบาเลศเตีย ไม่ควรทจะหยิบยกเอาความเล็กน้อยขึ้นโกรธขึ้งเปนข้อใหญ่

ข้อหนึ่งว่า นึกเสียดายว่า ได้อยู่ที่นี่ ๘ วันมาแล้ว และขุนนางผู้ใหญ่ผู้ใดผู้หนึ่งมิได้เยี่ยมเยือนสักทีสักครั้งหนึ่งเลย อันใครผู้ใดจะได้เชิญไปหาผู้ใหญ่ผู้ใดฤๅไปดูอะไรแปลกประหลาดหามิได้ เห็นว่า ผิดธรรมเนียมแต่ก่อน ความข้อนี้ล่ามและเจ้าพนักงานก็มาอยู่พิทักษ์รักษาพร้อมแล้ว ได้จัดเรือพลพายให้มาประจำอยู่สำหรับจะได้ไปเที่ยวเล่นตามสบาย ขุนนางฝรั่งพระยาวิเศษสงครามนายทหารผู้ใหญ่ก็ได้ไปมาเยี่ยมเยือนอยู่มิได้ขาด ขุนนางไทยนั้นจะไปมาเยี่ยมเยือนบ้างก็ผิดภาษากัน เห็นว่า โยเสฟบาเศเตียมักโกรธขึ้ง จะพูดจาประการใดกลัวจะเกิดความ จึงไม่มา หนังสือมาณวันศุกร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก

เมื่อณวันพฤหัศ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ บาเลศเตียทำหนังสือมายื่นอิกว่า หนังสือของโยเสฟบาเลศเตียผู้ราชทูตรับใช้ของเจ้าแผ่นดินอเมริกันทั้งสามสิบเมืองอันเข้ากันเปนเมืองเดียวถือราชสาส์นมาถึงเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในพิภพส่วนอาเซียทิศตวันออกเฉียงใต้ มีมหานครศรีอยุธยาเปนต้น ฝากมาถึงเจ้าคุณเจ้าพระยาพระคลัง ด้วยว่าเมื่อเจ้าคุณยังมิได้กลับเข้ามาในกรุงเทพฯ กำปั่นหลวงเปนเรือรบชื่อแประโมตถือธงอเมริกันได้ส่งข้าพเจ้าเข้ามาถึงกรุงเทพมหานคร ครั้นได้เข้ามาแล้ว ได้รับเชิญเข้าที่หอเฝ้าของเจ้าคุณศรีพิพัฒน์ฯ กับขุนนางอื่น ๆ ได้ว่ากล่าวปฤกษากันด้วยการที่จะเอาราชสาส์นซึ่งข้าพเจ้าถือมานั้นจะเข้าเฝ้าถวายตามข้าพเจ้ารับสั่งแต่เจ้าแผ่นดินอเมริกัน เจ้าคุณศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษากับขุนนางทั้งหลายเพราะเหตุต่าง ๆ มิยอมให้ถวายราชสาส์น ข้าพเจ้าจึงได้คอยท่าหลายวัน คิดจะได้ยินด้วยความนั้นต่อไป ครั้นหลายวันมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่งหนังสือ ๒ ฉบับ ฝากให้เรียนเจ้าคุณศรีพิพัฒน์ฉบับ ๑ ได้เล่าเหตุการณ์ที่ปฤกษาว่ากล่าวกับเจ้าคุณเมื่อไปบ้านของท่านวันก่อนนั้น ก็ได้เล่าความอันเปนเหตุจะให้ว่าและควรจะแก้เสีย

อนึ่งก็ได้ว่าด้วยการในขุนนางผู้ใหญ่ในมหานครกระทำให้เสียประโยชน์ในหนังสือสัญญาอันมีมาแล้ว อันควรจะถือให้ครัดเคร่ง หนังสือฉบับ ๑ นั้นแต่งไว้หวังจะให้ทราบว่า ด้วยการทางจะถวายราชสาส์นนั้น ข้าพเจ้ามิได้ปราถนาจะผิดอย่างธรรมเนียมแห่งแผ่นดินเลย หนังสือทั้ง ๒ ฉบับนั้นหมอมะตุนได้ถือไปให้แก่บุตร์ของเจ้าคุณ คือคุณพระนายไวยวรนา ๆ ได้ว่า จะส่งให้เจ้าคุณศรีพิพัฒน์ฯ ตั้งแต่นั้นมาเปน ๕ วัน ราชทูตมิได้รับหนังสือตอบประการใดเลย ไม่ได้ยินผู้ใดว่าจะมีหนังสอตอบมา ฝ่ายแผ่นดินอเมริกันให้ทูตถือราชสาส์นมาถวายคราวนี้เปนสำคัญว่ายังถืออยู่ดี ถึงการดังนั้น อันราชทูตเห็นว่ามหานครทั้งผู้เปนใหญ่ในมหานครถือไมตรีต่อเมืองอเมริกันก็หาเห็นไม่ มีแต่จะเห็นว่า มหานครมิได้ปราถนา จะขาดจากทางไมตรีแล้ว เมื่อการเปนดังนี้แล้ว จำเปนให้ราชทูตเรียนเจ้าคุณว่า ถ้าเสนาบดีผู้ใหญ่ในมหานครไม่มีน้ำใจปฤกษาหาฤๅกันต่อไป ราชทูตจะได้ลงเรือออกไปถึงกำปั่นอันถือธงอเมริกัน ครั้นจะกำหนดวันลงเรือออกไป ก็กำหนดเปนวันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ขอเจ้าคุณได้โปรดสั่งด้วยเรือที่จะออกไป ราชทูตขอคำนับเจ้าคุณเจ้าพระยาพระคลังเปนอันดี หนังสือมาณวันพุธ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก

หนังสือฉบับนี้ บาเลศเตียว่า เจ้าพระยาพระคลังกลับบอกถึงกรุงฯ ณวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนยี่ จึงทำมาให้ เจ้าพระยาพระคลังไม่ตอบ

ณวันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ โยเสฟบาเลศเตียทำหนังสือมายื่นอิกฉบับ ๑ ว่า จะขอลากลับไปกำปั่น ความในหนังสือว่า หนังสือของท่านโยเสฟบาเลศเตียราชทูตเมืองอเมริกันฝากมาถึงท่านคุณพระนายไวยวรนาถให้ทราบว่า ข้าพเจ้าได้ยินพวกหมออเมริกันได้พบคุณพระนายไวยวรนารถเมื่อเพลาคืนนี้ว่า แต่ขุนนางไทยปราถนาจะให้พวกหมออเมริกันนั้นไปส่งท่านราชทูตถึงกำปั่น ท่านราชทูตก็มีความยินดีด้วย แต่ว่าเพลาพรุ่งนี้เปนวันพระของพวกรีดพระเยซู เปนวันถือ พวกหมอไม่ชอบที่จะไปในกลางทางในวันพระนั้น ข้าพเจ้าจะกำหนดที่จะออกไปกำปั่นนั้นแต่ณวันจันทร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ เพลาเช้าทีเดียว

อิกประการ ๑ เรือที่จะไปนั้น ข้าพเจ้าขอเรือหลวงทไปรับข้าพเจ้าเข้ามานั้น ฤๅเรือล่องบดกะปิตันปรอนฤๅมิศเฮส์ ถ้าจะโปรดให้เรือกะปิตันปรอนไปส่งข้าพเจ้า ขอให้กะปิตันปรอนไปส่งด้วย เพราะว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักคนอื่น ด้วยกะปิตันปรอนไว้เนื้อเชื่อใจเปนคนชำนาญในการทเลนั้น ฤๅจะมีหนังสือไปถึงนายกำปั่นให้เอาเรือล่องบดเข้ามารับที่หลังเต่าก็ได้ แต่ว่าเห็นไม่สู้ดี เพราะว่าพวกหมอไปส่งถึงกำปั่นไม่ได้ ด้วยพวกหมอจะกลับมาก็ไม่มีเรือจะกลับมา ข้าพเจ้าขอให้ไปมาโดยดี หนังสือนี้มาณวันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก หนังสือนี้ไม่ได้ตอบ

ท่านเสนาบดีทราบความแล้ว สั่งให้จัดเรือแง่ทรายยาว ๑๒ วา ๑๓ วา ๒ ลำ มีธงทวนคนแจวลำละ ๔๐ คน ๕๐ คน ใส่เสื้อแดงหมวดแดงเตรียมไว้ ถึงกำหนดจะได้ส่งโยเสฟบาเลศเตียทูตลงไปถึงเมืองสมุทปราการ แล้วให้มีหนังสือพระนายไวยวรนาถส่งไปถึงกำมะโดนายทหารกำปั่นรบอเมริกันซึ่งเข้ามากับบาเลศเตียทูตฉบับ ๑

ความในหนังสือว่า หนังสือจมื่นไวยวรนาถผู้ได้บังคับกำปั่นรบและปากน้ำกรุงเทพฯ มาถึงกำมะโดอรหิตขุนนางนายทหารกำปั่นรบอเมริกันด้วยใจรักใคร่ยิ่งนัก ขอเล่าความออกมาให้กำมะโดอรหิตฟัง ด้วยท่านมีหนังสือเข้ามาถึงเราว่า ให้จัดเรือใหญ่ลำหนึ่งกับคนแจวที่ดีออกไปรับขุนนาง ถ้าเราพบขุนนางที่เข้ามาแล้ว ขอให้ (รับรอง) โดยดี ด้วยคนนั้นเปนขุนนางผู้ใหญ่ มิใช่ขุนนางผู้น้อย เราก็ได้นับถือตามหนังสือของท่านที่มีเข้ามา จึงจัดเรือเสาเรือใบยาว ๑๑ วา ๑๒ วา ๓ ลำ คนแจว ๔๐ คน ๕๐ คน ใส่เสื้อแดงหมวกแดง มีธงทวนปัก เหมือนอย่างรับทูตมาแต่ก่อน ๆ ออกไปรับโยเสฟบาเลศเตียทูตกับหนังสือที่มีมาแต่เมืองอเมริกัน ณวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๕ โยเสฟบาเลศเตียทูตอเมริกันนาย ๑ มิดฉนารีชื่อดีน ๑ คนใช้คน ๑ ลงเรือที่ออกไปรับมาถึงเมืองสมุทปราการ ก็ได้ยิงปืนป้อมรับทูตอเมริกัน ๒๑ นัดเปนคำนับตามอย่างรับทูตมาแต่เมืองใหญ่ซึ่งเปนไมตรีกัน ได้เชิญโยเสฟบาเลศเตียขึ้นกินเลี้ยงที่เมืองสมุทปราการ แล้วส่งโยเสฟบาเลศเตียทูตขึ้นมาถึงเมืองนครเขื่อนขันธ์เปนเมืองชั้น ๒ ผู้รักษาเมืองกรมการก็ได้จัดลูกไม้ของกินไปกำนันและเลี้ยงดูตามอย่างธรรมเนียม ท่านเสนาบดีรู้ความ ให้จัดแจงปลูกเรือนใหญ่เปนที่อยู่มีรั้วล้อมรอบเปนบริเวณ ทำให้ทูตอยู่สมเกียรติในชาติอเมริกัน ครั้นโยเสฟบาเลศเตียขึ้นไปกรุงฯ ก็ได้เชิญโยเสฟบาเลศเตียอยู่ที่เรือนใหม่ จัดพ่อครัวมาให้ประจำทำกับข้าวของกินเลี้ยงดูมิได้ขัดสน จัดเรือและคนไว้สำหรับโยเสฟบาเลศเตียจะได้ไปเที่ยวตามสบายอย่างธรรมเนียมกรุงฯ ทูตมาแต่ก่อน ๆ ขึ้นไปถึงที่อยู่เปนปรกติดีแล้ว ขุนนางเจ้าพนักงานได้จัดเรือให้ลงมารับหนังสือขึ้นไปแปล จะได้รู้ความในหนังสือ ท่านเสนาบดีจะได้นำความในหนังสือกราบบังคมทูลแต่พระบาทสมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้าให้ทราบ โยเสฟบาเลศเตียมาถึงที่อยู่ณวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ เจ้าพนักงานรับโยเสฟบาเลศเตียขึ้นอยู่ที่พักแล้วบอกว่า ในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเที่ยง จะจัดเรือกระบวนแห่รับหนังสือ โยเสฟบาเลศเตียก็ยอม ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าโยเสฟบาเลศเตียทูตให้มิดฉนารีหมอมะตุนมาบอกว่า หนังสือมีมา ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งเปนหนังสือเปรสิเดนต์เจ้าแผ่นดินอเมริกันมีมาถวายในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงฯ เมื่อโยเสฟบาเลศเตียได้เข้าเฝ้าทูลลอองฯ แล้ว จึงจะเอาหนังสือถวายในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว อิกฉบับ ๑ เปรสิเดนต์มีมาจะให้คนทั้งหลายรู้ว่า ได้แต่งให้โยเสฟบาเลศเตียเปนทูตเข้ามาณกรุงฯ เปนหนังสือสำหรับตัว มิได้มีมาถึงผู้ใด จะให้รับไปนั้นไม่ได้ การซึ่งจัดแจงกระบวนแห่เรือไว้จะไปรับหนังสือก็ค้างอยู่

ครั้นณวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ท่านเสนาบดีประชุมพร้อมกันณบ้านท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาแล้ว จึงให้เรือยาวมีกัญญาสำหรับขุนนางขี่ พลพาย ๒๐ คน ไปรับโยเสฟบาเลศเตียจะได้พูดจากันโดยฉันไมตรีรักใคร่ เมื่อเรือมาถึงสพานที่จะขึ้นบ้านท่านเสนาบดี ๆ ก็ให้พระยาวิเศษสงครามฝรั่งนายทหารใหญ่ ๑ หลวงวุฒสรเดช หลวงฤทธิสำแดง นายทหารที่ ๒ กับตัวนาย ๆ ทหาร ๘ คน ลงไปคอยรับขึ้นบกตามธรรมเนียมฝรั่ง ขุนนางไปทันพร้อมกันที่รับแขกตามธรรมเนียมไทย โยเสฟบาเลศเตียขึ้นจากเรือ เห็นมิดฉนารียสมิทบุตร์เลี้ยง มิดฉนารียยอน ถือหีบหนังสือที่ว่าเปนราชสาส์นปิดตราเจ้าเมืองอเมริกันมามือหนึ่ง ถือร่มของโยเสฟบาเลศเตียทูตมามือหนึ่ง เดินตามหลังมา ขุนนางไทยได้เห็นดังนั้นก็มีความเสียใจว่า พระราชสาส์นเจ้าเมืองอเมริกันมาถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวณกรุงฯ พระนามทั้ง ๒ ฝ่ายอยู่ในหนังสือ เอาถือเดินตามหลังมาดังนี้ไม่สมควรตามอย่างธรรมเนียมไทย เมื่อครั้งเอดแมนรอเบตพาพระราชสาส์นเจ้าเมองอเมริกันเข้ามาครั้งก่อน ขุนนางเจ้าพนักงานได้จัดแจงเรือเขียนทองไปรับพระราชสาส์นขึ้นมาแปลตามอย่างธรรมเนียม เมื่อเอดแมนรอเบตไปหาท่านเสนาบดี ก็มีทหารมีฝีพาย มีปี่ มีกลอง ป่าวนำน่าสมเกียรติสมยศดูงดงาม ครั้นโยเสฟบาเลศเตียขึ้นมาถึงที่ประชุมแล้ว ก็นั่งบนเก้าอี้อย่างดี มิดฉนารียหมอดีนนั่งถัดลงมากับมิดฉนารียหมอยอน มิดฉานารียหมอมะตุนซึ่งอยู่ณกรุงฯ ก็นั่งเปนลำดับถัด ๆ กันลงมา ท่านเสนาบดีปราไสยตามอย่างธรรมเนียมว่า โยเสฟบาเลศเตียทูตมาทางทเลสบายอยู่ฤๅ มาแต่เมืองอเมริกันเมื่อไร มากำปั่นลำนี้ฤๅมากำปั่นลำใด มาอยู่ที่เมืองกวางตุ้งนานอยู่ฤๅ

โยเสฟบาเลศเตียตอบว่า มาแต่เมืองอเมริกันเมื่อเดือน ๑๐ ปีระกาเอกศ มาทางทเลสบายอยู่ มาจากเมืองอเมริกัน มาจากกำปั่นไฟมาอยู่ที่เมืองกวางตุ้ง ๓ เดือน มาลงกำปั่นลำนี้ที่เมืองกวางตุ้ง

ท่านเสนาบดีถามต่อไปว่า มาแต่เมืองกวางตุ้งแวะที่ไหนบ้างฤๅเข้ามากรุงฯ ทีเดียว

โยเสฟบาเลศเตียว่า จะถามอยู่อย่างนี้ป่วยการเพลา ว่ากล่าวเปนโกรธขึ้ง จึงชักเอาหนังสือในกลีบเสื้ออกยื่นให้เขียนเปนอักษรไทยว่า ให้ดูความในหนังสือนั้นเถิด ความในหนังสือที่เขียนมานั้นใจความว่า ท่านโยเสฟบาเลศเตียราชทูตอเมริกันจะขอถวายหนังสือแต่พระบาทสมเด็จพระพุุทธเจ้าอยู่หัว แล้วจะได้เอาหนังสือที่แต่งไว้ฉบับ ๑ ถวายแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวคราวเมื่อยังเฝ้าอยู่นั้น หนังสือนี้เปลเปนภาษาไทยเมื่อท่านจะได้ทราบ ท่านเสนาบดีจึงว่าอย่างธรรมเนียมกรุงเทพฯ ที่จะเอาหนังสือไปถวายในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังว่านี้ไม่ได้ จะพูดการสิ่งใดก็ให้พูดกับเสนาบดีให้รู้ความก่อน เสนาบดีและขุนนางทั้งปวงก็รักใคร่กับชาติอเมริกันอยู่เปนอันมาก ความจะพูดกันประการใดจะได้พูดกันไปตามการให้สมควรที่เปนไมตรีสนิทกัน โยเสฟบาเลศเตียว่า จะขอเฝ้าเอาหนังสือฉบับนี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก่อน ถ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะโปรดฯ ให้ขุนนางผู้ใดทำการอันนี้ จึงจะได้พูดความต่อไป ท่านเสนาบดีจึงตอบว่า เมื่อปีมะโรงจัตวาศก ศักราชฝรั่ง ๑๘๓๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๗๖) เอดแมนรอเบตถือหนังสืออันเรยักสอนเจ้าเมืองอเมริกันเข้ามาขอทำหนังสือสัญญาทางค้าขาย หนังสือซึ่งเจ้าเมืองอเมริกันมีเข้ามาก็ปิดตราประจำผนึกเปนสำคัญเข้ามา ท่านเสนาบดีได้จัดเรือกัญญาพนักทองรับหนังสือมาแปลได้ความแล้ว จึงพาเอดแมนรอเบตเข้าเฝ้าทูลลอองฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว เปนอย่างธรรมเนียมมาแล้ว โยเสฟบาเลศเตียเข้ามาครั้งนี้ต้องทำให้เหมือนเมื่อครั้งเอดแมนรอเบตเข้ามา โยเสฟบาเลศเตียจึงว่า หนังสือเจ้าเมืองอเมริกันมีเข้ามาครั้งนี้จะรับฤๅไม่รับ ท่านเสนาบดีจึงว่า หนังสือนั้นส่งให้ก็จะรับ แต่ที่จะให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวถวายหนังสือเองนั้นไม่ได้ ด้วยผิดอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน โยเสฟบาเลศเตียก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปแล้วกลับเข้ามาถามอิกว่า หนังสือนั้นจะรับฤๅไม่รับ ท่านเสนาบดีว่า หนังสือให้ไว้ก็จะรับ แต่จะให้เข้าเฝ้าก่อนนั้นไม่ได้ โยเสฟบาเลศเตียจึงพูดกับหมอภาษาอเมริกัน จะว่าประการใดไม่รู้ แต่หมอยอนแปลความมาว่า ถ้าไม่รับหนังสือ จะไปบอกเจ้าเมืองอเมริกัน เขาจะคิดอย่างไรไม่รู้ด้วย แล้วโยเสฟบาเลศเตียโกรธ ก็กลับไป ความซึ่งจะได้พูดจากันโดยฉันไมตรีก็ยังค้างอยู่ หนังสือสัญญาข้อเก่านั้นมีอยู่ว่า ชาติอเมริกันจะเข้ามาณกรุงไทย (จะ) ทำตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมกรุงฯ ทุกสิ่ง โยเสฟบาเลศเตียจะเอาตามใจของโยเสฟบาเลศเตียไม่ได้ ก็โกรธขึ้งว่ากล่าวเปนคำแขง

ณวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ โยเสฟบาเลศเตียทำหนังสือมาให้อิกว่า ข้อ ๒ ในหนังสือสัญญาอันแต่งไว้ในศักราช ๑๘๓๓ คือปีมะโรง ศักราชไทย ข้อนั้นว่า ใครผู้ใดที่มีสินค้าจะซื้อขายกัน มิให้ใครห้าม แต่ครั้นตั้งเจ้าภาษีแล้ว ไม่มีใครอาจจะซื้อขาย เว้นไว้แต่ตามคำของพวกเจ้าภาษีนั้น คำสัญญาจึงสิ้นกำลัง หาประโยชน์มิได้ เพราะเจ้าภาษีคาดค่าแพงให้เกินขนาด พ่อค้าจะซื้อขายกันมิได้ อันจะขายกันได้มีแต่เจ้าภาษีพวกเดียว เพราะมิได้ถือคำสัญญาข้อนี้ และเพราะค่าธรรมเนียมเปนอันมากนัก หนังสือสัญญานั้นฝ่ายการซื้อขายกันจึงเปนเหมือนหนึ่งมิได้เปน ดังนี้เปนหลายปีมาแล้ว ในศักราช ๑๘๓๘ มีกำปั่น ๒ เสาครึ่งชื่อสตัดมาถึงเมืองไทยนี้ จะใคร่ซื้อน้ำตาลทรายบรรทุกพอเต็มลำ คราวนั้นน้ำตาลทรายมีอยู่ในโรงหลวงเปนอันมาก อันจะตีราคามีแต่เจ้าภาษี และเจ้าภาษีว่าราคาแพงนัก ผู้ทำน้ำตาลทรายมิอาจจะขายผิดคำเจ้าภาษี กำปั่นนั้นจึงต้องไปซื้อเมืองมนีลา ตั้งแต่คราวนั้นเปนสิบสองปีมาแล้ว และกำปั่นอเมริกันมิอาจเข้ามาสักลำหนึ่ง

ประการหนึ่งราชทูตจะได้ว่าต่อไปให้เจ้าคุณทราบ การตั้งเจ้าภาษีดังว่ามาแล้วเปนการผิดข้อคำสัญญา และการซื้อขายกับประเทศอื่น ๆ จะทำได้แต่ในกำปั่นถือธงไทย กำปั่นเหล่านี้มิได้เสียค่าธรรมเนียม และครั้นสินค้าเปนของพวกไทย ถึงจะฝากขายเมืองนอกฤๅจะซื้อเข้ามามิต้องเสียภาษี อันนี้เปนการร้ายต่อการของพวกชาวอเมริกัน ครั้นการดังนี้แล้ว และแผ่นดินอเมริกันกับแผ่นดินไทยเปนมิตร์สหายกันดีแล้ว เปนอันควรจะได้จัดแจงแต่งหนังสือสัญญาใหม่

ฝ่ายเจ้าแผ่นดินและขุนนางในเมืองอเมริกันก็ปราถนาจะได้ไปมาซื้อขายทำการเปนอันสมควรด้วยใจกว้างขวางอารีรอบ ถ้าและท่านผู้เปนกระษัตริย์และขุนนางในเมืองไทยยอมให้ทำอันสมด้วยไมตรีต่อเมืองอเมริกัน ข้างเมืองอเมริกันจะยอมทำต่อเมืองไทยเหมือนกัน กำปั่นอเมริกันได้เข้ามาในเมืองไทยฉันใด กำปั่นไทยเข้าไปที่เมืองอเมริกันเหมือนฉันนั้น แล้วโยเสฟบาเลศเตียทูตว่า ได้จ้างคนจีนคนหนึ่งจะให้เขียนหนังสือ ครั้นคนจีนคนนั้นขึ้นบกแล้ว พวกขุนนางไทยพาเอาตัวจีนคนนั้นไปบ้านขุนนางผู้ใหญ่ ให้ซักถามด้วยเหตุทั้งปวงของโยเสฟบาเลศเตียราชทูตตั้งแต่ออกจากเมืองจีนจนมาถึงเมืองนี้ ครั้นได้ความแล้ว ก็ให้จนเขียนไว้ต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่ อันทำดังนี้โยเสฟบาเลศเตียทูตที่มาจากเมืองอันเปนไมตรีเปนการผิดการเคืองมากนัก ทนไม่ได้ ต้องการจะแก้โทษเสีย

ความ ๒ ข้อนี้ ท่านเสนาบดีตอบไปว่า เมื่อศักราช ๑๘๓๓ เอดแมนรอเบตเข้ามาทำหนังสือสัญญาไว้ ๑๐ ข้อ ตั้งแต่นั้นมาหามีกำปั่นชาติอเมริกันเข้ามาค้าขายไม่ คอยอยู่เปนหลายปี ครั้นเมื่อศักราชฝรั่ง ๑๘๓๘ ปี ศักราชไทย ๑๑๘๙ ปี มีกำปั่นชาติอเมริกันเข้ามาลำหนึ่ง จะมาจัดซื้อน้ำตาลทรายเปนปลายมรสุม น้ำตาลทรายซื้อขายกันสิ้นแล้ว น้ำตาลทรายในโรงหลวงก็ไม่มี ยังมีอยู่บ้างแต่น้ำตาลทรายลูกค้าคนละเล็กน้อย ประมาณน้ำตาลทรายสิ้นด้วยกันหนัก ๕,๐๐๐ บาท ครั้งนั้นนักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด แขกลูกค้าเมืองบุมไบ (นำ) กำปั่น ๒ ลำเข้ามาจัดซื้อน้ำตาลทราย ราคาน้ำตาลทรายแพง เจ้าของจะขายหาบละ ๒ ตำลึง ๒ บาท นักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด ต่อให้หาบละ ๒ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ลูกค้าชาติอเมริกันเข้ามาจะซื้อหาบละ ๒ ตำลึง เจ้าพนักงานเห็นว่า ลูกค้าชาติอเมริกันไม่ได้มาค้าขายนานแล้ว พึ่งจะมีมา จะช่วยสงเคราะห์ให้ลูกค้าชาติอเมริกันได้ซื้อน้ำตาลไป จะได้เข้ามาซื้อขายอิก ช่วยว่ากล่าวลูกค้ากรุงเทพฯ จะให้ขายน้ำตาลทรายให้กับพวกอเมริกันให้ลดราคาลงบ้าง ให้พวกอเมริกันขึ้นราคาให้บ้าง นักกุดามะหะหมัด นักกุดากุละมะหะหมัด ลูกค้าเมืองบุมไบ ต่อไว้หาบละ ๒ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ลูกค้าพวกอเมริกันไม่ขึ้นราคาให้ เจ้าของน้ำตาลทรายก็ไม่ยอมขาย ก็ไม่ได้ซื้อกัน ความดังนี้จะว่าเจ้าภาษีตั้งพิกัดราคาน้ำตาลทรายให้ลูกค้าซื้อขายกันประการใด กรุงฯ ได้ทำสัญญาแล้วก็รักษาสัญญาไปชั่วฟ้าชั่วดิน ไม่ทำให้ผิดหนังสือสัญญา ใครเอาความไปเล่าบอกกับโยเสฟบาเลศเตียทูต จึงได้หยิบยกขึ้นว่า และจีนซึ่งโดยสานเรือมาขึ้นมาจากกำปั่นรบ จีนคนนี้เปนจีนเข้ามาอยู่เมืองไทยแล้วกลับออกไปเมืองจีน กลับเข้ามากับกำปั่นรบ ฝ่ายไทยจะได้รู้ว่าโยเสฟบาเลศเตียทูตจ้างมาให้เขียนหนังสือนั้นหาไม่ เปนอย่างธรรมเนียมกรุงฯ คนมาแต่ทางไกลแล้วก็ต้องไถ่ถามถึงทางไปมา ถามก็ถามเปนความดี จะถือโทษประการใด ความข้อนี้เห็นว่าไม่ผิด กรุงฯ รักษาสัญญาทางไมตรีชาติอเมริกันยิ่งนัก จะรักษาไปชั่วพระอาทิตย์พระจันทร์นั้นอยู่ จะได้หมิ่นประมาททำสิ่งไรเหลือเกินให้โยเสฟบาเลศเตียทูตโกรธขึ้งนั้นหาไม่ จะพาโยเสฟบาเลศเตียทูตเข้าเฝ้าตามซึ่งทำหนังสือมาขอ ก็ยังไม่รู้ความในพระราชสาส์น ผิดด้วยอย่างธรรมเนียมกรุงฯ ท่านเสนาบดีเห็นว่า โยเสฟบาเลศเตียทูตเปนคนโทโสโมโหมาก จะไปกระทำเหลือเกินในที่เฝ้าเหมือนกระทำกับท่านเสนาบดี ขุนนางและทหารพร้อมกันอยู่ในที่เฝ้า ไม่ให้กระทำ ก็จะวิวาทกันขึ้น ทางไมตรีก็จะมัวหมองไป ท่านเสนาบดีคิดเห็นโดยใจปราถนาจะมิให้ทางไมตรีมัวหมอง จึงมิได้นำโยเสฟบาเลศเตียเข้าเฝ้าทูลลอองฯ ใช่จะมีความรังเกียจในชาติอเมริกันนั้นหาไม่ ราชสาส์นนั้นโยเสฟบาเลศเตียทูตส่งให้ก็จะรับ ไม่ส่งให้จึงไม่รับ ความดังนี้ทำให้กำมะโดอรหิตขุนนางนายทหารและทหารในกำปั่นรบพิเคราะห์ความดูเถิด ถ้าและขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองอเมริกันจะแต่งให้ขุนนางผู้ใดเข้าไปพูดจาด้วยทางไมตรีต่อไป ขอคนที่มีสติปัญญาอัชฌาศรัยไม่เปนโทโสโมโห ให้ (เหมือน) เอดแมนรอเบตเข้ามาทำหนังสือสัญญาครั้งก่อน จะได้พูดจาปราไสยโดยดีผ่อนปรนตามอย่างธรรมเนียมกรุงฯ บ้าง ทางไมตรีและไมตรียิ่งนานจะได้ยิ่งสนิทยืดยาวสืบต่อไปภายน่า หนังสือมาณวันอาทิตย์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก

ครั้นถึงณวันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ท่านเสนาบดีสั่งให้จัดกาแฟกระสอบ ๑ ใบชาหีบใหญ่หีบ ๑ น้ำตาลทรายหนัก ๑๑ บาท มะพร้าวอ่อน ๑๐๐ ทลาย ผลตาลเฉาะ ๖๐ ทลาย มอบให้กรมการเมืองสมุทปราการลงไปให้กำมะโดอรหิตนายทหารกำปั่นรบอเมริกัน

ครั้นถึงกำหนดวันจันทร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ จึงเอาเรือแง่ทรายที่เตรียมไว้ ๒ ลำมารับโยเสฟบาเลศเตีย กะปิตันปรอน มิดฉนารียยอน มิดฉารียเหา มิดฉนารียสมิท มิดฉนารียดีน มิดฉานารียบุต หลวงวุฒสรเดชฝรั่ง หลวงอาจเจ้ากรมทหารปืนใหญ่ นายยิ้มนายใหญ่ล่ามฝรั่ง ไปลำ ๑ หลวงวุฒสรเดชเจ้ากรมทหารปืนใหญ่ขี่เรือป้องกันทูตลงไปส่งเมืองสมุทปราการลำ ๑ ได้มอบหนังสือที่มีไปถึงกำมะโดให้นายยิ้มล่ามลงไปส่งให้กำมะโดที่กำปั่น ครั้นทูตลงไปถึงเมืองนครเขื่อนขันธ์ เจ้าเมืองกรมการให้เชิญทูตขึ้นพักที่ศาลากลาง ได้จัดสำรับคาว ๑๐ สำรับ สำรับหวาน ๑๐ สำรับ ลูกไม้น้ำร้อนน้ำชาเลี้ยงทูต ครั้นลงไปถึงเมืองสมุทปราการเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ เจ้าเมืองกรมการได้เชิญทูตขึ้นพักที่ศาลากลาง จึงจัดกับข้าวของกินอย่างฝรั่งมาเลี้ยงทูต แล้วโยเสฟบาเลศเตียทูต กะปิตันปรอน มิดฉนารียบุต มิดฉนารียยอน มิดฉนารียสมิท มิดฉนารียเหา มิดฉนารียดีน นายยิ้มนายใหญ่ล่าม ลงเรือบดของกะปิตันปรอนไปลงกำปั่นนอกหลังเต่า

ครั้นณวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก กะปิตันปรอน มิดฉนารียมะตูน มิดฉนารียยอน มิดฉนารียดีน มิดฉรานียเหา มิดฉนารียสมิท นายยิ้มนายใหญ่ กลับมาจากกำปั่นรบอเมริกัน กำมะโดอรหิตมีหนังสือตอบมาถึงพระนายไวรวรนาถฝากนายยิ้มล่ามขึ้นมาฉบับ ๑ โยเสฟบาเลศเตียทูตมีหนังสือมาถึงเจ้าคุณท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาให้มิดฉนารียบุตถือขึ้นมาฉบับ ๑ ถึงกรุงฯ ณวันแรมค่ำ ๑ เดือน ๖ พระยาพิพัฒน์โกษาราชปลัดให้นายพานิชบุตร์มิศหันแตร ขุนปรีชาชาญสมุท นายยิ้มล่าม พร้อมกันที่เวรกรมท่า แปลหนังสือออกเปนไทย

ได้ความในหนังสือโยเสฟบาเลศเตียว่า หนังสือโยเสฟบาเลศเตียราชทูตเมืองอเมริกันมายังท่านเจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาผู้ประเสริฐ ด้วยณวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก เพลาค่ำ ได้รับหนังสือของเจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ตอบข้อ ๑ ข้อ ๒ บาเลศเตียได้ความเข้าใจแล้ว เมื่อไรมีเวลาจะเอาหนังสือของเจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ กับหนังสือบาเลศเตียไปให้เปรสิเดนต์ดู เจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ว่า วันพร้อมกันที่หอของเจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ นั้น บาเลศเตียโกรธ เปนคนโทโสโมโหนั้น ไม่จริง บาเลศเตียหาได้คิดโกรธขึ้งไม่ บาเลศเตียไปหาขุนนางเมืองอื่น ๆ ก็หาตามธรรมเนียมอย่างนี้ เจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ จะต้องรู้ธรรมเนียมที่เมืองอาหรอบอเมริกัน ไม่ได้นบนอบหมอบคลานกันเหมือนที่กรุงฯ เจ้าคุณคิดว่าบาเลศเตียโกรธนั้น เจ้าคุณโกรธเสียเปล่า ด้วยธรรมเนียมอเมริกันจะพูดจากันในที่ประชุม ขุนนางพร้อมแล้ว คนที่พูดต้องยืนขึ้นพูดดัง ๆ ให้ได้ยินทั่วกัน เจ้าคุณหยิบเอาความโกรธนี้ไว้ว่า มาไม่มีหนังสือ เจ้าคุณว่า ความที่ไม่ให้เฝ้าทั้งสองครั้งนั้นก็ไม่ได้บอก ด้วยเหตุไม่ให้ไปเฝ้าเพราะไม่ได้ปิดตราเปรสิเดนต์ที่หนังสือ เมื่อทีหลังนั้นได้ให้ขุนนางไปดูตราเปรสิเดนต์แล้วขุนนางว่า ไม่มีตราประจำผนึก จึงไม่ยอมให้ไปเฝ้า เจ้าคุณเห็นจะลืมไปด้วยเหตุที่พูดจายืดยาว ก่อนบาเลศเตียลุกขึ้นจากเก้าอี้ได้ว่า ทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ว่าอย่างนั้นเปนความประมาทเปรสิเดนต์เจ้าแผ่นดินอเมริกัน แล้วประมาทไมตรีชาติอเมริกันทั้งสิ้น ขุนนางไทยทั้งสิ้นคิดทำอย่างนี้ก่อนบาเลศเตียยังไม่ถึงปากน้ำ ขุนนางไทยได้บอกความอันนี้ จะว่าต่อไปด้วยความที่จะถวายหนังสือเปรสิเดนต์เจ้าแผ่นดินอเมริกัน ทูตบาเลศเตียได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่เอดแมนรอเบตเข้ามากรุงเทพฯ ครั้งก่อน หาเห็นมีข้อความชี้แจงที่จะถวายหนังสือของเปรสิเดนต์ประการใดไม่ เพราะอย่างนั้นบาเลศเตียจึงไม่มีข้อที่จะรู้ เมื่อการะฝัดทูตอังกฤษเข้ามาทำหนังสือสัญญาที่กรุงฯ มีข้อความเปนประการใด ได้ใส่ในหนังสือพิมพ์ทุกข้อ เมื่อทูตการะฝัดถือหนังสือเจ้าเมืองบังกล่าเข้ามาถวายนั้น เสนาบดีได้มาประชุมพร้อมกันเหมือนอย่างที่บ้านเจ้าคุณศรีพิพัฒน์ฯ เมื่อทูตการะฝัดจะส่งหนังสือให้ขุนนางไทยนั้น ขุนนางไทยได้สัญญาว่า หนังสือนั้นจะแปลออกเปนภาษาไทย แล้วจึงจะเอาต้นหนังสืออังกฤษคำที่แปลออกเปนไทยไปถวาย เมื่อเพลาพาทูตการะฝัดเข้าเฝ้านั้น ทูตหาได้เห็นขุนนางผู้ใดได้เอาต้นหนังสืออังกฤษและคำที่แปลออกเปนไทยอ่านถวายไม่ เพราะบาเลศเตียเห็นในหนังสือนั้นแล้ว บาเลศเตียจะทำเหมือนอย่างทูตการะฝัดเข้ามานั้นไม่ได้ ผิดคำสั่งของเปรสิเดนต์เจ้าแผ่นดินอเมริกัน และหนังสือของบาเลศเตียที่แปลเปนภาษาไทยส่งให้กับเสมียนผู้คุม ความในหนังสือนั้นเปนหนังสือเปรสิเดนต์ฉบับ ๑ หนังสือบาเลศเตียฉบับ ๑ เจ้าคุณได้ทราบในหนังสือนั้นแล้ว กับเจ้าคุณได้ว่าความที่ภาษีน้ำตาลทรายนั้น เจ้าคุณไม่ได้บอกตรงว่า ภาษีมี ภาษีไม่มี เจ้าคุณว่า ใครเอาความไปบอกกับบาเลศเตียว่าภาษีมี ทำไมบาเลศเตียว่า เจ้าภาษีตั้งพิกัดราคาน้ำตาลทรายให้ลูกค้าซื้อขายกันไม่ได้ให้ผิดหนังสือสัญญา บาเลศเตียตอบว่า ซึ่งลูกค้าขายซื้อกันเองไม่ได้ก็ไม่ได้ว่า ลูกค้าจะซื้อน้ำตาลทรายที่เจ้าภาษีไม่ได้ก็ไม่ได้ว่า ตำแหน่งที่เคยซื้อน้ำตาลทรายที่กรุงฯ ควรจะเชื่อได้ไม่บอกให้บาเลศเตียรู้ความ น้ำตาลทรายที่กรุงฯ ทั้งสิ้นต้องไปหาจีน ๒ คน ชื่อเจ๊สัวฉิมผู้ใหญ่ ๑ เจ๊สัวยง ๑ คน ๒ คนนั้นตีราคาน้ำตาลทรายแล้วทีหลังขายกับลูกค้าตามชอบใจ ตีราคาแพงกว่าเจ้าของโรงน้ำตาล ๆ ขายราคาน้ำตาลทรายถูกกว่าที่กรุงฯ ก็ยังมีกำไรอยู่ และน้ำตาลทรายที่ลูกค้าบรรทุกเข้ามาขายณกรุงฯ นั้นเก็บเข้าในคลังหลวงเสียเกือบหมด ถึงเวลาเจ้าภาษีจะต้องการขายก็เอาออกขาย ความดังนี้บาเลศเตียว่า ไทยทำผิดหนังสือสัญญา ประเดี๋ยวนี้บาเลศเตียเห็นว่าเปนความผิดจริง ในหนังสือบาเลศเตียได้เขียนแต่เดิมนั้นได้ขอให้แปลงความดังนี้เสียใหม่ และน้ำมันมะพร้าวเปนของซื้อขาย ของอื่น ๆ ก็มีภาษีเหมือนกันกับน้ำตาลทราย เมื่อศักราชฝรั่ง ๑๘๔๒ ปี (พ.ศ. ๒๓๘๕) ในปีนั้นราคาน้ำมันมะพร้าวหาบละ ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง แล้วเอาออกขายปลีกพอใช้สอยกันที่กรุงเทพฯ หาบหนึ่งเปนราคา ๑๒ บาทบ้าง ๑๕ บาทบ้าง กับทำผิดสัญญาอิกอย่างหนึ่ง เหล็กกล้าและเหล็กอื่น ๆ ที่ได้เข้ามากับกำปั่นอเมริกันที่ได้เสียค่าธรรมเนียมวาละ ๑,๗๐๐ บาทแล้ว ลูกค้าจะซื้อเหล็กนั้นยังต้องเสียภาษีอิกหาบละ ๑ บาท เพราะอย่างนั้นราคาเหล็กจึงสูงขึ้นหาบละ ๑ บาท หาได้ยอมให้บาเลศเตียทูตมีท่าทางปฤกษาราชการของทูตไม่ บาเลศเตียจะใคร่พูดความอื่น ๆ เปนความสำคัญหลายอย่าง ท่านเสนาบดีจะได้ปฤกษากันอย่างนี้เปนอย่าง ๑ ขอได้โปรดให้กงสุลอเมริกันเข้ามาอยู่ณกรุงฯ คน ๑ ถ้าไม่โปรดให้กงสุลเข้ามาอยู่ จะทำหนังสือสัญญาประการใดก็ไม่เปนผล

เจ้าคุณแก้ความที่จับเอาตัวจีนของทูตไปไถ่ถามไล่เลียงความนั้นว่าไม่ถูก เพราะว่าคุณพระนายไวยวรนาถให้คนที่ปากน้ำไปเอาตัวจีนมาคุมไว้แล้วส่งขึ้นมาณกรุงฯ ไล่เลียงไถ่ถามความต่อไป เมื่อแรกถาม ขุนนางก็จะต้องรู้ว่าเปนคนของทูตบาเลศเตีย ทูตจะต้องให้ขุนนางรู้ว่า ความอันนี้เปนความผิด แล้วผิดกับธรรมเนียมนับถือทูต ข้าพเจ้าขอคำนับมายังเจ้าคุณพระยาศรีพิพัฒน์ฯ เปนอันดี หนังสือนี้เขียนทื่บ้านราชทูตอยู่ณวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ศักราชฝรั่ง ๑๘๕๐ ปีจอโทศก หนังสือฉบับนี้ไม่ได้ตอบ

หนังสือกำมะโดตอบมาถึงพระนายไวยวรนารถนั้น แปลออกได้ความว่า หนังสือกำมะโดอรหิตนายทหารและกองทัพของเมืองอเมริกันข้างอินเดียคำนับมาถึงท่านพระนายไวยวรนาถผู้ได้บังคับกำปั่นรบและปากน้ำณกรุงเทพฯ ให้ทราบ ด้วยได้รับหนังสือของท่านเขียนมาแต่กรุงฯ ณขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ เล่าความซึ่งทูตอเมริกันมิศโยเสฟบาเลศเตียได้กระทำการเมื่อมาจัดแจงว่ากล่าวด้วยหนังสือสัญญาอเมริกันณกรุงฯ นั้น อนึ่งคำนับมาถึงต่อไปว่า หนังสือของท่านซึ่งมีออกมาถึงด้วยการดังนี้ ก็จะมีไปถึงเปรสิเดนต์เจ้าเมืองอเมริกันข้างเหนือให้ทราบด้วย คำนับมาถึงท่าน หนังสือเขียนที่เรือกำปั่นรบปลิแประโมตทอดที่ใกล้เกาะริ้นเมื่อณวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก ต้นฉบบับอยู่ (กับ) คุณพระนายไวยวรนาถ

และหนังสือเจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันที่บาเลศเตียถือเข้ามาว่าเปนราชสาสน์นั้นมีสำเนาเข้ามาด้วย ได้ขอคัดลอกเอาสำเนามาจากหมออเมริกันไว้ ความในสำเนานั้นมีว่า

สากรีเตเลอผู้เปนเจ้าแผ่นดินอเมริกันทั้ง ๓๐ เมืองที่เข้ากันเปนเมืองเดียวคำนับมาถึงท่านผู้เปนกระษัตริย์อันใหญ่ในพระมหานครศรีอยุธยา ดูกรท่านผู้เปนมิตร์สหายอันใหญ่อันประเสริฐ เราได้ลงใจเลือกให้มิศโยเสฟบาเลศเตียไว้ใช้เปนราชทูตผู้ใหญ่ไปอาศรัยในเมืองของท่าน ให้รับธุระที่จะปฤกษาว่ากล่าวด้วยความอันเปนข้อใหญ่หลายข้ออันเปนการสำหรับเมืองอเมริกันกับมหานครศรีอยุธยา เราขอให้ท่านโปรดปรานป้องกันรักษามิศโยเสฟบาเลศเตียไว้อนุเคราะห์ให้มีช่องจะได้ทำให้พนักงานนี้สำเร็จโดยสดวก มิศโยเสฟบาเลศเตียผู้นี้จะว่าเปนประการใด ขอให้ท่านวางพระไทยเชื่อได้ ถ้าจะว่าข้าพเจ้าถือไมตรีต่อท่านเปนชนิดดี จงเชื่อเถิดเปนความจริง ข้าพเจ้าขอพระเปนเจ้าทรงพระกรุณารักษาท่านผู้เปนมิตร์สหายและประเสริฐให้จำเริญพระชัณษาเถิด ข้าพเจ้าจึงปิดตราสำหรับเมืองอเมริกันทั้ง ๓๐ เมืองเข้ากันเปนเมืองเดียวนั้นเปนสำคัญ และเขียนชื่อของข้าพเจ้าลงเปนสำคัญด้วยณเมืองวอชิงตัน คฤศตศักราช ๑๘๔๙ เดือนออกัสต์ ๑๖ ค่ำ นับแต่อเมริกันตั้งเปนเมือง ๗๔ ปี แปลเปนไทยจุลศักราช ๑๒๑๑ ปี เดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ ปีระกาเอกศก

ความในหนังสือเจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันซึ่งบาเลศเตียว่าเปนหนังสือให้เข้ามาเปนสำหรับตัวนั้นได้ความว่า สากรีเตเลอผู้เปนเจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันให้มาแก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้ควรจะรู้หนังสือนี้ให้เข้าใจเถิดว่า มิศโยเสฟบาเลศเตียเปนชาวเมืองอเมริกันนั้น เราไว้ใจในมิศโยเสฟบาเลศเตียเปนอันดีว่า เปนผู้ซื่อสัตย์มีสติปัญญา เราจึงตั้งมิศโยเสฟบาเลศเตียนั้นให้ว่าความสิทธิ์ขาดให้รับธุระฝ่ายข้างเมืองอเมริกันเปนพนักงานสำหรับจะได้ไปสู่หาปฤกษากันกับผู้ใด ๆ ที่พระมหากระษัตริย์ผู้ครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยานั้นได้ตั้งให้มีความสิทธิ์ขาดเหมือนกัน จะได้เอาหนังสือสัญญาเดิมซึ่งจัดแจงทำไว้ในปีมะโรงล่วงมาได้ ๑๘ ปีแล้วออกมาปฤกษา แล้วจะได้แปลงเปลี่ยนเสียบ้าง เติมเข้าบ้าง เมื่อปฤกษาด้วยการทางไมตรี และการซื้อขาย และข้อความใด ๆ อันเปนเหตุที่การจะปฤกษาให้ตกลงเห็นพร้อมกันแล้ว มิศโยเสฟบาเลศเตียจะได้ลงชื่อเปนสำคัญฝ่ายข้างเมืองอเมริกันนั้น แล้วจะได้เอาหนังสือสัญญานั้นส่งออกไปให้แก่เจ้าแผ่นดินเมืองอเมริกันนั้น เมื่อเจ้าแผ่นดินอเมริกันกับที่ปฤกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จะได้ลงชื่อของเจ้าแผ่นดินนั้นเสร็จแก่กัน ด้วยเหตุที่ว่ามาแล้ว เราจึงปิดตราสำหรับแผ่นดินเมืองอเมริกันเปนสำคัญ ได้เขียนชื่อของเราด้วย ที่เมืองวอชิงตันในคฤศตศักราช ๑๘๔๙ เดือนออกัสต์ ๑๖ ค่ำ เปนจุลศักราช ๑๒๑๑ ปี เปนเดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ ปีระกาเอกศก สิ้นความในหนังสือ ๒ ฉบับเท่านี้

ต้นหนังสือและสำเนาหนังสือ ๒ ฉบับ บาเลศเตียทูตไม่ได้ส่งให้ บาเลศเตียจะขอเข้าเฝ้าถวามสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทีเดียว บาเลศเตียไม่ได้เฝ้า ต้นหนังสือสำเนาหนังสือบาเลศเตียทูตก็พากลับออกไปเมืองอเมริกันทั้ง ๒ ฉบับ ร่างมีขอลอกไว้จากหมออเมริกัน

จีนเสี่ยงที่มากำปั่นลำเดียวกับโยเสฟบาเลศเตีย ๆ ว่าจ้างจีน (เสี่ยง) มาเขียนหนังสือ ขุนนางเอาตัวจีน (เสี่ยง) มาไถ่ถามนั้น ถามได้ความว่า ข้าพเจ้าจีนเสี่ยงแต้จิ๋วแซ่หลิมให้การว่า เดิมข้าพเจ้าอยู่เมืองหัวเนียกุย แขวงเมืองตังเลง เมื่ออายุข้าพเจ้า ๒๗ ปี ข้าพเจ้าโดยสานสำเภาลูกค้าเมืองตังเลงเข้ามาณกรุงเทพฯ ได้ปี ๑ หมอดีนฝรั่งอเมริกันเชิญให้ข้าพเจ้าสอนหนังสือจีน ข้าพเจ้าได้สอนหนังสือจีนหมอดีนอยู่ได้ประมาณ ๙ ปี หมอดีนให้ค่าจ้างข้าพเจ้าเปนเงินตราเดือนละ ๔ ตำลึง แล้วหมอดีนสรรเสริญสาสนาของหมอดีนว่าประเสริฐ ข้าพเจ้าก็เชื่อถือ ข้าพเจ้าจึงเข้ารีดฝรั่งชาติอเมริกันจนทุกวันนี้ จะเปนปีเดือนใดข้าพเจ้าจำมิได้ หมอดีนโดยสานกำปั่นออกไปอยู่เมืองจีนได้ประมาณ ๓ ปี เมื่อปีมะแมนพศก (พ.ศ. ๒๓๘๐) ข้าพเจ้าโดยสานกำปั่นส่งพระราชสาส์นออกไปณเมืองกวางตุ้ง ข้าพเจ้าไปสอนหนังสือจีนหมอดีนอยู่ที่ฮ่องกงได้ประมาณ ๓ ปี เมื่อเดือนข้างแรมกี่ค่ำจำไม่ได้ หมอดีนไปเมืองมเก๊า หมอดีนกลับเข้ามาบอกกับข้าพเจ้าว่า กำปั่นรบชาติอเมริกันมาทอดอยู่ที่น่าเมืองมเก๊าลำหนึ่งจะเข้ามาณกรุงเทพฯ ได้ไปว่าขอแก่กะปิตันายกำปั่นจะโดยสานเข้ามาณกรุงฯ ด้วย นายกำปั่นก็ยอมให้โดยสาน ครั้นณวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๔ นายกำปั่นมีหนังสือมาถึงหมอดีนว่า กำปั่นจวนกำหนดจะใช้ใบให้หมอดีนไปลงกำปั่น ข้าพเจ้ากับหมอดีนก็ขนของจากเรือเล็กให้มาส่งขึ้นกำปั่นรบที่น่าเมืองมเก๊า อยู่ที่กำปั่นวัน ๑

ณวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกาเอกศก กำปั่นรบอเมริกันออกใช้ใบจากเมืองมเก๊ามากลางทเล ๔ วันถึงปากน้ำเมืองหุยวาน ขุนนางญวนนายด่านลงมาถามที่กำปั่น ได้ทราบความแล้วมีหนังสือบอกขึ้นไปถึงจงต๊กเมืองหุยวายว่า กำปั่นรบชาติอเมริกันมาทอดอยู่ที่ปากน้ำลำ ๑ อยู่ประมาณ ๑๒ วัน ญวนนายด่านลงไปบอกกับนายกำปั่นว่า จงต๊กเมืองหุยวานลงมาปากน้ำแล้วจะมาพูดประการใด ก็ให้นายกำปั่นขึ้นไปที่ปากน้ำเถิด นายกำปั่นทราบความว่า จงต๊กเมืองหุยวานลงมาอยู่ที่ปากน้ำ ขุนนางนายกำปั่นชาติอเมริกัน ๔ คนกับลูกเรือคนถ่อประมาณ ๑๐ คน ข้าพเจ้ากับหมอดีนก็ขึ้นไปด้วย ข้าพเจ้าเห็นที่ปากน้ำมีโรงกงก๊วน ขื่อประมาณ ๑๐ ศอก หลังคามุงกระเบื้อง หลัง ๑ จะเปนกี่ห้องนั้นข้าพเจ้าหาได้สังเกตไม่ ข้าพเจ้าเห็นจงต๊กเมืองหุยวานนั่งเก้าอี้อยู่ ญวนถือง้าวถือดาบถือโล่ห์ยืนอยู่ข้างน่า ๒ แถว ๆ ละ ๑๐ คน ขุนนางฝรั่งอเมริกันไปถึง จงต๊กก็ยืนขึ้นต้อนรับแล้วนั่งลงพูดกันเปนภาษาอังกฤษ จะพูดกันประการใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ พูดกันอยู่ประมาณชั่วโมง ๑ จงต๊กให้ญวนจัดโต๊ะอย่างฝรั่งโต๊ะ ๑ เชิญให้นายกำปั่นกิน นายกำปั่นก็ไม่กิน พูดกันแล้วก็กลับลงมากำปั่น ข้าพเจ้าถามหมอดีนว่า ขึ้นไปพูดกันด้วยความสิ่งไร หมอดีนจึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า นายกำปั่นขึ้นไปพูดกับจงต๊กว่า จะมาทำหนังสือสัญญาค้าขายที่เมืองญวน จงต๊กว่า สินค้าที่เมืองญวนมีน้อย ลูกค้าใหญ่ที่จะรับรองสินค้าก็ไม่มี ที่จะมาค้าขายนั้นเห็นจะไม่ได้ นายกำปั่นจัดแจงตักน้ำหาฟืนได้เสร็จแล้ว ครั้นณวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๕ นายกำปั่นก็ออกใช้ใบจากปากน้ำเมืองหุยวานมากลางทเล ข้าพเจ้าได้พูดกับหมอดีนว่า ฝรั่งชาติอเมริกันจะเข้ามากรุงฯ ด้วยราชการสิ่งไร หมอดีนบอกกับข้าพเจ้าว่า จะเข้ามาทำหนังสือสัญญาค้าขายกับกรุงเทพฯ ใหม่ จะขอลดค่าธรรมเนียมให้น้อยลงกว่าที่มาทำหนังสือสัญญาไว้ครั้งก่อน หมอดีนได้พูดให้ข้าพเจ้าฟังแต่เท่านี้ กำปั่นใช้ใบมากลางทเล ๑๐ วัน ณวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ถึงปากน้ำเจ้าพระยา อยู่ ๒ วันข้าพเจ้าเห็นกำปั่นไฟฝรั่งชาติอังกฤษแล่นกลับออกไป ครั้นณวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ จมื่นไวยวรนาถให้เรือบรรทุกของออกไปให้ที่กำปั่น ข้าพเจ้าจึงโดยสานมาด้วย มาถึงด่านเมืองสมุทปราการ ขุนนางจะชื่อไรหาทราบไม่เอาตัวข้าพเจ้าไปถามจดหมายเอาถ้อยคำข้าพเจ้าไว้แล้วส่งข้าพเจ้ามาณกรุงฯ สิ้นคำให้การข้าพเจ้าเท่านี้

บาเลศเตียทูตเข้ามาครั้งนี้ เจ้าพนักงานจัดของแต่งเรือนทูตและจัดของทักและจ่ายของหลวงในนี้

วันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก พระยาพิพัฒน์โกษารับพระราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า เจ้าเมืองอเมริกันแต่งให้บาเลศเตียขุนนางถือหนังสือเข้ามาเปนทางไมตรี บาเลศเตียขี่กำปั่นรบเข้ามา กำปั่นกินน้ำฦก เข้ามาปากน้ำไม่ได้ ให้เรือออกไปรับตัวบาเลศเตีย ๑ ขุนนางรอง ๑ หมอดีน ๑ คนใช้ ๑ รวม ๔ คน กำหนดจะได้ขึ้นมาถึงกรุงฯ ขึ้นอยู่เรือนพักน่าวัดประยุรวงศ์อาวาส

ณวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก เพลาเช้านั้น ๔ ตำรวจไปยืมเตียงมาจากกรมท่าไปตั้งให้บาเลศเตีย ๑ ขุนนางรอง ๑ หมอ ๑ รวม ๓ หลัง พระคลังวิเศษเอามุ้งแพรไปผูกให้บาเลศตีย ๑ ขุนนางรอง ๑ หมอ ๑ รวม ๓ หลัง พระคลังในซ้ายเอาฟูกไปปูเตียง ๓ ฟูก ผ้าขาวไปปูฟูก ๓ ฟูก หมอนนุนศีร์ษะ ๓ ใบ หมอนข้าง ๓ ใบ ให้บาเลศเตีย ๑ ขุนนางรอง ๑ หมอ ๑ รวม ๓ คน ให้รักษาองค์รับอ่างเขียวต่อพระคลังในซ้ายไปตั้งให้ฝรั่ง ๓ ใบ ให้พระคลังในซ้ายจ่ายอ่างเขียวให้รักษาพระองค์ ๓ ใบ ให้กรมพระกลาโหมจ่ายตุ่มน้ำให้กรมเมือง ๒ ใบ ให้กรมเมืองรับเอาตุ่มน้ำต่อกรมพระกลาโหมไปตั้งให้ฝรั่งแขกเมือง ๒ ใบ ให้กรมนาเอาเข้าสารซ้อมไปจ่ายให้ฝรั่งและทหาร ๑๐ วันไปครั้ง ๑ ครั้งละ ๓๐ ถังกว่าฝรั่งจะกลับ และพระคลังราชการเอาเสื่ออ่อน ๒ ชั้นไปปูเตียงให้ฝรั่ง ๓ ผืน เสื่อห่วง ฟืนหุงเข้า น้ำมันมะพร้าว ให้เจ้าพนักงานข้างที่เร่งเอาสิ่งของไปเตรียมณโรงพักฝรั่งแต่ณวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเย็นให้พร้อม และให้ขุนศาลมหาดไทย ขุนศาลกลาโหม ขุนศาลจตุสดมภ์ จัดแจงแต่งสิ่งของเวียนกันไปทักฝรั่งเมืองอเมริกัน มหาดไทยวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ที่ ๑ กลาโหมวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๕ ที่ ๒ กรมวังวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ที่ ๓ กรมนาวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๖ ที่ ๔ กรมเมืองวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ ที่ ๕ กรมท่าวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ที่ ๖ และให้เจ้าพนักงานทั้งนี้จัดสิ่งของเวียนกันไปทักแขกเมืองฝรั่ง ๓ วันครั้ง ๑ กว่าแขกเมืองจะกลับไป และส่งของซึ่งไปทักนั้นราคาเปนเงิน ๑ ตำลึงจงทุกครั้ง แล้วให้ทำหางว่าวยื่นเสมียนตรายื่นกรมท่าจงทุกครั้ง

ด้วยพระยาพิพัฒน์โกษารับพระราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า ให้กรมนาเอาน้ำนมโคมาจ่ายให้ฝรั่งแขกเมืองแต่ณวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเช้าเสมอทุกวันกว่าฝรั่งแขกเมืองจะกลับไป

วันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเงินกับขุนนางอเมริกันให้ซื้อจ่ายรับพระราชทาน ๑ ชั่ง ให้พระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินให้พระคลังวิเศษ ๑ ชั่ง ให้พระคลังวิเศษไปรับเอาเงินต่อเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติลงไปณจวนท่านพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาแต่ณวันแรม ๑๒ ค่ำ เดอน ๕ ปีจอโทศก เพลาเช้า จะได้พระราชทานให้กับขุนนางอเมริกัน

วันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอโทศก หมายไปว่า ให้หลวงอุดมภักดีจางวางฝีพายจัดเรือกรายยาว ๑๑ วาลำหนึ่งมีกัญญา ให้นายนิด นายชิด จัดพนักข้างพนักหลัง แต่งให้ครบกะทง ให้มาคอยรับอาลักษณ์กับพาน ๒ ชั้นไปรับหนังสือเจ้าเมืองอเมริกันที่โรงพักน่าวัดประยุรวงศ์อาวาสแต่ณวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เพลาเช้า ล่ามเอาหนังสือมาส่งให้ อาลักษณ์เอาหนังสือใส่พาน ๒ ชั้นกลับมาประทับน่าพระตำหนักน้ำ ในอาลักษณ์เอาหนังสือมาส่งณโรงพระมาลาภูษา แล้วให้พันพุฒ พันเทพราช จ่ายเลขให้นายนิด นายชิด แล้วนายนิด นายชิด ไปรับเสื้อแดงหมวกแดงต่อชาวพระคลังเสื้อหมวกให้ครบกะทง แล้วให้นายเวรกรมพระอาลักษณ์เอาพาน ๒ ชั้นไปลงเรือน่าพระตำหนักน้ำ

ณวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอโทศก เพลาเที่ยงไปรับหนังสืออเมริกันณโรงพักน่าวัดประยุรวงศ์อาวาส ล่ามส่งหนังสือให้ แล้วให้อาลักษณ์ใส่พาน ๒ ชั้นมาถึงน่าพระตำหนักน้ำ แล้วให้เอาหนังสือมาส่งณตึกพระภูษามาลา แล้วให้นายเวรกรมท่ารับเอาหนังสืออเมริกันไปแปล ให้พระคลังเสื้อหมวกจ่ายเสื้อแดงหมวกแดงให้กับนายนิด นายชิด ให้ครบพลพาย อย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง เงินซึ่งเคยพระราชทานให้ทูตเข้ามาแต่ก่อน ๆ กับให้ขุนศาลทักทูตนั้น ทูตเข้ามาครั้งนี้ให้งด หาได้พระราชทานและจัดของให้ขุนศาลจัดของมาทักไม่ แต่เงินค่ากับข้าวซึ่งทำเลี้ยงทูตนั้นให้เรี่ยรายเอาเงินที่เจ้าภาษีขึ้นในกรมท่าพระคลังสินค้า ให้พระยาวิเศษสงครามฝรั่งจัดพ่อครัวทำกับข้าว


  1. คือประธานาธิบดีชื่อเตเลอ
  2. พระเจ้าลูกยาเธอสิ้นพระชนม์เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๙๒ รวม ๔ พระองค์ คือพระองค์เจ้าหญิงเกศนี ๑ พระองค์เจ้าหญิงพวงแก้ว ๑ พระองค์เจ้าชายเฉลิมวงศ์ ๑ พระองค์เจ้าชายจินดา ๑
  3. คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ฯ ในรัชกาลที่ ๔.
  4. คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติในรัชกาลที่ ๔.

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก

Public domainPublic domainfalsefalse