นิทานเวตาล/ปลายเรื่อง

จาก วิกิซอร์ซ
ปลายเรื่อง

เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอึ้งมิได้ออกพระโอษฐ์ตรัสประการใดดังนั้น เวตาลก็แสดงวาจาอาการประหลาดใจเปนที่สุด กล่าวชมว่า ทรงตั้งมั่นพระหฤทัยดีนัก พระปัญญาราวกับเทวดาแลอมนุษย์อื่นที่มีปัญญา จะหามนุษย์เสมอมิได้ แต่ถึงเวตาลจะเห็นแล้วว่า พระราชาตั้งพระหฤทัยจะไม่รับสั่ง ก็ยังไม่ยอมสนิท ยังกล่าวยั่วโดยเพียรจะให้รับสั่งให้จงได้

เวตาลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอถวายพระพรให้ทรงรับความสำราญ เปนผลแห่งการที่ทรงนิ่งครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงเพียรมาหลายครั้งแล้วที่จะห้ามความช่างพูดในพระองค์ แต่ก็ไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไม่ทูลถามว่า การที่ทรงระงับความช่างพูดนั้นเปนด้วยความถ่อมพระองค์แลความสามารถกุมพระสติไว้ได้ หรือเปนด้วยความโง่แลไม่สามารถเท่านั้นเอง การที่ข้าพเจ้าไม่ทูลถามว่า ไม่ทรงตอบเพราะเหตุไรนั้น ก็เพราะข้าพเจ้าต้องการจะไว้พระพักตร์ แลพระองค์ก็คงจะทรงทราบแล้วว่า ข้าพเจ้าสงสัยว่าไม่ทรงตอบเพราะพระปัญญาทึบ ไม่ทรงทราบว่าจะตอบว่ากระไร หาใช่เปนด้วยมีพระปัญญาจะตอบได้ถูกต้อง แต่ไม่ทรงตอบเพราะกุมพระสติไว้ได้ไม่ การที่ไม่ทรงตอบปัญหาครั้งนี้ ก็กล่าวได้ว่าเปนด้วยทรงเชื่อคำแนะนำของข้าพเจ้า แลข้าพเจ้ามีความปลื้มใจที่ทรงเชื่อคำสั่งสอนของเวตาล จึ่งไม่ทูลซักถามว่าทรงเชื่อเพราะความฉลาดกุมสติไว้ได้ หรือเปนเพราะโง่ไม่รู้จะตอบว่ากระไร แลความไม่ตอบก็เปนความเชื่อคำสั่งสอนของข้าพเจ้าไปในตัว"

พระวิกรมาทิตย์ทรงกัดริมฝีพระโอษฐ์เพื่อจะห้ามพระองค์เองมิให้ตรัส แลก็ห้ามไว้ได้

เวตาลกล่าวต่อไปว่า "เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกความทึบแห่งพระปัญญา แลได้รับทุกข์คืออัดอั้นตันพระหฤทัยถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เกิดสงสาร จึ่งยอมรงับความมุ่งหมายซึ่งมีมาแต่ในเบื้องต้นว่าจะทำให้ทรงดำเนินทวนไปทวนมาจนสิ้นพระชนม์ลงในระหว่างทาง เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสละศพที่สิงอยู่เดี๋ยวนี้เข้าสิงศพพระราชาลองดูว่ามีรสชาติเปนอย่างไรบ้าง อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถวายสัญญาไว้แต่ในชั้นเดิมว่าจะถวายประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครอื่นจะถวายได้ แต่ก่อนที่จะถวายนั้น ข้าพเจ้าขอทูลถามว่า พระองค์จะทรงขยับย่ามให้ข้าพเจ้าหายใจสดวกขึ้นอีกหน่อยจะได้หรือไม่"

พระธรรมธวัชพระราชบุตรได้ยินเวตาลทูลถามดังนั้น ก็จับแขนเสื้อทรงพระราชบิดากะตุกเพื่อจะเตือนให้รู้พระองค์มิให้ตรัสตอบเวตาล แต่พระราชบิดารู้สึกพระองค์อยู่แล้ว แม้ใครจะเอาม้ามาลากหลายคู่ก็ไม่ฉุดให้พระวาจาออกจากพระโอษฐ์ได้ ฝ่ายเวตาลเมื่อเห็นพระราชาทรงนิ่งอยู่ดังนั้นก็กล่าวต่อไปว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เปนใหญ่ในหมู่นักรบ พระองค์จงรำลึกถึงคำซึ่งอสูรปัถพีบาลได้ทูลไว้ว่า ผู้ใดมุ่งจะฆ่าชีวิตพระองค์ ๆ อาจตัดหัวผู้นั้นเสียก่อนได้โดยคลองธรรม แลในการข้างน่าซึ่งจะเปนไปตั้งแต่บัดนี้ พระองค์พึงปฏิบัติตามคำที่อสูรกล่าวนั้น ส่วนพ่อค้าพลอยซึ่งถวายทับทิมแก่พระองค์เปนอันมาก แลโยคีชื่อศานติศีลซึ่งกระทำพิธีอยู่ที่ป่าช้าริมฝั่งแม่น้ำโคทาวรีนั้น คือคน ๆ เดียวกัน แลมิใช่ใครอื่น คือโยคีซึ่งพระราชบิดาแห่งพระองค์ได้กระทำเหตุให้โกรธแลมาดหมายจะแก้แค้นเปนเวรกันอยู่จนบัดนี้ ส่วนข้าพเจ้าผู้เปนลูกพ่อค้าน้ำมันนั้น โยคีกลัวว่าจะกระทำการกีดกั้นความเปนใหญ่ในโลกของเขา จึ่งฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยอำนาจตะบะ แลพาศพข้าพเจ้ามาแขวนห้อยหัวไว้ที่ต้นอโศกเปนเครื่องล่อลวงพระองค์

"โยคีนั้นเปนผู้ใช้ให้พระองค์มาปลดข้าพเจ้าแบกไปให้แก่เขา แลเมื่อพระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าลงที่เท้าเขาในคืนวันนี้ เขาจะสรรเสริญความกล้าแลความเพียรของพระองค์ขึ้นไปจนถึงฟ้า ข้าพเจ้าขอทูลให้รู้พระองค์แลระวังพระองค์จงหนัก เพราะโยคีคงพาพระองค์ไปที่น่ารูปนางทุรคา แลเมื่อเขาได้บูชาแล้ว เขาจะเชิญให้พระองค์เคารพเทวรูปโดยอัษฎางคประณต"

ตรงนี้เวตาลทูลกระซิบค่อย ๆ ประหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้ได้ยินแลนำคำที่กล่าวนั้นไปบอกโยคีศานติศีล ครั้นทูลเสร็จแล้ว เวตาลก็ออกจากศพ ทำให้ย่ามซึ่งพระราชาทรงแบกอยู่นั้นเบาเข้าเปนอันมาก แต่เมื่อได้ออกจากย่ามแล้ว ยังลอยกล่าวสรรเสริญพระราชาแลพระราชบุตรอยู่อีก คำสรรเสริญนั้นเปนไปในทางที่ชมว่า ทรงรู้สึกความโง่แลลดหย่อนราชมานะอันเปนคุณความดี ซึ่งถ้ามีในตัวใคร ผู้นั้นย่อมมีความสุขในโลก

ครั้นเวตาลไปพ้นแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็รีบทรงดำเนิรไปถึงป่าช้า พบโยคีกำลังนั่งเคาะกะโหลกหัวผีกล่าวไม่อยุดปากว่า "โห กาลี โห ทุรคา โห เทวี" รอบตัวโยคีนั้นมากไปด้วยรูปกายที่น่าเกลียดน่ากลัวต่าง ๆ คือ ผีอสูรทั้งหลายสำแดงรูปต่าง ๆ กัน บ้างก็เปนนาค บ้างก็เปนภูต บ้างก็เปนรูปแพะใหญ่ซึ่งผีแห่งผู้ฆ่าพราหมณ์ได้เข้าสิงอยู่ บ้างก็เปนหนอนใหญ่ซึ่งผีแห่งพราหมณ์กินเหล้าเปนผู้สิง บ้างก็เปนรูปคนหน้าเปนม้าแลอูฐแลลิง บ้างก็เปนรูปคนขาข้างเดียวหูข้างเดียว แลเปนผีดูดเลือดเพราะเมื่อยังไม่ตายได้ขะโมยของวัด บ้างก็มีรูปเปนแร้งแลเปนผีเลว ๆ เพราะเคยเปนชู้กับเมียอุปัชฌาย์ หรือได้เมียเปนคนต่ำชาติ หรือเปนผีทำบาปอื่นต่าง ๆ บ้างก็เปนรูปสัตว์ที่น่าเกลียดแลน่ากลัวกัดกินท่อนแห่งศพมนุษย์แลทำเสียงกึกก้องไปทั้งป่าช้า

ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จเข้าไปใกล้จะถึงตัวโยคี โยคีก็ยกแขนขึ้นเปนสัญญา เสียงทั้งหลายก็อยุดนิ่งหมด พระราชาก็ทรงทิ้งย่ามศพลงตรงหน้าโยคี โยคีก็แสดงความยินดี แลกล่าวสรรเสริญความมั่นคงของพระราชาเปนอันมาก แล้วโยคีก็อยิบเอาศพซึ่งเปนศพเด็กออกมาจากย่าม แล้วหันหน้าไปทางทิศใต้ ร่ายมนต์อยู่ครู่หนึ่ง ศพนั้นก็มีอาการเหมือนเปน แล้วโยคีก็ถวายของเปนเครื่องบูชาพระเทวี คือ พลู, ดอกไม้, ไม้จันทน์, เข้า, ลูกไม้, แลเนื้อมนุษย์ซึ่งไม่เคยถูกคมเหล็ก แล้วเอาเชื้อเพลิงใส่ลงในกะโหลกหัวผี จุดไฟเป่าจนลุกเปนเปลวใช้แทนโคมส่องทางนำพระราชาแลพระราชบุตรไปยังเทวรูปนางกาลี เปนรูปหญิงดำคอขาดจากตัวครึ่งหนึ่ง ลิ้นแลบออกมาจากปากซึ่งอ้ากว้าง ตาแดงเหมือนคนเมา คิ้วแดง แลผมซึ่งเปนเส้นอยาบนั้นห้อยคลุมลงไปจนถึงเท้า เสื้อผ้าที่คลุมนั้นคือหนังช้างแห้ง สเอวรัดด้วยโซ่ร้อยด้วยมือแห่งยักษ์ซึ่งนางฆ่าตายในขณะรบ มีศพสองศพห้อยเปนกุณฑลที่หูสองข้าง แลสร้อยคอนั้นเปนโซ่กะโหลกหัวคน มือทั้งสี่ถือดาบ, บาศ, ตรี, แลคทา, เท้าหนึ่งเหยียบอกพระศิวะผู้สามี อีกเท้าหนึ่งเหยียบน่อง น่าเทวรูปอันน่ากลัวนี้มีเครื่องใช้ในการบูชาต่าง ๆ คือ ตะเกียง หม้อ แลภาชนะอื่น ๆ กับสังข์ แลฆ้อง เปนต้น ของเหล่านี้มีกลิ่นเลือดทั้งนั้น

ครั้นโยคีพาพระราชาแลพระราชบุตรไปถึงน่าเทวรูปแล้ว ก็ก้มลงวางกะโหลกศีศะที่ถือเปนโคมนำทางมานั้นลงกับพื้น แล้วอยิบดาบมาถือแอบหลังไว้ แลทูลพะราชาว่า

"ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรงกระทำตามสัญญาแล้วโดยทางที่ชอบทุกประการ แลเพราะเหตุที่พระองค์เสด็จมาในที่นี้ พิธีของข้าพเจ้าจะเปนอันสำเร็จดังหมาย พระอาทิตย์ก็จะขับรถข้ามเขาเบื้องตวันออกอยู่แล้ว เชิญพระองค์ทรงเคารพพระผู้เปนเจ้าโดยอัษฎางคประณต แลพระเกียรติ์ของพระองค์จะรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป สิธิทั้งแปด แลนิธิทั้งเก้า จะได้เปนของพระองค์ แลความจำเริญจะมียืนยาวไปชั่วกาลนาน"

พระวิกรมาทิตย์ทรงฟังดังนั้น รำลึกได้ถึงคำเวตาล จึ่งรับสั่งแก่โยคีโดยอาการเคารพว่า "ข้าพเจ้าเปนพระราชา ไม่เคยกระทำอัษฎางคประณต ขอท่านผู้เปนอาจารย์จงทำให้ข้าพเจ้าดูก่อน แล้วข้าพเจ้าจะทำตาม"

โยคีผู้ฉลาดขุดหลุมไว้ล่อพระราชา ก็ตกหลุมที่ตัวเองทำไว้ ครั้นโยคีก้มตัวลงกระทำอัษฎางคประณต พระวิกรมาทิตย์ก็ชักพระแสงดาบออกฟาดถูกศีศะโยคีขาดกระเดนไป ขณะนั้นเทวรูปล้มคว่ำลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหนี่ยวพระองค์กระชากไปโดยแรง พระราชาจึ่งหลีกพ้นเทวรูปรอดชีวิตไปได้

ในทันใดนั้นมีเสียงกล่าวในอากาศว่า "บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม" แลมีเสียงดลตรีแลคำอวยชัยมาจากในฟ้า ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวารก็เสด็จมาเฉพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพร ๆ หนึ่ง

พระวิกรมาทิตย์ทูลว่า "ข้าแต่พระจอมสวรรค์ ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้านี้ปรากฏเกียรติ์ไปในโลกชั่วกาลนาน"

พระอินทร์ตรัสว่า "เราให้พรแก่ท่านดังขอ แลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟ้า แลฟ้ายังครอบดิน ตราบนั้นให้เรื่องนี้ปรากฏไปในโลก"

ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดมีพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า "เมื่อข้าเรียก เจ้าจงมาทันที" แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเปนสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเปนสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติ์ซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้

จบบริบูรณ์