พงศาวดารภาคอีสาน (พระยาขัติยะวงษา)
สำหรับในการที่จะปลงศพมารดาของภรรยาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับปากไว้ จะเป็นผู้จัดการหาหนังสือสำหรับพิมพ์ช่วย เพื่อได้สนองคุณแก่ท่านที่ได้มีความกรุณามาในงานนี้ แต่เมื่อยังไม่มีกำหนดว่าจะทำกันเมื่อไรแน่ ข้าพเจ้าก็นึกเสียว่า คงจะมีเวลาอีกนานวัน หนังสือที่รับปากไว้ว่าจะหาพิมพ์ขึ้นนั้น รอไว้เลือกหาต่อเมื่อมีเวลาว่าง ๆ ก็ได้ จึงเป็นอันนอนใจ ครั้นต่อมาคิดว่าจะทำกัน ก็กำหนดวันอย่างกระชั้น เกือบจะกลับตัวไม่ทัน ได้พยายามค้นเรื่องเก่า ๆ ที่มีอยู่ออกมา จึงได้พบหนังสือพงศาวดารภาคอีสาน ซึ่งพระยาขัติยวงษา (เหลา ณร้อยเอ็จ) เป็นผู้เก็บรวบรวมไว้ และคัดส่งมาให้เมื่อ ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) ครั้งข้าพเจ้ายังรับราชการอยู่ที่มณฑลอิสาณ (ต่อมาแยกเป็นมณฑลอุบลกับมณฑลร้อยเอ็ด และบัดนี้ยุบมณฑลอุบลกับมณฑลร้อยเอ็ดเข้ามารวมขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา) เมื่อตรวจดูก็คิดเห็นว่าถ้าจะพิมพ์ขึ้นแต่ฉะเพาะ ก็ออกจะได้หนังสือน้อยยกไปสักหน่อย ทั้งข้อความบางคำเป็นภาษาไทยน้อย ซึ่งใช้กันอยู่ทางแถบโน้น ควรจะต้องอธิบายคำศัพท์นั้น ๆ ด้วย บางท่านจึงจะอ่านเข้าใจดี กับอีกประการหนึ่ง จุลศักราชที่กล่าวไว้นั้นควรจะได้มีการสอบสวนกับเรื่องอื่น ๆ ให้ได้ผลมากที่สุดที่ควรจะทำได้เสียก่อน เพราะการที่คัดลอกต่อ ๆ มาเช่นนี้ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนได้อยู่บ้าง เมื่อคิดไปเช่นนี้ ก็ชักจะรวนเรในใจมากขึ้นทุกที ครั้นหวนมาคิดดูอีกทีหนึ่งว่า ถ้าไม่จัดการพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นไว้เสีย ฉวยว่าต้นฉะบับนี้ศูนย์หายไป ก็จะหาใหม่ได้ด้วยยาก และจะทำให้เกิดความเสียดายภายหลัง จึงเป็นอันตกลงพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นตามต้นฉะบับเดิม โดยมิได้แก้ไขข้อความสำนวนหรือสอบสวนจุลศักราชที่กล่าวไว้ประการใด นอกจากจะแก้ตัวสะกดการันต์บางแห่งให้ถูกต้องกับที่นิยมใช้กันอยู่เท่านั้น ส่วนคำภาษาไทยน้อยบางคำ ซึ่งเห็นว่าควรจะมีคำอธิบาย ก็ได้อธิบายไว้บ้างอย่างสังเขปตามที่ควรจะทำได้ในเวลาอันน้อย และการที่ทำโดยรีบร้อนเช่นนี้ ย่อมจะมีขาดตกบกพร่องและคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเป็นธรรมดา จึงขอประทานอภัยไว้ณที่นี้ด้วย
พระยาขัติยวงษา เมืองร้อยเอ็จ มายังท่าน หลวงจรูญชวนะพัฒน์ ข้าหลวงธรรมการ มณฑลอิสาณ อุบล ฯ
บัดนี้ ข้าพเจ้าได้คัดพงศาวดารมาให้ท่านด้วยแล้ว เมื่อธันวาคม ร.ศ. ๑๒๙ ข้าพเจ้าส่งมาถวายเจ้าคุณเทศาฉะบับ ๑ แต่ใจความขาดเหลือบ้าง เพราะต้นร่างเดิมหายไปบ้าง ได้ครึ่งกลาง บัดนี้ข้าพเจ้าค้นได้มาสอบทานคัดแต่ใจความ จะส่งมาให้เจ้าคุณเทศาอีก ใจความถูกกับฉะบับที่ส่งมาให้ท่านนี้
โอกาสนี้ ขอแสดงความนับถือมายังท่านด้วย
เมื่อจุลศักราช ๑๐๐๕ ปีมะแมเบ็ญจศก เพลากลางคืนท่านพระครูยอดแก้ว[1]กรุงเวียงจันทน์จำวัดอยู่ นิมิตรคำฝัน ว่ามีคชสารพลายตัวหนึ่ง เข้ามาในอารามเขตต์แล้วทำลายพระวิหาร ขึ้นบนกุฏิ แทงหอไตรทำลายลงแล้ว จับได้หีบหนังสือ กลืนกินเป็นภักษาหาร ท่านพระครูรู้สึกตัวขึ้น ตกใจ เวลาตีสิบเอ็ดครองผ้าแล้ว ตีระฆังใหญ่ พระสงฆ์ทั้งปวงได้ยินเสียงระฆัง ก็พร้อมกันมาปลงอาบัติตามเคย ท่านพระครูยอดแก้วเล่านิมิตรคำฝันให้พระสงฆ์ฟังแล้ว บอกว่าเวลารุ่งแล้ว คงจะเห็นสิ่งสำคัญเป็นแน่ ครั้นพระสงฆ์ลาท่านพระครูไปแล้ว ถึงเวลาไปบิณฑบาต ครั้นบิณฑบาตกลับมา เห็นสามเณรน้อยอายุประมาณ ๑๓
๑๔ ปีนั่งอยู่ในโรงธรรม ท่านพระครูเรียกตัวมาถาม บอกว่าอยู่กระลืมเมืองพลาน เป็นลูกศิษย์ท่านพระครูกระลืมบอง เป็นคนโฉดเขลาหาปัญญามิได้ จะอยู่กับท่านผู้ใดท่านก็ไม่ให้อยู่ จึงได้จรมาหาที่พึ่ง เมื่อท่านพระครูฟังสามเณรน้อยพูดเช่นนั้น ก็ล่วงรู้ปัญญา จึงให้สามเณรน้อยขึ้นมาบนกุฏิ ฉันจังหัน[2]แล้ว จึงบอกให้สามเณรเล่าภาษาบาลีตั้งแต่ นโม จนสิ้นปาติโมกข์ และให้เล่าต่อไปจนสุดสนธิ์มูล ก็ถูกต้องบริบูรณ์ดี จึงม้าง[3]พระไตรปิฎกอยู่ในตู้หอไตรมาให้สามเณรดู ก็รู้ตลอดทุกคัมภีร์ และให้พระสงฆ์แก้สายสนองพระไตรปิฎกทุกคัมภีร์ ทลายไว้ตามลานวัด ให้สามเณรน้อยเก็บรวมเป็นผูกเป็นมัด ก็เก็บได้โดยคล่องแคล่วรวดเร็ว เป็นที่น่าพิศวงยิ่งนัก ความเลื่องลือถึงพระเจ้าเวียงจันทน์ ๆ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา นำเอาผ้าไตรมาถวาย ยกสามเณรขึ้นเป็นซาจั่ว[4] แต่บัดนั้นมาความก็ลือชาไปทั่วเขตต์กรุงเวียงจันทน์ พออายุครบ ๒๑ ปี พระเจ้าเวียงจันทน์นิมนต์ซาจั่วให้อุปสมบทเป็นภิกษุ ซาจั่วจึงพูดว่า ถ้าจะบวชข้าพเจ้าแล้วให้อาราธนาพระสงฆ์มานั่งหัตถบาสให้ครบ ๕๐๐ รูป พระเจ้าเวียงจันทน์จึงสั่งแสนท้าวพระยาลาวให้คาดเรือติดกันหลายลำเป็นโบสถ์น้ำ แห่สามเณรลงไปบวช ครั้นสูด[5]กรรมวาจาจบ โบสถ์น้ำก็จมลง ภิกษุทั้งหลายกับภิกษุบวชใหม่ก็ต่างคนต่างว่ายน้ำขึ้นถึงฝั่ง สังฆา[6]จีวรภิกษุทั้งหลายก็เปียกหมด แต่ภิกษุบวชใหม่หาเปียกไม่ พระเจ้าเวียงจันทน์ยิ่งมีความปีติยินดีเป็นอันมาก ครั้นครบพรรษาหนึ่ง พระเจ้าเวียงจันทน์ จึงพร้อมพระครูทั้งหลายฮด[7]ภิกษุบวชใหม่ให้นามว่า พระครูโพนเสม็ด[8]บ้าง บางคนก็เรียกว่าพระครูสีดาตามนามเดิม ท่านพระครูรักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ช้านานเท่าใด ก็ได้อภิญญาณ ๕ อัฏฐสมาบัติ ๘ ประการ สำเร็จไปด้วยฌาน จะว่าสิ่งใดก็แม่นยำโดยบารมีธรรมโปรดสำเร็จดังมโนนึกความปรารถนา น้ำมูตรและอาจมก็หอม พระเจ้าเวียงจันทน์จัดให้มีโยมอุปฐากรักษา ท่านพระครูเอานายแก้ว นายหวด มาเลี้ยงไว้ นายแก้ว นายหวด เรียนศิลปวิชชาความรู้มากฉลาดเฉลียว ครั้นอายุครบ ๒๑ ปี ก็บวชเป็นภิกษุให้ทั้ง ๒ คน
ครั้นอยู่มาพระเจ้าเวียงจันทน์มีพระโอรสองค์หนึ่ง เรียกว่าเจ้าองค์หล่อ อายุได้ ๓ ปี พระมเหสีมีครรภ์อยู่อีกได้ ๖ เดือน จุลศักราช ๑๐๕๑ ปี พระเจ้าเวียงจันทน์ถึงแก่พิราลัย พระยาเมืองแสนชิงเอาราชสมบัติได้ เจ้าองค์หล่อกับบ่าวไพร่ที่สนิทหนีเข้าไปพึ่งญวน ก็ได้เป็นใหญ่อยู่เมืองญวน แต่มเหสีนั้นเมื่อพระยาเมืองแสนจะรับไปอยู่ด้วย นางไม่ยอม จึงหนีเข้าไปพึ่งอยู่กับพระครูโพนเสม็ด ๆ กลัวความนินทา จึงส่งนางไปไว้บ้านซ่อง่อหอคำ ครั้นคำรบ ๑๐ เดือน นางประสูติพระโอรสออกมาเป็นชาย มารดาญาติพี่น้องถวายนามว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ ท่านพระยาเมืองแสน จึงดำริว่า พระครูมีบุญมาก คนนิยมนับถือ กลัวจะชิงเอาราชสมบัติ จึงคิดเป็นความลับจะทำอันตรายแก่ท่านพระครู ๆ ก็ล่วงรู้ในความคิดของพระยาเมืองแสน ท่านจึงว่า มีมารมาประจญแล้ว จะอยู่มิได้ ต้องหลีกหนีให้พ้นมาร ท่านพระครูจึงใช้ให้คนไปรับเอามารดากับเจ้าหน่อกษัตริย์มาแต่ซ่อง่อหอคำ แล้วจึงปฤกษากับญาติโยม คนอุปฐากพร้อมกันแล้วรวมได้ชายหญิงใหญ่น้อย ๓๓๓๓ คน พาภิกษุแก้ว ภิกษุหวดอุปยก[9]จากเวียงจันทน์ มาถึงงิ้วพลานลำสมสนุก ท่านพระครูให้มารดาและเจ้าหน่อกษัตริย์พักอาศัยอยู่ที่นั้น ท่านพระครูกับคนอื่น ๆ ก็เดิรต่อไป ครั้นไปถึงบ้านใดตำบลใด มีคนนิยมนับถือติดตามไปด้วยบ้านละ ๒ ครัว ๓ ครัว ตลอดถึงเขตต์กรุงอินทปัตถานคร ท่านพระครูพาญาติโยมพักอยู่ภูเขาแห่งหนึ่ง สร้างเจดีย์องค์หนึ่ง เมื่อถึงวันแรม ยังมีหญิงเขมรคนหนึ่ง ชื่อยายเป็น ลงไปอาบน้ำชำระเนื้อกาย เผอิญเห็นพระชินธาตุไหลเลื่อนลอยมาตามสายน้ำ มีรัศมีงามยิ่งนัก ยายเป็นเห็นประหลาด จึงเอาขันเข้ารองรับได้แล้วนำไปถวายแก่ท่านพระครู ๆ เห็นว่าเป็นพระชินธาตุแน่แล้ว ขอบิณฑบาตกับยายเป็น ๆ มีความเลื่อมใส ถวายพระชินธาตุแก่ท่านพระครู ๆ เอาพระชินธาตุบรรจุไว้ในเจดีย์ ขนานนามว่าเจดีย์พนมเป็นมาเท่าบัดนี้ ท่านพระครูหล่อพระปฏิมากรทองเหลืองไว้องค์หนึ่ง แต่หาทันเสร็จแล้วไม่ เจ้ากรุงพระทายเพ็ชร์ใช้ขุนนางมาทำบัญชีสำมโนครัว และว่าจะเก็บเอาเงินแก่ญาติโยมของท่านพระครูครัวละ ๘ บาท ท่านพระครูกลัวญาติโยมจะได้ความเดือดร้อน จึงพาครอบครัวหนีขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง รอนแรมทำบุญให้ทาน หล่อพระตามเกาะในลำน้ำโขงก็มีบ้าง แล้วก็เดิรเลยต่อ ๆ ถึงนครกาลจำบากนาคบุรีศรี ขณะนั้นนางเพาแม่นางแพงบุตร กับพระยาคำยาด พระยาสองฮาด ไปนิมนต์ท่านพระครูให้อยู่รักษาพระศาสนาให้รุ่งเรืองถาวร อนุญาติทั้งพุทธจักร์อาณาจักร์ให้แก่ท่านพระครูปกครองรักษา ต่อ ๆ มาประชาชนพลเมืองมีน้ำใจวิหิงสาบังเบียดฉกลักทรัพย์สิ่งของ ช้าง ม้า โค กระบือ เนือง ๆ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ครั้นท่านพระครูจะจับตัวมาลงโทษจำขังเฆี่ยนตี ก็จะผิดบาลีสิกขาบท มีความมัวหมองแก่ท่านพระครูต่อไป ท่านพระครูจึงพร้อมกันปรึกษาเสนากรมการ เห็นว่าเจ้าหน่อกษัตริย์สมควรจะครอบครองบ้านเมืองได้ จึงแต่งให้จาร[10]แก้ว ท้าวเพี้ยไพร่พลขึ้นไปอัญเชิญรับเอาเจ้าหน่อกษัตริย์กับพระมารดาลงมาถึงนครกาลจำบากนาคบุรีศรี ในจุลศักราช ๑๐๗๕ ปีมะเส็งเบ็ญจศก อัญเชิญขึ้นครองเมือง ถวายพระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธกุล เป็นเจ้าเอกราช ครองราชสมบัติณกรุงกาลจำบากนาคบุรีศรี ตามราชประเพณีกษัตริย์มาลาประเทศแต่กาลปางก่อน จึงผลัดนามเมืองใหม่ว่านครจำปาศักดิ์นาคบุรีศรี ท่านพระครูและเจ้าสร้อยศรีสมุทร ฯ จัดแจงตั้งแต่งบ้านเมือง คือให้ตั้งบ้านโขงเป็นเมืองโขง จารหวดเป็นเจ้าเมือง ยกบ้านหางโขงขึ้นเป็นเมืองเชียงแตง ให้พ่อเชียงแปลงเป็นเจ้าเมือง แล้วจัดให้จารเสียงสางไปเป็นเจ้าเมืองศรีคอนเตา เรียกว่าเจ้าเมืองรัตนบุรี ให้จารแก้วเป็นเจ้าเมืองทุ่ง เรียกว่าเมืองสุวรรณภูมิบัดนี้ ปันอาณาเขตต์ให้ปกครองรักษาฝ่ายเหนือ ตั้งแต่ยางสามต้น อ้นสามขวย[11] หลักทอดยอดยัง[12] ข้างตะวันออกถึงเขาประทัด ต่อแดนกับอ้ายญวน ข้างตะวันตกถึงลำน้ำพังชู[13] ทิศใต้ถึงห้วยลำคันยุง[14]เป็นแดน จารแก้วออกจากนครจำปาศักดิ์มาตั้งเมืองในระหว่างจุลศักราช ๑๐๘๐ ปี มีไพร่พลชายหญิงใหญ่น้อยประมาณ ๓๐๐๐ คนเศษ จารแก้วเจ้าเมืองทุ่ง มีบุตรชาย ๓ คน คนที่ ๑ ชื่อท้าวมืด คนที่ ๒ ชื่อท้าวทน คนที่ ๓ ชื่อท้าวเพ จารแก้วครองเมืองทุ่งได้ ๑๖ ปี ระหว่างจุลศักราช ๑๐๙๖ ปี จารแก้วถึงแก่กรรม ท้าวมืดผู้พี่ได้ครองเมืองแทนบิดา ท้าวทนเป็นอุปฮาด ตั้งแข็งเมืองเป็นเอกราช ไม่ได้ขึ้นแก่นครจำปาศักดิ์ เพราะเหตุว่านครจำปาศักดิ์พี่กับน้องเกิดวิวาทยาด[15]ชิงสมบัติแก่กัน จึงหาได้ติดตามมาว่ากล่าวเอาส่วยสาอากรไม่ ท้าวมืดมีบุตรชาย ๒ คน ผู้พี่ชื่อท้าวเชียง ผู้น้องชื่อท้าวสูน และได้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อ ๆ มา ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ครั้นต่อมาเจ้าองค์หล่อหน่อคำ ซึ่งเป็นบุตรจารแก้ว หลานเจ้าเมืองน่าน พาไพร่พลมาสืบหาบิดา ซึ่งรู้ข่าวว่าบิดามาเป็นเจ้าเมือง อยู่ริมสระสี่แจง[16] แฮ้ง[17]สี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก ครั้นมาถึงเขตต์เมืองทุ่ง ตั้งค่ายอยู่ระหว่างปากเสียวน้อย[18] ซึ่งเรียกว่าวังหม่านจนบัดนี้นั้น เจ้าองค์หล่อจับได้เพี้ยบุตรตะพานบ้านโนนสูง กวนหมื่นหน้าบ้านเบน ซึ่งยกกองทัพออกมาต่อสู้กันนอกเมือง เมื่อได้ตัวแม่ทัพสองคนนี้แล้ว จึงซักไล่ไต่ถามหาสระสี่แจง แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก แม่ทัพสองคนได้แจ้งความให้เจ้าองค์หล่อหน่อคำทราบตลอดแต่ต้นจนถึงปลาย เจ้าองค์หล่อหน่อคำ จึงได้ทราบว่าเป็นเมืองบิดาของตน แล้วปล่อยให้แม่ทัพสองคนเข้าไปบอกแก่ท้าวมืดน้องชายให้ทราบทุกประการโดยแน่นอนแล้ว ท้าวมืดรู้ว่าพี่ชายแห่งตน จึงได้แต่งให้แสนท้าวออกไปอัญเชิญเจ้าองค์หล่อหน่อคำให้เข้ามายังเมืองทุ่ง แล้วจัดการรับรองให้เป็นเกียรติยศอันดี แล้วท้าวมืดพร้อมกับเจ้าองค์หล่อหน่อคำ จัดการปลงศพจารแก้วผู้เป็นบิดาตามประเพณีผู้ครองบ้านเมืองมาแต่ก่อน เสร็จแล้วเจ้าองค์หล่อหน่อคำก็ลาท้าวมืดน้องชายกลับคืนไปเมืองน่านตามเดิม และท้าวมืดได้เป็นเจ้าเมืองทุ่งต่อมาประมาณ ๑๖ ปี ระหว่างจุลศักราช ๑๑๑๒ ปีฉลูโทศก ท้าวมืดเจ้าเมืองถึงแก่กรรม แล้วท้าวทนผู้เป็นอุปฮาดได้ขึ้นครอบครองบ้านเมืองแทนพี่ชายตามธรรมเนียม แต่ท้าวเชียง ท้าวสูนบุตรท้าวมืดหายอมให้ท้าวทนผู้เป็นอาว์ครอบครองบ้านเมืองไม่ พากันมีความขัดใจเป็นอันมาก หลบตัวหนีลงไปกรุงศรีอยุธยา ขอให้เสนาบดีนำตัวเข้าเฝ้าสมเเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ขอกองทัพกรุงศรีอยุธยาขึ้นมารบเอาเมืองทุ่ง ให้อ่อนน้อมยอมขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยาต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวเชียง ท้าวสูนนำหน้ากองทัพยกขึ้นมาตั้งอยู่ณห้วยสะแทดแขวงเมืองนครราชสีมา ท่านแม่ทัพจึงแต่งให้ขุนหมื่นหน้า ขุนสุดธนู กรมการคนใช้ของท้าวเชียง ท้าวสูน เชิญท้องตราพระราชสีห์มาถึงท้าวทนผู้เป็นเจ้าเมือง ใจความโปรดเกล้า ฯ ว่าจะยอมอ่อนน้อมขึ้นแก่กรุงเทพมหานครศรีอยุธยาโดยดี หรือจะต่อสู้รบพุ่งประการใด ก็ให้ท้าวทนผู้เป็นเจ้าเมืองตอบมาให้ผู้เป็นแม่ทัพรู้ด้วย เมื่อท้าวทนได้ทราบความในท้องตราพระราชสีห์ซึ่งโปรดเกล้า ฯ แล้ว ให้มีความครั่นคร้ามเกรงกลัวพระเดชานุภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครเป็นอันมาก แล้วมีหนังสือบอกตอบมาถึงท่านแม่ทัพว่า จะขอพึ่งพระบารมีโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอเป็นข้าขอบขัณฑเสมาขึ้นแก่กรุงเทพ ฯ ต่อไป แล้วท้าวทนอุปฮาดมีความเกรงกลัวท้าวเชียง ท้าวสูนจะทำอันตรายแก่ตัวและพรรคพวกของตัว จึงพาอุปยกครอบครัวทั้งหลาย บรรดาที่มีความรักใครนับถือแก่ตัวนั้นหนีออกจากเมืองทุ่งหนีโฉมหน้ามาข้างทิศเหนือ ครั้นมาถึงริมทุ่งตะหมูม[19] ซึ่งเรียกว่าบ้านดงเมืองจอกทุกวันนี้ ก็พาไพร่พลของตนตั้งนิวาสสถานบ้านเรือนอาศัยทำมาหากินอยู่นั่น เมื่อท้าวทนยกหนีจากเมืองทุ่งไปแล้ว ท้าวเชียง ท้าวสูนพาสมัครพรรคพวกบ่าวไพร่ของตนเข้ามาตั้งอยู่ณเมืองทุ่ง ท้าวเชียงเป็นเจ้าเมือง ท้าวสูนเป็นอุปฮาด แต่แม่ทัพกรุงเทพมหานครนั้น พากันกลับลงไปเฝ้าใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลเหตุการณ์เรื่องเมืองทุ่งให้ทรงทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระพิโรธแก่แม่ทัพนายกองว่าไม่ติดตามหาตัวท้าวทนอุปฮาด มาปรานีประนอมว่ากล่าวให้ดีกัน และว่าไม่เข้าไปจัดแจงบ้านเมืองให้สมควรแก่หน้าที่ซึ่งเป็นแม่ทัพนายกอง แล้วจึงโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาพรหม พระยากรมท่ายกกองทัพขึ้นมาติดตามซอกค้นหาท้าวทนอุปฮาด ครั้นพระยาพรหม พระยากรมท่ายกทัพขึ้นมาถึงเมืองทุ่ง ทราบความว่าท้าวทนอุปฮาดหนีไปตั้งบ้านเรือนอยู่ริมทุ่งกระหมุม ระยะทางประมาณ ๘๐๐ เส้น พระยาพรหม พระยากรมท่า จึงพร้อมด้วยเจ้าราชวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าธรรมสุนทร เจ้าหมื่นน้อยเมืองนครจำปาศักดิ์หาตัวท้าวทน ท้าวเชียง ท้าวสูน มาว่ากล่าวปรานีประนอมให้ดีกันแล้ว ตั้งให้ท้าวทนเป็นเจ้าเมือง แยกออกจากเมืองทุ่ง มาตั้งดงกลุ่ม ซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่แต่ก่อนเป็นเมือง ซึ่งเรียกว่า เมืองร้อยเอ็ดทุกวันนี้ ทำราชการขึ้นแก่กรุงเทพมหานครแต่ครั้งนั้นสืบต่อมาจนบัดนี้ และตั้งให้ท้าวเชียงเป็นเจ้าเมือง ท้าวสูนเป็นอุปฮาด อุปยกจากเมืองทุ่งมาตั้งดงเท้าสารเป็นเมืองสุวรรณภูมิ แบ่งปันเขตต์ให้แก่เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ ปกครองรักษาตามสมควรทั้งสองฝ่าย เมื่อแม่ทัพทั้ง ๒ พร้อมด้วยราชวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าธรรมสุนทร เจ้าหมื่นน้อยเมืองนครจำปาศักดิ์จัดการบ้านเมืองทั้ง ๒ ให้เป็นที่ตกลงเรียบร้อยดีแล้ว ก็กลับลงไปกรุงเทพ ฯ ตามเดิม ท้าวทนผู้เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดมีบุตร ๓ คน คนที่ ๑ ชื่อท้าวสีลัง คนที่ ๒ ชื่อท้าวพู คนที่ ๓ ชื่อท้าวหล้า ท้าวทนเป็นผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ดได้ ๑๕ ปี ครั้นถึงจุลศักราช ๑๑๓๐ ท้าวทนถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวสีลังบุตรต้น เป็นพระยาขัติยวงษา แทนบิดา และโปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวพูเป็นอุปฮาด ท้าวหล้าเป็นราชวงศ์ รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป
ถึงระหว่างจุลศักราช ๑๑๔๔ ปีกุนจัตวาศก ทราบข่าวว่ากวนเมืองแสนเมืองสุวรรณภูมิ จ้างทิดโกดบังเข้าฟันท้าวสูนเมืองสุวรรณภูมิตาย เมืองแสนกลัวความผิด หลบตัวหนีลงไปพึ่งพระยาโคราช ๆ บอกให้เมืองแสนลงไปเป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระจันทประเทศ ขึ้นมาตั้งบ้านกองแก้วเป็นเมืองชนบท มีไพร่พลสมัครไปด้วย ๓๔๐ คน
ครั้นถึงจุลศักราช ๑๑๕๐ ได้ทราบข่าวว่าเมืองแพนบ้านชีโหล่น แขวงเมืองสุวรรณภูมิพาราษฎรไพร่พลประมาณ ๓๓๐ คนแยกจากเมืองสุวรรณภูมิ ไปขอตั้งฝั่งบึงบอนเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น
ครั้นระหว่างจุลศักราช ๑๑๖๕ ปีชวดเบ็ญจศก ได้ทราบข่าวว่าเพี้ยศรีปากนา เพี้ยเหล็กสะท้อน เพี้ยไกรสรเสนา แยกจากเมืองสุวรรณภูมิไปกราบทูลขอเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เพี้ยศรีปากนาเป็นพระเสนาสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองพุทไธสงฆ์เก่าเป็นเมืองพุทไธสงฆ์ ขึ้นแก่เมืองนครราชสีมา มีไพร่พลสมัครไปด้วย ๒๒๐ คน
ครั้นต่อมาถึงจุลศักราช ๑๑๘๗ ปีระกา ทราบข่าวว่าเจ้าอนุเวียงจันทน์เกิดเป็นกบฏ ยกกองทัพล่วงเลยลงไปทำสงครามแก่กรุงเทพมหานคร ในระหว่างต้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุเดิรกองทัพลงไปทางเมืองนครราชสีมา เจ้าอุปฮาดเวียงจันทน์เดิรกองทัพมาทางเมืองกาฬสินธุ์ เมืองร้อยเอ็ด ตรวจต้อนอุปยกครอบครัวเมืองลาว เมืองเขมร ขึ้นไปกรุงเวียงจันทน์ ครั้นมาถึงเมืองกาฬสินธุ์ เจ้าอุปฮาดจับเอาตัวอุปฮาดผู้ว่าราชการเมืองกาฬสินธุ์ไปสำเร็จโทษเสียแล้ว ยกกองทัพมาตั้งอยู่ทุ่งนาข้างเหนือริมเมืองร้อยเอ็ด เวลานั้นพระยาขัติยวงษาป่วยเท้าเดิรไม่ใคร่สะดวก และมีความกลัวอาชญาเจ้าอุปฮาดเป็นอันมาก จึงจัดได้ลูกสาวของตนเอง ไปถวายเจ้าอุปฮาด ๔ นาง คือนางหมา นางแก้วใหญ่ นางแก้วน้อย นางอุสา เจ้าอุปฮาดจึงมิได้ลงโทษ แล้วยกทัพจากเมืองร้อยเอ็ดเลยไปเมืองเขมร ครั้นกลับย่นคืน[20]มาตรวจต้อนครอบครัวเมืองร้อยเอ็ด เมืองใกล้เคียงขึ้นไปเวียงจันทน์เป็นอันมาก แต่หาทันถึงเวียงจันทน์ไม่ ให้ครอบครัวพักอยู่ทุ่งเมืองหนองหาร พระยาขัติยวงษาได้แอบอาศัยตามครอบครัวขึ้นไปถึงกลางทาง เพี้ยเมืองฮามคิดจะทำอันตรายแก่พระยาขัติยวงษา ได้ต่อสู้รบพุ่งกันโดยสามารถ เมืองฮามพ่ายแพ้แก่พระยาขัติยวงษา จึงเข้ามาอ่อมน้อมแก้ตัวว่าไม่รู้จัก เข้าใจว่าเป็นกองทัพเวียงจันทน์จึงได้สู้รบ แต่นั้นมาพระยาขัติยวงษาเจ็บแค้นผูกพยาบาทแก่เพี้ยเมืองฮามไม่รู้หาย ครั้นพระยาขัติยวงษาตามครอบครัวขึ้นไปถึงทุ่งหนองหาร ได้ทราบความว่ากองทัพเวียงจันทน์พ่ายแพ้แก่แม่ทัพนายกองกรุงเทพมหานครแล้ว ก็พาอุปยกครอบครัวคืนมาบ้านเมืองตามเดิม
ครั้นถึงปีจอ เจ้าพระยาราชสุภาวดีแม่ทัพกลับขึ้นมาจากกรุงเทพมหานคร ตั้งกองทัพและรวบรวมสะเบียงอาหารไพร่พลอยู่ณเมืองยโสธร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) จัดให้อุปฮาด (พู) และกรมการคุมกองทัพประมาณคน ๑๐๐๐ เศษ ไปเข้ากองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดี ครั้นยกกองทัพไปถึงระหว่างเขตต์หนองหารพบราชวงศ์แม่ทัพข้างฝ่ายเวียงจันทน์ตั้งอยู่ณค่ายบกหวาน ต่างคนต่างคุมกำลังไพร่พลไปตรวจตราหาตำบลที่จะตั้งค่ายทำสงครามแก่กัน ราชวงศ์ถือทวนขี่ม้าขาวคุมไพร่พลประมาณ ๒๐๐ คน เจ้าพระยาราชสุภาวดีขี่ม้าแดงถือทวนพร้อมกับน้องชายและไพร่พลไปปะทะเจอะกันเข้าใกล้ ๆ ประมาณสัก ๑๐ วา ต่างคนต่างตกขะมะ[21] ก็ขับพลทหารเข้าต่อสู้กันเป็นตระลุมบอน ฤดูแล้งผงธุลีฟุ้งตลบมืดเต็มไปทั้งท้องทุ่ง หารู้ว่าใครต่อใครไม่ เมื่อผงธุลีสงบ เจ้าพระยาราชสุภาวดี กับราชวงศ์ได้เข้าต่อสู้กันตัวต่อตัวอย่างสามารถทั้งสองฝ่าย ราชวงศ์แพ้แก่เจ้าพระยาราชสุภาวดีแล้วหลบตัวหนีไป จับตัวหาได้ไม่ ครั้นเสร็จราชการทัพแล้วเจ้าพระยาราชสุภาวดีได้โปรดประทานคนชายหญิงใหญ่น้อยชาวเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเชลยให้แก่อุปฮาด (พู) พอสมควรแล้ว ก็ยกทัพกลับคืนยังบ้านเมืองตามเดิม
พระยาขัติยวงษา (สีลัง) มีบุตรชาย ๒๐ คน คนที่ ๑ ชื่อท้าวหมากิ่ง คนที่ ๒ ชื่อท้าวคำมิ่ง คนที่ ๓ ชื่อท้าวตาดี คนที่ ๔ ชื่อท้าวสุวรรณ คนที่ ๕ ชื่อท้าวก่ำ คนที่ ๖ ชื่อท้าวโพธิสาร และคนที่ ๗ ชื่อท้าวฮึง เหลือจากนี้ไม่กล่าว เพราะไม่ได้รับนามสัญญาบัตร
ครั้นทัพเวียงจันทน์เสร็จแล้ว โปรดเกล้า ฯ ให้อุปฮาด (พู) เป็นที่พระรัตนวงษา ผู้ว่าราชการเมืองสุวรรณภูมิ ให้ท้าวตาดีเป็นราชวงศ์เมืองหนองหารแล้วเลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาด ท้าวหมากิ่งบุตรต้นพระยาขัติยวงษาเป็นอุปฮาดเมืองร้อยเอ็ด แล้วถึงแก่กรรมก่อนบิดา ท้าวคำมิ่งบุตรที่ ๒ เป็นราชวงศ์ เพราะราชวงศ์ (หล้า) ถึงแก่กรรมแล้ว ท้าวสุวรรณเป็นราชบุตรและได้ว่าที่อุปฮาด พระยาขัติยวงษา (สีลัง) เป็นผู้ว่าราชการเมืองได้ประมาณ ๔๐ ปีเศษ อายุ ๙๔ ปีถึงแก่กรรม กรมการจึงบอกให้ท้าวจั้นบุตรพระยาขัติยวงษาถือบอกลงไปขอศิลาหน้าเพลิงกรุงเทพมหานคร เวลานั้นอุปฮาด (ตาดี) กำลังลงไปรับนามสัญญาบัตรเป็นพระพิไสยสุริยวงษ์ ผู้ว่าราชการเมืองโพนพิไสย กลับขึ้นมาถึงระหว่างกรุงเก่า ได้พบปะกับท้าวจั้นผู้ถือบอกและพักนอนอยู่ในเรือด้วยกันคืนหนึ่ง พระพิไสยสุริยวงษ์พูดจาแนะนำอ้อนวอนท้าวจั้นให้กราบเรียน ฯพณฯ ที่สมุหนายก ว่าบุตรชายใหญ่พระยาขัติยวงษา มีแต่พระพิไสยสุริยวงษ์คนเดียว เหลือจากนี้เป็นแต่ผู้น้อย ครั้นรุ่งเช้าท้าวจั้นก็จากพระพิไสยสุริยวงษ์ลงไปกรุงเทพมหานคร ส่วนพระพิไสยสุริยวงษ์พักเรือคอยท่าท้าวจั้นอยู่ที่นั้น ท้าวจั้นนำใบบอกไปวางเวร ๆ นำใบบอกพาตัวท้าวจั้นขึ้นเฝ้า ฯพณฯ เจ้าพระยาบดินทรเดชาที่สมุหนายก ๆ ถามท้าวจั้น ๆ ได้กราบเรียนตามคำแนะนำพระพิไสยสุริยวงษ์ บอกสิ้นเสร็จทุกประการ ฯพณฯ ที่สมุหนายกจึงท้องตราพระราชสีห์โปรดเกล้า ฯ ให้พระพิไสยสุริยวงษ์ขึ้นมารักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดและจัดการเผาศพพระยาขัติยวงษาบิดา ครั้นพระพิไสยสุริยวงษ์กลับขึ้นไปถึงเมืองโพนพิไสยแล้ว ได้พาอุปยกครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในจวนพระยาขัติยวงษาบิดา และได้พร้อมด้วยพระรัตนวงษา (พู) เมืองสุวรรณภูมิ ราชบุตร (สุวรรณ) ว่าที่อุปฮาดกรมการเมืองร้อยเอ็ด จัดการปลงศพพระยาขัติยวงษาเสร็จแล้ว เวลากลางคืนนัดเล่นโปกันณหอนั่งในจวนพระยาขัติยวงษา มีอ้ายคนร้ายลอบเอาทวนแทงพระพิไสยสุริยวงษ์ถูกที่ท้องทะลุถึงไส้ขาดใจตาย
พระพิไสยสุริยวงษ์ มีบุตรชายได้รับนามสัญญาบัตร ๕ คน คนที่ ๑ ชื่อท้าวสาร คนที่ ๒ ชื่อท้าวเสือ คนที่ ๓ ชื่อท้าวโพ คนที่ ๔ ชื่อท้าวจาก และคนที่ ๕ ชื่อท้าวทอง
กรมการเมืองร้อยเอ็ดบอกเรื่องอ้ายคนร้ายลอบแทงพระพิไสยสุริยวงษ์ตายนั้น ลงไปยังกรุงเทพมหานคร ฯพณฯ ที่สมุหนายกจึงมีตราขึ้นมาหาตัวราชบุตร (สุวรรณ) ว่าที่อุปฮาดราชวงศ์กรมการวงศ์วารของพระยาขัติยวงษาลงไปกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น สั่งให้ไต่สวน ได้ความจริงว่าราชบุตร (สุวรรณ) ว่าที่อุปฮาดจ้างจีนจั้นเอาทวนแทงพระพิไสยสุริยวงษ์ แล้วโปรดให้เอาตัวจำขังไว้ในทิม ยังหาได้ตัดสินลงโทษประการใดไม่ ราชบุตร (สุวรรณ) จ้างให้ผู้หญิงที่รักใคร่กันไปซื้อยาพิษมากินตายอยู่ในทิม ราชบุตร (สุวรรณ) มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อท้าวกวด ครั้นราชบุตร (สุวรรณ) ตายแล้ว มีตราโปรดเกล้า ฯ ให้ราชวงศ์ (คำมิ่ง) เป็นผู้ว่าราชการเมือง ท้าวจันเป็นที่อุปฮาด ท้าวพูบุตรราชวงศ์ (หล้า) เป็นราชวงศ์ ท้าวก่ำบุตรพระยาขัติยวงษาเป็นราชบุตรเมืองร้อยเอ็ด และมีท้องตราพระราชสีห์ให้พระรัตนวงษา ผู้ว่าราชการเมืองสุวรรณภูมิเป็นตระลาการ รวบรวมทรัพย์สมบัติราชบุตร (สุวรรณ) ได้แจกมฤดกของพระยาขัติยวงษาให้แก่บุตรภรรยาเสร็จแล้ว พระขัติยวงษา (คำมิ่ง) ว่าราชการเมืองอยู่ได้ ๓ เดือน ถึงแก่กรรมในระหว่างจุลศักราช ๑๒๑๓ เมืองแสน เมืองจันทร์ กรมการเมืองร้อยเอ็ด บอกขอให้อุปฮาด (จัน) บุตรราชบุตรซึ่งเป็นคนวงศ์อื่นเป็นผู้ว่าราชการเมือง ราชวงศ์ (พู) บุตรราชวงศ์ (หล้า) เป็นอุปฮาด ราชบุตร (ก่ำ) บุตรพระยาขัติยวงษาเป็นราชวงศ์ ท้าวสารบุตรพระพิไสยสุริยวงษ์เป็นราชบุตรเมืองร้อยเอ็ด รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อมาได้ ๓ ปี ราชวงศ์ (ก่ำ) ถึงแก่กรรม ราชบุตร (สาร) ได้เป็นราชวงศ์ ท้าวโพธิสารบุตรพระยาขัติยวงษาได้เป็นที่ราชบุตร รับราชการต่อมาได้อีกปีเศษ พระขัติยวงษาผู้ว่าราชการเมืองมีบอกแต่งให้อุปฮาด (พู) กับราชวงศ์ (สาร) ท้าวเพี้ยกรมการเจ้าหมวดนายกอง คุมตัวเลขไปสักข้อมือดำต่อเจ้าคุณพระยากำแหงสงคราม แม่กองสักเลข ซึ่งตั้งสักเลขอยู่ณเมืองยโสธร ครั้งนั้นจำนวนเลขเมืองร้อยเอ็ด คงได้สักเป็นคน ๑๔,๔๙๔ คน เพราะยังไม่ได้แบ่งปันเขตต์แดนแก่กันและกัน เลขผู้ใดอยู่เขตต์แขวงเมืองใด ก็นำตัวมาสักตามสบายใจ ครั้นพระยากำแหงสงครามแม่กองสัก กลับจากยโสธรลงไปกรุงเทพ ฯ แล้ว อุปฮาด (พู) ถึงแก่กรรม
จุลศักราช ๑๒๒๗ ปีฉลูสัปตศก เกิดฝนแล้งเข้าแพง เข้าเปลือกราคาบาทหนึ่งต่อชั่ง ท้าวกวดบุตรราชบุตร (สุวรรณ) รับประทวนเป็นที่ท้าวมหาไชย์ คิดแยกออกจากเมืองร้อยเอ็ดไปตั้งบ้านยางใยเป็นเมือง จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวมหาไชย์ (กวด) เป็นที่พระเจริญราชเดช ผู้ว่าราชการเมือง ท้าวบัวทองบุตรอุปฮาด (พู) เป็นที่อุปฮาด ท้าวฮึงบุตรพระยาขัติยวงษาเป็นราชวงศ์ ท้าวเถื่อนบุตรพระขัติยวงษา (จัน) เป็นราชบุตร ยกบ้านยางใยเป็นเมืองมหาสารคาม แบ่งไพร่พลจากเมืองร้อยเอ็ดไปด้วย ๔๐๐๐ คน แต่ยังคงเป็นเมืองขึ้นเมืองร้อยเอ็ดอยู่ ในปีนั้นพระขัติยวงษา (จัน) เป็นโรคชรา ไพร่บ้านพลเมืองก็เกิดอดอาหารเพราะฝนแล้งเข้าแพง ราชวงศ์ (สาร) เมืองร้อยเอ็ดกับพระเจริญราชเดช ผู้ว่าราชการเมืองมหาสารคามเกิดวิวาทฟ้องหากล่าวโทษซึ่งกันและกันลงไปกรุงเทพมหานคร เพราะเหตุราชวงศ์ (สาร) เมืองร้อยเอ็ดเป็นคนดุร้าย เที่ยวเฆี่ยนตีเอาดาพฟันศีรษะและปรับไหมลงเอาเงินแก่ราษฎรหลายราย พระขัติยวงษา (จัน) ผู้ว่าราชการเมือง จึงบอกขอให้ราชวงศ์ (สาร) เป็นที่พระขัติยวงษาแทนตัว และให้ราชบุตร (โพธิสาร) ซึ่งเป็นบุตรน้อยพระยาขัติยวงษาเป็นอุปฮาด ให้ท้าวจันสีสุราชบุตรราชวงศ์ (หล้า) เป็นราชวงศ์ ให้ท้าวเสือบุตรพระพิไสยสุริยวงษ์เป็นราชบุตร เมืองร้อยเอ็ด และขอแยกเมืองมหาสารคามออกจากเมืองร้อยเอ็ด ขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ ทีเดียว ครั้งนั้นเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกเป็นผู้ตัดสินในระหว่างต้นแผ่นดินพระพุทธเจ้าอยู่หัวรัชชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นไปตามใบบอกของพระขัติยวงษา (จัน) และให้พระขัติยวงษา (จัน) เป็นจางวางกำกำกับเมืองร้อยเอ็ด ส่วนพระขัติยวงษา (จัน) เป็นหนี้สินจีนไทยลาวมากน้อยเท่าใด ให้พระขัติยวงษา (สาร) กับพระเจริญราชเดชรับใช้แทนให้คนละครึ่ง เป็นที่ตกลงยินยอมกันแล้วกราบถวายบังคมลากลับขึ้นมารับราชการยังบ้านเมืองตามเดิม
ครั้นถึงปีวอกจัตวาศก ศักราช ๑๒๓๔ มีท้องตราพระราชสีห์โปรดเกล้า ฯ ขึ้นมาถึงหัวเมืองลาว เขมร ฝ่ายตะวันออกว่า ตัวเลขเมืองนี้จะสมัครไปเมืองโน้น ตัวเลขเมืองโน้นจะสมัครมาเมืองนี้ ก็อย่าให้เจ้าเมืองกรมการเกียจกันไว้ ให้ปล่อยไปตามใจไพร่สมัคร ความทราบอยู่ในท้องตราพระราชสีห์นั้นแล้ว ตัวเลขเมืองร้อยเอ็ดสมัครไปทำราชการขึ้นเมืองมหาสารคามเกือบหมดทั้งเมืองก็ว่าได้ เพราะเจ้าเมือง (สาร) เป็นคนดุร้าย เสพสุราเมามาย เที่ยวเฆี่ยนตีข่มเหงราษฎรต่าง ๆ ชั้นกรมการในเมืองก็พากันสมัครไปอยู่กับพระเจริญราชเดชหลายคน
ครั้นถึงปีจอฉอศก ศักราช ๑๒๓๖ โปรดเกล้า ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) เป็นข้าหลวงใหญ่ ขึ้นมาทำบัญชีสำมโนครัวตัวเลขและเร่งเงินส่วยที่ขาดค้างอยู่กับหัวเมืองต่าง ๆ พระยามหาอำมาตย์ตั้งที่พักอยู่เมืองอุบลราชธานี พระขัติยวงษา (สาร) ต้องคดีหลายราย จึงได้นำเอาช้างดีม้าดีไปให้แก่พระยามหาอำมาตย์ณที่พักเมืองอุบล คดีความซึ่งโจทก์หาก็แล้วไป
ครั้นถึงณเดือน ๑๐ ปีฉลูสัปตศก เกิดทัพโจรอ้ายฮ่อมาม้างเวียงจันทน์ พระยามหาอำมาตย์แต่งให้พระเจริญราชเดชเป็นแม่ทัพหน้า ราชบุตร (เสือ) เมืองร้อยเอ็ด เป็นนายกองคุมไพร่พลไปเข้ากองทัพเจ้าพรหมเทวา ฯ และพระยาไชยสุนทร รวมกันณเมืองหนองคาย แล้วสั่งให้พระขัติยวงษา (สาร) กลับคืนมารักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดตามเดิม ครั้นพระยามหาอำมาตย์ยกทัพไปถึงเมืองหนองคายแล้ว สั่งให้ราชบุตร (เสือ) เมืองร้อยเอ็ด คุมไพร่พลไปเข้ากองทัพเจ้าพรหมเทวา ฯ เมืองอุบล พระยาไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองกาฬสินธุ์ ยกข้ามแม่น้ำโขง ข้ามน้ำแกว่ง ห้วยมะเลียว ไปตีทัพฮ่อซึ่งตั้งอยู่ณค่ายสีถาน ค่ายโพนทา กำลังเข้ารบพุ่งกันอยู่ ขณะนั้นอ้ายฮ่อแตกไปแต่ค่ายวัดจันและชิงเข้าค่ายสีถาน ค่ายโพนทา ราชบุตร (เสือ) ยกไปสะกัดรบอ้ายฮ่อณช่องประตู อ้ายฮ่อยกปืนยิงราชบุตร (เสือ) ถูกที่มือขวาโลหิตไหล ไพร่พลเข้าพะยุงเอาราชบุตรหนีพ้น ครั้นอยู่ได้ ๓ วัน อ้ายฮ่อก็แตกกระจัดกระจายออกจากค่ายหนีไป จับตัวได้บ้างหนีไปได้บ้าง ครั้นราชการทัพแล้ว พระยามหาอำมาตย์มีตราจุลราชสีห์ให้ขุนอักษรข้าหลวง อุปฮาดเมืองกมลาไสย มาตามเอาตัวพระขัติยวงษา (สาร) ๆ หลบตัวหนี ตามจับได้ณแขวงเมืองนครราชสีมา จำตรวนมั่นคงส่งขึ้นไปถึงพระยามหาอำมาตย์ณเมืองหนองคาย ได้ประมาณ ๓ เดือนเศษ พระขัติยวงษา (สาร) ถึงแก่กรรมณเมืองหนองคาย พระขัติยวงษา (สาร) เป็นผู้ว่าราชการเมืองอยู่ได้ ๘ ปี มีบุตรชายหลายคน แต่ไม่ได้รับนามสัญญาบัตรจึงไม่กล่าวชื่อไว้ในพงศาวดาร
ในปลายปีกุนสัปตศก ศักราช ๑๒๓๗ พระยามหาอำมาตย์มีตราจุลราชสีห์ แต่งให้พระราษฎรบริหาร แต่ยังเป็นอุปฮาดเมืองกมลาไสย เป็นข้าหลวงมาทำบัญชีสำมโนครัวตัวเลขเมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม พักอยู่ศาลารับแขกเมืองร้อยเอ็ด ระหว่างนั้นอุปฮาด (โพธิสาร ออกไปอยู่บ้านท่าเสาทุง[22] ราชวงศ์ (จันศรีสุราช) เป็นขี้ทูด[23] ราชการบ้านเมืองจึงตกอยู่ในมือราชบุตร (เสือ) ทั้งสิ้น
ครั้นณเดือนอ้ายปีชวดอัฐศก ศักราช ๑๒๓๘ พระยามหาอำมาตย์แต่งให้คุณเลี้ยง มหาดเล็ก เป็นข้าหลวงมาเก็บเงินส่วยเมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม ครั้นถึงเดือนยี่พระยามหาอำมาตย์ตั้งให้ราชบุตร (เสือ) เป็นผู้รักษาเมือง ราชวงศ์ (จันศรีสุราช) เป็นอุปฮาด ท้าวคำบุตรราชวงศ์ (หล้า) เป็นราชวงศ์ ท้าวจักหลานพระรัตนวงษาเป็นราชบุตร และสั่งถอนอุปฮาด (โพธิสาร) ออกจากหน้าที่ราชการ แล้วกลับลงกรุงเทพมหานคร
ครั้นปีฉลูนพศก โปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้ราชบุตร (เสือ) เป็นที่พระขัติยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยวงษา (เสือ) มีบุตรชาย ๒ คน คนที่ ๑ ชื่อท้าวเครือ คนที่ ๒ ชื่อท้าวโสม
ครั้นปีขาลสัมฤทธิศก ราชวงศ์ (คำ) ถึงแก่กรรม ครั้นปีเถาะเอกศก อุปฮาดถึงแก่กรรม
ครั้นปีมะโรงโทศก โปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามสัญญาบัตร ให้ราชบุตร (จัก) ต่างวงศ์เป็นที่อุปฮาด ท้าวสุริย (เพ้า) บุตรท้าวสุริย (วงษ์) ต่างวงศ์เป็นราชวงศ์ ท้าวเครือบุตรพระขัติยวงษา (เสือ) เป็นราชบุตร เมืองร้อยเอ็ด แล้วโปรดให้ท้าวโพน้องพระขัติยวงษา (เสือ) เป็นพระจำนงค์ไชยธวัช ผู้ว่าราชการเมืองธวัช ครั้นกลับขึ้นมาถึงบ้านสาลิกา อุปฮาด (จัก) พระจำนงค์ไชยธวัชถึงแก่กรรม พระขัติยวงษา (เสือ) ขอให้ท้าวเพ้าบุตรท้าวสุริยวงษ์ เป็นอุปฮาด ให้ราชบุตร (เครือ) เป็นราชวงศ์ ท้าวทองบุตรพระพิไสยสุริยวงษ์เป็นราชบุตร
ครั้นณปีมะเมียจัตวาศก ศักราช ๑๒๔๔ พระขัติยวงษา (เสือ) ถึงแก่กรรม เป็นเจ้าเมืองได้ ๗ ปี อุปฮาด (เพ้า) เป็นผู้รักษาเมือง ครั้นปีมะแม ราชวงศ์ (เครือ) ถึงแก่กรรม
ต่อถึงปีจออัฐศก ศักราช ๑๒๔๘ โปรดเกล้า ฯ ให้อุปฮาด (เพ้า) วงศ์อื่นเป็นที่พระขัติยวงษา ผู้ว่าราชการเมือง และพระยามหาอำมาตย์ข้าหลวงใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ณเมืองนครจำปาศักดิ์ มีตราจุลราชสีห์ ให้ท้าวสารบุตรราชวงศ์ (คำ) เป็นอุปฮาด ให้ท้าวสุเมนบุตรอุปฮาด (พู) เป็นราชวงศ์ ให้ท้าวอุทาบุตรท้าวสุริยวงษ์เป็นราชบุตร รับราชการต่อมา ถึงปีชวด ราชวงศ์ (สุเมน) ถึงแก่กรรม
ถึงปี ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) โปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามสัญญาบัตรให้อุปฮาด (สาร) เป็นที่อุปฮาด ผู้ช่วย (พร) บุตรท้าวไชยเสน หลานพระยาขัติยวงษา เป็นราชวงศ์ ราชบุตร (อุทา) เป็นราชบุตร แต่ราชวงศ์ถึงแก่กรรมเสียที่กรุงเทพ ฯ พระขัติยวงษา (เพ้า) ได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึกในการสมโภชพระนคร ๑ อุปฮาด (สาร) ราชบุตร (อุทา) ได้รับเหรียญทองแดงคนละดวง ในปลายปี ร.ศ. ๑๐๘ พระขัติยวงษา (เพ้า) ป่วย ถึงต้นปี ร.ศ. ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓) พระขัติยวงษา (เพ้า) ถึงแก่กรรม อุปฮาด (สาร) เป็นผู้รักษาเมือง
ครั้นปี ร.ศ. ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร แต่งให้นายร้อยโทเล็ก พระสุจริตรัฐการี เป็นข้าหลวงมารักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดต่อมา
ถึงต้นปี ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) โปรดให้เมืองร้อยเอ็ดไปขึ้นกับจมื่นวิชัยยุทธเดชาคณี ข้าหลวงเมืองมหาสารคาม เวลานั้นเกิดวิวาทกับฝรั่งเศสณเสียมโบก จมื่นวิชัยยุทธ นายร้อยโทเล็ก อุปฮาด (สาร) เมืองร้อยเอ็ด คุมไพร่ ๘๐๐ คนไปขัดตาทัพอยู่ณเมืองเขมราฐ จึงโปรดให้พระสิทธิศักดิ์สมุทเขตร์เป็นข้าหลวงจังหวัดมหาสารคาม บังคับการถึงเมืองร้อยเอ็จ เมืองสุวรรณภูมิ
วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๑๔ (พ.ศ. ๒๔๓๘) พระสิทธิศักดิ์สมุทเขตร์ ข้าหลวงเมืองมหาสารคาม มีหนังสืออ้างรับสั่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลอิสาณ ให้ซานนท์ (เหลา) บุตรอุปฮาด (แสนเมือง) ว่าที่อุปฮาด เมืองกลางบุตรเมืองโฮม ว่าที่ราชวงศ์ เมืองร้อยเอ็ด และสั่งให้ส่งถาดหมากคนโทถม กับกะบี่บั้งเงิน ยันตร์ทองคำลูกฟัก ๑ สาย เครื่องกินถมยอดทองคำ ๑ สำรับ ซึ่งเป็นเครื่องยศของเจ้าเมืองเก่า ๆ กับดวงตราเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ ที่พระราชทานแก่พระขัติยวงษา (เสือ) ๑ ดวง ไปยังพระสิทธิศักดิ์ข้าหลวง ขาดค้นไม่พบแต่ดวงตราเครื่องราชอิสสริยาภรณ์อย่างเดียว นอกจากนั้นได้ส่งไปยังพระสิทธิศักดิ์สมุทเขตร์เสร็จแล้ว และในปี ร.ศ. ๑๑๔ นั้น พระสิทธิศักดิ์ ฯ ข้าหลวงส่งปืนสะนัยเดอร์ ๔ บอก ปืนคาบศิลาอย่างเก่า ๖ บอก รวม ๑๐ บอก มาไว้สำหรับเมืองร้อยเอ็ด แต่เป็นปืนชำรุดเสียโดยมาก ใช้หาได้ไม่
ครั้นถึงปี ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ. ๒๔๓๙) พระสิทธิศักดิ์สมุทเขตร์ ส่งปืนแมลิเคอร์อย่างยาว ๑๐ บอก ปัสตัน ๙๙๐ นัด มาไว้สำหรับเมืองร้อยเอ็ด
วันที่ ๒๙ มกราคม ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จตรวจราชการพักอยู่ณวัดสระทอง เมืองร้อยเอ็ด มีลายพระหัตถ์ตั้งให้ซานนท์ว่าที่อุปฮาด เป็นพระสตาเนกประชาธรรม ตำแหน่งปลัด ตั้งให้เมืองกลางเป็นพระสตานันต์ประชาธร ตำแหน่งยกรบัตร รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อมา
ถึงต้นปี ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) อุปฮาด (สาร) ผู้รักษาเมืองถึงแก่กรรม อุปฮาด (สาร) เป็นผู้รักษาเมืองได้ ๑๐ ปี แต่หามีบุตรชายหญิงแต่สักคนไม่ พระสตาเนกประชาธรรมเป็นผู้รักษาเมืองแต่วันนั้น ต่อมาถึงปลายปี โปรดเกล้า ฯ ให้พระพินิจสาราเป็นข้าหลวงบริเวณร้อยเอ็ด พักอยู่ทุ่งตาเล แล้วย้ายมาตั้งที่พักอยู่ณหัวบึงพระลานไชยทิศใต้ทุกวันนี้
ครั้นปี ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) เกิดผีบ้าผีบุญ เวลานั้นพระพินิจสาราไม่อยู่ หนี[24]ลงไปกรุงเทพ ฯ พระสตาเนกประชาธรรมได้จัดการตามรับสั่งข้าหลวงต่างพระองค์ และขุนมัณ[25] ฯ ข้าหลวงผู้แทนพระพินิจสารา เกณฑ์คน ๑๐๐๐ คน เครื่องศัสตราวุธครบมือมารักษาป้องกันเมืองร้อยเอ็ด และจัดให้พระสตานันต์ประชาธร คุมไพร่พล ๕๐๐ คน ไปตั้งซุ่มอยู่อำเภอธวัชบุรีสำหรับจะปราบปรามผีบุญ การณ์ก็สงบเรียบร้อยดี ครั้นเดือนตุลาคมในศกเดียวกันนี้ ข้าหลวงต่างพระองค์ มีลายพระหัตถ์มอบราชการเมืองร้อยเอ็ด ให้พระสตาเนกประชาธรรมเป็นผู้ดูการต่างพระเนตรพระกรรณ ขึ้นตรงต่อมณฑลทีเดียว
ครั้นต้นปี ร.ศ. ๑๒๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖) พระพินิจสารากลับลงกรุงเทพมหานคร ข้าหลวงต่างพระองค์มีลายพระหัตถ์หาตัวพระสตาเนกประชาธรรมลงไปยังเมืองอุบล และให้คุมคนโทษอยู่ในเรือนจำ ๓๐๐ เศษ สรรพหนังสือราชการ สำนวนความตัวคนที่เป็นลูกความทั้งสิ้นลงไปด้วย พระสตาเนกประชาธรรมได้จัดการไปตามรับสั่งเสร็จแล้วโดยเรียบร้อย แล้วกราบทูลลากลับคืนมารับราชการบ้านเมืองตามเดิมต่อมา
ถึงปี ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) โปรดให้เป็นผู้รักษารับผิดชอบการคดี และเก็บเงินส่วยเมืองสุวรรณภูมิ กับโปรดให้เป็นผู้สั่งราชการเป็นส่วน ๆ ตลอดเขตต์จังหวัดร้อยเอ็ด
ถึงวันที่ ๑๔ เมษายน ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ได้รับพระราชทานนามสัญญาบัตร เป็นที่พระยาขัติยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด และได้รับพระราชบำเหน็จความชอบ เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ ตราช้างเผือกชั้นที่ ๔ ดวง ๑.
- ↑ ยอดแก้ว เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์อย่างสูงของเมืองเวียงจันทน์ ชั้นสังฆนายก.
- ↑ ฉันจังหัน คือฉันเช้า เวลาเพล เรียกว่า ฉันเพล ไม่เรียกว่า ฉันจังหัน.
- ↑ ม้าง คือรื้อ เช่นม้างเฮือน คือรื้อเรือน.
- ↑ ซาจั่ว จั่ว คือสามเณร เจ้าหัว คือพระภิกษุ ส่วน ซา นั้น เป็นลำดับสมณศักดิ์ ซึ่งได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมจบเป็นชั้น ๆ คือเรียนจบชั้นต้นแล้ว ก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสำเร็จหรือสมเด็จ เมื่อต่อมาได้พยายามเล่าเรียนจนมีความรู้สูงขึ้นไปอีก ก็มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นเป็นซา ถ้าได้อุตสาหะเล่าเรียนจนมีความรู้ยวดยิ่งขึ้นไปอีก ก็มีโอกาสที่จะได้เป็นยาคู ลำดับสมณศักดิ์เหล่านี้ ถ้าสามเณรได้รับสถาปนาขึ้น สมณศักดิ์ต้องอยู่หน้าชื่อ เช่นสำเร็จจั่ว ก. ซาจั่ว ข. ถ้าภิกษุได้รับสถาปนาขึ้น สมณศักดิ์นั้นไม่ได้อยู่ข้างหน้า เช่นเรียก เจ้าหัวสมเด็จคำ เจ้าหัวซาทอง ยาคูหนู.
- ↑ สูด คือ สวด.
- ↑ สังฆา คือ สังฆาฏิ นั่นเอง.
- ↑ ฮด คือ การตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ ในการที่จะตั้งขึ้นเป็นที่สำเร็จก็ดี หรือสำเร็จเลื่อนขึ้นเป็นซา และซาเลื่อนขึ้นเป็นยาคูก็ดี ต้องมีฮดทุกครั้งไป การทำพิธีฮดนี้ มีหลักสำคัญที่ควรจะกล่าวไว้อย่างสังเขปคือ มักประชุมทำกันในโบสถ์หรือศาลา ทางฝ่ายสงฆ์ต้องมีพระมหาเถรเป็นประธานพร้อมด้วยเถรานุเถร ทางฝ่ายบ้านเมืองก็มีท่านที่มีบรรดาศักดิ์สูง ซึ่งจะเชื้อเชิญได้ในที่นั้นเป็นประธาน เมื่อทำพิธีสงฆ์เสร็จได้ศุภฤกษ์ ท่านมหาเถรณที่นั้นก็ยื่นไม้เท้าให้ผู้ที่จะได้รับฮดนั้นจับ ครั้นแล้วท่านก็จูงไปยังที่สรง ซึ่งปลูกและประดับประดาไว้อย่างงดงาม ให้ไปนั่งอยู่บนก้อนศิลาซึ่งรองด้วยใบยอและใบคูน (การที่ใช้ใบยอและใบคูนรองนั้น ได้ความจากผู้เถ้าผู้แก่ทางโน้นบางคนอธิบายให้ฟังว่า ใบยอนั้น หมายความว่า ยกย่องขึ้น เช่นยอเสา คือยกเสา ส่วนใบคูนนั้น หมายความว่า ให้มีความเจริญในพระพุทธศาสนา เช่นคำว่า ค้ำคูน คือความเจริญรุ่งเรือง) มีรางน้ำมนตร์เป็นรูปพระยานาคชุดและแกะด้วยไม้ลงรักปิดทอง ในรางนั้นมีเครื่องนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์อยู่พร้อมน้ำมนตร์ ที่ฮดสำหรับสรงนี้ออกจากปากพระยานาค ซึ่งมีผ้าขาวกรอง เมื่อผู้รับฮดสรงเสร็จแล้ว ก็ครองผ้ามานั่งฟังฆราวาสผู้หนึ่ง ซึ่งสมมุติเป็นบัณฑิตอ่านประกาศตั้งเสร็จแล้ว รับประเคนเครื่องอัฏฐบริกขารอย่างพระบวชใหม่ พร้อมทั้งหลาบเงิน หลาบคำ (หลาบเงิน คือแผ่นเงินกว้างไม่ต่ำกว่า ๔ เซ็นติเมตร ชั้นสำเร็จได้ยาวเพียงปิดจดหางตาทั้ง ๒ ข้าง ชั้นซาได้ยาวเพียงจดหูทั้ง ๒ ข้าง ชั้นยาคูได้ยาวรอบศีร์ษะ มีหลักที่ท่องจำกันอย่างสั้น ๆ ว่า สำเร็จแค่ตา ซาแค่หู ยาคูฮอบกะด้นหรือฮอบง่อน) เป็นเสร็จการ.
- ↑ พระครูโพนเสม็ด เดิมชื่อสีดา เมื่อได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นคู (ครู) หรือยาคูแล้ว ก็เรียกว่า พระครูสีดา แต่เมื่อท่านอยู่ณวัดโพนเสม็ด แทนที่จะเรียกออกนามเดิม จึงใช้เรียกกันว่า พระครูโพนเสม็ด ในที่บางแห่งเรียกท่านว่า เจ้าหัวคูขี้หอม ก็เนื่องมาจากที่ว่าน้ำมูตรและอาจมก็หอมนั้นแล.
- ↑ อุปยก คือพยพนั้นเอง.
- ↑ จาร คือผู้ที่สึกออกจากพระอย่างเราเรียกกันว่าทิด ผู้ที่สึกออกจากสามเณรเรียกเชียง เช่นเชียงมั่นเป็นต้น.
- ↑ ขวย คือขุยดินที่อ้นขุดคุ้ยไว้เป็น ๓ กอง
- ↑ ยอดยัง คือต้นลำน้ำยัง ซึ่งไหลมาจากเขาภูพานพรหมแดนจังหวัดสกลนคร มณฑลอุดร กับจังหวัดกาฬสินธุ์ มณฑลนครราชสีมา และแม่น้ำยังนี้ไหลมาตกแม่น้ำชีที่เขตต์เมืองยโสธร
- ↑ ลำน้ำพังชู เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ห้วยพังชุหรือคันชุ ต้นน้ำไหลมาจากภูเขาในดงพระยาไฟ และไหลมาตกลำแม่น้ำมุลฝั่งซ้าย.
- ↑ ลำคันยุง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าห้วยกะยุง ต้นน้ำไหลมาจากเขาพรมแดนประเทศสยามกับเขมร และไหลตกแม่น้ำมุลฝั่งขวาที่เขตต์จังหวัดอุบลกับศีร์ษะเกตุต่อกัน.
- ↑ ยาด คือยื้อแย่ง.
- ↑ สระสี่แจง เป็นชื่อตำบล ๆ หนึ่ง แต่ความหมายของคำว่า สระสี่แจงนั้นคือสระสี่ด้าน สระสี่มุมหรือสระสี่แพ่ง.
- ↑ แฮ้ง คือแร้ง นั้นเอง.
- ↑ ปากเสียวน้อย เป็นลำธารเล็ก ๆ อยู่ที่กลางทุ่งหน้าเมืองสุวรรณภูมิ.
- ↑ ทุ่งตะหมูม บางแห่งก็เรียกว่าทุ่งกระหมุมหรือขมุม แท้จริงก็เป็นทุ่งเดียวกัน.
- ↑ ย่นคืน คือย้อนกลับ.
- ↑ ตกขะมะ คือตกประหม่า.
- ↑ เสาทุง คือ เสาธง
- ↑ ขี้ทูด คือ โรคเรื้่อนหรือกุษฐัง
- ↑ หนี คือไป หรือไปจากที่อยู่ ไม่ใช่หลบหนีอย่างที่เราเข้าใจกัน.
- ↑ ขุนมัณ ฯ ขุนมัณฑลานุการ.
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก
Public domainPublic domainfalsefalse