พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา (2455)/ภาค 3/บท 2
งานนี้ยังไม่เสร็จ สามารถดูและร่วมพัฒนาได้ที่ดัชนีนี้: 1 |
๏ลุศักราช ๑๑๓๐ ปีชวดสำฤทธิศก จึงท้าวพระยาข้าราชการจีนไทยผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็ปฤกษาพร้อมกันอัญเชิญเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเปนบรมกระษัตริย์ผ่านพิภพสิมาณกรุงธนบุรี ตั้งขึ้นเปนราชธานีสืบไป ทรงพระกรุณาให้แจกจ่ายอาหารแก่ราษฎรทั้งหลายซึ่งอดโซอนาถาทั่วสิมามณฑล เกลื่อนกล่นกันมารับพระราชทานมากกว่าหมื่น บรรดาข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนไทยจีนทั้งปวงนั้นได้รับพระราชทานเข้าสารเสมอคนละถัง กินคนละยี่สิบวัน ครั้งนั้นยังหามีผู้ใดทำไร่นาไม่ อาหารกันดารนัก แลสำเภาบรรทุกเข้าสารมาแต่เมืองพุทไธมาศ จำหน่ายถังละสามบาทสี่บาทห้าบาทบ้าง ทรงพระกรุณาให้ซื้อแจกคนทั้งปวงโดยพระราชอุสาหะโปรดเลี้ยงสัตวโลก พระราชทานชีวิตรไว้ มิได้อาไลยแก่พระราชทรัพย์ แล้วแจกจ่ายเสื้อผ้าเงินตราแก่ไพร่ฟ้าประชาชนจักนับมิได้ แลทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงตั้งแต่งขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยครบตามตำแหน่งถานานุศักดิ์เหมือนแต่ก่อน แล้วโปรดตั้งเจ้าเมืองกรมการให้ออกไปครองหัวเมืองใหญ่น้อยซึ่งอยู่ในพระราชอาณาเขตรใกล้ ๆ นั้นทุก ๆ เมือง ให้ตั้งเกลี้ยกล่อมซ่องสุมอาณาประชาราษฎรซึ่งแตกฉานซ่านเซนไปนั้นให้กลับมาอยู่ตามภูมิลำเนาเหมือนแต่ก่อนทุกบ้านทุกเมือง.
๏ขณะนั้นพระมหามนตรีจึงกราบทูลพระกรุณาว่า จะขอไปรับหลวงยุกรบัตรราชบุรีผู้พี่นั้นเข้ามาถวายตัวทำราชการ จึงโปรดให้ออกไปรับเข้ามา แล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เปนพระราชริน.
๏ในปีชวดสำฤทธิศกนั้น ฝ่ายพระเจ้าอังวะให้มีหนังสือรับสั่งลงมาแก่แมงกี้มารหญ่าเจ้าเมืองทวายให้ยกกองทัพลงมาสืบดูเมืองไทยว่าจะราบคาบอยู่ฤๅจะกำเริบขึ้นประการใดบ้าง แมงกี้มารหญ่าก็คุมพลทหารเมืองทวายสองหมื่นยกเข้ามาทางเมืองไชยโยค แลเรือรบเก่ายังอยู่ที่นั้น จึงยกทัพบกเรือลงมาณค่ายคอกระออม แล้วก็ยกเลื่อนลงมาล้อมค่ายจีนบางกุ้งใกล้จะเสียอยู่แล้ว กรมการเมืองสมุทสงครามบอกเข้ามาให้กราบทูล ครั้นได้ทราบจึงโปรดให้พระมหามนตรีเปนกองน่าเสด็จยกทัพหลวงไปทางชลมารคถึงเมืองสมุทสงคราม ให้ทัพน่าเข้าโจมตีกองทัพพม่าก็แตกฉานทั้งสิ้นในเพลาเดียว พลทหารไทยไล่ตลุมบอนฟันแทงพม่าล้มตายในนน้ำในบกเปนอันมาก ทัพพม่าพ่ายหนีกลับไปทางด่านเจ้าขว้าวไปยังเมืองทวาย เก็บได้เครื่องสาตราวุธแลเรือรบเรือไล่ครั้งนั้นเปนอันมาก แล้วเสด็จเลิกทัพกลับยังกรุงธนุบรี แลพระเกียรติยศก็ปรากฎขจรไปในสยามประเทศทุก ๆ เมือง.
๏ในขณะนั้นบรรดานายชุมนุมทั้งปวงซึ่งคุมพรรคพวกตั้งอยู่ในแขวงอำเภอหัวเมืองต่าง ๆ แลรบพุ่งชิงอาหารกันอยู่แต่ก่อนนั้น ก็สงบราบคาบลงทุก ๆ แห่ง มิได้เบียดเบียน[1] กันสืบไป ต่างต่างเข้ามาถวายตัวเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาท ได้รับพระราชทานเงินทองแลเสื้อผ้า แลโปรดชุบเลี้ยงให้เปนขุนนางในกรุงแลหัวเมืองบ้าง บ้านเมืองก็สงบปราศจากโจรผู้ร้าย แลราษฎรก็ได้ตั้งทำไร่นา ลูกค้าวานิชก็ไปมาค้าขายทำมาหากินเปนศุข เข้าปลาอาหารก็ค่อยบริบูรณ์ขึ้น คนทั้งหลายก็ค่อยได้บำเพ็ญการกุศลต่าง ๆ ฝ่ายสมณสากยบุตรในพระพุทธสาสนาก็ได้รับบิณฑบาตจัตุปัจจัย ค่อยได้ความศุขบริบูรณ์ เปนกำลังเล่าเรียน บำเพ็ญเพียรในสมณกิจฝ่ายคันถธุระวิปัศนาธุระทั้งปวงต่าง ๆ.
๏ในปีชวดสำฤทธิศกนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่า พระพุทธสาสนาจักวัฒนาการรุ่งเรืองนั้น เพราะอาไศรยจัตุบรรสัชทั้งสี่ปฏิบัติตามพระบรมพุทโธวาท แลพระสงฆ์ทุกวันนี้ยังปฏิบัติในจตุปาริสุทธศีลบมิได้บริบูรณ์ เพราะเหตุหาพระราชาคณะซึ่งทรงพระปริญัติธรรมแลสำมถวิปัศนาจะสั่งสอนบมิได้ จึงมีพระราชโองการสั่งพระศรีภูริปรีชาราชเสนาบดีศรีสาลักษณให้ไปเที่ยวนิมนต์มาประชุมกันณวัดบางว้าใหญ่ ตั้งแต่งขึ้นเปนพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยสมควรแก่คุณานุรูปตามตำแหน่งเหมือนเมื่อครั้งกรุงเก่านั้น แลพระศรีภูริปรีชาก็สืบหาได้พระเถรานุเถรซึ่งเปนพระราชาคณะบ้าง เปนบาเรียนบ้าง เปนอาจารย์ผู้บอกบ้าง แต่ครั้งกรุงเก่านั้น ได้มาหลายรูป[2] ประชุมณวัดบางว้าใหญ่ แล้วปฤกษาพร้อมกันตั้งพระอาจารย์ดีวัดประดู่ รู้คุณธรรมมาก ทั้งแก่พระวัสสาอายุ เปนสมเด็จพระสังฆราช แล้วตั้งพระเถรานุเถรทั้งนั้นเปนพระราชาคณะถานานุกรมผู้ใหญ่ผู้น้อยตามลำดับสมณถานันดรศักดิ์เหมือนอย่างแต่ก่อน ให้อยู่ในพระอารามต่าง ๆ ในจังหวัดกรุงธนบุรี บังคับบัญชาแลสั่งสอนบอกกล่าวฝ่ายคันถธุระแลวิปัศนาธุระแก่พระสงฆ์สามเณรทั้งปวง แล้วทรงพระราชศรัทธาจ้างข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนสร้างพระอุโบสถวิหารแลเสนาศนกุฎีหลายพระอารามมากกว่าสองร้อยหลัง สิ้นพระราชทรัพย์เปนอันมาก แล้วตรัศเผดียงตักเตือนถวายพระราชโอวาทไว้ว่า ขอพระผู้เปนเจ้าทั้งปวงจงตั้งใจปฏิบัติสำรวมรักษาในพระจตุปาริสุทธศีลให้บริสุทธิผ่องใสอย่าให้เศร้าหมอง แม้นผู้เปนเจ้าจะขัดสนด้วยจัตุปัจจัยสิ่งใดนั้น เปนธุระโยมจะรับอุปฐากผู้เปนเจ้าทั้งปวง แม้นถึงจะปราถนามังษะแลรุธิรของโยม โยมก็อาจสามารถจะเชือดเนื้อแลโลหิตออกถวายเปนอัชฌัตติกทานได้ แล้วทรงพระราชดำริห์ว่าพระพุทธสาสนาจะรุ่งเรืองเจริญจิรฐีติกาลนั้นก็อาไศรยกุลบุตรเล่าเรียนพระปริญัติธรรม จึงทรงพระกรุณาให้สังฆการีธรรมการทำสารบาญชี พระสงฆ์รูปใดที่บอกที่เรียนพระไตรปิฎกมาก ก็ทรงถวายไตรจีวรผ้าเทศเนื้อเลอียด แล้วทรงถวายปัจจัยแก่เถรเณรตามที่เล่าเรียนได้มากแลน้อย อนึ่งให้โปรยปรายพระราชทรัพย์แลแจกทานแก่ยาจกทุกวันอุโบสถแปดค่ำสิบห้าค่ำ แล้วตั้งโรงทานไว้สำหรับแจกคนโซทั้งปวง.
๏ในปีชวดสำฤทธิศกนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จยกพยุหโยธาไทยจีนสรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งทางบกทางเรือขึ้นไปตีเมืองพระพิศณุโลกถึงตำบลเกยไชย แลเจ้าพระพิศณุโลกเรืองได้ทราบข่าวศึกจึงแต่งให้หลวงโกษายังยกกองทัพลงมาตั้งรับ ได้รับกันเปนสามารถ ข้าศึกยิงปืนมาต้องพระชงฆ์เบื้องซ้าย จึงให้ล่าทัพหลวงกลับมายังกรุงธนบุรี ครั้นประชวรหายแล้วได้ทราบข่าวว่ามองญาปลัดพระนายกองค่ายโพธิ์สามต้นหนีขึ้นไปเข้าพวกกรมหมื่นเทพพิพิธพระเจ้าพิมาย จึงเสด็จยกทัพหลวงขึ้นไปตีเมืองนครราชสิมา.
๏ฝ่ายพระเจ้าพิมายได้ทราบข่าวศึก จึงแต่งให้พระยาวรวงษาธิราชซึ่งเรียกว่าพระยาน้อยยกกองทัพลงมาตั้งค่ายรับอยู่ณด่านขุนทดทางหนึ่ง ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ พระยามหามนตรี กับทั้งมองญา ยกกองทัพมาตั้งค่ายรับอยู่ณบ้านจ่อหอทางหนึ่ง.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสให้พระมหามนตรีแลพระราชรินยกกองทัพขึ้นไปตีทัพพระยาวรวงษาธิราชซึ่งตั้งอยู่ณด่านขุนทดนั้น แล้วเสด็จยกทัพหลวงขึ้นทางด่านจ่อหอ เข้าตีทัพเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ ๆ ออกต่อรบเปนสามารถ พลทัพหลวงเข้าหักเอาค่ายข้าศึกได้ ไล่ฆ่าฟันพลทหารเมืองพิมายล้มตายเปนอันมาก พวกข้าศึกแตกพ่ายหนีไป จับได้ตัวเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์แลพระยามหามนตรีกับทั้งมองญาด้วย ดำรัศสั่งให้ประหารชีวิตรเสียทั้งสามนาย.
๏ฝ่ายกองทัพพระมหามนตรี พระราชริน ก็ยกเข้าตีค่ายด่านขุนทด แลพระยาวรวงษาธิราชต่อรบต้านทานเปนสามารถ รบกันอยู่เปนหลายวัน พลข้าหลวงจึงเข้าหักเอาค่ายข้าศึกได้ แลพระยาวรวงษาธิราชก็แตกพ่ายหนีไปณเมืองเสียมราบแดนกรุงกัมพูชา จึงดำรัศให้พระมหามนตรี พระราชริน ยกติดตามไปตีเมืองเสียมราบได้ แต่พระยาวรวงษาธิราชนั้นหนีสูญไปหาได้ตัวไม่ จึงเลิกทัพกลับมาเฝ้าณเมืองนครราชสิมา.
๏ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธีได้ทราบว่าเสียพระยาทั้งสามแล้ว ก็ตกพระไทย มิได้ตั้งอยู่สู้รบ พาพรรคพวกหนีไปจากเมืองพิมาย จะขึ้นไปแดนกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงขุนชนะชาวเมืองนครราชสิมาไปติดตามจับกรมหมื่นเทพพิพิธได้กับทั้งบุตรภรรยา คุมเอาตัวจำมาถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งขุนชนะให้เปนพระยาคำแหงสงครามครองเมืองนครราชสิมา พระราชทานเครื่องยศแลบำเหน็จรางวัลเปนอันมากสมควรแก่ความชอบ แล้วเสด็จเลิกทัพหลวงกลับยังกรุงธนบุรี จึงให้เอาตัวกรมหมื่นเทพพิพิธเข้ามาน่าพระที่นั่ง แลกรมหมื่นเทพพิพิธถือตัวอยู่มิได้ถวายบังคม จึงดำรัศว่า ตัวเจ้าหาบุญวาศนาบารมีมิได้ ไปอยู่ที่ใดก็พาพวกผู้คนที่นับถือพลอยพินาศฉิบหายที่นั้น ครั้นจะเลี้ยงเจ้าไว้ ก็จะพาคนที่หลงเชื่อถือบุญพลอยล้มตายเสียด้วยอิก เจ้าอย่าอยู่เลย จงตายเสียครั้งนี้ทีเดียวเถิด อย่าให้เกิดจลาจลในแผ่นดินสืบไปข้างน่าอิกเลย แล้วดำรัศสั่งให้เอาตัวกรมหมื่นเทพพิพิธไปประหารชีวิตรเสีย จึงทรงพระกรุณาโปรดปูนบำเหน็จตั้งพระราชรินผู้พี่เปนพระยาอไภยรณฤทธิ์จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา ตั้งพระมหามนตรีผู้น้องเปนพระยาอนุชิตราชาจางวางพระตำรวจฝ่ายซ้าย สมควรแก่มีความชอบในการสงครามนั้น.
๏ครั้นถึงณวัน ๓ ๔ฯ ๑ ค่ำ ปีชวดสำฤทธิศก เพลาเช้าโมงเศษ เสด็จออกณท้องพระโรงพร้อมด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทโดยอันดับ จึงมีพระราชดำรัศประภาศด้วยเรื่องคดีจีนเสงซื้อเอาทองพระพุทธรูปไปลงสำเภา ตรัศสั่งให้ลูกขุนปฤกษาโทษ ในขณะนั้นบังเกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวอยู่ช้านานประมาณสองโมงเศษ.
๏ในปีชวดสำฤทธิศกนั้น ฝ่ายเจ้าพระพิศณุโลกเรืองเมื่อมีไชยชำนะแก่ข้าศึกฝ่ายใต้แล้ว ก็มีน้ำใจกำเริบถือตัวว่ามีบุญญาธิการมาก จึงตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินรับพระราชโองการอยู่ได้ประมาณเจ็ดวัน ก็บังเกิดวรรณโรคขึ้นในฅอถึงพิราไลย จึงพระอินทรอากรผู้น้องก็กระทำฌาปนกิจปลงศพเสร็จแล้ว ก็ได้ครองเมืองพระพิศณุโลกสืบไป แต่หาตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าไม่ ด้วยกลัวจะเปนจรรไรเหมือนพี่ชายซึ่งตายไปนั้น.
๏ฝ่ายเจ้าพระฝางรู้ข่าวว่าเจ้าพระพิศณุโลกเรืองถึงพิราไลยแล้ว จึงยกกองทัพลงมาตีเมืองพระพิศณุโลกอิก ให้ตั้งค่ายล้อมเมืองทั้งสองฟากน้ำ แลพระอินทร์เจ้าเมืองพระพิศณุโลกใหม่นั้นฝีมืออ่อน มิได้แกล้วกล้าในการสงคราม ต่อรบต้านทานอยู่ได้ประมาณสามเดือน ชาวเมืองไม่สู้รักใคร่นับถือ ก็เกิดไส้ศึกขึ้นในเมือง เปิดประตูเมืองรับข้าศึกในเพลากลางคืน ทัพฝางก็เข้าเมืองได้ จับได้ตัวพระอินทร์เจ้าเมืองพระพิศณุโลก เจ้าพระฝางให้ประหารชีวิตรเสีย แล้วเอาศพขึ้นประจานไว้ในเมือง จึงให้เก็บเอาทรัพย์สิ่งของทองเงินต่าง ๆ ของเจ้าเมืองกรมการแลชาวเมืองทั้งปวงได้เปนอันมาก แล้วให้ขนเอาปืนใหญ่น้อยแลกวาดต้อนครอบครัวอพยพชาวเมืองพระพิศณุโลกขึ้นไปยังเมืองสวางคบุรี แล้วก็เลิกทัพกลับไปเมือง ขณะนั้นบรรดาหัวเมืองเหนือทั้งปวงก็เปนสิทธิแก่เจ้าพระฝางทั้งสิ้น แลประชาชนชาวเมืองพระพิศณุโลกเมืองพิจิตรที่แตกหนีพาครอบครัวอพยพลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารณกรุงธนบุรีก็เปนอันมาก.
๏ลุศักราช ๑๑๓๑ ปีฉลูเอกศก ถึงณวัน ๗ ๒ฯ ๕ ค่ำ เพลากลางคืนดึกประมาณสองยาม บังเกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวอิกครั้งหนึ่ง แต่ไหวน้อยกว่าครั้งก่อน.
๏ในปีฉลูเอกศกนั้น ฝ่ายข้างมลาวประเทศกรุงศรีสัตนาคนหุตกับเมืองหลวงพระบางเปนอริแก่กัน พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตเกรงเมืองหลวงพระบางจะยกทัพมาตีเอาเมือง จึงแต่งราชบุตรีชื่อเจ้าหน่อเมืองให้ขุนนางนำเอาไปถวายพระเจ้าอังวะ กับทั้งเครื่องราชบรรณาการ ขอเปนเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสิมาแก่กรุงรัตนบุรอังวะ.
๏ฝ่ายข้างกรุงธนบุรีขณะนั้น มีผู้เปนโจทย์ฟ้องกล่าวโทษสมเด็จพระสังฆราชว่า แต่ครั้งอยู่ในค่ายพระนายกองโพธิ์สามต้นนั้น ได้คิดอ่านกับพระนายกองบอกให้เร่งรัดเอาทรัพย์แก่ชาวเมืองซึ่งตกอยู่ในค่ายส่อว่าผู้นั้น ๆ มั่งมี ๆ ทรัพย์มาก ครั้นกราบทูลพระกรุณาขึ้นตามคำโจทย์ฟ้อง จึงดำรัศให้พระยาพระเสด็จชำระถามสมเด็จพระสังฆราช ๆ ไม่รับ จึงโปรดให้พิสูตรลุยเพลิงชำระตัวให้บริสุทธิ์เห็นความจริง แลสมเด็จพระสังฆราชแพ้แก่พิสูตรเพลิง จึงดำรัศให้สึกเสีย อนึ่งสามเณรศิษย์พระพนรัตน์มาฟ้องกล่าวโทษว่า พระพนรัตนส้องเสพเมถุนธรรมทางเว็จมรรคแห่งตน จึงโปรดให้พิจารณา รับเปนสัตย์ ให้สึกเสีย แล้วเอามาตั้งเปนหลวงธรรมรักษาเจ้ากรมสังฆการี.
๏ครั้นถึงณวัน ๑ ๖ฯ ๓ ค่ำ แขกเมืองลาวเมืองหล่มศักดิ์ลงมาสู่พระบรมโพธิสมภาร นำเอาช้าง ๆ หนึ่ง ม้าห้าม้า มาทูลเกล้าฯ ถวาย ขอเปนข้าขอบขัณฑสิมา อนึ่งในปลายปีฉลูเอกศกนั้น บังเกิดทุพภิกขไภย เข้าแพง เข้าสารเปนเกวียนละสองชั่ง อาณาประชาราษฎรขัดสนกันดารด้วยอาหารนัก จึงทรงพระกรุณาสั่งให้ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกันทำนาปรังทุกแห่งทุกตำบล.
๏ครั้นถึงณวัน ๒ ๑๔ฯ ๓ ค่ำ กรมการเมืองจันทบูรส่งหนังสือบอกเข้ามาว่า กองทัพเมืองพุทไธมาศจะยกเข้ามาตีกรุงเทพมหานคร จึงโปรดให้พระยาพิไชยจีนเปนที่โกษาธิบดี ให้ลงไปตั้งค่ายณพระประแดงแลปากน้ำเมืองสาครบุรีเมืองสมุทสงคราม แลข่าวทัพญวนนั้นก็สงบไป หายกเข้ามาตีกรุงฯ ไม่ แลในปีฉลูเอกศกนั้น บังเกิดหนูมาก เข้ากินเข้าในยุ้งฉางสิ่งของทั้งปวงต่าง ๆ จึงมีรับสั่งให้ข้าทูลลอองธุลีพระบาทแลราษฎรทั้งหลายดักหนูมาส่งแก่กรมพระนครบาลทุกวัน ๆ หนูก็สงบเสื่อมสูญไป.
๏อนึ่งซึ่งพระขัติยวงษ์ครั้งกรุงเก่านั้น บรรดาเจ้าหญิงทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงไว้ในพระราชวัง แลเจ้าฟ้าสุริยา เจ้าฟ้าจันทวดี สองพระองค์นั้นดับสูญสิ้นพระชนม์ ยังอยู่แต่เจ้าฟ้าพินทวดี พระองค์เจ้าฟักทอง พระองค์เจ้าทับทิมซึ่งเรียกว่าเจ้าครอกจันทบูรนั้น แลเจ้ามิตรบุตรีกรมพระราชวังโปรดให้ชื่อเจ้าประทุม หม่อมเจ้ากระจาดบุตรีกรมหมื่นจิตรสุนทรโปรดให้ชื่อเจ้าบุบผา กับหม่อมเจ้าอุบลบุตรีกรมหมื่นเทพพิพิธ หม่อมเจ้าฉิมบุตรีเจ้าฟ้าจีด ทั้งสี่องค์นี้ทรงพระกรุณาเลี้ยงเปนห้าม.
๏ถึงณวันจันทร เดือนเจ็ด แรมค่ำหนึ่ง หม่อมเจ้าอุบล หม่อมเจ้าฉิม กับนางลครสี่คน เปนชู้กับฝรั่งมหาดเล็กสองคน พิจารณาเปนสัตย์แล้ว มีพระราชโองการ[3] สั่งให้พวกฝีพายทนายเลือกไปทำชำเราประจานแล้วให้ตัดแขนตัดศีศะผ่าอกทั้งชายหญิงอย่าให้ใครดูเยี่ยงกันต่อไป ในปีนั้นทรงพระกรุณาตั้งสมเด็จพระพันปีหลวงเปนกรมพระเทพามาตยตามโบราณราชประเพณี แลโปรดตั้งเจ้าครอกหอกลางพระมเหษีเดิมเปนกรมหลวงบาทบริจาริกา[3] แลตั้งพระเจ้ารามลักษณ์องค์หนึ่ง เจ้าประทุมไพจิตรองค์หนึ่ง แลพระเจ้าลูกเธอใหญ่พระองค์เจ้าจุ้ย กับพระเจ้าหลานเธอเจ้าแสง เจ้าบุญจันทร สองพระองค์นั้นยังหาได้พระราชทานนามไม่ แล้วทรงคิดราชการซึ่งจะเกณฑ์กองทัพยกออกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช พอข้างกัมพุชประเทศนักพระองค์ตนซึ่งชื่อพระอุไทยราชาไปขอทัพญวนมาตีเมืองพุทไธเพ็ชร นักพระรามาธิบดีผู้ครองเมืองสู้รบมิได้ ก็พาสมัครพรรคพวกครอบครัวอพยพหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารณกรุงธนบุรี จึงมีพระราชดำรัศให้พระยาอไภยรณฤทธิ พระยาอนุชิตราชา ยกกองทัพพลสองพันไปทางเมืองนครราชสิมาทัพหนึ่ง ให้พระยาโกษาธิบดียกกองทัพพลสองพันไปทางเมืองปราจิณทัพหนึ่ง ไปตีนักพระอุไทยราชาคืนเอาเมืองพุทไธเพ็ชรให้แก่นักพระรามาธิบดีจงได้ แลท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งสองทัพก็กราบถวายบังคมลายกกองทัพพร้อม[4] ด้วยช้างม้าเครื่องสรรพสาตราวุธไปทั้งสองทางตามพระราชกำหนด แล้วเกณฑ์กองทัพโปรดให้เจ้าพระยาจักรีแขกซึ่งเปนหลวงนายศักดิอยู่ก่อนนั้นเปนแม่ทัพ กับพระยายมราช พระยาศรีพิพัฒ พระยาเพ็ชรบุรี ถือพลห้าพัน พร้อมด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธ ยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราชอิกทัพหนึ่ง เจ้าพระยาจักรีแลท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลายกกองทัพไปทางเมืองเพ็ชรบุรีไปถึงเมืองประทิว ชาวเมืองประทิวชาวเมืองชุมพรยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น แลนายมั่นคนหนึ่งพาสมัคพรรคพวกเปนอันมากเข้ามาหาท่านแม่ทัพขอสวามิภักดิเปนข้าราชการ จึงบอกเข้ามาให้กราบทูล จึงมีพระราชดำรัศ[3] โปรดให้มีตราตั้งออกไปให้นายมั่นเปนพระชุมพร ให้เกณฑ์เข้าในกองทัพด้วย ครั้นยกออกไปถึงแดนเมืองไชยา หลวงปลัดเมืองไชยาก็พาไพร่พลมาเข้าสวามิภักดิ จึงบอกเข้ามาให้กราบทูลอิก โปรดให้มีตราตั้งออกไปให้หลวงปลัดเปนพระยาวิชิตภักดีเจ้าเมืองไชยา ให้เกณฑ์เข้าบรรจบกองทัพ ๆ ก็ยกออกไปตั้งอยู่ณเมืองไชยา.
๏ฝ่ายเจ้านครศรีธรรมราชได้ทราบข่าวศึก จึงเกณฑ์กองทัพให้ขุนนางเมืองนครยกมาตั้งค่ายรับอยู่ณตำบลท่าหมาก แลกองทัพกรุงยกข้ามแม่น้ำบ้านดอนไปถึงค่ายท่าหมาก ได้รบกับทัพเมืองนครเปนสามารถ พระยาเพ็ชรบุรี พระยาศรีพิพัฒ ตายในที่รบ แต่หลวงลักษมนาบุตรเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพนั้นข้าศึกจับเปนไปได้ เจ้าพระยาจักรีก็ให้ล่าทัพถอยมาตั้งอยู่ณเมืองไชยา แลพระยายมราชจึงบอกกล่าวโทษเข้ามาว่า เจ้าพระยาจักรีเปนขบถ มิเต็มใจทำราชการสงคราม.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทราบในหนังสือบอกนั้น ก็ทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาญาณ ตรัศทราบ[5] เหตุว่านายทัพนายกองเหล่านี้ทำสงครามไปไม่ตระหลอดแล้วจึงเกิดวิวาทแก่กัน แลการศึกเมืองนครศรีธรรมราชครั้งนี้เปนศึกใหญ่ แต่กำลังเสนาบดีเห็นจะทำการไม่สำเร็จเปนแท้ จำจะต้องยกพยุหโยธาทัพหลวงไป จึงจะได้เมืองนครศรีธรรมราช จึงดำรัศให้จัดแจงทัพเรือพร้อมด้วยพลรบหมื่นหนึ่ง พลกระเชียงหมื่นหนึ่ง แลเครื่องสาตราวุธปืนใหญ่น้อยทั้งปวงให้สรรพ.
๏ครั้นถึงวันมหาพิไชยฤกษ์ในอาสาธมาศกาฬปักษดิถี จึงเสด็จทรงเรือพระที่นั่งสุวรรณพิไชยนาวาท้ายรถ ยาวสิบเอ็จวา ปากกว้างสามวาเศษ พลกระเชียงยี่สิบเก้าคน พร้อมด้วยเรือรบท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทนายทัพนายกองทั้งปวงโดยเสด็จพระราชดำเนินตามกระบวนพยุหโยธาน่าหลัง เสด็จกรีธานาวาทัพหลวงออกจากกรุงธนบุรีไปทางชลมารค ออกปากน้ำเมืองสมุทสงครามตกถึงท้องทเล ครั้นณวันอาทิตย์ เดือนเก้า แรมสามค่ำ เพลาสามโมงเช้า ถึงตำบลบางทลุ บังเกิดพยุคลื่นลมหนัก แลเรือรบข้าราชการในกองหลวงแลกองน่าบ้างกองหลังบ้างล่มบ้างแตกบ้าง เข้าจอดแอบบังอยู่ในอ่าว สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัศให้ปลูกศาลขึ้นสูงเพียงตาบนฝั่ง ให้แต่งตั้งเครื่องกระยาสังเวยบวงสรวงเทพารักษ์อันพิทักษ์ท้องพระมหาสมุท ให้จุดธูปเทียนกระทำสักการบูชา แลทรงตั้งพระสัตยาธิฐาน เอาคุณพระศรีรัตนไตรยเปนที่ตั้ง กับทั้งพระบารมีซึ่งทรงบำเพ็ญมาแต่บุรพชาติ[6] แลในปัจจุบัน ขอจงบันดาลให้คลื่นลมสงบในบัดนี้ ด้วยเดชะอำนาจพระราชกฤษฎาธิการอภินิหารบารมีเปนมหัศจรรย์ คลื่นลมนั้นก็สงบสงัดราบคาบเห็นประจักษในขณะทรงพระสัตยาธิฐาน แลเรือพระที่นั่งแลเรือข้าราชการทั้งหลายล้วนเปนเรือรบน้อย ๆ ก็ไปได้ในมหาสมุทหาอันตรายมิได้ ครั้นเสด็จถึงเมืองไชยา จึงให้จอดประทับณท่าพุมเรียง เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปประทับแรมอยู่บนพลับพลาซึ่งกองทัพน่าตกแต่งไว้รับเสด็จเพื่อจะให้เปนศรีสวัสดิมงคลแก่เมืองไชยานั้น แล้วดำรัศให้กองพระยาพิไชยราชาเข้าบรรจบทัพเจ้าพระยาจักรีเร่งรีบยกไปทางบก ให้ตีเอาค่ายทัพเมืองนครให้แตกจงได้ แลกองทัพบกก็กราบถวายบังคมลายกไปตามพระราชกำหนด จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งให้ยาตรานาวาทัพโดยทางทเลสืบไปถึงตำบลปากทางคูหา ได้ทอดพระเนตรเห็นดาวหางขึ้นทางทักษิณทิศเปนทุนิมิตรปรากฎแก่เมืองนครศรีธรรมราช สำแดงเหตุอันจะถึงกาลพินาศปราไชย ก็มีพระราชหฤไทยโสมนัศ จึงดำรัศเร่งกองทัพเรือทั้งปวงให้รีบไปให้ถึงปากน้ำเมืองนครโดยเร็ว.
๏ฝ่ายกองทัพบกพระยายมราชเปนกองน่ายกข้ามท่าข้ามไปถึงลำพูน เข้าตีค่ายกองทัพเมืองนครซึ่งตั้งรับอยู่ณท่าหมากนั้นแตกพ่ายหนี จึงยกติดตามไปตั้งค่ายอยู่ณเขาศีศะช้าง พอทัพหลวงถึงปากน้ำเมืองนครในวันพฤหัศบดี เดือนสิบ แรมหกค่ำ เพลาเช้าสามโมง ก็เสด็จยาตราทัพขึ้นบกยกเข้าตีเมืองนครศรีธรรมราช.
๏ฝ่ายเจ้านครแต่งให้เจ้าอุปราชยกกองทัพออกมาตั้งรับที่ท่าโพธิ์ ก็พ่ายแก่ทัพหลวงแตกหนีเข้าเมือง เจ้านครก็ตกใจกลัวพระเดชานุภาพเปนกำลัง มิได้ตั้งอยู่สู้รบ ทิ้งเมืองเสีย พาสมัคพรรคพวกญาติวงษ์ออกจากเมืองหนีไปในเพลานั้น แลนายคงไพร่ในกองพระเสนาภิมุขเห็นช้างพลายเพ็ชรที่นั่งเจ้านครผูกเครื่องสับปล่อยอยู่ จึงจับเอามาถวาย สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงช้างที่นั่งพลายเพ็ชร เสด็จเข้าเมืองนครศรีธรรมราชได้โดยง่าย นายทัพนายกองทั้งปวงนั้นตามเสด็จมาทันบ้างไม่ทันบ้าง แลขณะเมื่อรบกับทัพเจ้าอุปราช เสียแต่นายเพ็ชร์ทนายเลือกถูกปืนตายคนเดียว พลข้าหลวงจับได้ราชธิดาแลญาติวงษานางสนมเหล่าชแม่พนักงานบริวารของเจ้านครกับทั้งเจ้าอุปราชแลขุนนางทั้งปวง แลได้ทรัพย์สมบัติสิ่งของทองเงินเครื่องราชูประโภควัตถาลังการต่าง ๆ เปนอันมากนำมาถวาย ครั้นท้าวพระยานายทัพนายกองทัพบกทัพเรือมาถึงพร้อมกันแล้ว จึงมีพระราชดำรัศภาคโทษไว้ครั้งหนึ่งซึ่งตามเสด็จมิทันในขณะงานพระราชสงครามนั้น.
๏ฝ่ายเจ้านครพาราชบุตรราชธิดาวงษานุวงษ์แลราชทรัพย์เก็บไปได้บ้าง หนีลงไปณเมืองสงขลา แลหลวงสงขลาพาหนีต่อไปถึงณเมืองเทพาเมืองตานี จึงมีพระราชดำรัศให้เจ้าพระยาจักรี พระยาพิไชยราชา เร่งยกทัพบกทัพเรือติดตามไปจับตัวเจ้านครให้จงได้ ถ้ามิได้จะลงพระราชอาญาถึงสิ้นชีวิตร.
๏ครั้นถึงณวันศุกร เดือนสิบเอ็จ ขึ้นหกค่ำ เพลากลางคืนสองทุ่มเศษ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนนาวาพยุหจากเมืองนครศรีธรรมราชไปโดยทางมหาสาครสมุท ประทับร้อนแรมไปตามลำดับชลมารคจนถึงเมืองสงขลา เสด็จขึ้นประทับอยู่ในเมือง.
๏ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพเรือ พระยาพิไชยราชาแม่ทัพบก ยกติดตามเจ้านครไปถึงเมืองเทพา จับจีนจับแขกมาไต่ถามได้ความว่า เจ้านครหนีไปเมืองตานีกับพระยาพัทลุงแลหลวงสงขลา แลแม่ทัพทั้งสองนายถึงมีหนังสือไปถึงพระยาตานีศรีสุลต่านว่า ให้ส่งตัวเจ้านครกับพรรคพวกมาถวายให้สิ้น แม้นมิส่ง จะยกกองทัพไปตีเมืองตานี พระยาตานีกลัวบ้านเมืองจะเปนอันตราย จึงส่งตัวเจ้านคร แลพระยาพัทลุง หลวงสงขลา เจ้าพัด เจ้ากลาง กับทั้งบุตรภรรยา มาให้แก่กองทัพข้าหลวง ๆ ก็จำคนโทษทั้งนั้นใส่เรือรบมาถวายณเมืองสงขลา ครั้นณวันศุกร เดือนสิบสอง ขึ้นสองค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินนาวาทัพหลวงกลับคืน[7] ยังเมืองนครศรีธรรมราช ครั้นณวันศุกร เดือนยี่ ขึ้นสองค่ำ กลางคีน เพลาเจ็ดทุ่ม เกิดเพลิงไหม้ในเมืองนคร ตำบลนายก่าย จึงทรงพระกรุณาให้มีกฎประกาศไปทั่วทั้งกองทัพ ห้ามมิให้ไพร่พลไทยจีนทั้งปวงฆ่าโคกระบือแลข่มเหงสมณชีพราหมณอาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แลครั้งนั้นพวกฝีพายทนายเลือกซึ่งตามเสด็จได้ทรัพย์สิ่งสินเปนอันมาก ทรงพระกรุณาให้เล่นให้สนุก แลให้กำถั่วน่าพระที่นั่งกระดานละห้าสิบชั่งบ้างร้อยชั่งบ้าง สนุกปรากฎยิ่งกว่าทุกครั้ง แล้วทรงพระราชศรัทธาให้สังฆการีธรรมการไปนิมนต์ภิกษุเถรเณรรูปชีทั่วทั้งในเมืองนอกเมืองมาพร้อมกัน ทรงถวายเข้าสารองค์ละถัง เงินตราองค์ละบาท ที่ขาดผ้าสบงจีวรก็ถวายทุก ๆ องค์ แล้วทรงแจกยาจกวรรณิพกทั้งปวงเสมอคนละสลึงทุก ๆ วันอุโบสถ แล้วเกณฑ์ให้ข้าราชการต่อเรือรบเพิ่มเติมขึ้นอิกร้อยลำเศษ สำหรับจะได้ใช้ราชการทัพศึกสืบไปภายน่า แลทรงพระกรุณาให้จ้างพวกข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายทหารพลเรือนให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวิหารการเปรียญแลพระรเบียงศาลากุฎีในพระอารามใหญ่น้อยเปนหลายพระอาราม สิ้นพระราชทรัพย์เปนอันมาก แล้วให้มีการมหรศพสมโภชเวียนเทียนพระมหาธาตุเจดีย์ใหญ่ในเมืองนครนั้นครบสามวัน.
๏ครั้นเสร็จการสมโภชพระบรมสาริริกธาตุแล้ว จึงดำรัศให้เสนาบดีแลลูกขุนปฤกษาโทษเจ้านคร แลเสนาบดีปฤกษาพร้อมกันว่า โทษถึงประหารชีวิตร ทรงพระกรุณาไม่เห็นด้วย ดำรัศให้จำคงเจ้านครเข้าไปให้ถึงกรุงก่อนจึงปฤกษากันใหม่ แล้วโปรดตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงษ์ไว้ครองเมืองนครศรีธรรมราช แลให้พระยาราชสุภาวดีกับพระศรีไกรลาศอยู่ช่วยราชการ แล้วดำรัศให้ราชบัณฑิตย์จัดพระไตรปิฎกลงบรรทุกเรือเชิญเข้ามาณกรุงแต่พอจำลองได้ทุก ๆ พระคัมภีร์แล้วจึงจะเชิญออกมาส่งไว้ตามเดิม อนึ่งให้สังฆการีนิมนต์พระอาจารย์ศรีวัดพแนงเชิงซึ่งหนีพม่าออกมาอยู่ณเมืองนครนั้นให้รับเข้ามากรุงกับทั้งพระสงฆ์สามเณรศิษย์ทั้งปวงด้วย.
๏ครั้นถึงณเดือนสี่ ปลายปีฉลูเอกศก จึงเสด็จยกพยุหโยธาทัพบกทัพเรือกลับคืนยังกรุงธนบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งพระอาจารย์ศรีเปนสมเด็จพระสังฆราช แล้วดำรัศให้จ้างช่างจาน ๆ พระไตรปิฎกจนสิ้นที่มีฉบับ สิ้นพระราชทรัพย์เปนอันมาก แลซึ่งเจ้านครนั้นก็มีพระราชทาโทษให้ถอดออกจากพันธนาการ แล้วให้รับพระราชทานน้ำพระพิพัฒสัตยาอยู่เปนข้าราชการ พระราชทานบ้านเรือนที่อาไศรยให้อยู่เปนศุข จำเดิมแต่นั้นมาพระพุทธสาสนาก็ค่อยวัฒนาการรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นเหมือนแต่ก่อน แลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เจริญพระราชกฤษฎาธิคุณไพบูลย์ภิยโยภาพยิ่งขึ้นไป ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ค่อยมีความผาศุกสนุกสบายบริบูรณ์คงคืนขึ้นเหมือนเมื่อครั้งแผ่นดินกรุงเก่ายังปรกติดีอยู่นั้น.
๏ฝ่ายกองทัพซึ่งยกไปกัมพุชประเทศนั้น ทัพพระยาอไภยรณฤทธิ พระยาอนุชิตราชา ยกจากเมืองนครราชสิมาไปตีเมืองเสียมราบได้ ทัพพระยาโกษาสายยกจากเมืองปราจิณไปตีได้เมืองปัตบองตั้งอยู่ที่นั้น แลนักพระองค์ตนซึ่งเปนพระอุไทยราชายกกองทัพเรือมาทางทเลสาบจะมาตีเอาเมืองเสียมราบคืน พระยาอไภยรณฤทธิ พระยาอนุชิราชา จัดแจงได้เรือที่เมืองเสียมราบ ยกทัพเรือออกรบกับทัพเขมรในทเลสาบ ได้สู้รบกันหลายเพลา พอได้ข่าวเลื่องฦๅออกไปว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช บัดนี้ทิวงคตเสียแล้ว พระยาอไภยรณฤทธิ พระยาอนุชิตราชา ก็ตกใจ เกรงแผ่นดินจะเกิดจลาจลขึ้นอิก เลิกทัพกลับมา แต่พระยาอไภยรณฤทธิเกรงความจะไม่แน่ จึงรอทัพอยู่เมืองนครราชสิมาก่อน พระยาอนุชิตราชานั้นรีบยกทัพมาจนถึงเมืองลพบุรี จึงรู้ความตระหนักว่า เสด็จยังอยู่ หาอันตรายมิได้ บัดนี้ตีเมืองนครได้ ทัพหลวงจะกลับอยู่แล้ว จึงตั้งรออยู่ณเมืองลพบุรี มิได้ลงมาถึงกรุง ฝ่ายพระยาโกษาแจ้งว่า ทัพทางเมืองเสียมราบเลิกถอยไปแล้ว ก็ให้ลาดทัพกลับมาณเมืองปราจิณ แล้วบอกกล่าวโทษเข้ามาณกรุงว่า ทัพพระยาอไภยรณฤทธิ พระยาอนุชิตราชา เลิกหนีมาก่อน ครั้นจะตั้งอยู่แต่ทัพเดียว เกรงทัพเขมรจะยกทุ่มเข้ามามาก จะเสียที เห็นจะเหลือกำลัง จึงลาดถอยมาบ้าง ครั้นเสด็จมาถึงกรุง ได้ทราบหนังสือบอกพระยาโกษาธิบดี แล้วได้ข่าวว่า พระยาอนุชิตราชายกกลับมาตั้งอยู่ณเมืองลพบุรี ทรงพระพิโรธ จึงดำรัศใช้ตำรวจให้ไปหาตัวพระยาอนุชิตราชาลงมาเฝ้า แล้วตรัศถามว่า ใช้ไปราชการสงคราม ยังมิได้ให้หาทัพกลับ เหตุไฉนจึงยกมาเองดังนี้ จะคิดเปนขบถฤๅ พระยาอนุชิราชาจึงกราบทูลพระกรุณาโดยจริงว่า ข่าวฦๅออกไปว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทิวงคตณเมืองนครศรีธรรมราช ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าข้าศึกอื่นจะยกมาชิงเอากรุงธนบุรี จึงรีบกลับมา หวังจะรักษาแผ่นดินไว้ นอกกว่าพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจะได้ยอมเปนข้าผู้อื่นอิกนั้นหามิได้เลยเปนอันขาด เมื่อได้ทรงสดับก็หายพระโกรธ กลับทรงพระโสมนัศดำรัสสรรเสริญพระยาอนุชิตราชาว่า เออเองเปนคนสัตย์ซื่อแท้ น้ำใจสมัคเปนข้าแต่กูผู้เดียว มิได้ยอมเปนข้าผู้อื่นอิกสืบไป แล้วโปรดให้มีตราหากองทัพพระยาอไภยรณฤทธิแลพระยาโกษากลับคืนมายังพระนคร.
๏ลุศักราช ๑๑๓๒ ปีขาลโทศก ถึงณเดือนหก ฝ่ายเจ้าพระฝางซึ่งเปนใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงนั้นประพฤติพาลทุจริตทุศีลกรรมลามกบริโภคสุรากับทั้งพวกสงฆ์อลัชชีซึ่งเปนนายทัพนายกองทั้งปวงนั้น แลชวนกันกระทำมนุษวิคหฆาฏกะกรรมปาราชิก แล้วยังนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตรอยู่ หาละจากเพศสมณไม่ แล้วเกณฑ์กองทัพให้ลงมาลาดตระเวนตีเอาเข้าปลาอาหารแลเผาบ้านเรือนราษฎรเสียหลายตำบลจนถึงเมืองอุไทยธานี เมืองไชยนาท แลราษฎรหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งอยู่ในพระราชอาณาเขตรได้ความเคืองแค้นขัดสนนัก กรมการเมืองอุไทยธานี เมืองไชยนาท บอกลงมาให้กราบทูลพระกรุณา ครั้นได้ทราบจึงมีพระราชดำรัศให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปปราบอ้ายพวกเหล่าร้ายฝ่ายเหนือให้แผ่นดินราบคาบ จึงโปรดให้พระยาพิไชยราชาเปนแม่ทัพถือพลห้าพันสรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธยกไปทางฟากตระวันตกทัพหนึ่ง ขณะนั้นพระยายมราชถึงแก่กรรม จึงโปรดให้พระยาอนุชิตราชาเลื่อนที่เปนพระยายมราช ให้เปนแม่ทัพถือพลห้าพันสรรพด้วยช้าม้าสรรพสาตราวุธยกไปทางฟากตระวันออกทัพหนึ่ง แลทัพบกทั้งสองทัพเปนคนหมื่นหนึ่ง ให้ยกล่วงไปก่อน.
๏ครั้นถึงณวันเสาร์ เดือนแปด แรมสิบสี่ค่ำ เพลาเช้าโมงเศษได้มหาพิไชยฤกษ์ สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงทรงเรือพระที่นั่งกราบยาวสิบเอ็จวา พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารพลเรือนไทยจีนทั้งปวงโดยเสด็จพระราชดำเนินตามขบวนพยุหยาตราน่าหลัง แลพลโยธาทัพหลวงหมื่นสองพันโดยกำหนด ครั้งนั้นเข้าแพงถึงเกวียนละสามชั่ง ด้วยเดชะพระบรมโพธิสมภารบันดาลให้กำปั่นเข้าสารมาแต่เกาะทิศใต้เปนหลายลำในขณะเมื่อจะยกทัพ จึงทรงพระกรุณาให้รอทัพอยู่ แล้วให้จัดซื้อจ่ายแจกให้พลกองทัพจนเหลือเฟือ แล้วได้แจกจ่ายแก่สมณชีพราหมณยาจกวรรณิพก แลครอบครัวบุตรภรรยาข้าราชการทั้งปวงทั่วกัน แล้วแขกเมืองตรังกานูแลแลแขกเมืองยักตรานำเอาปืนคาบศิลาเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายถึงสองพันสองร้อยบอก เปนพระราชลาภอันวิเศษ จึงให้ยาตรานาวาพยุหทัพจากกรุงธนบุรีไปโดยชลมารค เสด็จประทับร้อนแรมอยู่สองเวน แล้วยกขึ้นไปถึงตำบลช้าลวัน ประทับแรมอยู่เวนหนึ่ง รุ่งขึ้นณวันเสาร์ เดือนเก้า แรมสองค่ำ จึงยกไปประทับร้อนณปากน้ำพิง.
๏ฝ่ายเจ้าพระฝางรู้ข่าวศึก จึงให้หลวงโกษายังเมืองพระพิศณุโลกยกกองทัพลงมาตั้งรับอยู่ณเมืองพระพิศณุโลก ครั้นค่ำลงเพลาประมาณยามเศษในวันเสาร์ จึงดำรัศให้กองน่ายกเข้าตีเมืองพระพิศณุโลก เข้าเมืองได้ในกลางคืนวันนั้น แลหลวงโกษายังหนีออกจากเมืองขึ้นไปตั้งค่ายรับอยู่ตำบลโทก ยังไม่ทันได้รับกันก็เลิกหนีไป ครั้นถึงณวันจันทร เดือนเก้า แรมสี่ค่ำ จึงเสด็จเข้าเมืองพระพิศณุโลก นมัสการพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ทรงพระราชศรัทธาเปลื้องพระภูษาทรงสพักออกจากพระองค์ทรงพระพุทธชินราชเจ้า แล้วเสด็จประทับแรมอยู่ในเมืองหยุดท่าทัพบกอยู่เก้าเวน พอกองทัพพระยายมราชซึ่งยกมาทางฟากตระวันออกนั้นขึ้นไปถึง จึงพระราชทานเข้าปลาอาหารให้จ่ายแจกกันทั่ว แล้วดำรัศให้ทัพบกยกรีบขึ้นไปติดเมืองสวางคบุรี รุ่งขึ้นอิกสองวันกองทัพพระยาพิไชยราชาซึ่งยกมาทางฟากตระวันตกจึงขึ้นไปถึง จึงดำรัศให้จ่ายเสบียงอาหารให้ แล้วให้ยกรีบขึ้นไปให้ทันทัพพระยายมราชฟากตระวันออก แล้วตรัศว่า เราจะยกทัพเรือขึ้นไปบัดนี้ น้ำในแม่น้ำยังน้อยนัก ตลิ่งยังสูงอยู่ ข้าศึกจะได้เปรียบยิงปืนลงมาแต่บนฝั่งถนัด แต่ทว่าไม่ช้าดอก พอทัพบกยกข้ามแม่น้ำน้อยเสียได้สามวัน น้ำก็จะเกิดมากขึ้น ด้วยเดชะพระบรมโพธิสมภารเปนมหัศจรรย์ ครั้นถึงสามวันน้ำก็เกิดมากขึ้นเสมอตลิ่งบ้าง ลบตลิ่งบ้าง ประดุจกระแสพระราชดำรัศไว้นั้น จำเดิมแต่นั้นมาบรรดานายทัพนายกองแลไพร่พลทัพบกทัพเรือทั้งปวงได้แจ้งเหตุแล้วก็ยกมือขึ้นถวายบังคมทุกคน ๆ เอาพระเดชานุภาพเปนที่พึ่งปกเกล้าฯ มีน้ำใจกล้าหาญมิได้ย่อท้อต่อการณรงค์ องอาจที่จะรบสู้หมู่ปัจจามิตรข้าศึก ด้วยเหตุพระบารมีปรากฎเปนแท้.
๏ฝ่ายกองทัพพระยายมราชแลพระยาพิไชยราชายกขึ้นไปถึงเมืองสวางคบุรี ก็ให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ แลเมืองสวางคบุรีนั้นตั้งแต่รเนียดไม้ขอนสักถมเชิงเทินดิน หามีกำแพงไม่ เจ้าพระฝางก็เกณฑ์พลทหารขึ้นรักษาน่าที่เชิงเทินรอบเมือง ยิงปืนใหญ่น้อยต่อรบป้องกันเมือง แต่คิดครั่นคร้ามพระเดชานุภาพเปนกำลัง ขณะนั้นช้างพังช้างหนึ่งอยู่ในเมือง ตกลงเปนพังเผือกสมพงษ์ แลเจ้าพระฝางจึงว่า ช้างเผือกนี้มิได้บังเกิดเปนของคู่บุญของเรา เกิดเปนพาหนะสำหรับบุญแห่งท่านทัพใต้ซึ่งยกขึ้นมานั้น ก็ยิ่งคิดเกรงกลัวพระบารมียิ่งนัก แลสู้รบอยู่ได้สามวัน เจ้าพระฝางก็พาสมัคพรรคพวกหนีออกจากเมืองในกลางคืนไปข้างทิศเหนือ พวกทหารก็นำเอาลูกช้างเผือกกับทั้งแม่ช้างพาหนีตามไปด้วย กองทัพกรุงก็เข้าเมืองได้ แล้วแต่งคนถือหนังสือบอกลงมายังทัพหลวงณเมืองพระพิศณุโลก.
๏ฝ่ายทัพหลวงถึงณวันอาทิตย์ เดือนเก้า แรมเจ็ดค่ำ เพลาเช้าสองนาฬิกา ก็เสด็จยกพยุหยาตราจากเมืองพระพิศณุโลกโดยทางชลมารคประทับร้อนแรมไปได้สามเวน พอพบผู้ถือหนังสือบอกกองน่าใจความว่า ได้เมืองสวางคบุรีแล้ว แต่อ้ายเรือนพระฝางนั้นพาลูกช้างเผือกซึ่งเกิดในเมืองหนีไป ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงยังให้ติดตามอยู่ จึงเสด็จเร่งรีบเรือพระที่นั่งไปทั้งกลางวันกลางคืน ถึงที่ประทับพระตำหนักค่ายหาดสูงซึ่งกองน่าตั้งไว้รับเสด็จ ก็เสด็จขึ้นประทับแรมอยู่ที่นั้น แล้วมีพระราช[3] ดำรัศสั่งให้นายทัพนายกองเกณฑ์กันไปติดตามอ้ายเรือนพระฝางแลนางพระยาช้างเผือกให้จงได้ ครั้นณวันอาทิตย์ เดือนเก้า แรมสิบสามค่ำ หลวงคชศักดิ์กับกองพระยาอินทรวิชิตเจ้าเมืองวิเศษไชยชาญจับได้นางพระยาเสวตรมงคลคชสารตัวประเสริฐนำมาทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงพระกรุณาพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พระยาอินทรวิชิตแลหลวงคชศักดิ์โดยสมควรแก่ความชอบ ครั้นณวันพฤหัศบดี เดือนสิบ ขึ้นสิบค่ำ จึงเสด็จยกพยุหบาตราทัพหลวงไปโดยทางชลมารคถึงตำบลน้ำมืด จึงดำรัศให้ตั้งด่านทางชั้นในชั้นนอก แลเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรชาวหัวเมืองเหนือทั้งปวงซึ่งอพยพหลบหนีแตกฉานซ่านเซนเข้าป่าดงให้ออกมาอยู่ตามภูมิลำเนาดุจแต่ก่อน แล้วให้เที่ยวลาดตระเวนเสาะสืบสาวเอาตัวอ้ายเรือนพระฝางให้จงได้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับยังพระตำหนักค่ายหาดสูง ครั้นรุ่งขึ้นณวันเสาร์ เดือนสิบ แรมห้าค่ำ จึงดำรัศให้แต่งกฎประกาศแก่กองทัพบกทัพเรือไทยจีนทั้งปวงห้ามอย่าให้ข่มเหงริบเอาทรัพย์สิ่งของราษฎรชาวบ้านแลฆ่าโคกระบือสัตวของเลี้ยง อนึ่งถ้านายทัพนายกองผู้ใดได้ปืนแลช้างพลายพังใหญ่ได้ศอกได้นิ้วรูปดีแลรูปเปนกลาง ก็ให้ส่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย อย่าให้ใครเบียดบังไว้ จะเอาตัวเปนโทษ.
๏ครั้นถึงณวันพฤหัศบดี เดือนสิบเอ็จ ขึ้นสิบสองค่ำ มีใบบอกขึ้นไปแต่กรุงธนบุรีว่า แขกเมืองตานีเข้ามาสู่พระบรมโพธิสมภารถวายดอกไม้ทองเงิน แลเมืองยักตราถวายปืนใหญ่ร้อยบอก.
๏ครั้นณวันจันทร เดือนสิบเอ็จ ขึ้นหกค่ำ ทรงพระกรุณาให้สืบเสาะจับพระสงฆ์พวกเหล่าร้าย ได้ตัวพระครูคิริมานนท์หนึ่ง อาจารย์ทองหนึ่ง อาจารย์จันทร์หนึ่ง อาจารย์เกิดหนึ่ง ล้วนเปนแม่ทัพอ้ายเรือนพระฝางทั้งสี่รูป แต่พระครูเพ็ชรรัตนกับอ้ายเรือนพระฝางนั้นหาได้ตัวไม่ จึงดำรัศให้ผลัดผ้าคฤหัสถ์ทั้งสี่คน แล้วจำคงส่งลงมาใส่คุกณกรุงฯ.
๏ในวันนั้นให้นิมนต์พระสงฆ์เมืองเหนือมาพร้อมกันน่าพระที่นั่ง แลให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาประชุมเฝ้าพร้อมกัน จึงดำรัศปฤกษาว่า พระสงฆ์บรรดาอยู่ฝ่ายเหนือนี้เปนพรรคพวกอ้ายเรือนพระฝางทั้งสิ้น ย่อมถืออาวุธแลปืนรบศึกฆ่าคนปล้นเอาทรัพย์สิ่งของแลกินสุราเมไรยส้องเสพอนาจารด้วยหญิง[8] ต้องจตุปาราชิกาบัติต่าง ๆ ขาดจากสิกขาบทในพระพุทธสาสนา ล้วนลามก จะละไว้ให้คงอยู่ในสมณเพศฉนี้มิได้ อนึ่งพระสงฆ์ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ก็จะแปลกปลอมปะปนกันอยู่ มิรู้ว่าองค์ให้ดีองค์ใดชั่ว จะได้ไหว้นบเคารพสักการบูชาให้เปนเนื้อนาบุญ จะได้มีผลานิสงษ์แก่เราท่านทั้งปวง ให้พระสงฆ์ให้การไปแต่ตามสัตย์ตามจริง ถ้าได้ผิดในจตุปาราชิกแต่ประการใดประการหนึ่ง จะพระราชทานผ้าคฤหัสถ์ให้ผลัดสึกออกทำราชการ ที่ไม่รับนั้นจะให้ดำน้ำพิสูตรสู้นาฬิกาสามกลั้น แม้นชนะแก่นาฬิกา จะให้เปนอธิการแลพระครูราชาคณะฝ่ายเหนือโดยสมควรแก่คุณธรรมที่รู้ แม้นแพ้แก่นาฬิกา จะให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนแล้วสักข้อมือมิให้บวชได้อิก แม้นเสมอนาฬิกา จะถวายผ้าไตรให้บวชใหม่ ถ้าแต่เดิมไม่รับ ครั้นจะให้ลงดำน้ำพิสูตร กลับคืนคำว่าได้ทำผิด จะให้ลงพระราชอาชญาประหารชีวิตรเสีย อนึ่งเมื่อพระสงฆ์จะลงดำน้ำนั้น ให้ตั้งศาลกั้นม่านดัดเพดานผ้าขาวแต่งเครื่องพลีกรรมเทพยดาพร้อมแล้ว จึงทรงพระสัตยาธิฐานให้พระบารมีนั้นช่วยอภิบาลบำรุงรักษาพระสงฆ์ทั้งปวง ถ้าภิกษุองค์ใดมิได้ขาดสิกขาบทจตุปาราชิก ขอให้พระบารมีของเราแลอานุภาพเทพยดาอันศักดิ์สิทธิ์จงเปนสักขีพยานช่วยอภิบาลบำรุงรักษาพระผู้เปนเจ้าองค์นั้นอย่าให้แพ้แก่นาฬิกาได้ ถ้าแลภิกษุรูปใดถึงซึ่งศีลวิบัติแล้ว เทพยดาเจ้าจงสังหารให้แพ้แก่นาฬิกาเห็นประจักษ์แก่ตาโลก แล้วเสด็จทรงพระเก้าอี้อยู่ที่หาดทราย ให้พระสงฆ์ลงดำน้ำพิสูตรตัวต่อน่าพระที่นั่งพลางทรงพระอธิฐาน ด้วยเดชะพระบรมโพธิสมภาร ครั้งนั้นพระสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิก็ชำนะแก่นาฬิกาบ้าง เสมอบ้าง ที่ภิกษุทุศีลก็แพ้แก่นาฬิกาเปนอันมาก เสนาบดีก็กระทำตามรับสั่งโดยสมควรแก่คุณแลโทษ แต่ผ้าไตรที่พระสงฆ์พวกแพ้ต้องสึกนั้น ให้เผาเปนสมุกไปทาพระมหาธาตุเมืองสวางคบุรี แล้วทรงพระกรุณาให้เย็บผ้าจีวรสบงให้ได้พันไตร จะบวชพระสงฆ์ฝ่ายเหนือ จึงดำรัศให้สังฆการีลงมาอาราธนารับพระราชาคณะกับพระสงฆ์อันดับณกรุงธนบุรีห้าสิบรูปขึ้นไปบวชพระสงฆ์ไว้ณหัวเมืองเหนือทุก ๆ เมือง แลให้พระราชาคณะอยู่สั่งสอนในข้อพระวิไนยสิกขาบท กับให้เก็บพระไตรปิฎกลงมาเปนฉบับสร้างณกรุงด้วย โปรดให้พระพิมลธรรมไปอยู่เมืองสวางคบุรี ให้พระธรรมโคดมไปอยู่เมืองพิไชย ให้พระธรรมเจดีย์ไปอยู่เมืองพระพิศณุโลก ให้พระพรหมมุนีไปอยู่เมืองศุโขไทย ให้พระเทพกระวีไปอยู่เมืองสวรรคโลก ให้พระโพธิวงษ์ไปอยู่เมืองศรีพนมมาศทุ่งยั้ง.
๏ครั้นถึงณวันศุกร เดือนสิบเอ็จ แรมสิบค่ำ จึงเสด็จดำเนินไปยังเมืองสวางคบุรี กระทำการสมโภชพระมหาธาตุสามวันแล้ว เปลื้องพระภูษาทรงสพักออกจากพระองค์ทรงพระมหาธาตุ แล้วให้ปฏิสังขรณ์พระอารามแลพระมหาธาตุให้บริบูรณ์ดังเก่า จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองศรีพนมมาศทุ่งยั้ง กระทำสมโภชพระแท่นศิลาอาศน์สามวัน แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองสวรรคโลก กระทำสมโภชพระมหาธาตุสามวัน.
๏ครั้นณวันศุกร เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับลงมายังเมืองพระพิศณุโลก กระทำสมโภชพระมหาธาตุแลพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์สามวันแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งข้าหลวงเดิมซึ่งมีความชอบในการสงครามให้อยู่ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง บรรดาหัวเมืองใหญ่นั้น โปรดให้พระยายมราชเปนเจ้าพระยาสุรสีห์อยู่ครองเมืองพระพิศณุโลก ประมวญไพร่พลเมืองมีอยู่หมื่นห้าพัน ให้พระยาพิไชยราชาเปนเจ้าพระยาสวรรคโลก มีไพร่พลเมืองอยู่เจ็ดพัน ให้พระยาสีหราชเดโชเปนพระยาพิไชย มีไพร่พลเมืองเก้าพัน ให้พระยาท้ายน้ำเปนพระยาศุโขไทย มีไพร่พลเมืองอยู่ห้าพัน ให้พระยาสุรบดินทรเปนพระยากำแพงเพ็ชร ให้พระยาอนุรักษ์ภูธรเปนพระยานครสวรรค์ ทั้งสองเมืองนั้นมีไพร่พลเมือง ๆ ละสามพันเศษ แลหัวเมืองน้อย ๆ ทั้งปวงนั้นก็โปรดให้ขุนนางผู้น้อยซึ่งมีความชอบไปครองเมืองทุก ๆ เมือง แลเจ้าพระยาจักรีแขกนั้นมิได้แกล้วกล้าในสงคราม จึงโปรดตั้งพระยาอไภยรณฤทธิเปนพระยายมราช ให้ว่าราชการณที่สมุหนายกด้วย แล้วเสด็จกรีธาทัพหลวงกลับ ให้รับนางพระยาเสวตรกริณีลงแพล่องลงมายังกรุงธนบุรี ให้ปลูกโรงรับณสวนมังคุด แล้วให้มีงานมหรศพสมโภชสามวัน.
๏ครั้นถึงณเดือนสามในปีขาลโทศกนั้น ฝ่ายอาปะระกามณีซึ่งเรียกว่าโปมยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้นยกกองทัพพม่ากองทัพลาวลงมาตีเมืองสวรรคโลก เข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ เจ้าพระยาสวรรคโลกก็เกณฑ์ไพร่พลขึ้นรักษาน่าที่เชิงเทินกำแพงเมือง ต่อรบป้องกันเมืองเปนสามารถ แล้วบอกลงมาณกรุง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ จึงโปรดให้มีตราขึ้นไปเกณฑ์กองทัพเมืองพระพิศณุโลก เมืองศุโขไทย เมืองพิไชย ให้ยกขึ้นไปตีกองทัพพม่าช่วยเมืองสวรรคโลก เจ้าพระยาสุรสีห์ พระยาพิไชย แลพระยาศุโขไทย ก็ยกกองทัพทั้งสามหัวเมืองไปณเมืองสวรรคโลก เข้าตีกระหนาบค่ายพม่าซึ่งตั้งล้อมเมือง พม่าต้านทานมิได้ ก็แตกฉานพ่ายหนีไปยังเมืองเชียงใหม่ จึงบอกลงมาให้กราบทูลพระกรุณาให้ทราบ.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัศให้เกณฑ์กองทัพจะเสด็จยกไปตีเมืองเชียงใหม่ แลพลโยธาหาญในกระบวนทัพหลวงครั้งนั้นทั้งไทยจีนแขกฝรั่งเปนคนหมื่นห้าพัน สรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธแลเรือรบเรือไล่ทั้งปวงพร้อมเสร็จ.
๏ครั้นถึงผคุณมาศ ศุกรปักษดิถี ศุภวาร มหาพิไชยฤกษ์ จึงเสด็จทรงเรือพระที่นั่งกราบพร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยไทยจีนฝ่ายทหารพลเรือนโดยเสด็จพระราชดำเนินตามขบวนพยุหตราน่าหลังคับคั่งท้องแถวมหาคงคา ก็เสด็จยาตรานาวาทัพหลวงจากกรุงธนบุรีไปโดยชลมารค ประทับร้อนแรมตามรยะทางไปหลายเวนถึงเมืองพิไชย จึงให้ตั้งค่ายแลตำหนักทัพพลับพลาณหาดทรายฝ่ายฟากตระวันออกตรงน่าเมืองข้าม แลเสด็จขึ้นประทับอยู่ที่นั้น.
๏ในขณะนั้นจึงมังไชยเมืองแพร่พาขุนนางกรมการแลไพร่พลลงมาเฝ้ากราบถวายบังคมขอเปนข้าขอบขัณฑสิมา จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งเปนพระยาศรีสุริยวงษ์ ให้เกณฑ์เข้าในกระบวนทัพด้วย แล้วดำรัศให้เจ้าพระยาจักรีแขกกับพระยามหาราชครูปโรหิตอยู่รักษาเรือพระที่นั่งแลเรือข้าทูลลอองพระบาททั้งปวงณเมืองพิไชย แล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นจัดกองทัพบกณเมืองพิไชย ให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงเปนกองน่ายกล่วงไปก่อน จึงเสด็จทรงช้างพระที่นั่งดำเนินพยุหโยธาทัพหลวงไปโดยทางสถลมารค ประทับร้อนแรมไปหลายเวนถึงตำบลกุ่มเหลือง จึงให้ตั้งค่ายมั่นแทบเชิงเขาม้าพลาด เสด็จหยุดประทับแรมณพลับพลาในค่ายนั้น แลครั้งนั้นเปนเทศกาลคิมหันตฤดู กันดารด้วยน้ำนัก ผู้ซึ่งเปนมัคคุเทศนำมรรคานั้นกราบทูลว่า แต่เชิงเขาข้างนี้จะข้ามภูเขาไปลงถึงเชิงเขาข้างน่าโน้นเปนรยะทางไกลถึงสามร้อยเส้น หามีที่น้ำแห่งใดไม่ ไพร่พลจะอดน้ำกันดารนัก จึงดำรัศว่า อย่าปรารมเลย เปนภารธุระจองเรา ค่ำวันนี้อย่าให้ตีฆ้องยามเลย จงกำหนดแต่นาฬิกาไว้ เพลาห้าทุ่มเราจะให้ฝนตกลงจงได้ แล้วจึงดำรัศสั่งพระยาราชประสิทธิ์ให้ปลูกศาลสูงเพียงตาตั้งเครื่องพลีกรรมบวงสรวงเทพยดาบนเขาเสร็จแล้ว จึงทรงตั้งพระสัตยาธิฐานเอาพระบรมโพธิสมภารบารมีของพระองค์ซึ่งทรงสันนิจยาการมาแต่อดีตบุเรชาติตราบเท่าถึงปัจจุบันภพนี้จงเปนที่พึ่งพำนักแก่ไพร่พลทั้งปวง กับทั้งอานุภาพเทพยดาขอจงบันดาลให้ท่อธารวรรโษทกจงตกลงมาในราตรีวันนี้ให้เห็นประจักษ์ แลเพลาวันนั้นพื้นอากาศก็ปราศจากเมฆผ่องแผ้วเปนปรกติอยู่ ด้วยเดชะอำนาจกำลังพระอธิฐานบารมีกับทั้งอานุภาพ พอถึงเพลาสี่ทุ่มแปดบาทบันดาลให้ฝนห่าใหญ่ตกลงหนักจนน้ำไหลนองไปทั่วท้องป่า แลขอนไม้ในป่าก็ลอยไหลไปเปนอัศจรรย์ยิ่งนัก ครั้นเพลาช้าก็ทรงช้างพระที่นั่งให้ยกพลโยธาหาญข้ามเขานั้นไป แล้วดำเนินพลกองทัพไปตามลำดับวิถีสถลมารค ประทับร้อนแรมไปโดยรยะทางถึงเมืองลำพูน ให้ตั้งค่ายประทับอยู่ที่นั้น.
๏ฝ่ายโปมยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็แต่งทัพพม่าทัพลาวยกออกมาตั้งค่ายรับนอกเมือง แลกองทัพหัวเมืองซึ่งเปนกองน่าก็ยกเข้าตีค่ายทัพพม่าแตกพ่ายเลิกถอยเข้าเมือง กองน่าก็ยกติดตามล่วงเข้าไปในกำแพงดินชั้นนอก แล้วตั้งค่ายรายล้อมกำแพงชั้นในไว้ แลทัพหลวงก็ยกเข้าไปตั้งค่ายใหญ่ในกำแพงดิน แล้วดำรัศให้บรรดาทัพหัวเมืองกองน่าแลนายทัพนายกองในกองหลวงยกพลทหารเข้าปล้น เอาบันไดพาดปีนกำแพงเมืองในกลางคืนเพลาสามยามเศษเพื่อจะดูกำลังข้าศึก แลพลทหารพม่าลาวชาวเมืองซึ่งขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทินนั้นยิงปืนใหญ่น้อยแลพุ่งแทงสาตราวุธต่อรบต้านทานเปนสามารถจนเพลารุ่ง พลทหารทัพไทยเข้าหักเอาเมืองมิได้ก็ลาดถอยออกมา จึงมีพระราชดำรัศว่า อันเมืองเชียงใหม่นี้ต้องทำนายอยู่ คำปรำปราเล่าสืบ ๆ กันมาว่า กระษัตริย์พระองค์ใดยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่นี้ ครั้งเดียวมิได้ ต่อยกไปเปนสองครั้งจึงตีได้ แม้นจะหักหาญบุกรุกเอาด้วยกำลังกล้า บัดนี้ก็จะได้ แต่จะเสียไพร่พลมาก แลยกมาครั้งนี้เหมือนจะดูท่วงทีท่าทางแลกำลังข้าศึก ก็ได้เห็นประจักษ์อยู่แล้ว ถ้ายกมาครั้งหลังเห็นคงจะได้ถ่ายเดียว จึงดำรัศให้เลิกทัพหลวงล่วงมาก่อนวันหนึ่ง จึงให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงเลิกเลื่อนถอยตามมาต่อภายหลัง.
๏ฝ่ายพม่าก็ยกกองทัพลัดเลาะป่าก้าวสกัดติดตามยิงปืนกระหนาบน่าหลัง กองทัพหัวเมืองทั้งนั้นก็ตื่นแตกรส่ำรสายถอยหนีย่อย่นลงมาจนกระทั่งถึงทัพหลวงอันหยุดตั้งประทับรับอยู่ณเขาช่องแคบ.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงถอดพระแสงดาบไล่ต้อนพลโยธาทหารทั้งปวงในกองหลวงให้กลับออกรบพม่า ไล่ตลุมบอนฟันแทงถึงอาวุธสั้น สู้รบกันเปนสามารถ พลพม่าล้มตายเปนอันมาก ก็แตกกระจัดพลัดพรายหนีไป ก็เสด็จดำเนินทัพหลวงล่วงมาถึงท่าเรือณเมืองพิไชย จึงเสด็จทรงเรือพระที่นั่งกราบ ให้ยาตรานาวาทัพกลับคืนยังกรุงธนบุรี.
๏ลุศักราช ๑๑๓๓ ปีเถาะตรีศก ฝ่ายข้างมลาวประเทศ เจ้าวงษ์ผู้เปนเจ้าเมืองหลวงพระบางยกกองทัพลงมาตีกรุงศรีสัตนาคนหุต ให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ แลเจ้าบุญสารผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตก็เกณฑ์พลทหารออกต่อรบแลขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทินปราการป้องกันเมืองเปนสามารถ รบกันอยู่ประมาณสองเดือนยังไม่แพ้ชนะแก่กัน พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจึงแต่งขุนนางให้ถือศุภอักษรขึ้นไปถึงกรุงอังวะขอกองทัพมาช่วย พระเจ้าอังวะมังระจึงให้ชิกชิงโบ่คุมพลสองพันเปนกองน่า ให้โปสุพลาเปนแม่ทัพคุมพลสามพัน ยกกองทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง แลกองทัพเมืองหลวงพระบางก็เลิกกลับไปเมืองต่อรบกับทัพพม่า พม่าตีเอาเมืองหลวงพระบางได้ เจ้าหลวงพระบางก็ขอขึ้นแก่กรุงอังวะ ทัพพม่าก็เลิกกลับไปกรุงอังวะ พระเจ้าอังวะได้ทราบว่ากองทัพไทยยกมาตีเมืองเชียงใหม่ จึงให้โปสุพลาถือพลสามพันยกลงมาช่วยรักษาเมืองเชียงใหม่.
๏อนึ่งแต่เมื่อครั้งปีชวดสำฤทธิศกนั้น กองทัพฮ่อยกมาจะตีกรุงอังวะ มาถึงเมืองแสนหวีเปนแผ่นดินเงี้ยว คือไทยใหญ่ ขึ้นแก่พม่า ไกลเมืองอังวะทางสิบห้าคืน แลกองทัพฮ่อยกเข้าตีเมืองแสนหวีได้ ก็ตั้งทัพอยู่ที่นั้น.
๏ฝ่ายพระเจ้าอังวะทราบข่าวศึก จึงให้ติงจาโบ่คุมพลห้าพันเปนกองน่า ให้อแซหวุ่นกี้เปนแม่ทัพถือพลหมื่นหนึ่งยกมาตีกองทัพฮ่อซึ่งตั้งอยู่ณเมืองแสนหวี ได้รบกันเปนสามารถ ทัพฮ่อก็แตกพ่ายกลับไปครั้งหนึ่ง แล้วฮ่อกลับยกกองทัพมาอิก ตีหัวเมืองขึ้นพม่าแตกเปนหลายเมือง แล้วยกล่วงเข้ามาตั้งถึงตำบลบ้านยองนี ใกล้เมืองอังวะทางคืนหนึ่ง พระเจ้าอังวะจึงให้อแซหวุ่นกี้หนึ่ง มโยลัดหวุ่นหนึ่ง เปนแม่ทัพสองทัพ ถือพลทัพละหมื่น กับเมี้ยนหวุ่นทัพหนึ่ง ถือพลห้าพัน ทั้งสามทัพเปนคนสองหมื่นห้าพัน ยกไปสามทางเข้ารดมตีทัพฮ่อ ได้รบกันอยู่สามวัน ทัพฮ่อก็แตกพ่ายไปเปนสองครั้ง จับได้นายทัพฮ่อสี่นาย ชื่อแอซูแยหนึ่ง กุนตาแยหนึ่ง เมียนกุนแยหนึ่ง ประชูแย่หนึ่ง กับไพร่พลหกพัน พระเจ้าอังวะให้เลี้ยงไว้ ครั้นถึงปีฉลูเอกศก ฮ่อกลับยกกองทัพมาอิกเปนสามครั้ง ครั้งหลังนั้นกวยชวยแยเปนแม่ทัพฮ่อ พลหลายหมื่นมากกว่าสองครั้ง ยกมาถึงเมืองกองดุงปมอ ทางไกลเมืองอังวะห้าคืน พระเจ้าอังวะเห็นเปนศึกใหญ่กว่าทุกครั้ง จึงให้อแซหวุ่นกี้ กับติงตาโบ่ ตเรียงราม ถือพลหมื่นห้าพัน ยกไปทางหนึ่ง ให้อำมลอกหวุ่น กับงาจุหวุ่น แลต่อหวุ่น ถือพลหมื่นห้าพันยกไปทางหนึ่ง เปนสองทัพ ได้ต่อรบกับกองทัพฮ่อ ๆ รี้พลมาก เห็นเหลือกำลังจะต่อตีให้แตกพ่ายมิได้ จึงบอกลงมากราบทูลพระเจ้าอังวะ ๆ จึงให้แม่ทัพเจรจาความเมืองกับแม่ทัพฮ่อขอเปนพระราชไมตรีต่อกัน แล้วแต่งนางแลเครื่องบรรณาการให้ไปแก่แม่ทัพฮ่อ ฮ่อก็เลิกทัพกลับไป แต่นั้นมาฮ่อก็มิได้ยกมาตีเมืองอังวะอิก เปนเมืองมิตรสันถวไมตรีแก่กัน.
๏ฝ่ายข้างกรุงไทย ในปีเถาะตรีศกนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์พิจารณาเห็นว่า กรุงธนบุรียังไม่มีกำแพงเปนที่มั่นจะได้ป้องกันราชศัตรูหมู่ปัจจามิตร ยังหาเปนภูมราชธานีไม่ จึงทรงพระกรุณาให้เกณฑ์ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือนทั้งปวงตั้งค่ายด้วยไม้ทองหลางทั้งต้นล้อมพระนครทั้งสองฟากน้ำ แลให้เกณฑ์ไพร่พลในกรุงพลหัวเมืองมาระดมกันทำค่ายฝ่ายฟากตระวันตกตั้งแต่มุมกำแพงเมืองเก่าไปจนวัดบางว้าน้อยวงลงไปริมแม่น้ำใหญ่ตระหลอดลงมาจนถึงกำแพงเมืองเก่าที่ตั้งเปนพระราชวัง แล้วให้ขุดคลองเปนคูข้างหลังเมืองแต่คลองบางกอกน้อยมาออกคลองบางกอกใหญ่ เอามูลดินขึ้นถมเปนเชิงเทินข้างในทั้งสามด้าน เว้นแต่ด้านริมแม่น้ำ แลฟากข้างตระวันออกก็ให้ตั้งค่ายรอบเหมือนกัน ให้ขุดคลองเปนคูข้างหลังเมืองตั้งแต่กำแพงเก่าท้ายป้อมวิไชเยนทร์วงขึ้นไปจนถึงศาลเทพารักษ์หัวโขดออกแม่น้ำทั้งสองข้าง เอามูลดินขึ้นถมเปนเชิงเทิงสามด้าน เว้นแต่ด้านริมแม่น้ำดุจกัน แล้วให้เกณฑ์คนไปรื้อเอาอิฐกำแพงเก่าณเมืองพระประแดงแลกำแพงค่ายพม่าณโพธิ์สามต้นแลสีกุกบางไทรทั้งสามค่ายขนบรรทุกเรือมาก่อกำแพงแลป้อมตามที่ถมเชิงเทินดินสามด้านทั้งสองฟาก เอาแม่น้ำไว้หว่างกลางเหมือนอย่างเมืองพระพิศณุโลก แลแม่น้ำตรงน่าเมืองทั้งสองฟากนั้นเปนที่ขุดลัดแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ อนึ่งป้อมวิไชเยนทร์ท้ายพระราชวังนั้นให้ชื่อป้อมวิไชยประสิทธิ์ แล้วให้ขุดที่สวนเดิมเปนที่ท้องนานอกคูเมืองทั้งสองฟาก ให้เรียกว่าทเลตม ไว้สำหรับจะได้ทำนาใกล้พระนคร แม้นมาทว่าจะมีทัพศึกการสงครามมา จะได้ไว้เปนที่ทำเลตั้งค่ายต่อรบข้าศึกถนัด แลกระทำการฐาปนาพระนครขึ้นใหม่ครั้งนั้นหกเดือนก็สำเร็จบริบูรณ์.
๏ในปีเถาะตรีศกนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์การสงครามซึ่งจะไปปราบปรามกัมพุชประเทศให้ราบคาบ คืนเอาเมืองพุทไธเพ็ชรให้แก่นักพระองค์รามาธิบดีอันเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารนั้นให้จงได้ แลขณะนั้นเจ้าพระยาจักรีแขกถึงแก่กรรม จึงโปรดตั้งพระยายมราชผู้ว่าที่สมุหนายกอยู่แต่ก่อนนั้นเปนที่เจ้าพระยาจักรีแทน แล้วโปรดตั้งพระยาราชวังสรรค์ผู้บุตรเจ้าพระยาจักรีแขกนั้นเปนพระยายมราช จึงดำรัศให้เกณฑ์กองทัพบกทัพเรือพลทหารไทยจีนแลทัพหัวเมืองทั้งปวงให้พร้อมสรรพด้วยช้างม้าแลเรือรบเรือลำเลียงเครื่องสรรพาวุธต่าง ๆ แล้วโปรดให้เจ้าพระยาจักรีเปนแม่ทัพบกถือพลหมื่นหนึ่งยกไปทางเมืองปราจิณ ให้ตีเอาเมืองปัตบอง เมืองโพธิสัตว ตระหลอดลงไปจนถึงเมืองพุทไธเพ็ชร แลเอานักพระองค์รามาธิบดีไปในกองทัพด้วย เจ้าพระยาจักรีแลท้าวพระยาพระหลวงหัวเมืองนายทัพนายกองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลายกกองทัพออกไปตามพระราชกำหนด.
๏ครั้นถึงอาสุชมาศ กาฬปักษดิถี ศุภวาร มหาพิไชยฤกษ์ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระที่นั่งสำเภาทองพร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทไทยจีนฝรั่งฝ่ายทหารพลเรือนทั้งปวงเปนเรือรบสองร้อยลำ เรือทเลร้อยลำ พลทหารหมื่นห้าพันเศษ ให้พระยาพิไชยไอสวรรย์เปนแม่กองทัพน่า แล้วยกพยุหยาตราพลนาวาทัพหลวงจากกรุงธนบุรีไปออกปากน้ำเมืองสมุทปราการ ตกถึงท้องทเลใหญ่ ด้วยเดชะพระบารมี บันดาลให้คลื่นลมร้ายในมหาสมุทก็รำงับสงบราบ แลเสด็จโดยทางชลมารคได้ห้าเวน ประทับปากน้ำเมืองจันทบูร จึงโปรดให้พระยาโกษาธิบดีเปนแม่ทัพยกทัพเรือล่วงลงไปตีเมืองกระพงโสม แล้วทัพหลวงก็เสด็จไปอิกหกเวน ครั้นณวันพฤหัศบดี เดือนสิบสอง ขึ้นแปดค่ำ ถึงปากน้ำเมืองพุทไธมาศ จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสถิตย์ณตึกจีนแห่งหนึ่งฟากตระวันตกเฉียงใต้เมือง แล้วให้มีหนังสือพระยาพิไชยไอสวรรย์แม่ทัพกองน่าให้ญวนเชลยซึ่งจับได้นั้นถือเข้าไปถึงพระยาราชาเศรษฐีญวนเจ้าเมืองพุทไธมาศ ในลักษณนั้นว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวณกรุงธนบุรีศรีอยุทธยาเสด็จดำเนินพยุหโยธาทัพบกทัพเรือมาบัดนี้ ด้วยมีพระราชประสงค์จะราชาภิเศกนักพระองค์รามาธิบดีให้ครองกรุงกัมพูชา แล้วจะเอาตัวเจ้าจุ้ย เจ้าศรีสังข์ แลข้าหลวงชาวกรุงเทพซึ่งไปอยู่ณหัวเมืองใด ๆ จงสิ้น ถ้าพระยาราชาเศรษฐีญวนมิได้สวามิภักดิอ่อนน้อม เห็นว่าจะต่อยุทธนาการได้ ก็ให้แต่งการป้องกันเมืองจงสรรพ แม้นเห็นว่าจะสู้รบมิได้ ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ให้ออกมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมอ่อนน้อมยอมสวามิภักดิ์โดยดี เราจะช่วยพิดทูลให้ทรงพระกรุณา แม้นถึงว่าตัวชราแล้วจะออกมามิได้ ก็ให้แต่งหูเอี๋ยผู้บุตรออกมาถวายบังคมจงฉับพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพระพิโรธให้พลทหารเข้าหักเอาเมืองฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมือง ครั้นพระยาราชาเศรษฐีได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงให้หนังสือตอบออกมาว่า ซึ่งให้หนังสือมาถึงข้าพเจ้า ๆ ขอบใจนัก จะหาขุนนางมาปฤกษาให้พร้อมกันก่อน ถ้ายินยอมพร้อมกันแล้วจึงจะบอกออกมาให้แจ้ง ครั้นคอยอยู่สามวัน พระยาราชาเศรษฐีก็มิได้แต่งให้ผู้ใดออกมาเฝ้า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัศให้ท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมือง แล้วดำรัศสั่งกรมอาจารย์ให้จัดกันที่มีวิชาดีแกล้วหาญทั้งนายไพร่ได้ร้อยสิบเอ็จคน จึงให้เกณฑ์พลทหารกรมอื่นสองพันสี่ร้อยเข้าสมทบ แล้วพระราชทานฤกษ์แลอุบายให้เข้าปล้นเอาเมืองในกลางคืนเพลาสองยาม.
๏ฝ่ายพระยาราชาเศรษฐีก็เกณฑ์พลทหารขึ้นรักษาน่าที่เชิงเทินปราการป้องกันเมือง ครั้นเพลาสองยาม พลทหารข้าหลวงก็เอาบันไดพาดกำแพงปีนขึ้นไปได้ในเมือง จุดเพลิงขึ้น แสงสว่าง แลพวกญวนในเมืองออกต่อรบ ๆ กันอยู่ช้านาน แลนายทัพนายกองรี้พลทั้งปวงซึ่งตั้งค่ายรายล้อมอยู่นั้นจะบุกรุกเข้าไปช่วยก็มิได้ ด้วยจีนญวนชาวเมืองยังรักษาน่าที่เชิงเทินยิงปืนใหญ่น้อยสู้รบอยู่หาทิ้งน่าที่ไม่ ไพร่พลกองทัพก็อิดโรยลง เดชะบรมโพธิสมภาร บันดาลดลจิตรพลโยธาทัพทหารทั้งปวงให้สำคัญว่าเสด็จพระราชดำเนินหนุนเข้าไป ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญมากขึ้น ตีกระโจมหนุนเนื่องกันเข้าไปทั้งทัพบกทัพเรือ พวกญวนจีนซึ่งรักษาน่าที่ต้านทานมิได้ ก็แตกฉายพ่ายหนีไป พอรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ เดือนสิบสอง ขึ้นสิบเอ็จค่ำ เพลาเช้าก็เข้าเมืองได้พร้อมกัน พระยาราชาเศรษฐีก็ทิ้งเมืองเสีย ลงเรือออกทเลแล่นหนีไปได้ ครั้นณวันจันทร เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสองค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินเข้าในเมือง สถิตย์ประทับณจวนพระยาราชาเศรษฐี ให้พลทหารทั้งปวงเที่ยวเก็บเอาทรัพย์สิ่งของในเมืองได้มาเปนอันมาก แล้วดำรัศถามพระญาณประสิทธิ พระสุธรรมาจารย์ แลอาจารย์จัน นายกองทั้งสาม ว่า เมื่อคุมทหารขึ้นปล้นเอาเมืองนั้น เข้าได้ด้านใดก่อน อาจารย์ทั้งสามกราบทูลไม่ต้องกัน จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรที่ทางทหารเข้านั้น เห็นผิดกับพระราชดำริห์ จึงดำรัศว่า ข้าศึกหนีไปได้เพราะเข้าผิดกับรับสั่ง แม้นต่อสู้ก็จะเสียราชการ จึงให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนผู้ซึ่งเข้าเมืองได้ต่อทีหลังนั้นทั้งนายแลไพร่ ที่เข้าได้ก่อนก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลทั้งนายแลไพร่เปนเงินถึงสามร้อยยี่สิบห้าชั่ง แล้วให้มีกฎประกาศแก่รี้พลทั้งปวงห้ามอย่าให้ข่มเหงราษฎรจีนญวนชาวเมืองสืบไปอิก ให้ค้าขายอยู่ตามภูมิลำเนาเหมือนแต่ก่อน แล้วโปรดตั้งพระยาพิพิธผู้ช่วยราชการกรมท่าเปนพระยาราชาเศรษฐีอยู่ครองเมืองพุทไธมาศ แล้วเสด็จยกพยุหโยธานาวาทัพหลวงจากเมืองพุทไธมาศขึ้นไปตีกรุงกัมพูชาธิบดี คือเมืองพุทไธเพ็ชร ประทับร้อนแรมไปโดยรยะทางชลมารคจนถึงเกาะพนมเพญ.
๏ฝ่ายกองทัพบกเจ้าพระยาจักรียกเข้าไปตีเมืองปัตบอง เมืองโพธิสัตว เมืองบริบูรณ์ ได้แล้ว ก็ยกล่วงลงไปตีเมืองพุทไธเพ็ชร แลนักพระองค์อุไทยราชาต่อรบต้านทานมิได้ ก็พาพวกพลแลครอบครัวยกหนีลงไปตั้งอยู่ณเมืองบาพนม เจ้าพระยาจักรีเข้าตั้งอยู่ณเมืองพุทไธเพ็ชร ครั้นได้ทราบว่าทัพหลวงตีเมืองพุทไธมาศได้แล้วเสด็จขึ้นมาถึงเกาะพนมเพญ จึงให้นักพระองค์รามาธิบดีอยู่รักษาเมืองพุทไธเพ็ชรแล้วก็ลงมาเฝ้ากราบถวายบังคมทูลว่า นักพระองค์อุไทยราชาหนีลงไปตั้งอยู่ณเมืองบาพนมแล้ว ครั้นได้ทรงทราบ จึงดำรัศให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพติดตามลงไปในวันนั้น ครั้นเพลาบ่ายสามโมง จึงเสด็จยกทัพหลวงตามลงไป พอเพลาค่ำประมาณยามหนึ่ง เจ้าพระยาจักรีบอกหนังสือขึ้นมาให้กราบทูลว่า ญวนเมืองลูกหน่ายมารับนักพระองค์อุไทยราชาลงไปณเมืองญวนแล้ว จึงเสด็จหยุดเรือพระที่นั่งประทับอยู่น่าบ้านตำหนักเวนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้า จึงเสด็จยกทัพหลวงกลับคืนมาถึงปากคลองมักสา พบครัวเขมรตั้งอยู่ที่นั้นเปนอันมาก ดำรัศให้พลทหารเข้าตี ได้ครอบครัวแลเรือก็มาก แล้วยกทัพหลวงคืนมาประทับณเกาะพนมเพญ จึงนักพระองค์รามาธิบดีลงมาแต่เมืองพุทไธเพ็ชรเข้าเฝ้าในที่นั้น ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานฉลองพระองค์ทรงประพาศอันเปนพระเครื่องต้นกับทั้งปืนใหญ่น้อยแลครอบครัวเขมรซึ่งตีได้นั้นแก่นักพระองค์รามาธิบดี แล้วโปรดให้กลับไปครองเมืองพุทไธเพ็ชรเปนใหญ่ในกัมพุชประเทศเหมือนแต่ก่อน.
๏ฝ่ายกองทัพพระยาโกษาธิบดีตีได้เมืองกระพงโสม แล้วยกมาจะตีเอาเมืองกำปอด พระยาปังกลิมาแขกจามเจ้าเมืองกำปอดออกอ่อนน้อมยอมเข้าสวามิภักดิมิได้ต่อรบ พระยาโกษาจึงพาตัวพระยาปังกลิมาขึ้นเฝ้ากราบถวายบังคมณเกาะพนมเพญ จึงโปรดให้พระยาปังกลิมากลับไปอยู่รั้งเมืองกำปอดดังเก่า.
๏ฝ่ายกองทัพเจ้าพระยาจักรียกลงไปได้เมืองบาพนม เขมรมิได้สู้รบ ยอมเข้าสวามิภักดิโดยดี จึงจัดแจงให้คงอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม แล้วก็เลิกทัพกลับมาเฝ้าณเกาะพนมเพญ จึงดำรัศให้เจ้าพระยาจักรีกับพระยาโกษาอยู่ช่วยราชการณเมืองพุทไธเพ็ชรกว่าจะสงบราบคาบก่อน แล้วเสด็จยกพยุหโยธานาวาทัพหลวงกลับมาถึงคลองท้องจินจง แลน้ำในคลองนั้นตื้น เรือใหญ่จะไปมิได้ จึงดำรัศให้ไพร่พลทดน้ำทั้งกลางวันกลางคืน เรือทั้งปวงจึงไปได้พร้อมกัน.
๏ฝ่ายจีนทั้งปวงซึ่งเคยไปมาแต่ก่อนก็สรรเสริญว่า เดือนอ้ายนี้น้ำเคยแห้ง คลองขาด เรือจะไปมามิได้ นี่อาไศรยบุญญานุภาพพระเจ้าอยู่หัวมาก เรือจึงไปมาได้สดวกในเทศกาลนี้ ครั้นณวันจันทร เดือนอ้าย ขึ้นสามค่ำ เพลาบ่ายก็เสด็จถึงเมืองพุทไธมาศ จึงขึ้นสถิตย์ณจวน ดำรัศให้นิมนต์พระสงฆ์ในจังหวัดแขวงเมืองพุทไธมาศมาพร้อมกัน ทรงถวายจีวรทุกองค์ แล้วเสด็จไปณวัดญวน ถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากรซึ่งมีในวิหาร ฝ่ายหลวงญวนก็สวดมนต์ให้ทรงฟัง จึงมีพระราชบริหารโดยภาษาญวนพระราชทานพระราโชวาทแก่หลวงญวนทั้งปวงให้อุสาหรักษาศีล อย่าให้ส้องเสพด้วยสีกา แล้วเสด็จกลับยังจวนที่ประทับ ครั้นถึงณวันอังคาร เดือนอ้าย แรมสามค่ำ จึงเสด็จลงทรงพระที่นั่งสำเภาทอง ให้คลี่คลายขบวยพยุหโยธานาวาทัพจากเมืองพุทไธมาศออกท้องทเลใหญ่กลับคืนยังกรุงธนบุรีมหานคร.
๏ฝ่ายพระยาราชาเศรษฐีญวนซึ่งแตกหนีไปนั้นขึ้นอาไศรยอยู่เกาะตั้งซ่อมสุมรี้พลญวนจีนได้มากแล้ว ก็ยกทัพเรือมาตีเอาเมืองพุทไธมาศคืน แลพระยาราชาเศรษฐีเจ้าเมืองใหม่มิทันรู้ตัว ยกพลทหารจีนออกต่อรบต้านทานอยู่ประมาณสามนาฬิกา เห็นเหลือกำลังก็ทิ้งเมืองเสีย พารี้พลแลครอบครัวทั้งปวงลาดถอยมาอาไศรยอยู่ณเมืองกำปอด แลพระยาปังกลิมาก็ช่วยจัดแจงไพร่พลอยู่สามวัน พอพร้อมกันก็ยกกลับไปจะปล้นเอาเมืองพุทไธมาศ ในกลางคืนเพลาดึกประมาณสองยามให้พลทหารจีนทั้งปวงเอาไม้ติ้วเข้าคาบทุกคน ๆ อย่าให้มีปากเสียง แล้วให้ว่ายข้ามน้ำเข้าปีนปล้นเอาเมืองได้ พวกญวนมิทันรู้ตัวก็แตกพ่ายหนี กองทัพจีนไล่ฆ่าฟันจีนญวนพวกราชาเศรษฐีญวนซึ่งอยู่ในเมืองล้มตายเปนอันมากจนโลหิตตกอาบไปทั้งเมือง แต่ตัวราชาเศรษฐีญวนนั้นลงเรือหนีไปได้ หาจับตัวได้ไม่ แลพระยาราชาเศรษฐีจีนก็กลับคืนเอาเมืองได้ เข้าตั้งอยู่ในเมืองดังเก่า.
๏ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีซึ่งตั้งอยู่ณเมืองพุทไธเพ็ชรทราบข่าวไปว่าเมืองพุทไธมาศกลับเสียแก่ญวนอิก จึงจัดแจงกองทัพจะยกลงมาช่วยพระยาราชาเศรษฐี พอได้ข่าวว่าพระยาราชาเศรษฐีกลับตีเอาเมืองคืนได้แล้ว ก็หยุดทำไว้มิได้ยกลงมาเมืองพุทไธมาศ.
๏จึงพระยาราชาเศรษฐีก็ส่งหนังสือบอกข้อราชการเข้ามาณกรุงธนบุรี สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ จึงดำรัศว่า เมืองพุทไธมาศอยู่ล่อแหลมนัก จะรักษาไว้เปนอันยาก ป่วยการแรงทแกล้วทหาร จึงโปรดให้มีท้องตราออกไปว่า ให้พระยาราชาเศรษฐีทิ้งเมืองพุทไธมาศเสียเถิด อย่าอยู่รักษาเลย ให้เลิกทัพกลับเข้ามารับราชการณกรุงดังเก่า ครั้นพระยาราชาเศรษฐีได้แจ้งในท้องตรารับสั่งแล้ว ก็กวาดเอาครอบครัวชาวเมืองลงเรือใหญ่น้อย แล้วเลิกกองทัพจีนกลับเข้ามาณกรุงตามพระราชกำหนดให้หานั้น แล้วจึงโปรดให้มีตราหากองทัพเจ้าพระยาจักรี พระยายายมราช กลับคืนเข้ามายังพระนคร.
๏ลุศักราช ๑๑๓๔ ปีมโรงจัตวาศก ฝ่ายโปสุพลาซึ่งมาอยู่ช่วยราชการรักษาเมืองเชียงใหม่นั้นยกกองทัพมาตีเมืองลับแลแตก แล้วยกลงมาตีเมืองพิไชย ตั้งค่ายอยู่ณวัดเอกา พระยาพิไชยก็จัดแจงการป้องกันเมืองเปนสามารถ จึงเจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยกกองทัพเมืองพระพิศณุโลกขึ้นไปช่วยเมืองพิไชย แลเจ้าพระยาสุรสีห์กับพระยาพิไชยยกพลทหารเข้าตีค่ายพม่า ๆ ออกต่อรบ ๆ กันถึงอาวุธสั้น พลทัพไทยไล่ตลุมบอนฟันแทงพลพม่าล้มตายเปนอันมาก พม่าต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีเลิกทัพกลับไปเมืองเชียงใหม่ จึงบอกหนังสือแจ้งข้อราชการศึกลงมาณกรุงกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ.
๏ลุศักราช ๑๑๓๕ ปีมเสงเบญจศก ทรงพระกรุณาให้ศักท้องมือหมายหมู่เลขไพร่หลวงแลเลขสังกัดพรรค์กับทั้งเลขหัวเมืองส่งสารบาญชีทเบียนหางว่าวยื่นกรมพระสัสดีทั้งสิ้นให้รู้จำนวนไพร่พลไว้จะได้ใช้ราชการแผ่นดินแลการทัพศึกต่าง ๆ ครั้นถึงณเดือนอ้าย ข้างขึ้น โปสุพลายกกองทัพมาตีเมืองพิไชยอิก พระยาพิไชยก็ยกพลทหารออกไปต่อรบแต่กลางทาง ยังไม่มาถึงเมือง เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยกกองทัพเมืองพระพิศณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับทัพพม่าเปนสามารถ แลพระยาพิไชยถือดาบสองมือคุมพลทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงฦๅชื่อปรากฎเรียกว่าพระยาพิไชยดาบหักแต่นั้นมา ครั้นถึงณวันอังคาร เดือนยี่ แรมเจ็ดค่ำ กองทัพพม่าแตกพ่ายหนีไป จึงบอกหนังสือลงมากราบทูลพระกรุณาณกรุงธนบุรี.
๏ลุศักราช ๑๑๓๖ ปีมเมียฉศก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์การซึ่งจะไปตีเอาเมืองเชียงใหม่ให้ได้ ด้วยพม่ายกกองทัพมาย่ำยีบีฑาหัวเมืองฝ่ายเหนือเนือง ๆ จึงดำรัศให้เกณฑ์กองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือสิบหัวเมืองเปนคนสองหมื่นสรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธให้ยกไปคอยรับเสด็จอยู่ณบ้านรแหงให้พร้อม แล้วให้เกณฑ์กองทัพในกรุงฯ แลหัวเมืองใกล้ทั้งปวง พลสกรรจ์ลำเครื่องหมื่นห้าพัน ช้างเครื่องร้อยแปด ม้าร้อยม้า สรรพด้วยเครื่องสรรพยุทธพร้อมเสร็จ.
๏ครั้นถึงณวันอังคาร เดือนสิบสอง แรมสิบเอ็จค่ำ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเรือพระที่นั่งกราบ ยาวสิบสามวา พลพายสี่สิบคน พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาพระหัวเมืองข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยไทยจีนฝ่ายทหารพลเรือนทั้งหลายโดยเสด็จในขบวนทัพหลวงเปนอันมาก จึงเสด็จยกพยุหยาตรานาวาทัพหลวงจากกรุงธนบุรีไปโดยชลมารค ประทับร้อนแรมไปตามรยะทางหลายเวน ถึงณวันพุฒ เดือนอ้าย ขึ้นสี่ค่ำ เสด็จถึงเมืองกำแพงเพ็ชร แล้วยกไปถึงบ้านรแหงแขวงเมืองตาก เสด็จประทับแรมณพระตำหนักสวนมะม่วง ดำรัศให้เจ้าพระยาจักรีเปนแม่กองทัพน่าถือพลทัพในกรุงแลหัวเมืองยกขึ้นไปตั้งอยู่ณเมืองเถิน แล้วให้ทัพเมืองเหนือทั้งสิบเมืองยกไปเข้ากองเจ้าพระยาจักรีกองน่าไปตีเมืองเชียงใหม่.
๏ฝ่ายข้างกรุงรัตนบุรอังวะ พระเจ้ามังระทราบว่า กรุงไทยพระยาตากตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าแผ่นดิน สร้างเมืองบางกอกขึ้นใหม่เปนราชธานีใหญ่แทนกรุงศรีอยุทธยาซึ่งพินาศฉิบหายนั้น กลับตั้งตัวต่อรบ จึงทรงพระดำริห์ว่า จะละไว้ช้ามิได้ ไทยจะมีกำลังกำเริบมากขึ้น จำจะแต่งกองทัพใหญ่ให้ไปตีปราบปรามเสียให้สิ้นเสี้ยนหนามราบคาบ อย่าให้แผ่นดินไทยตั้งตัวเปนปึกแผ่นแน่นหนาขึ้นได้สืบไปอิกในภายน่า จึงให้แพกิจจาคุมพลพม่าห้าร้อยถือหนังสือรับสั่งลงมาถึงปกันหวุ่นเจ้าเมืองเมาะตมะให้เกณฑ์พลรามัญเมืองเมาะตมะสามพันเข้ากองแพกิจจาเปนนายทัพยกไปทำทางแลตั้งค่ายปลูกยุ้งฉางที่ตำบลสามสบ ท่าดินแดง จัดแจงขนเสบียงอาหารผ่อนไปไว้ก่อน แล้วภายหลังจึงจะให้กองทัพใหญ่ยกไปตีเอาเมืองบางกอกซึ่งตั้งขึ้นใหม่นั้นจงได้ แลปกันหวุ่นก็เกณฑ์พลรามัญเมืองเมาะตมะแลเมืองขึ้นสามสิบสองหัวเมืองเปนคนสามพัน ให้พระยาเจ่ง พระยาอู่ ตละเสี้ยง ตละเกล็บ คุมมากองแพกิจจานายทัพ แพกิจจาก็ยกทัพมาณสามสบ ท่าดินแดง จัดแจงการทั้งปวงตามรับสั่งพระเจ้าอังวะ ฝ่ายปกันหวุ่นเจ้าเมืองเมาะตมะให้เร่งรัดเก็บเอาทองเงินแก่ครอบครัวสมิงรามัญ แลไพร่พลเมืองทั้งปวงได้ความยากแค้น บ้างหลบหนีมาบอกกันยังกองทัพ แลนายทัพนายกองรามัญทั้งปวงก็โกรธว่าพม่าข่มเหงเบียดเบียดครอบครัวข้างหลัง จึงชวนกันคิดขบถ ฆ่าแพกิจจานายทัพกับทั้งไพร่พลพม่าห้าร้อยเสียทั้งสิ้นที่ท่าดินแดง แล้วยกทัพกลับไปยังเมืองเมาะตมะ แลบรรดารามัญนายไพร่ซึ่งอยู่ที่เมืองแลเมืองขึ้นทั้งปวงนั้นก็พร้อมใจเข้าด้วยกันทั้งสิ้น ชวนกันยกเข้าปล้นเมืองเมาะตมะในเพลากลางคืน โห่เปนเสียงไทย ปกันหวุ่นแลกรมการพม่าทั้งปวงตกใจไม่สู้รบ ทิ้งเมืองเสีย ลงเรือหนีไปเมืองย่างกุ้ง แล้วบอกขึ้นไปถึงเมืองอังวะว่า มอญเมืองเมาะตมะเปนขบถสิ้นทั้งเมือง.
๏ฝ่ายนายทัพนายกองสมิงรามัญเมืองเมาะตมะก็ยกกองทัพรามัญติดตามขึ้นไปตีได้เมืองจิตตอง เมืองหงษา แล้วยกขึ้นไปตีเมืองย่างกุ้ง เข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ แล้วยกเข้าปล้น เจ้าเมืองย่างกุ้งต่อรบเปนสามารถ มอญหักเข้าไปได้ในเมืองกึ่งหนึ่ง พม่าตั้งค่ายในเมือง กันไว้ได้ครึ่งเมือง ครั้นพระเจ้าอังวะทราบในหนังสือบอก จึงให้อแซหวุ่นกี้ถือพลพม่าหมื่นหนึ่งยกลงมารบมอญขบถ พอทัพน่าอแซหวุ่นกี้ลงมาถึง ก็เข้าตีทัพมอญ ๆ ต่อรบสู้มิได้ก็ลาดถอยกลับลงมาเมืองเมาตมะ กองทัพอแซหวุ่นกี้ก็ยกติดตามลงมา รามัญทั้งปวงเห็นเหลือกำลังจะสู้พม่ามิได้ก็กวาดครอบครัวหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แยกกันเปนหลายพวกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์บ้าง ทางด่านเมืองตากบ้าง กองทัพพม่าก็ยกติดตามมอญมาทุกทาง ที่ตามมาทันก็กวาดต้อนครอบครัวมอญกลับคืนไปได้บ้าง.
๏ในขณะเมื่อทัพหลวงตั้งอยู่ณบ้านรแหงนั้น จึงขุนอินทคิรีนายด่านเมืองตากนำเอาครัวไทยมอญซึ่งหนีมาแต่เมืองเมาะตมะเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พาตัวสมิงสุรายกลั่นซึ่งเปนตัวนายมานั้นเข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมณพระตำหนักสวนมะม่วง จึงมีพระราชดำรัศให้ล่ามถามว่า พระเจดียฐานอันชื่อว่ากลอมป้อมณเมืองเมาะตมะนั้นยังปรกติดีอยู่ฤๅ สมิงสุรายกลั่นกราบทูลว่า ยังปรกติดีอยู่ จึงดำรัศให้ถามว่า พระมหาเจดีย์เกษธาตุณเมืองย่างกุ้งซึ่งว่าฉัตรยอดหักลงมานั้นยกขึ้นได้แล้วฤๅ สมิงสุรายกลั่นกราบทูลว่า พระเจ้าอังวะให้ลงมาปฏิสังขรณ์สามปีแล้ว ยังหายกขึ้นได้ไม่ จึงตรัศให้ถามว่า ฦๅมาว่านางรามัญบุตรีคนเข็ญใจอายุได้สิบสี่ปีสิบห้าปีรู้อรรถธรรมเกิดที่เมืองเมาะตมะนั้นมีจริงฤๅ สมิงสุรายกลั่นกราบทูลว่า มีจริงอยู่ แต่ยังหาได้ส่งขึ้นไปเมืองอังวะไม่ พอเพลาบ่ายจึงดำรัศให้พระยายมราชแขกยกกองทัพไปขัดด่านอยู่ณท่าดินแดงรับครัวมอญกับจะได้ต่อรบทัพพม่าซึ่งยกตามมอญมานั้นด้วย.
๏ครั้นถึงณวันศุกร เดือนอ้าย แรมห้าค่ำ เพลาเช้า บันดาลฝนห่าใหญ่ตกเปนมหาพิไชยราชฤกษ์ จึงโปรดให้พระยาคำแหงวิชิตคุมพลสองพันเศษอยู่รักษาเมืองตากคอยรับครัวมอญ แล้วเสด็จทรงช้างต้นพังเทพลีลา ให้ยาตราพลทัพหลวงดำเนินโดยสถลมารค ประทับร้อนแรมไปโดยรยะทางหลายเวนถึงตำบลนาเพียกเหนือเมืองนครลำปาง แล้วดำเนินทัพหลวงไปอิกหลายเวน ถึงณวันอังคาร เดือนยี่ ขึ้นสองค่ำ เสด็จถึงเมืองลำพูน ให้ตั้งค่ายหยุดประทับอยู่ที่นั้น.
๏ฝ่ายโปสุพลารู้ว่ากองทัพไทยยกขึ้นมาจะตีเมืองเชียงใหม่ จึงให้พระยาจ่าบ้านแลแสนท้าวพระยาลาวทั้งปวงยกกองทัพลาวพันหนึ่งเปนกองน่าให้ล่วงมาก่อน แล้วให้โปมยุง่วนเจ้าเมืองอยู่รักษาเมือง โปสุพลาจึงยกกองทัพพม่าทัพลาวเก้าพันจะยกลงมารับทัพไทย ฝ่ายพระยาจ่าบ้านกับพระยากาวิลขุนนางเมืองนครลำปางซึ่งเปนกองน่านั้นเข้ามาหากองทัพเจ้าพระยาจักรีขอสวามิภักดิเข้าด้วย จะกลับต่อรบพม่า เจ้าพระยาจักรีจึงบอกลงมาให้กราบทูล แล้วให้กองทัพพระยาจ่าบ้าน พระยากาวิล นำทัพขึ้นไป.
๏ฝ่ายโปสุพลายกกองทัพมาได้คืนหนึ่ง รู้ข่าวว่าพระยาจ่าบ้าน พระยากาวิล กลับคิดร้ายไปเข้าด้วยทัพไทย จึงถอยทัพกลับไปเมืองเชียงใหม่ แลกองทัพเจ้าพระยาจักรีก็ยกขึ้นไปถึงแม่น้ำเมืองเชียงใหม่ ทัพพม่ายกออกมาขุดสนามเพลาะคอยสกัดรบตามริมน้ำ จะข้ามทัพไปยังมิได้ จึงให้หมื่นศรีสหเทพลงมากราบทูล มีพระราชดำรัศสั่งให้เอาปืนจารงค์ต้นกลมทำร้านขึ้นยิงให้พม่าแตก แล้วจงยกข้ามน้ำไป อันจะรอรั้งอยู่ฉนี้มิได้ การศึกจะเนิ่นช้า หมื่นศรีสหเทพก็กลับไปบอกตามรับสั่ง พอกองทัพน่าตีทัพพม่าแตกยกข้ามน้ำไปได้ ตั้งค่ายล้อมเมืองได้สามสิบสี่ค่าย เจ้าพระยาจักรีจึงให้พระยาธิเบศบดีลงมากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระโสมนัศ จึงพระราชทานม้าพระที่นั่งกับพระแสงปืนสั้นบอกหนึ่งไปให้เจ้าพระยาจักรี แล้วพระราชทานพระแสงปืนสั้นอิกสองบอกไปให้เจ้าพระยาสุรสีห์บอกหนึ่ง ครั้นค่ำลง เพลาห้าทุ่มเศษจึงลาวสามสิบเอ็จคนเปนบ่าวแสนหนังสือมาแต่บ้านพแวนบอกให้กราบทูลว่า กองทัพพม่าประมาณสองพันยกมาแต่เมืองเมาะตมะตามครัวมอญเข้ามาทางบ้านาเกาะดอกเหล็กด่านเมืองตาก จึงดำรัศให้พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์เปนแม่ทัพถือพลพันแปดร้อยเศษยกไปทางบ้านจอมทองตัดลงไปบ้านนาเกาะดอกเหล็กตีทัพพม่าซึ่งยกเข้ามานั้น.
๏ครั้นรุ่งขึ้นจึงเจ้าพระยาสวรรคโลกลงมาแต่ค่ายล้อมเมืองเชียงใหม่ นำเอากระสุนปืนทองคำสองกระสุนซึ่งพม่ายิงออกมาแต่ในเมืองมาทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วกราบถวายบังคมลากลับไป จึงทรงพระอธิฐานแล้วส่งให้พราหมณ์เอากระสุนปืนทองคำทั้งคู่นั้นไปประกาศแก่เทพยดาในบริเวณพระมหาธาตุในเมืองลำพูน แล้วให้ฝังไว้ณที่ใกล้พระมหาธาตุนั้น
๏ในวันนั้นพระเสมียนตราในเจ้าพระยาสวรรคโลกบอกข้อราชการลงมากราบทูลว่า ได้เกลี้ยกล่อมลาวชาวเมืองลำพูนเมืองเชียงใหม่ซึ่งแตกหนีออกอยู่ป่ามาเข้าหาเปนอันมากทั้งครอบครัวถึงห้าพันเศษ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัศสรรเสริญสติปัญญาพระเสมียนตรา แล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เปนพระยาอักษรวงศ์ ให้คุมพวกลาวซึ่งมาเข้าเกลี้ยกล่อมนั้น จัดเอาแต่ที่สกรรจ์ไปเข้ากองทัพเจ้าพระยาจักรีตีพม่าณเมืองเชียงใหม่.
๏ครั้นณวันจันทร เดือนอ้าย ขึ้นแปดค่ำ เพลาบ่ายจึงพระราชฤทธานนต์ถือหนังสือบอกมาแต่กองทัพพระยาคำแหงวิชิตซึ่งตั้งอยู่รักษาเมืองตากว่า ณวันพุฒ เดือนยี่ ขึ้นเก้าค่ำ สุวรรณเทวกับทามุมวยสองนายพาครัวรามัญเข้ามาถึงเมืองตากเปนคนห้าสิบคนให้การว่า มาแต่เมืองเริ่ง ครอบครัวชายหญิงประมาณพันเศษ ครั้นมาถึงตำบลอุวาบ พม่าตามมาทัน ได้รบพุ่งกัน แลจักกายวอซึ่งเปนนายใหญ่มานั้นถูกปืนตาย พวกครัวทั้งปวงแตกหนีกระจัดพลัดพรายตามมาข้างหลัง เข้าทางบ้านนาเกาะดอกเหล็ก อนึ่งลาวชาวฟอนนาหงก็แตกเข้ามาทางด่านสตอง ครอบครัวชายหญิงร้อยสิบสี่คน ผู้รักษาด่านสตองก็น้อยตัว แลบ้านนาเกาะดอกเหล็กก็หามีผู้อยู่รักษาไม่ ครั้นได้ทรงทราบในใบบอก จึงให้มีหนังสือรับสั่งไปหากองทัพพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์กลับมา แล้วให้มีหนังสือตอบไปถึงพระยาคำแหงวิชิตให้แบ่งทัพยกออกไปตั้งอยู่ณบ้านนาเกาะดอกเหล็กเกลี้ยกล่อมลาวมอญซึ่งแตกตื่นมานั้นประมวญเข้าไว้ แล้วออกคอยก้าวสกัดตีทัพพม่าอันติดตามครัวมาให้แตกฉานไปจงได้.
๏ครั้นถึงณวันพุฒ เดือนยี่ ขึ้นค่ำหนึ่ง จึงเจ้าพระยาจักรีให้พระยาวิจิตรนาวีลงมากราบทูลว่า กองเจ้าพระยาสวรรคโลกยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองด้านสกัดฝ่ายใต้ได้สองค่าย แลด้านรีฝ่ายตระวันออกตระวันตกนั้นก็ให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงตั้งค่ายล้อมชักปีกกาถึงกันตระหลอกสองด้านแล้ว ยังแต่ด้านสกัดฝ่ายเหนือด้านเดียว ถ้ายกเข้าตั้งค่าย เห็นจะได้รบกันเปนสามารถ แม้นได้ท่วงที จะกรูเข้าหักเอาเมืองทีเดียว.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับ ไม่เห็นด้วย ดำรัศว่า พม่าตั้งค่ายรับอยู่ในเมือง ซึ่งจะกรูเข้าไปนั้น เกลือกจะเสียที ทแกล้วทหารก็จะถอยกำลังกล้าย่อหย่อนลง ถ้าล้อมรอบเมืองได้แล้ว จะหักเข้าที่ไหนก็ให้ตั้งหน้าทำเข้าไปเฉภาะที่นั้น แลบรรดาค่ายทั้งปวงให้ขุดคูลงขวากกันข้าศึก แต่ซึ่งค่ายประชิดจะได้วางปืนเกณฑ์ห้ามนั้น ให้ขุดคลองเดินบังปืนพม่า ให้ดูที่ค่ายใดซึ่งเข้าตั้งใกล้เมืองได้ ก็ให้ขุดคลองโปรยขวากกระจับที่ค่ายนั้น แม้นข้าศึกจะยกออกมาหักค่าย ก็ให้ไล่คลุกติดตามเข้าเมืองทีเดียว พระยาวิจิตรนาวีก็กราบถวายบังคมลากลับไปแจ้งข้อรับสั่งแก่เจ้าพระยาจักรี ๆ ก็จัดแจงการทั้งปวงตามกระแสพระราชดำรัศสั่งไปนั้น.
๏ฝ่ายโปสุพลา โปมยุง่วน ก็ให้นายทัพนายกองพม่ายกพลทหารออกมาตั้งค่ายรับนอกเมืองเปนหลายค่าย แล้วยกออกปล้นค่ายเจ้าพระยาจักรีซึ่งตั้งอยู่ด้านตระวันออกในเพลากลางวัน เจ้าพระยาจักรีมิได้ครั่นคร้าม นั่งเล่นหมากรุกอยู่ในค่าย พลางร้องสั่งพลทหารให้วางปืนใหญ่น้อยออกไปจากค่าย ยิงพม่า ๆ ถูกปืนล้มตายลงมาก จะปล้นเอามิได้ ก็ถอยกลับเข้าค่าย.
๏ครั้นณวัน ๗ ๑๓ ฯ ๒ ค่ำ เพลาย่ำรุ่งเช้าจึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครื่องราชวิภูสิตสำหรับราชรณยุทธ ทรงราชาวุธสรรพเสร็จ ก็เสด็จทรงช้างต้นพลายคเชนทนบรรยงก์เปนราชพาหนะ ให้ยาตราพลนิกรทัพหลวงจากค่ายริมเมืองลำพูนขึ้นไปณเมืองเชียงใหม่ หยุดประทับร้อนณพลับพลาไชยในค่ายบอกกไกลเมืองเชียงใหม่ทาง ๓๕๒ เส้น แล้วดำเนินทัพหลวงไปประทับณค่ายมั่นริมน้ำใกล้เมือง ในวันนั้นเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพน่ายกพลทหารออกตีค่ายพม่าซึ่งออกมาตั้งรับนอกเมืองด้านตระวันออกแตกหนีเข้าเมืองทั้งสิ้น แลกองเจ้าพระยาสุรสีห์ซึ่งตั้งค่ายตรงประตูท่าแพก็ยกออกตีค่ายพม่าแตกทั้งสามค่าย ตำรวจผู้ไปตรวจการมากราบทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระโสมนัศ ยกพระหัดถ์ตบพระเพลาทั้งสองข้าง ดำรัศสรรเสริญเจ้าพระยาทั้งสองว่า จะว่าพี่ดีฤๅน้องดีไฉนในครั้งนี้ ครั้นค่ำเพลายามเศษ โปสุพลาแลโปมยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็พาครัวหนีออกจากเมืองทางประตูช้างเผือกด้านค่ายเจ้าพระยาสวรรคโลกซึ่งตั้งล้อมยังไม่ตระหลอด เบียดเสียดเยียดยัดกันตายที่ประตูเมืองประมาณสองร้อยเศษ พวกพลทัพไทยออกไล่ตามจับพม่า แลชิงเอาครัวลาวได้เปนอันมาก ครั้นรุ่งขึ้นณวัน ๑ ๑๔ ฯ ๒ ค่ำ เพลาเช้าจึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงช้างพระที่นั่งไปทอดพระเนตรค่ายซึ่งล้อมเมืองเชียงใหม่ แลท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงมาเฝ้ากราบถวายบังคมพร้อมกัน จึงมีพระราชดำรัศถามว่า พม่ายกทัพหนีไปครั้งนี้ด้วยอุบายความคิดแลฝีมือของผู้ใด เจ้าพระยาจักรีแลท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลว่า ซึ่งพม่าแตกหนีไปครั้งนี้ด้วยพระราชกฤษฎาเดชานุภาพเปนแท้ เพราะเหตุพระสงฆ์ในเมืองออกมาบอกข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงว่า ณวัน ๖ ๑๒ ฯ ๒ ค่ำ กลางคืนเพลายามเศษ บังเกิดอัศจรรย์ในเมืองเชียงใหม่ แผ่นดินไหว พอรุ่งขึ้นทัพหลวงก็เสด็จมาถึงเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานฉลองพระองค์เข้มขาบกับผ้าส่านแก่เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ทั้งสอง เปนรางวัลเสมอกัน แล้วให้ปฤกษาโทษเจ้าพระยาสวรรคโลกซึ่งมิได้ปลงใจในราชการสงคราม ตั้งค่ายไม่ตระหลอดด้าน ไว้หนทางให้พม่าหนีไปได้ ให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยน ๕๐ ทีแล้วจำครบไว้ แลเมื่อสำเร็จราชการศึกได้เมืองเชียงใหม่ครั้งนั้น ได้ปืนใหญ่น้อยสองพันร้อยสิบบอก ฆ้องสามสิบสองคู่ ม้าสองร้อยม้า ไทยมอญห้าร้อยครัว ไทยชาวเมืองสวรรคโลกห้าร้อยเศษ จึงดำรัศว่า พวกครัวสวรรคโลกเปนขบถต่อแผ่นดิน นำทัพพม่ามาตีเมือง จะเอาไว้มิได้ ให้คลอกเสียทั้งสิ้น ท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงกราบทูลขอพระราชทานชีวิตรไว้เปนตพุ่นหญ้าช้าง.
๏ครั้นณวัน ๔ ๒ฯ ๒ ค่ำ เพลาเช้าจึงเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปนมัสการพระพุทธปฏิมากรพระสิหิงค์ในเมืองเชียงใหม่ ทอดพระเนตรเรือนโปมยุง่วนเจ้าเมือง แลพวกลาวชาวเมืองบอกแก่พวกข้าหลวงว่า แต่ก่อนมาเทศกาลเดือนยี่นี้น้ำในแม่น้ำน่าเมืองเชียงใหม่เคยลงขอด แลบัดนี้น้ำขึ้นประมาณศอกหนึ่ง เปนอัศจรรย์ จึงเสด็จออกมาประทับอยู่ณพระตำหนักในค่ายนอกเมือง.
๏ครั้นณวันพฤหัศบดี เดือนยี่ แรมสามค่ำ จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งพระยาจ่าบ้านเปนพระยาวิเชียรปราการ ให้ถืออาชญาสิทธิครองเมืองเชียงใหม่ ให้พระยาวังพร้าวผู้หลานเปนพระยาอุปราช น้อยโพธิเปนพระยาราชวงษ์ ให้พระยาลำพูนเปนพระยาไวยวงษา ถืออาชญาสิทธิครองเมืองตามเดิม น้อยต่อมต้อผู้น้องเปนพระยาอุปราช ให้พระยากาวิลถืออาชญาสิทธิครองเมืองนครลำปาง คำโสมผู้น้องเปนพระยาอุปราช น้อยธรรมอิกคนหนึ่งเปนพระยาราชวงษ์ ยังน้องอิกสี่คน ชื่อคำทิพหนึ่ง หมูล่าหนึ่ง คำฟั่นหนึ่ง บุญมาหนึ่ง ให้เปนผู้ช่วยราชการ แล้ว[9] พระราชทานเครื่องยศโดยควรแก่ถานานุศักดิ์ผู้ใหญ่ผู้น้อย โปรดให้เจ้าพระยาจักรีอยู่ช่วยจัดแจงราชการบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเปนปรกติก่อน.
๏ครั้นณวัน ๖ ๔ฯ ๒ ค่ำ เพลาเช้าจึงเสด็จดำเนินทัพหลวงกลับจากเมืองเชียงใหม่ลงมาหยุดประทับแรมอยู่ณลำปาง ทรง[3] นมัสการลาพระมหาธาตุ ทรงถวายสักการบูชาด้วยดอกไม้ทองเงิน แล้วถวายครัวลาวสิบเจ็ดคนเปนข้าพระไว้ปฏิบัติพระมหาธาตุ.
๏ครั้นณวัน ๓ ๑๕ฯ ๒ ค่ำ จึงพระเชียงทองบอกข้อราชการขึ้นไปกราบทูลว่า ทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านแม่ลำเมา จึงเสด็จดำเนินทัพหลวงรีบลงมาถึงเมืองตากณวัน ๕ ๒ฯ ๓ ค่ำ ดำรัศให้หลวงมหาเทพเปนแม่ทัพกับเจ้าหมื่นไวยวรนารถถือพลสองพันยกรีบไปตีทัพพม่าซึ่งยกมานั้น พอเพลาค่ำทัพหลวงมหาเทพยกไปตีกองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านแม่ลำเมานั้นแตกไป จึงบอกหนังสือมาให้กราบทูล ดำรัศให้นายควรรู้อัศว์นายเวรมหาดไทยลงเรือรีบลงไปบอกพระยาคำแหงวิชิตซึ่งตั้งทัพอยู่ณบ้านรแหงใต้เมืองตากนั้นให้เร่งยกกองทัพออกไปก้าวสกัดตีทัพพม่าซึ่งแตกไปนั้น ในขณะนั้นเรือพระที่นั่งยังจอดอยู่ณท่าสวนมะม่วงบ้านรแหง หาทันขึ้นไปรับเสด็จถึงเมืองตากไม่ ครั้นค่ำลงเพลาสองยามจึงเสด็จลงทรงเรือจมื่นจงกรมวังล่องลงมาพบเรือนายควรกลับขึ้นไป นายควรกราบทูบว่า เห็นกองไฟอยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงพม่าเห่ขึ้น ก็ทรงพระวิมุติสงไสย จึงดำรัศให้นายควรเปนเรือนำ ๆ เสด็จลงไป จึงพบเรือตรางใส่พม่าเมืองเชียงใหม่พระเพชรปาณีคุมมาหยุดจอดอยู่ให้พม่าเห่ขานยาม ก็เสด็จล่องลงมา พอเรือพระที่นั่งกระทบตอล่มลง เสด็จขึ้นณหาดทราย พบนายชูนายเกดลครนั่งผิงไฟอยู่ นายชูถวายผ้าผืนหนึ่งเช็ดพระชงฆ์เช็ดพระบาท จึงหลวงราชโกษาเชิญห่อพระภูษาซึ่งชุ่มน้ำมาแก้ออก เห็นพระภูษาส่านองค์หนึ่งแห้งปรกติอยู่ เปนอัศจรรย์นัก จึงน้อมนำเข้ามาถวาย แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทมาโดยทางสถลมารคถึงตำหนักสวนมะม่วงบ้านรแหง จึงดำรัศให้ข้าราชการปฤกษาคุณโทษนายควร แลข้าราชการทั้งปวงปฤกษาว่า ทรงพระกรุณาใช้ไปราชการ นายควรมิได้พิจารณาให้ถ่องแท้ เอาความมากราบทูลด้วยเสียงพม่าเห่นั้นเปนความผิด โทษมีแก่นายควร อนึ่งนายควรได้โดยเสด็จพระราชดำเนินเปนเพื่อนพระองค์ในคราวกันดารนั้นเปนความชอบ คุณมีแก่นายควร แลคุณกับโทษพอกลบลบกัน ประการหนึ่งซึ่งนายชูลครได้ถวายผ้าลายได้เช็ดพระชงฆ์เช็ดพระบาทเมื่อกันดารนั้นเปนความชอบมีแก่นายชูลคร จึงโปรดพระราชทานเงินตราห้าตำลึงแก่นายชูลครเปนบำเหน็จ.
๏ครั้นณวัน ๗ ๔ฯ ๓ ค่ำ เพลาเช้าจึงทรงพระกรุณาพระราชทานเงินแจกราษฎรชาวบ้านรแหงสิ้นทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กเสมอคนละสลึง จึงพระยาคำแหงวิชิตกราบทูลกล่าวโทษพระยานนทบุรีซึ่งเปนลูกกองว่า หลบหลีกย่อท้อต่อการสงคราม เกรงกลัวข้าศึก จึงให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนพระยานนทบุรีร้อยที แล้วให้จำครบส่งลงไปณกรุงให้ประหารชีวิตรเสีย.
๏ครั้นณวัน ๕ ๘ฯ ๓ ค่ำ จึงเสด็จไปทรง[3] นมัสการพระพุทธปฏิมากรณวัดกลาง วัดดอยเขาแก้ว แล้วตรัศถามพระสงฆ์ว่า ผู้เปนเจ้าจำได้ฤๅไม่ เมื่อโยมยังอยู่บ้านรแงหนี้ โยมยกรฆังแก้วขึ้นชูไว้กระทำสัตยาธิฐานเสี่ยงบารมีว่า ถ้าจะได้ตรัศแก่พระปรมาภิเศกสมโพธิญาณในอนาคตกาลเปนแท้แล้ว ข้าพเจ้าจะตีรฆังแก้วเข้าบัดนี้ ขอจงให้แตกเฉภาะที่จุก จะได้ทำเปนพระเจดียฐานบรรจุพระบรมสาริริกธาตุ ครั้นอธิฐานแล้วตีเข้า รฆังแก้วก็แตกที่จุกดุจอธิฐานนั้น เปนอัศจรรย์เห็นประจักษ์ พระสงฆ์ พระสงฆ์ถวายพระพรว่า จริงดังกระแสพระราชดำรัศนั้น ครั้นณวัน ๕ ๙ฯ ๓ ค่ำ จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องมาโดยทางชลมารคห้าเวนถึงกรุงธนบุรีมหานคร.
๏ฝ่ายข้างกรุงรัตนบุรอังวะ พระเจ้ามังระลงมาณเมืองย่างกุ้ง กระทำการยกฉัตรยอดพระมหาเจดีย์เกษธาตุ ฝ่ายเสนาบดีซึ่งอยู่รักษาเมืองอังวะบอกลงมาว่า พระยาหงษาวดี พระยาอุปราชา กับตละเกิ้ง แลรามัญทั้งปวงซึ่งกวาดขึ้นไปไว้ครั้งตีเมืองหงษาวดีได้แต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้ามังลองนั้นคิดกันเปนขบถ เห็นว่าเสด็จไม่อยู่ จะยกเข้าปล้นเอาเมืองข้างหลัง บัดนี้จับจำไว้สิ้นแล้ว พระเจ้ามังระจึงให้มีหนังสือตอบขึ้นไปให้ประหารชีวิตรพระยาหงษา พระยาอุปราชา แลตละเกิ้ง สมิงรามัญตัวนายซึ่งร่วมคิดกันเปนขบถนั้นเสียให้สิ้น แล้วให้ข้าหลวงมาเร่งกองทัพอแซหวุ่นกี้ซึ่งตั้งอยู่ณเมืองเมาะตมะนั้นให้ยกตามมอญขบถเข้าไปตีเอาเมืองไทยให้ได้ อแซหวุ่นกี้จึงให้งุยอคุงหวุ่นเปนแม่กองทัพน่า กับอุตมสิงหจอจัว ๑ ปคันเลชู ๑ เมี้ยนหวุ่น ๑ อคุงหวุ่นมุงโยะ ๑ เนมโยแมงละนรทา ๑ ยุยยองโบ่ ๑ ถือพลห้าพันยกล่วงมาก่อน แล้วให้ตแคงมรหน่อง เปนเชื้อวงษ์พระเจ้าอังวะ กับหม่องจ่ายิด ถือพลสามพันอิกทัพหนึ่งยกหนุนมา แลกองน่าพม่ายกตามครัวมอญเข้ามาเข้าตีกองทัพไทยซึ่งค่ายอยู่ณท่าดินแดงนั้นแตก พระยายมราชแม่ทัพก็ถอยลงมา แล้วบอกเข้ามาให้กราบทูลว่า พม่ายกทัพใหญ่มา เหลือกำลังจะต้านทานต่อรบ ขอพระราชทานกองทัพเพิ่มเติมไปช่วย จึงดำรัศให้พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ยกับพระยาธิเบศบดีเปนแม่ทัพถือพลสามพันยกไปตั้งค่ายรับณเมืองราชบุรี.
๏ขณะนั้นพระยายมราชบอกส่งพระยาอไภยรณฤทธิหนึ่ง พระยาเพ็ชบุรีหนึ่ง หลวงสมบัติบาลหนึ่ง หลวงสำแดงฤทธาหนึ่ง ทั้งสี่นายซึ่งแตกพม่าเข้ามานั้น แต่พระยาสุนทรพิพิธหนึ่ง หลวงรักษมณเฑียรหนึ่ง พระยาสุพรรณบุรีหนึ่ง พระยากาญจนบุรีหนึ่ง พระยานครไชยศรีหนึ่ง ทั้งห้านายนี้ยังไม่พบตัว จึงดำรัศให้จับเอาบุตรภรรยามาจำไว้ ให้ทำราชการแก้ตัวส่งไปเข้ากองพระเจ้าลูกเธอแลพระยาธิเบศบดี แล้วดำรัศให้พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ถือพลพันหนึ่งยกไปช่วยพระเจ้าลูกเธอคิดอ่านการสงครามเอาไชยชำนะให้จงได้ ถึงณวัน ๒ ๔ฯ ๓ ค่ำ เพลาเช้าเสด็จลงพระตำหนักแพ ให้เรือตำรวจขึ้นไปเร่งกองทัพซึ่งกลับมาแต่เมืองเชียงใหม่ยังล้าหลังอยู่ตามเสด็จมาไม่ทันนั้นให้เร่งรีบลงมาโดยเร็ว อย่าให้ใครแวะเข้าบ้านเปนอันขาด ถ้าผู้ใดแวะเข้าบ้าน จะประหารชีวิตรเสีย แลเรือท้ายพระยาพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการทั้งปวงนั้นก็รีบเร่งลงมาถึงน่าพระตำหนักแพ พอกราบถวายบังคมลาแล้ว ก็โบกพระหัดถ์สั่งให้รีบออกไปเมืองราชบุรี.
๏ขณะนั้นพระเทพโยธาจอดเรือแวะขึ้นบ้าน ตำรวจลงมากราบทูล ทรงพระโกรธ ดำรัศให้เรือตำรวจรีบไปเอาตัวมาในทันใดนั้น แล้วเอาตัวพระเทพโยธาขึ้นมัดไว้กับเสาพระตำหนักแพ ทรงถอดพระแสงดาบออกฟันพระเทพโยธาด้วยพระหัดถ์บนพระตำหนักแพ ศีศะขาดตกลง ให้ตำรวจนำเอาศีศะไปเสียบประจานไว้ที่น่าป้อมวิไชยประสิทธิ แลศพนั้นให้ทิ้งน้ำเสีย อย่าให้ใครดูเยี่ยงอย่างสืบไป.
๏ฝ่ายพวกรามัญซึ่งหนีพม่ามานั้น พระยาเจ่ง ตละเสี้ยง ตละเกล็บ กับพระยากลางเมือง ซึ่งหนีเข้ามาครั้งกรุงเก่า พม่าตีกรุงได้ ๆ ตัวกลับไป แลสมิงรามัญนายไพร่ทั้งปวงพาครัวเข้ามาทุกด่านทุกทาง ให้ข้าหลวงไปรับมาถึงพระนครพร้อมกันแล้ว ทรงพระกรุณาให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองนนท์บ้าง เมืองสามโคกบ้าง แต่สกรรจ์จัดได้สามพัน โปรดให้หลวงบำเรอภักดิครั้งกรุงเก่า เปนเชื้อรามัญ ให้เปนพระยารามัญวงษ์ เรียกว่าจักรีมอญ ควบคุมกองมอญใหม่ทั้งสิ้น แลโปรดให้พระราชทานตราภูมคุ้มห้ามสรรพากรขนอนตลาดทั้งปวง ให้ค้าขายทำมาหากินเปนศุข แล้วให้เกณฑ์พระยารามัญวงษ์คุมกองมอญยกหนุนออกไปต่อรบพม่าอิกทัพหนึ่ง แล้วโปรดให้มีตราขึ้นไปหากองทัพเจ้าพระยาจักรีแลทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือเมืองตวันออกทั้งปวงให้เร่งรีบยกลงมาช่วยราชการสงคราม.
๏ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีอยู่ณเมืองเชียงใหม่ แลพระยาเชียงใหม่ พระยานครลำปาง บอกว่า เมืองน่านผู้คนมาก ยังมิได้มาเข้าสวามิภักดิ เจ้าพระยาจักรีจึงให้พระยาอุปราชเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง กับขนนางไทยข้าหลวงไปเจรจาเกลี้ยกล่อมพระยาน่านโดยดี พระยาน่านก็ยอมเข้าสวามิภักดิขอขึ้นเปนข้าขอบขัณฑสิมา แล้วแต่งขุนนางสองนายให้ลงมาเฝ้าด้วย พอข้าหลวงถือตราขึ้นไปหากองทัพกลับแลเกณฑ์ทัพหัวเมืองทั้งปวง เจ้าพระยาจักรีแลท้าวพระยาพระหัวเมืองทั้งหลายก็จัดแจงกองทัพทุก ๆ เมืองยกลงมาตามพระราชดำรัศให้หานั้น.
๏ฝ่ายกองทัพพม่าก็ยกแยกกันไปเที่ยวไล่จับผู้คนครอบครัวณแขวงเมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครไชยศรี เมืองสุพรรณบุรี ทุกบ้านทุกตำบล.
๏ครั้นณวัน ๓ ๖ฯ ๓ ค่ำ กรมการเมืองนครไชยศรีบอกเข้ามากราบทูลว่า พวกตำรวจหลังถือท้องตราพระราชสีห์ไปเมืองสุพรรณบุรีถึงตำบลบ้านภูม พบพม่าประมาณสามสิบควบม้าไล่ ก็วิ่งหนี กะทอผ้าซึ่งใส่หนังสือท้องตรานั้นตกหายเสีย พม่าเข้าล้อมบ้านภูมอยู่ แต่นายพูน นายสา นายแก่น สามคนหนีได้ นายพรมนั้นหายไปไม่พบกัน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัศให้พระยาพิไชยไอสวรรย์ผู้ว่าที่กรมท่ายกกองทัพพลพันหนึ่งไปเมืองนครไชยศรีตีทัพพม่าซึ่งยกมานั้น.
๏ฝ่ายทัพพม่าซึ่งยกมาทางเมืองกาญจนบุรีมาตั้งค่ายใหญ่าอยู่ณปากแพรก แล้วแบ่งทัพมาสามพันเศษยกเข้ามาตั้งค่ายอยู่ณบ้านนางแก้ว แขวงเมืองราชบุรี สามค่าย ทัพพระยายมราชก็เลิกถอยเข้ามา พระเจ้าลูกเธอกับพระยาธิเบศบดีจึงให้หลวงมหาเทพเปนกองน่าคุมพลพันหนึ่งยกไปตั้งค่ายประชิดโอบค่ายพม่าด้านตระวันตก แลทัพพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์พลพันหนึ่งยกไปตั้งค่ายประชิดด้านตระวันออก พระเจ้าลูกเธอกับพระยาธิเบศบดีตั้งค่ายมั่นอยู่ณโคกกระต่าย แล้วบอกข้อราชการเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ.
๏ครั้นถึงณวันอาทิตย์ เดือนสาม แรมสิบเอ็จค่ำ ได้มหาพิไชยฤกษ์ จึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จทรงเรือพระที่นั่งกราบ ยาวสิบสามวา พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทเปนอันมาก เสด็จยกพยุหยาตรานาวาทัพสรรพด้วยพลโยธาหาญแปดพันแปดร้อยเศษจากกรุงธนบุรีไปโดยทางชลมารค หยุดประทับพลับพลาณเมืองสาครบุรีคอยน้ำขึ้น ครั้นค่ำเพลาห้าทุ่มจึงให้เคลื่อนกองทัพไป เพลารุ่งเช้าเข้าที่เสวยณวัดกลางค่ายบางกุ้ง เพลาบ่ายโมงเศษเสด็จไปถึงค่ายมั่นเมืองราชบุรี ดำรัศให้พระยาวิจิตรนาวีไปสืบข่าวราชการณค่ายบ้านนางแก้ว แล้วเกณฑ์ท้าวพระยานายทัพนายกองยกพลทหารหนุนเพิ่มเติมไปล้อมค่ายอิกเปนหลายทัพหลายกอง.
๏ฝ่ายตแคงมรหน่องยกกองทัพพลสามพันติดตามทัพพระยายมราชเข้ามาตั้งค่ายอยู่ณปากแพรก อแซหวุ่นกี้เกณฑ์กองทัพพม่าทัพรามัญหนุนเพิ่มเติมมาอิกพันหนึ่ง แลกองพระยายมราชนั้นถอยลงมาตั้งค่ายอยู่ณดงรักหนองขาว สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัศให้พระยาสีหราชเดโชกับพระยาอินทรวิชิตเจ้าเมืองวิเศษไชยชาญถือพลสองพันยกหนุนไปช่วยกองทัพพระยายมราช.
๏ครั้นณวัน ๓ ๓ฯ ๓ ค่ำ จึงพระยาวิจิตรนาวีซึ่งไปสืบราชการณค่ายบ้านนางแก้วกลับมากราบทูลว่า พม่าประมาทฝีมือไทย นิ่งให้ตั้งค่ายล้อม มิได้ออกรบพุ่ง ให้ร้องถามออกมาเปนภาษาไทยว่า ตั้งค่ายมั่นแล้วฤๅยัง ฝ่ายข้างเราร้องบอกไปว่า ยังไม่ตั้งมั่น บัดนี้ตั้งค่ายล้อมค่ายพม่าไว้รอบแล้ว ครั้นค่ำเพลาสามยามเศษจึงเสด็จยกพยุหโยธาทัพจากค่ายเมืองราชบุรีไปทางวัดอรัญญิก ประทับร้อนณพลับพลาค่ายศาลาโคกกระต่าย ครั้นรุ่งเช้าจึงเสด็จไปประทับแรมณพลับพลาค่ายวัดเขาพระ คอยฟังข่าวราชการอยู่ที่นั้น แลพม่าหายกออกตีค่ายไทยไม่ นิ่งให้ล้อม ด้วยมีจิตรประมาทว่าไทยฝีมืออ่อน จะออกตีเมื่อไรก็จะแตกเมื่อนั้น จะได้จับผู้คนได้มาก ฝ่ายทัพไทยก็ตั้งค่ายล้อมไว้ถึงสามชั้น.
๏ครั้นณวัน ๕ ๑ฯ ๔ ค่ำ เพลาเช้าจึงเสด็จพระราชดำเนินพยุหยาตราทัพไปทอดพระเนตรถึงค่ายล้อม พระยารามัญวงษ์ หลวงบำเรอภักดิ์ หลวงราชเสนา มาเฝ้า จึงดำรัศสั่งให้ไปตั้งค่ายรักษาหนองน้ำณเขาชงุ้มไว้ ในวันนั้นขุนปลัดเมืองราชบุรีบอกเข้ามากราบทูลว่า ทัพพม่ายกเข้ามาทางประตูสามบานด่านเจ้าขว้าว จับชาวด่านไปได้สองคน จะยกกลับไปฤๅจะตั้งอยู่ประการใดยังมิได้ทราบ จึงดำรัศสั่งพระเจ้าลูกเธอกับกองทัพจีนพระยาราชาเศรษฐีให้ยกลงไปรักษาค่ายเมืองราชบุรี แล้วให้รื้อค่ายเปล่าลงไปตั้งริมน้ำให้สิ้น ให้ปักขวากหนามจงมาก แล้วให้กองเจ้าพระยาอินทรอไภยยกไปรักษาสระน้ำเขาชั่วพราน ตั้งค่ายอยู่สามค่าย เพลาค่ำวันนั้นพม่ายกออกตีค่ายเจ้าพระยาอินทรอไภยครั้งหนึ่งแล้วแตกถอยไป ในคืนวันนั้นพม่ายกออกตีถึงสามครั้ง ได้รบกันเปนสามารถ จับพม่าได้เปนสามคน เจ็บป่วยลำบากไปเปนอันมาก จึงบอกข้อราชการแลส่งพม่ามาถวาย ครั้นความได้ทราบ[10] จึงให้เตรียมพลทหารจะเสด็จยกไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอไภย จึงพระยาเทพอรชุณ หลวงดำเกิงรณภพ ทูลห้ามไว้ รับอาสาจะยกไป ครั้นรุ่งขึ้นจึงดำรัศให้เกณฑ์ทหารกองใน กองนอก แลกองอาจารย์ กองทนายเลือก ได้ ๗๔๕ คน ให้พระยาเทพอรชุณ หลวงดำเกิงรณภพ ยกไปเปนกองโจรไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอไภย แล้วให้ถามพม่า ๆ ให้การว่า นายทัพซึ่งยกมาตีค่ายสระน้ำนั้นชื่อเนมโยแมงละนรทา ถือพลพันหนึ่ง ซึ่งตั้งค่ายอยู่ณบ้านนางแก้วนั้นนายทัพชื่องุยอคุงหวุ่น ถือพลสองพันเศษ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ณปากแพรกนั้นนายกทัพชื่อตแคงมรหน่อง เปนเชื้อพระวงษ์พระเจ้าอังวะ กับหม่องจ่ายิด พลประมาณสามพันเศษ ยังทัพหนุนมาอิกเปนอันมาก แลทางทวายนั้นก็ยกมาอิกทัพหนึ่ง แต่นายทัพข้าพเจ้ามิได้รู้จักชื่อ จึงโปรดให้พระณรงค์วิชิตไปตัดเอาศีศะซึ่งถูกปืนตายณค่ายเขาชั่วพรานไปเสียบไว้น่าค่ายประชิดให้รอบ แล้วสั่งให้ประกาศนายทัพนายกองค่ายล้อมทั้งปวงว่า ให้ขังพม่าไว้กว่าจะโซ จึงเอาเข้าฬ่อเอา ถ้าพม่าเรเรวนออกจากค่าย อย่าให้ชิงเอาค่าย แต่ให้รับรองไว้จงหยุด แม้นพม่าหนีไปได้ จะเอาโทษถึงสิ้นชีวิตร ครั้นค่ำลงเพลายามเก้าบาทพม่าออกแหกค่ายน่าด้านหลวงมหาเทพ พลทหารยิงปืนรดมไป ก็กลับเข้าค่าย ที่ถูกปืนตายก็เปนอันมาก อนึ่งในเพลาคืนวันนั้น ทัพพม่ายกมาแต่ปากแพรกจะเข้าช่วยพม่าซึ่งอยู่ในค่ายล้อม จึงยกเข้าตีค่ายหนองน้ำเขาชงุ้มล้อมกองรามัญเข้าไว้ จึงกองพระยาธิเบศบดีตีเข้าไปกันเอากองรามัญออกมาได้ เสียขุนณรงค์คนหนึ่งตายในที่รบ พม่าตีวกหลังหักออกมา ได้รบกันเปนสามารถ กองทัพพระยาธิเบศบดีต่อรบต้านทานเหลือกำลังก็แตกถอยมา พม่าได้ค่ายหนองน้ำเขาชงุ้มก็เข้าตั้งมั่นอยู่ในค่าย ครั้นความได้ทราบ พอกองทัพพระยานครสวรรค์ยกมาถึง จึงดำรัศให้พระยานครสวรรค์เร่งยกไปช่วยพระยาธิเบศบดีในคืนวันนั้น จึงทราบว่า กองมอญพระยารามัญวงษ์ออกจากที่ล้อมได้แล้ว จึงเสด็จกลับมาณค่ายศาลาโคกกระต่าย พระยานครสวรรค์ พระยาธิเบศบดี จึงปฤกษากันบอกส่งพระยารามัญ แลหลวงบำเรอภักดิ์ หลวงราชเสนา ซึ่งเสียค่ายลงมาณพลับพลาค่ายโคกกระต่าย จึงดำรัศให้มีตราขึ้นไปให้พระยานครสวรรค์ พระยาธิเบศบดี ถอยทัพลงมาตั้งค่ายรับพม่าอยู่นอกค่ายล้อมบ้านนางแก้วไกลประมาณห้าเส้น.
๏ครั้นณวัน ๔ ๑๑ ฯ ๔ ค่ำ จึงพระยายมราช พระยาสีหราชเดโช พระยาอินทรวิชิต บอกลงมากราบทูลว่า ตั้งค่ายอยู่ณดงรังหนองขาว ทัพพม่ายกมาแต่ค่ายปากแพรกเข้าตีค่าย ได้ต่อรบกันเปนสามารถ พม่าถูกปืนตายแลบาดเจ็บลำบากไปเปนอันมาก จับได้เปนสองคน ส่งลงมาถวาย แต่บัดนี้กระสุนดินดำนั้นยังอยู่น้อย ขอพระราชทานเพิ่มเติมขึ้นไปอิก จึงดำรัศสั่งให้มีตราตอบขึ้นไปว่า ถ้ากองทัพเจ้าพระยาจักรียกลงมาถึง จึงจะให้ยกหนุนขึ้นไป ให้คอยเอากระสุนดินดำที่กองทัพเจ้าพระยาจักรีนั้นเถิด.
๏ในขณะนั้นกรมการเมืองคลองวานบอกส่งเมงเข้ามาว่า พม่าเมืองมฤตห้าร้อยยกมาตีบ้านทับสแก ได้ตั้งค่ายรับไว้ แต่ข้าพเจ้ากรมการน้อยตัวนัก ขอพระราชทานกองทัพไปช่วย จึงดำรัศสั่งให้มีตราตอบออกไปว่า ราชการศึกยังติดพันกันอยู่ ให้ผู้รั้งกรมการทั้งปวงรับรองสู้รบพม่าไว้จงได้.
๏ในทันใดนั้นหลวงมหาเทพออกไปแต่กรุงธนบุรีเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า สมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตยทรงพระประชวรพระยอดอัคเนสัน เสด็จทิวงคตแต่ณวัน ๓ ๖ฯ ๔ ค่ำ ปีมเมียฉศก ในราตรีเพลาสองยามแปดบาท แลในวันนั้นไทยเชลยพม่าสองคนหนีออกมาจากค่ายล้อมบ้านนางแก้ว ให้การแก่นายทัพนายกองว่า อดอาหารอยู่ ๗ วันแล้ว ได้รับพระราชทานแต่เนื้อช้างเนื้อม้า แต่น้ำในบ่อยังมีอยู่ อนึ่งปืนใหญ่ซึ่งยิงเข้าไปในค่ายนั้นถูกพม่าล้มตายเปนอันมาก พม่าขุนหลุมลงอยู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานม้า ๑๐ ม้าให้พระยารามัญวงษ์คุมกองรามัญใหม่ทั้งนายไพร่สี่ร้อยคนสรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธเปนกองโจรยกไปลาดตระเวนข้างหลังเขาชงุ้มคอยตีพม่าซึ่งจะยกมาช่วยพม่าในค่ายล้อมนั้น.
๏ในขณะนั้นกองทัพเจ้าพระยาจักรีซึ่งยกลงมาแต่เมืองเชียงใหม่นั้นมาถึง เจ้าพระยาจักรีจึงนำขุนนางเมืองน่านสองนายเข้าเฝ้าณพลับพลาค่ายโคกกระต่าย กราบถวายบังคมทูลข้อราชการซึ่งให้ไปเกลี้ยกล่อมได้เมืองน่านมาเปนเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสิมานั้น.
๏สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระโสมนัศ ดำรัศสรเสริญความชอบเจ้าพระยาจักรี แล้วทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระแสงดาบฝักทองด้ามทองกับพระธำมรงค์เพ็ชรวงหนึ่ง ให้เจ้าพระยาจักรีเปนแม่ทัพถืออาชญาสิทธิยกไปตั้งค่ายมั่นอยู่เหนือพระมหาธาตุวัดเขาพระ แลให้ตั้งค่ายรายกันขึ้นไปถึงหลังค่ายล้อมบ้านนางแก้ว อย่าให้พม่าออกวกหลังได้ แล้วดำรัศให้หลวงบำเรอภักดิคุมพลทหารกองนอกสี่ร้อยจัดเปนสองกองไปคอยด้อมมองจับพม่าซึ่งออกมาตักน้ำณหนองเขาชงุ้มจงได้ ครั้นค่ำเพลาห้าทุ่มเศษ พม่าในค่ายล้มยกออกมาแหกค่ายน่าที่พระยาพิพัฒโกษา พระยาเพ็ชรบุรี พลทัพไทยรดมปืนใหญ่น้อยยิงออกไปจากค่าย ถูกพม่าเจ็บป่วยล้มตายมาก พม่าจะแหกออกมิได้ ก็ถอยกลับเข้าค่าย ครั้นเพลาสามยาม พม่าออกแหกค่ายน่าที่หลวงราชนิกุล ๆ ให้รดมยิงปืนใหญ่น้อยออกไปถูกพม่าเจ็บลำบากล้มตายเปนอันมาก จะแหกออกมิได้ ก็ถอยกลับเข้าค่าย แต่เพลานั้นเสียนายสุจินดาต้องปืนพม่าตายคนหนึ่ง.
๏ครั้นณวัน ๕ ๑๕ ฯ ๔ ค่ำ เพลาบ่ายสามโมงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงม้าพระที่นั่งดำเนินทัพไปหยุดอยู่ณหลังค่ายหลวงมหาเทพ จึงดำรัศให้จักกายเทวรามัญร้องเข้าไปเปนภาษาพม่าว่า ให้พม่าทั้งปวงออกมาหาโดยดีเถิด ทรงพระกรุณาจะโปรดปล่อยไปให้สิ้น พม่านายทัพในค่ายร้องตอบออกมาว่า ท่านล้อมไว้ครั้งนี้ ซึ่งจะหนีไปให้รอดจากความตายหามิได้แล้ว แต่เอนดูไพร่พลทั้งปวงมากนัก จะพลอยตายเสียด้วย ถึงตัวเราผู้เปนนายทัพจะตายก็ตามกรรมเถิด แต่จะขอพบตละเกล็บสักหน่อยหนึ่ง จึงดำรัศให้ตละเกล็บซึ่งเปนพระยาพระรามขี่ม้ากั้นร่มรย้าออกไปเจรจาด้วยพม่า ๆ เขียนหนังสือใส่ใบตาลขดเปนภาษาภุกามทิ้งออกมาแต่ในค่าย แปลออกเปนคำไทยได้ความว่า พระเจ้าช้างเผือกณกรุงศรีอยุทธยามีบุญบารมีมากนัก พระราชอาณาจักรแผ่ไปในชมพูทวีปทั้งปวง ฝ่ายพระเจ้าปราสาททองณกรุงรัตนบุรอังวะก็มีบุญบารมีมากเปนมหัศจรรย์ แลพระมหากระษัตริย์ทั้งสองฝ่ายเปนเวรแก่กัน ใช้ให้ข้าพเจ้านายทัพนายกองทั้งปวงมากระทำสงครามกับท่านอรรคมหาเสนาบดีกรุงศรีอยุทธยาในครานี้ แลข้าพเจ้าเสียทีแก่ท่าน ๆ ล้อมไว้ จะพากันออกไปก็มิได้ จะหนีไปก็ขัดสนนัก อันจะถึงแก่ความตายบัดนี้ ใช่แต่ตัวข้าพเจ้านายทัพนายกองเท่านั้นหามิได้ จะตายสิ้นทั้งไพร่พลเปนอันมาก แลการสงครามแห่งพระมหากระษัตริย์ทั้งสองฝ่ายจักสำเร็จเสร็จสุดสิ้นแตครั้งนี้ก็หามิได้ ฝ่ายท่านอรรคมหาเสนาบดีกรุงไทยก็ถือน้ำพระพิพัฒสัตยาแลพระราชกำหนดกฎหมายพิไชยสงคราม ฝ่ายข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ดุจถืออาวุธแลไม้ค้อนไว้ทั้งสองมือ อันสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัศพระสัทธรรมเทศนาไว้ว่า ซึ่งเกิดมาเปนมนุษย์แต่ละคนนี้ยากนัก ไฉนข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้รอดชีวิตรถือน้ำพระพิพัฒสัตยาเปนข้าพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้นก็สุดแต่ปัญญาท่านอรรคมหาเสนาบดีนั้นเถิด จึงดำรัศให้เขียนหนังสือตอบทิ้งเข้าไปในค่ายเปนอักษรไทยฉบับหนึ่ง อักษรรามัญฉบับหนึ่ง เปนใจความว่า ถ้าท่านทั้งปวงออกมาถวายบังคมโดยดี เราจะช่วยกราบทูลขอพระราชทานชีวิตรไว้ทั้งนายแลไพร่ ถ้ามิออกมา เราจะฆ่าเสียให้สิ้น.
๏ในวันนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพเมืองพระพิศณุโลกมาถึง แลทัพเมืองเหนือทั้งปวงก็มาถึงเนื่อง ๆ กัน จึงเข้าเฝ้ากราบถวายบังคม ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานร่มแพรแดงมีรย้าด้ามปิดทองแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ แล้วให้ยกขึ้นไปดูการณค่ายล้อมบางนางแก้ว.
๏ขณะนั้นพระยาเพ็ชรบุรีมิเปนใจในราชการศึก คิดย่อท้อต่อการสงคราม เจรจากับบ่าวว่า ถ้าพม่ารบแหกค่ายออกได้รับรองมิหยุด เราจะพากันหนีข้ามเขากลับไปเมือง แลบ่าวนั้นเปนโจทย์มาฟ้องแก่ข้าหลวงให้กราบทูล จึงดำรัศให้เอาตัวพระยาเพ็ชรบุรีมาถามสอบกับโจทย์ ก็รับเปนสัตย์ จึงตรัศสั่งให้มัดมือไพล่หลัง แล้วเอาไปตระเวนรอบทัพ แล้วให้ประหารชีวิตรตัดศีศะไปเสียบไว้น่าค่าย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง.
๏จึงพระยารามรามัญใหม่กับหมื่นศรีสหเทพมากราบทูลว่า ขึ้นไปเจรจากับพม่าว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จยกพยุหโยธาทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว โปสุพลา โปมยุง่วน หนีไปได้ โปสุพลาจะฆ่าโปมยุง่วนเสีย โปมยุง่วนหนีเข้ามาสวามิภักดิ์เข้าเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงไว้ แม้นพม่าตัวนายจะออกมาถวายบังคมขอสวามิภักดิ์ เราจะช่วยพิดทูลให้รอดชีวิตร พม่าว่า ตละเกล็บพึ่งมาเปนข้าเจ้ากรุงศรีอยุทธยาใหม่ จะไว้ใจมิได้ จะใคร่พบท่านนายทัพนายกองผู้ใหญ่ จึงดำรัศให้กลับไปว่าแก่พม่าว่า ให้แต่งพม่าตัวนายออกมาเถิด เราจะพาไปพบท่านแม่ทัพผู้ใหญ่ งุยอคุงหวุ่นจึงให้พม่านายกองคนหนึ่งกับไพร่ห้าคนออกมาหาตละเกล็บซึ่งเปนพระยาพระราม จึงดำรัศให้พระยาพระรามพาตัวพม่านายไพร่ไปให้พบพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรี จึงให้พระยาพระรามบอกแก่พม่าว่า ถ้านายมึงออกมาถวายบังคม กูจะช่วยให้รอดจากความตาย ถ้ามิออกมา จะฆ่าเสียทั้งสิ้น พม่าตัวนายจึงว่า ขอให้ยับยั้งอยู่แต่ในเพลาพรุ่งนี้สามโมงเช้า จะขอปฤกษาให้พร้อมกันก่อน จึงให้ปล่อยพม่านายไพร่กลับเข้าไปค่าย.
๏ครั้นณวัน ๗ ๒ฯ ๔ ค่ำ เจ้าพระยาสุรสีห์ก็กราบถวายบังคมลายกกองทัพไปตั้งค่ายล้อมพม่าณค่ายเขาชงุ้ม จึงดำรัศให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงแลข้าหลวงในกรุงยกไปตั้งล้อมอยู่หลายค่าย.
๏ในวันนั้นพระกุยบุรี พระคลองวาน บอกเข้ามาให้กราบทูลว่า พม่าประมาณสี่ร้อยเศษยกมาตีเมืองบางสพาน ได้รบกันเปนสามารถ พม่าแหกค่ายหนีออกไปแล้วเผาเมืองบางสพานเสีย ยกไปทางเมืองประทิว จึงทรงร่างท้องตราให้ไปถึงพระเจ้าหลานเธอเจ้าบุญจันทรแลพระยาธิเบศบดีครั้งกรุงเก่าซึ่งโปรดตั้งเปนเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชผู้อยู่รักษากรุงธนบุรีนั้นให้มีหนังสือตอบออกไปว่า ให้พระกุยบุรี พระคลองวาน รักษาด่านทาง ให้ใส่ยาเบื่อหนองน้ำบ่อน้ำที่ทางข้าศึกจะมานั้น อย่าให้กินน้ำได้ แล้วให้เอาพม่าเมืองเชียงใหม่ซึ่งจำไว้ในคุกสามคน ทวายคนหนึ่ง กับพม่าซึ่งปล้นค่ายเจ้าพระยาอินทรอไภยณเขาชั่วพรานคนหนึ่ง ให้ลงพระราชอาชญาตัดมือตัดเท้าเสีย แล้วให้เขียนหนังสือผูกแขวนฅอไปใจความว่า บอกแก่เจ้านายมันให้เร่งยกมาอิกเถิด แล้วเสด็จไปทอดพระเนตรค่ายเจ้าพระยาอินทรอไภยแลพระโหราธิบดีซึ่งตั้งรักษาสระน้ำอยู่ณเขาชั่วพรานนั้น จึงพระยารามัญวงษ์แลหลวงบำเรอภักดิ์จับพม่าได้สองคนนำมาถวาย ดำรัศให้ถามพม่า ๆ ให้การว่า มาแต่ค่ายปากแพรก มาส่งลำเลียง แลพม่าซึ่งตั้งอยู่ปากแพรกนั้นคนสามพันเศษ ซึ่งยกเข้ามาตั้งค่ายอยู่ณเขาชงุ้มนั้นสี่กอง คนมากหลายพัน จึงดำรัศให้หลวงภักดีสงครามทหารกองนอกอยู่ในกองพระยาเทพอรชุณซึ่งยกมาช่วยเจ้าพระยาอินทรอไภยนั้นให้คุมพลทหารห้าร้อยยกไปเปนกองโจร ให้ถมห้วยหนองบึงบ่อที่มีน้ำตามทางมาแต่ปากแพรกเสียให้สิ้น อย่าให้เปนกำลังข้าศึกได้ ถ้าถมไม่ได้ ก็ให้เอาเปลือกไม้เบื่อเมาแลทรากศพ[11] ใส่ลง อย่าให้กินน้ำได้ แล้วให้ออกก้าวสกัดตีตัดลำเลียงพม่า อย่าให้ส่งกันถึง.
๏ครั้นค่ำลงเพลาประมาณสองยาม พม่าในค่ายเขาชงุ้มทำค่ายวิหลั่นยกออกปล้นค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ แลทหารในค่ายยิงปืนใหญ่น้อยออกไปต้องพม่าล้มตายป่วยลำบากเปนอันมาก พลพม่ารวนเรลงมาถึงค่ายเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ แล้วถอยกลับเข้าค่าย ครั้นเพลาสามยามเศษ พม่ายกออกเราะค่ายพระยานครสวรรค์จนรุ่ง พลทหารในค่ายยิงปืนใหญ่น้ยออกไปต้องพลพม่าตายแลลำบากก็มาก ครั้นเพลาเช้าณวัน ๔ ๖ฯ ๔ ค่ำ จึ่งเสด็จดำเนินพยุหทัพขึ้นไปช่วย ดำรัศให้กองอาจารย์แลฝีพายทนายเลือกเข้ารบ ถ้าเห็นหนักที่ไหนให้เข้าช่วยที่นั้น ครั้นเพลาสองโมง พม่าถอยกลับเข้าค่าย ทรงเห็นว่าข้าศึกถอยแล้ว ก็เสด็จกลับมาณพลับพลาค่ายโคกกระต่าย ในวันนั้นเกิดพยุใหญ่ มหาเมฆตั้งขึ้นทั้งสี่ทิศ มืดไปทั้งอากาศ จึงทรงตั้งพระสัตยาธิฐาน ก็บันดาลให้เมฆเกลื่อนไปไม่ตกที่ค่ายพม่า ไปตกเสียที่อื่น.
๏ครั้นณวัน ๖ ๘ฯ ๔ ค่ำ จึงงุยอคุงหวุ่นนายทัพค่ายบ้านนางแก้วให้พม่าตัวนายเจ็ดคนออกมาเจรจาความเมืองด้วยพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์แลเจ้าพระยาจักรีว่า ถ้าท่านแม่ทัพกรุณาช่วยทูลขอชีวิตรไว้ได้ นายทัพนายกองทั้งปวงก็จะชวนกันออกมาถวายบังคมทั้งสิ้นด้วยกัน พระเจ้าหลานเธอแลเจ้าพระยาจักรีจึงสั่งให้ล่ามว่าแก่พม่าว่า เราจะทูลขอให้รอดชีวิตร จงพากันออกมาเถิด จึงให้ปล่อยกลับเข้าไปสองคน เอาตัวไว้ห้าคน แล้วให้ว่า ครั้งก่อนลวงว่าจะออกมา ให้เรากราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเปนเท็จไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าครั้งนี้เปนเท็จอิก เราช่วยไม่ได้ ครั้นเพลาเที่ยงในวันนั้น กองทัพพระยานครราชสิมา พลพันเก้าร้อย ลงมาถึง พระยานครราชสิมาจึงเจ้าเฝ้ากราบถวายบังคม ก็ทรงพระพิโรธ ดำรัศคาดโทษว่ามาช้ากว่าหัวเมืองทั้งปวง พระยานครราชสิมากราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าช้าอยู่ด้วยเลขหัวเมืองขึ้นเกณฑ์เข้ากองทัพครั้งไปตีเมืองเชียงใหม่หนีตาทัพกลับมาบ้าน ข้าพระพุทธเจ้าให้เที่ยวจับตัวกับทั้งบุตรภรรยาเข้ามาด้วย เปนคนชายหญิงเก้าสิบหกคนด้วยกัน จึงดำรัศว่า เลขหนีตาทัพ จะเอาไว้มิได้ ตรัศสั่งให้ตัดศีศะเสียให้สิ้นทั้งบุตรภรรยาที่ริมทางนอกค่ายโคกกระต่าย.
๏ในวันนั้นงุยอคุงหวุ่นนายัพให้อุตมสิงหจอจัวปลัดทัพกับพม่าตัวนายหมวดกองสิบสามคนนำเอาอาวุธต่าง ๆ มัดออกมาเฝ้าพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ ๆ จึงให้พระยาพิพัฒโกษาแลหลวงมหาเทพมัดอุตมสิงหจอจัวแลพม่าตัวนายสิบสามคนนั้นแล้วนำมาถวายณพลับพลาค่ายโคกกระต่าย จึงดำรัศให้ถามพม่าสิบสี่คน พม่าสิบสี่คนให้การว่า ข้าพเจ้านายทัพนายกองทั้งปวงปฤกษาพร้อมกันแล้ว จึงนำเอาเครื่องสาตราวุธออกมาถวายบังคม ถ้าทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตรแล้ว จะขอถือน้ำพระพิพัฒสัตยาเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาททำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไป จึงดำรัศว่า กูจะให้จำไว้ก่อนกว่าจะได้ตัวนายมาพร้อมกัน ถ้าเองสวามิภักดิ์โดยจริงแล้ว แม้นสำเร็จราชการศึกได้เมืองอังวะ จะให้รั้งเมืองอังวะ แล้วดำรัศให้พระยาพระรามข้าหลวงมีชื่อคุมตัวอุตมสิงหจอจัวกับพม่าสิบสามคนกลับไปณค่ายล้อม ให้ร้องเรียกงุยอคุงหวุ่นแลพม่านายทัพนายกองทั้งปวงให้ออกมา พม่าตัวนายซึ่งอยู่ในค่ายร้องตอบออกมาว่าจะปฤกษากันก่อน พวกข้าหลวงก็พาพม่าสิบสี่คนกลับมายังค่ายหลวง แลอุตมสิงหจอจัวออกมาเจรจาด้วยนายทัพนายกองไทยครั้งนั้นจะได้ไหว้ผู้ใดหามิได้ ถวายบังคมแต่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว จึงดำรัศสรรเสริญว่า มิเสียทีเปนขุนนางนายทหาร น้ำใจองอาจ รักษายศ มิได้เข็ดขามย่อท้อ ควรที่เปนทหารเอก แล้วดำรัศให้เอาพม่าสิบสี่คนไปจำไว้ที่ตรางในค่ายหลวง.
๏ครั้นณวัน ๗ ๙ฯ ๔ ค่ำ จึงโปรดให้พระยานครราชสิมายกทัพไปตั้งค่ายประชิดล้อมค่ายพม่าณเขาชงุ้ม ให้ปลูกร้านเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายพม่า ในวันนั้นดำรัศให้มหาดเล็กไปถอดอุตมสิงหจอจัวแลพม่าสิบสามคนคุมเอาตัวไปเรียกงุยอคุงหวุ่นณค่ายล้อมว่า ให้ออกมาเถิด พระเจ้าทรงธรรมไม่ฆ่าเสีย พระราชทานเสื้อผ้าแลเครื่องอุประโภคแก่เราเปนอันมาก อย่าสงไสยเลย งุยอคุงหวุ่นจึงร้องตอบออกมาว่า เราให้ไปเปนหลายคน ผู้ใดจะได้กลับมาบอกว่าดีร้ายเปนตายประการใดหามิได้ แต่ตัวมายืนร้องเรียกอยู่ฉนี้ จะเชื่อฟังยังมิได้ อุตมสิงหจอจัวจึงร้องตอบเข้าไปว่า พวกเราซึ่งออกมานั้น พระเจ้าทรงธรรมเอาตัวไว้ ถ้าหนีหายไปแต่คนหนึ่ง จะให้ใช้ถึงสิบคน แม้นเราจะให้กลับเข้าไปหาท่าน ท่านมิให้กลับออกมาก็ดี ฆ่าเสียก็ดี เราจะได้พม่าที่ไหนมาใช้พระเจ้าทรงธรรมเล่า ก็จะทรงพระโกรธฆ่าเราเสีย เพราะเหตุฉนี้เราจึงมิได้ให้เข้าไปแจ้งความแก่ท่าน งุยอคุงหวุ่นจึงร้องตอบออกมาว่า จงปล่อยเข้ามาเถิด ถ้าเราฆ่าเสียก็ดี มิได้กลับออกไปก็ดี จงให้อาวุธซึ่งล้อมอยู่นี้สังหารชีวิตรเราเถิด อุตมสิงหจอจัวจึงให้แยละหนึ่ง แยข่องจอหนึ่ง สองคนเข้าไปในค่ายบอกว่า พระเจ้าทรงธรรมทรงพระเมตตา หาฆ่าเสียไม่ งุยอคุงหวุ่นจึงว่า ผู้น้อยแลไพร่ไม่ตาย อันตัวเราเปนผู้ใหญ่เห็นจะตายเปนมั่นคง แล้วให้แยละแยข่องจอกลับออกมาจากค่ายแล้วพากันกลับมากราบทูล จึงดำรัศว่า จะคิดอ่านให้งุยอคุงหวุ่นออกมาไม่ได้แลฤๅ พวกข้าหลวงกราบทูลว่า เห็นขัดสนอยู่แล้ว ถ้าเอาปืนลูกไม้ยิงซ้ำเข้าไปอิก พม่ากลัวนัก เห็นจะออกมาสิ้น จึงดำรัศว่า อันจะฆ่าให้ตายนั้นง่าย แต่จะเปนบาปกรรม หาผลประโยนชน์สิ่งใดไม่ แล้วให้คุมเอาตัวพม่าไปไว้ณตรางตามเดิม ครั้นค่ำเพลาทุ่มเศษ ดำรัศให้ไปเอาตัวอุตมสิงหจอจัวมาเฝ้า ดำรัศถามว่า กองทัพพม่าซึ่งมารบอยู่แต่เท่านี้ฤๅ ๆ จะยกหนุนลงมาอิก อุตมสิงหจอจัวกราบทูลว่า ทัพอแซหวุ่นกี้ เปนเชื้อพระวงษ์พระเจ้าอังวะ ๆ ตั้งให้เปนแม่ทัพใหญ่ ยังตั้งอยู่เมืองเมาะตมะ รี้พลเปนอันมาก รอคอยฟังข่าวตแคงมรหน่องแลหม่องจ่ายิดนายทัพปากแพรกจะบอกขึ้นไปประการใด เห็นว่าอแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่จะยกหนุนลงมาอิก ครั้นได้ทรงฟังจึงทรงร่างท้องตราให้ไปหานายทัพผู้ใหญ่มาปฤกษาราชการ เจ้าพระยาจักรีแลท้าวพระยามุขมนตรีผู้ใหญ่ก็มาเฝ้าพร้อมกัน จึงตรัศปฤกษาว่า เราจะให้หาทัพหัวเมืองปากใต้สี่เมือง คือเมืองจันทบูร ๑ เมืองไชยา ๑ เมืองนครศรีธรรมราช ๑ เมืองพัทลุง ๑ ให้ยกเข้ามาอิก แม้นทัพใหญ่อแซหวุ่นกี้ยกหนุนเพิ่มเติมมามาก จะได้สู้รบมีกำลังมากขึ้น เจ้าพระยาจักรีจึงกราบทูลว่า อันทัพเมืองฝ่ายใต้ทั้งสี่เมืองนั้นรยะทางไกลนัก เห็นจะยกมามิทัน ถึงมาทว่าอแซหวุ่นกี้จะยกทัพใหญ่หนุนมา แต่ทัพในกรุงกับทัพเมืองเหนือซึ่งสู้รบอยู่บัดนี้ก็เห็นพอจะต้านทานทัพอแซหวุ่นกี้ไว้ได้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงดำรัศว่า อันเมืองฝ่ายใต้นั้นยังมิได้กระทำการสงครามกับพม่า บัดนี้เข้าในฉางหลวงซึ่งจะจ่ายกองทัพก็น้อยลง จึงให้มีตราสารออกไปเกณฑ์เอาเข้าสารเมืองนครศรีธรรมราชหกร้อยเกวียน เมืองพัทลุง เมืองไชยา เมืองจันทบูร สามเมือง ให้เกณฑ์เอาเมืองละสี่ร้อยเกวียน ถ้าเข้าขัดสน ให้ส่งเงินคิดเปนราคาเข้าเปลือกเกวียนละห้าตำลึง เข้าสารเกวียนละสิบตำลึง เข้ามาตามรับสั่ง แล้วให้หมายบอกนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ถ้าพม่าเลิกหนีไป ก็อย่าให้ยกติดตาม เกรงเกลือกพม่าจะซุ่มซ่อนพลไว้โจมตีตามรยะทาง ด้วยข้าศึกมิได้แตกเลิกถอยไปเอง แม้นจะยกทัพตาม ก็ให้ก้าวสกัดไปเอาปากแพรกทีเดียว.
๏ครั้นณวัน ๕ ๑๔ฯ ๔ ค่ำ ตรุศวันต้น จึงดำรัศให้ข้าหลวงคุมเอาตัวอุตมสิงหจอจัวไปณค่ายล้อมอิก ให้ร้องเรียกงุยอคุงหวุ่นให้ออกมาจากค่าย แลงุยอคุงหวุ่นร้องตอบบอกมาว่า ท่านจะเข้ามามัดก็มัดเอาเถิด ฤๅจะเข้ามาฆ่าเสียก็ฆ่าเถิด จะนิ่งตายอยู่ในค่าย ไม่ออกไปแล้ว จึงพากันมากราบทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงทรงแต่งเปนหนังสืออุตมสิงหจอจัวให้เขียนเปนอักษรภุกามใจความว่า ถ้างุยอคุงหวุ่นจะออกมาถวายบังคม ก็ให้เร่งออกมา แม้นมิออกมา พระเจ้าทรงธรรมจะให้พลทหารเข้าไปฟันเสียให้สิ้นทั้งสามค่าย แล้วเสด็จไปยั้งอยู่หลังค่ายหลวงมหาเทพ ให้พม่าถือหนังสือเข้าไปถึงงุยอคุงหวุ่นในค่าย ครั้นเพลาเย็น งุยอคุงหวุ่นจึงให้มัดเอาอาวุธที่มีอยู่ในค่ายทั้งสิ้นให้ไพร่พลขนออกมาถวาย แล้วสั่งพม่าซึ่งถือหนังสือเข้าไปนั้นว่า ขอผัดอิกวันหนึ่ง เพลาพรุ่งนี้เราจึงจะออกไปเฝ้า ให้อุตมสิงหจอจัวมารับเราด้วย พม่าผู้ถือหนังสือก็นำเอาไพร่พม่าขนอาวุธออกมาถวายแล้วกราบทูลตามคำงุยอคุงหวุ่นสั่งมานั้น จึงดำรัศให้พวกข้าหลวงคุมเอาตัวพม่าทั้งปวงกับทั้งอาวุธซึ่งขนออกมานั้นส่งมายังค่ายหลวง แล้วเสด็จกลับ รุ่งขึ้นณวัน ๖ ๑๕ฯ ๔ ค่ำ จึงดำรัศให้ข้าหลวงคุมเอาตัวหน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/139หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/140หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/141หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/142หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/143หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/144หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/145หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/146หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/147หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/148หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/149หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/150หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/151หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/152หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/153หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/154หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/155หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/156หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/157หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/158หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/159หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/160หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/161หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/162หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/163หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/164หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/165หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/166หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/167หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/168หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/169หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/170หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/171หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/172หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/173หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/174หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/175หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/176หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/177หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/178หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/179หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/180หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/181หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/182หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/183หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/184หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/185หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/186หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/187หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/188หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/189หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/190หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/191หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/192หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/193หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/194หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/195หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/196หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/197หน้า:Phongsawadan Phra Ratcha Hatthalekha 2455 (3).djvu/198อาธรรมดังนี้แล้ว ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด มุขมนตรีทั้งหลายพร้อมกันกราบทูลว่า พระเจ้าแผ่นดินละสุจริตธรรมเสีย ประพฤติการทุจริตฉนี้ ก็เห็นว่าเปนเสี้ยนหนามหลักตออันใหญ่อยู่ในแผ่นดิน จะละไว้มิได้ ควรจะให้สำเร็จโทษเสีย จึงรับสั่งให้มีกระทู้ถามเจ้าตากสินเจ้าแผ่นดินผู้ทุจริตว่า ตัวเปนเจ้าแผ่นดิน ใช้เราไปกระทำการสงคราม ได้ความลำบาก กินเหื่อต่างน้ำ เราก็อุสาหอาสากระทำศึก มิได้อาไลยแก่ชีวิตร คิดแต่จะทำนุกนิ์บำรุงแผ่นดินให้สิ้นเสี้ยนหนาม จะให้สมณพราหมณาจารย์แลไพร่ฟ้าประชากรอยู่เย็นเปนศุขสิ้นด้วยกัน ก็เหตุไฉนอยู่ภายหลังตัวจึงเอาบุตรภรรยาเรามาจองจำทำโทษ แล้วโบยตีพระภิกษุสงฆ์ แลลงโทษแก่ข้าราชการแลอาณาประชราษฎร เร่งรัดเอาทรัพย์สินโดยพลการด้วยหาความผิดมิได้ กระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า ทั้งพระพุทธสาสนาก็เสื่อมทรุดเศร้ามองดุจเมืองมิจฉาทฤษฐิฉนี้ โทษตัวจะมีเปนประการใด จงให้การไปให้แจ้ง แลเจ้าตากสินก็รับผิดสิ้นทุกประการ จึงมีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตรสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาฏกับผู้คุมก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ เจ้าตากสินจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตฏว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายอยู่แล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ได้ทอดพระเนตรเห็น จึงโบกพระหัดถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมแลเพชชฌฆาฏก็หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงน่าป้อมวิไชยประสิทธิ ก็ประหารชีวิตรตัศศีศะเสียถึงแก่พิราไลย จึงรับสั่งให้เอาศพไปฝังไว้ณวัดบางยี่เรือใต้ แลเจ้าตากสินขณะเมื่อสิ้นบุญถึงทำลายชีพนั้นอายุได้สี่สิบแปดปี.