สัตตธนุชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

พระศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารถการทรมานมารและเสนามาร ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภายกเรื่องขึ้นกล่าวว่า พระตถาคตทรงละทิ้งจักรพรรดิราชย์ที่กำลังจะได้ ออกมหาภิเนษกรมพระองค์เดียว ประทับนั่งเหนือวชิรบัลลังก์ ทรงชำนะมารและพลมารประมาณ ๓๐ โยชน์ มิได้ตรัสอะไรเลย รบชนะมารซึ่งเนรมิตแขน ๑,๐๐๐ กับทั้งหมู่มารอันมีรูปร่างต่างน่าสะพรึงกลัว มีมือถืออาวุธต่างๆ ทุกตัวตน พระศาสดาช่างมีพลานุภาพมาก พระศาสดาสดับถ้อยคำจึงตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่เราบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศน์ แล้วดำรงในพุทธภาวะถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แม้ในครั้งก่อนในคราวที่มีญาณยังไม่สุกงอดเต็มที่ ก็ได้ทรมานฆันตารยักษ์ถึงชัยชนะเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า ในเมืองพาราณสีพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่าเกศินี เป็นประธานนางสนม ๑๖,๐๐๐ ทั้งหมดไม่มีพระโอรสพระธิดาเลย ชาวนครจึงเข้าเฝ้าพระราชาแล้วทูลว่า ขอให้รีบได้พระโอรสสืบต่อรัชสมบัติเถิด พระราชาทรงรับคำ ตรัสเรียกเหล่าพระเทวีและนางนักฟ้อนรำ ประกาศว่าหากใครได้พระโอรสจะมอบรัชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง หญิงเหล่านั้นต่างรับพระดำรส อ้อนวอนเทวดาที่ตนนับถือทำพลีกรรม บรรดานางสนมทั้งหลายก็ยังมิได้มีใครได้ราชโอรสเลย ฝ่ายพระเทวีเป็นคนฉลาด ในวันอุโบสถทรงตื่นบรรทมแต่เช้าสมาทานศีล บริจาคทรัพย์ ๑,๐๐๐ บริจาคทานแก่วณิพกยาจกเข็ญใจ แล้วเสด็จขึ้นปราสาท ระลึกถึงศีลอธิษฐานให้ได้พระโอรสแล้วบรรทมหลับไป ขณะนั้นด้วยเดชศีล ภพของท้าวสักกะก็ร้อนขึ้นมา ท้าวสักกะทราบเหตุการณ์โดยละเอียด จึงดำริที่จะประทานพระโอรส เห็นพระโพธิสัตว์ที่หมดอายุขัยจะไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้น จึงเสด็จไปสู่สำนักขอให้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางเกศินี ทราบว่าพระโพธิสัตว์รับคำจึงมามนุษย์โลกเสด็จเข้าห้องของพระนางกระซิบว่า ให้พระเทวีตื่นแต่เช้าสรงพระกายแล้วยืนที่หน้าต่างหันหน้าไปทางประตู จะมีเหยี่ยวคาบผลพุทรามาทิ้งต่อหน้าพระพักตร์ ให้เสวยผลไม้นั้นแล้วโยนเมล็ดลงที่พื้นล่าง ก็จะได้พระโอรส พระนางตื่นบรรทมตกพระทัย ดำริถึงสุบินแล้วทรงทำตามที่สุบิน จนถึงเสวยผลไม้แล้วโยนเมล็ดลงที่พื้นล่าง ในขณะนั้นแม้ม้าแก่เดินอยู่ข้างล่างจึงกินเมล็ดพุทราเสียและตั้งท้อง พระเทวีก้ทรงตั้งครรภ์จึงทูลให้พระราชาทราบ แม้ม้าได้ตกลูกก่อน เพราะมีตาสีเขียวเหมือนแก้วมณีจึงตั้งชื่อลูกม้าว่า มณีกักขิ ฝ่ายพระเทวีก็ได้ประสูติพระโอรส ในวันที่พระสูติพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้นได้นำบรรณาการมากมายมาถวาย พระราชาจึงให้หมอทำนายนิมิตพยากรณ์พระลักษณะ พระกุมารมีศิลปธนูไม่มีใครในชมพูทวีปเทียมถึง พระราชาจึงทรงตั้งพระนามพระโอรสว่าสุธนู คราวนั้นบุตรของพระมาตุลานามว่าเศวตกุมาร ซึ่งมีน้องสาวชื่อกเรณุวดีมีสิริโฉมงดงาม สมควรแก่พระโพธิสัตว์เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป คราวพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าพรหมทัตสิ้นพระชนม์ ชาวนครต้องการจะอภิเสกพระกุมารจึงน้อมถวายม้าสินธพที่ประดับประดาแล้ว พระโพธิสัตว์มิได้ทรงรับ แต่ได้เห็นม้ามณีกักขิก็ให้อำมาตย์นำไปประดับแล้วนำมาถวาย พอพระโพธิสัตว์ทรงม้าเท่านั้น ม้าพาพระกุมารไปจนถึงเมืองเศวตนคร ซึ่งมีพระเจ้าเศวตครองราชย์ มีพระนางปทุมคัพภาเป็นพระมเหสี พระธิดาพระนามว่าจิรปภามีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก มีหญิงค่อมสาวใช้ชื่อนางปทุมา ก็พระราชามีประสงค์จะถวายแก่เทวินทเทพ จึงให้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้พระธิดาอยู พระมหาบุรุษเปลี่ยนเพศเป็นพราหมณ์เข้านคร พวกชาวบ้านที่คุยกันเป็นกลุ่มพูดถึงนางจิรปานั้นทำกรรมใดจึงมีสิริโฉมงดงาม พระโพธิสัตว์ได้ฟังก็คิดหาวิธีที่จะได้เห็นนาง ตกกลางคืนจึงคิดถึงม้า ให้นำไปหานางจิรปภา โดยได้นำเอามาลัยและของหอมไปด้วยจนถึงประตูห้องของนาง แลดูทางช่องกุญแจ ทอดพระเนตรเห็นพระนางบรรทมอยู่กับสาวใช้ เมื่อได้ทราบว่าคือพระนางจึงได้เปิดประตูเข้าไป ทอดพระเนตรตั้งแต่พระเศียรจนพระบาทก็มิได้อิ่มเลย จึงลูบไล้พระวรกายด้วยสุคนธชาติ สวมกุสุมมาลัยและจารึกเป็นปริศนาไว้ที่หลังนางปทุมาสาวใช้ ประดับด้วยมาลัยที่เหลือ พอสว่างพระนางตื่นบรรทม เห็นรูปปริศนาที่หลังของสาวใช้ และมาลัยเครื่องลูบไล้ คิดว่อมรินทราธิบดีคงเสด็จมา จึงนัดแนะกับสาวใช้ให้คอยกำหนดจับให้ได้ พระโพธิสัตว์ได้ทำเหมือนในวันก่อนและออกไปได้ แต่ในวันที่ ๔ พระนางได้กระซิบกับสาวใช้ให้จับไว้ พระนางลุกจับที่เอวจึงบอกไปตามความจริงว่า พระองค์เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสีนามว่าสุธนุกุมาร พระธิดาได้สดับคำนั้นมีพระทัยยินดีจึงได้อภิรมย์กับพระกุมาร พระธิดาจึงตกลงพระทับกราบทูลให้พระบิดามารดาฟัง พระราชาทรงพิโรธจึงอยากทดลองให้ประชุมพระราชาน้อยใหญ่ พระราชาจึงตรัสว่าอยากชมศิลปของพระ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็ยิ่งได้ทะลุหมด พระเจ้าเสตราชลุกจากที่นั่งจุมพิตศีรษะและกระทำวิวาหมงคลให้ในที่นั้น ก็เมื่อกาลผ่านไป วันหนึ่งพระโพธิสัตว์บรรทมอยู่กับพระชายา ใกล้รุ่งทรงระลึกถึงพระมารดา จึงทูลลาพระบิดามารดาไป วันเดียวเท่านั้นก็เดินทางได้ ๗๐๐ โยชน์ คราวนั้นพระเทวีเพราะกำลังความเร็วของม้าและลมแดด พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นบอกให้ม้าหยุด ม้าบอกว่าหยุดไม่ได้ เพราะดินแดนนี้เป็นเขตของฆันตารยักษ์ ซึ่งเดิมทียักษ์นี้ได้บำรุงท้าวเวสวรรณด้วยการตักน้ำถวายถึง ๓ ปี เมื่อครบกำหนดจึงได้ทูลขอพรให้ได้โอกาสรักษาเขตนี้และสามารถกินมนุษย์ที่เข้ามาได้ จึงสร้างบรรณศาลาอยู่ ใครเข้าไปก็จะถาม ๓ ครั้ง หากได้คำตอบก็จะไม่กิน หากไม่ได้คำตอบครบ ๓ ครั้งจึงจับกิน ยักษ์นี้มีน้องสาวชื่อนางอัญชนวดี ยักษ์สร้างปราสาทให้นางอยู่แล้วไปชิงพระธิดาจากเมืองต่างๆ มาเป็นข้ารับใช้ ถึงนางกเรณุวดีก็ถูกชิงมาอยู่ในที่นั้นด้วย ส่วนตนสร้างปราสาทอยู่ไม่ไกลนัก พระองค์อย่าอยู่ที่นี้เลย พระโพธิสัตว์เห็นศาลาแล้ว ถามได้ความ ตรัสว่า ยักษ์กินได้ทุกคนหรือ ม้าตอบว่ามิได้ทุกคน พระโพธิสัตว์ตรัสว่า พักที่นี่เถิด หากไปต่อพระเทวีต้องสิ้นพระชนม์แน่ ม้าไม่สามารถทัดทานได้จึงลงมาเข้าไปที่นั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ให้คำตอบเป็นระยะทุกครั้ง คราวนั้นในปัจฉิมยาม พระเทวีตื่นบรรทมทูลขอให้พระโพธิสัตว์บรรทม พระองค์จะรักษาเวรยามต่อ พระเทวีก็ทรงถูกความง่วงครอบงำอย่างหนัก จึงตอบเสียงค่อยลงและหลับไป ครั้งที่สามยักษ์มาถามอีกไม่ได้ยินคำตอบจึงคิดว่าหลับหมดแล้ว จึงส่งเสียงดังถามว่าใคร แล้วผลักประตูเข้าไปยืนอยู่ และได้ออกไปสู้กับยักษ์บนอากาศ พระกุมารและพระเทวีตื่นบรรทมต่างตกพระทัย พระมหาสัตว์จึงตรัสให้ม้าระวังบังเหียนไว้ให้ดี ยักษ์ได้ยินคิดว่าบังเหียนเป็นเหล็ก จึงจับที่บังเหียนอย่างแน่นหนา ฝ่ายม้าแม้พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่หลุดพ้น กลับหมดกำลังลง ขณะนั้นยักษ์จึงขี่ม้าไปส่งให้บริวารรักษาไว้อย่างดี สองกษัตริย์ไม่ได้ยินเสียง ก็ร้องเรียกหาแต่ไม่พบ พบแต่รอบเลือดจึงคิดว่าม้าถูกจับได้แล้ว พระโพธิสัตว์ปลอดพระเทวี ตั้งสติเล็งเห็นหมู่ไม้เบื้องหน้าเขียวทึบเป็นสีเมฆ อาจจะมีมหาสมุทรอยู่ จึงไปที่นั้น ผูกธงผ้าที่ปลายไม้ให้สัญญาณแก่พวกพ่อค้าวาณิชจะได้ไปด้วยกัน ครานั้นพ่อค้า ๕๐๐ แล่นเรือมาพร้อมด้วยภัณฑสินค้าพบพระโพธิสัตว์จึงถาม และให้อาศัยเรือไปด้วย เมื่อคราวที่ทั้งสองกษัตริย์ขึ้นเรือ เรือได้แล่นไปด้วยกำลังลมแรง ๗ วัน พ่อค้าควบคุมเรือไม่ได้คิดว่าต้องตายแน่นอน ต่างอ้อนวอนเทวดาที่ตนนับถือให้ช่วยรักษา พระโพธิสัตว์กับพระเทววีเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็เสวยเนยใสน้ำกรวดจนพอประมาณแล้ว เอาผ้าสาฎกชุบน้ำมันพันกาย ขึ้นเสากระโดงเรือเอาผ้าผูกสะเอวพระเทวีผูกติดกับแผ่นกระดานอย่างแน่นหนา เมื่อเรือเริ่มจม พระโพธิสัตว์เห็นมหาสมุทรแดงฉาน กำหนดทิศที่เมืองพาราณสีตั้งอยู่ และพระมารดา กระโดดจากเสากระโดงเรือเลยปลาเต่า ตกในที่ประมาณอุสภพหนึ่ง แต่ด้วยผลกรรมที่สองกษัตริย์ได้ทำมา แผ่นกระดานกลับแตกเป็นสองเสี่ยง แต่ละคนได้แผ่นกระดานคนละครึ่งลอยไป ถูกกระแสน้ำพักไปได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักท่ามกลางสมุทร เพราะทำกรรมอะไรจึงได้เสวยทุกข์อย่างนี้ ตอบว่าในอดีตกาลในเมืองพาราณสี ทั้งสองพระองค์เป็นสามีภรรยากัน วันหนึ่งไปฝั่งน้ำเล่นน้ำ ตอนนั้นมีสามเณรหนุ่มรูปหนึ่งพายเรือเล่นน้ำ สองสามีภรรยาเห็นเข้าอยากจะแกล้งเล่น จึงตีฟอกระลอกคลื่นใส่เรือสามเณรจนสามเณรจมน้ำ แต่ได้ช่วยขึ้นฝั่งได้ เพราะทำกรรมประมาณนี้จึงได้เสวยทุกข์ใน ๕๐๐ อัตภาพ พระเทวีจิรปภาถูกน้ำพักไปถึงฝั่งด้านหนึ่ง พอข้ามขึ้นได้ได้เดินไปพระองค์เดียว คิดถึงพระโพธิสัตว์พลางร้องไห้คร่ำครวญ พระนางค่อยคลายความโศกลงจึงเอาภูษาชุบน้ำให้ชุ่ม ถอดพระธำมรงค์ผูกที่ชายผ้าเดินไป ทั้งที่ไม่รู้ทิศทางเดินไป ๒-๓ วันก็ถึงเมืองอินทปัตถ์ เข้าไปภายในเมืองแปลงเพศเป็นหญิงเข็ญใจ ในเมืองนั้นมีเศรษฐีถึงคราวตกยากถือกระเบื้องขอทานเลี้ยงชีพ พระนางถึงบ้านของเขาขออยู่ด้วย เมื่อได้โอกาสอยู่รุ่งขึ้นจึงถอดพระธำมรงค์วงหนึ่ง ให้แก่ผู้เฒ่านำไปขาย ซื้อทาสทาสีสิ่งของเครื่องใช้และไม้สร้างศาลา เมื่อสร้างเสร็จให้เขียนรูปอันวิจิตรไว้ท่ามกลางถนน ๔ แพร่ง อันดับแรกนางให้วาดรูปพระราชาทรงม้าเหาะ เปิดประตูห้องทอดพระเนตรจนถึงรูปที่เรือแตก แล้วตั้งทานวัตรบริจาคทานแก่บุคคลที่สัญจรผ่านไปมา เมื่อเลี้ยงดูจนอิ่มหนำแล้วให้ดูรูปจิตรกรรมนั้น จึงตั้งชื่อศาลาว่า ศาลานางอุมมาทยันตี ถวายทานบริจาคทานรอฟังข่าวของพระโพธิสัตว์อยู่ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถูกคลื่นซัดไปกับแผ่นกระดาน ก็ลุถึงท่าอัญชนวดีตามลำดับ เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็คิดถึงพระชายา ครั้งนั้นนางอัญชนวดียักษิณีเรียกนางกเรณุวดีมาบอกว่า ให้ไปท่าน้ำตักน้ำสรงมา นางพร้อมกับขัตติยานีสิบหกนางจึงไปท่าน้ำ ตนเองเดินตามหลังพระโพธิสัตว์พอเห็นนางจำได้ ในเวลาที่นางอาบน้ำเสร็จกำลังจะไป จึงออกจากดงกล้วยมาเรียกนาง นางมองหาดูเห็นจึงถามได้ความแล้วจึงร้องไห้ พระกุมารบอกให้นางอย่าบอกใคร นางกลับไปเข้าปราสาท กลิ่นมนุษย์ได้ติดกายนางไป จึงถูกคาดคั้นให้บอกเรื่องราว พอได้ฟังว่าพระสุธนูเสด็จมา นางอัญชนวดียักษิณีถึงกับเกิดความรักอยากจะได้พบหน้า จึงเขียนหนังสือให้นางกเรณุวดีไปว่าหากพระกุมารฉลาด ก็จะเข้าใจความและเสด็จมา หากไม่รู้จะเป็นภักษาต่อไป นางกเรณุวดีรับหนังสือส่งให้พระกุมาร พระกุมารเข้าพระทัยจึงตรัสกะนางกเรณุวดีว่าไม่มีอะไรน่ากลัว จึงเขียนรูปตนจับที่พระศอของนางยักษิณี ส่งให้นางกเรณุวดีไป พอนางได้รับก็ดีใจตระเตรียมการต้อนรับ และได้อภิรมย์สังวาสกันและกัน เมื่อกาลผ่านไป วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ก็ระลึกถึงพระมารดา จึงออกอุบายที่จะไป แต่ไม่มีช้างม้าที่เป็นพาหนะจึงถามนางกเรณุวดี นางตอบว่าฆันตารยักษ์มีม้าอยู่ พระโพธิสัตว์จึงหาอุบายให้นางอัญชนวดีทูลขอม้ากับพระยายักษ์ นางอัญชนวดีจึงทนรบเร้ามิได้จึงส่งนางกเรณุวดีไปขอ นางกเรณุวดีจึงบอกม้าว่าพระสุธนูมาถึงแล้ว ม้าดีใจจึงยินยอมไปกับนาง พอได้พบกันพระสุธนูกับม้าต่างดีใจและถามถึงพระเทวีจิรปภา และปรึกษากันจะออกตามหา จึงปรึกษากับนางกเรณุวดีได้ความว่า จะหลอกมอมเมานางอัญชนวดีในอุทยานแล้วหนีไปและได้ทำอย่างนั้นแล้ว หนีไปถึงเมืองอินทรปัตถ์ ในคราวนั้นจึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าเมืองไปพักม้าภายนอกพระนคร เที่ยวถามชาวนครว่า พวกสมณพราหมณ์บัณฑิตประชุมกันที่ไหน ได้ความว่าประชุมกันที่ศาลาอุมมารยันตีของนางปริพพาชิกานางหนึ่ง จึงเสด็จไปที่นั้น ได้ทำตามวัตรธรรมเนียมของที่นั้น เสวยแล้วได้ทอดพระเนตรรูปเขียนต่างๆ แล้วร้องไห้หัวเราะ พวกนางสาวใช้เห็นกิริยานั้นจึงนำเรื่องไปบอกนางปริพพาชิกา นางรีบมาดูจำได้ว่าเป็นพระสวามี ก็เข้าไปกราบแทบพระบาทร้องไห้คร่ำครวญนานาประการ ในคราวที่พระมหาสัตว์เสด็จไปพระมารดามิได้มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ พระโพธิสัตว์มาถึงจึงเข้าไปถวายบังคมแทบบาทมูลพระมารดากรรแสง พระมารดาก็สวมกอดพิไรรำพันว่ามิได้มีความสุข ทั้งเดินยืนนั่งบรรทม น้ำตาไหลพรากตลอดเวลา บัดนี้กลับมาแล้วจึงคลายโศกได้ และได้อภิเสกในกองในรัตนะแก้ว กาลต่อมาพระโพธิสัตว์หวนระลึกถึงนางอัญชนวดีและนางกเรณุวดี จึงเสด็จไปลุถึงเมืองฆันตารยักษ์ ตรัสกับฆันตารยักษ์ว่า นางอัญชนวดีนั้นได้เป็นพระชายาของพระองค์ แล้วจงมอบให้มา ถ้าไม่ให้ก็เป็นการทำผิดศีลธรรมด้วย จึงให้ยักษ์ตั้งอยู่ในศีลธรรมต่อไปว่า หากรักษาศีลจะไปเกิดในพรหมโลก ตรัสกะยักษ์ว่า พระยายักษ์ ท่านนั้นครั้งก่อนเป็นมนุษย์ แต่เพราะทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต บัดนี้จึงเกิดเป็นยักษ์ ดุร้าย หยาบคาบ จากนี้ไปขอท่านได้สมาทานสุจริต รักษาศีล ๕ ข้อ มหายักษ์ฟังธรรมของพระมหาสัตว์ เลื่อมใสอย่างยิ่ง พระมหาสัตว์จึงได้ทรมานยักษ์จนหมดพยศ ให้สมาทานศีล ๕ พานางอัญชนวดีนางกเรณุวดีกลับเมืองพาราณสีให้ดำรงตำแหน่งใหญ่ ทำสักการะแม่ม้ามณีกักขิ จากนั้นได้เสวยสมบัติครองราชย์ จนสิ้นอายุขัยได้เกิดในพรหมโลก พระศาสดาครั้นนำอดีตนิทานมา ทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าพรหมทัตคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระเกศินีเทวีคือพระมหามายาเทวี พระเจ้าเสตราชคือพระมหาโมคลลัานะ ท้าวสักกะคือพระอนุรุธ พระเจ้ามหาปนาทคือพระสารีบุตร ปทุมคัพภาเทวีคือพระนางปชาบดีโคตมี จิรปภาเทวีคือพระยางยโสธรา หญิงค่อมสาวใช้คืออุบลวรรณาเถรี ม้ามณีกักขิคือม้ากัณฐกะ นางอัญชนวดียักษิณีคือจันทเถรี นางกเรณุวดีคือสุนทรีภิกษุณี ฆันตารยักษ์คือกาลาวิรยักษ์ (มาราธิราช) ส่วนสุตธนุราชาคือพระโลกนาถสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้