หน้า:คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๒๐.๒๕๖๑.pdf/1

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว

เล่ม ๑๓๕ ตอนพิเศษ ๒๙๙ ง

๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
หน้า ๔๒
ราชกิจจานุเบกษา

คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๒๐/๒๕๖๑
เรื่อง มาตรการสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความต่อเนื่อง

โดยที่การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงระยะเวลาของการปฏิรูปประเทศนี้ กลไกภาครัฐในด้านบุคลากรเป็นปัยจัยสำคัญในการผลักดันให้การปฏิรูปประเทศประสบผลสำเร็จ การได้มาและรักษาไว้ซึ่งบุคลากรตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติไปจนถึงข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารที่มีศักยภาพ สามารถรองรับและขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนแม่บท นโยบายสำคัญของรัฐบาล และแผนการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ จึงมีความจำเป็นเพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๖๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ  ให้การดำเนินการคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักอาวุโส ลงวันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๖๑ กฎระเบียบ คำสั่ง ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วาระการแต่งตั้งประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ จนถึงวันที่กฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ ในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจตามแนวทางการปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๘ ง ด้านกระบวนการยุติธรรม (๔) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีผลบังคับใช้ เป็นการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ และให้ถือว่า การดำเนินการนั้นเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนุญและเป็นที่สุด

ข้อ  เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการเพื่อรองรับการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจกำหนดตำแหน่งประเภทบริหารของข้าราชการพลเรือนที่มีความจำเป็นให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนั้น โดยจะมีกำหนดระยะเวลาเพียงใดหรือภายใต้เงื่อนไขอย่างใดก็ได้ และมิให้นำการกำหนดระยะเวลาตามมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาใช้บังคับกับตำแหน่งดังกล่าว