หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/164

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
149

บางคนเห็นตรงไหนพอจะเดินได้ก็ขึ้นเดินบก บางคนก็ออกไปรับผลัดแจวเรือ บางคนก็เจาะหลังคาประทุนเรือเปนช่องมีฝาจับโพล่ปิด ถึงเวลาแดดร่ม เปิดฝาจับโพล่ยืนโผล่ขึ้นไปดูอะไรต่ออะไรเล่น และดัดขาแก้ปวดหัวเข่าก็มี ส่วนตัวฉันเองมาไนเรือเก๋ง มีที่กว้างและมีช่องหน้าต่างพอเยี่ยมมองดูอะไร ๆ ได้ ไม่ปิดทึบเปนโลงเหมือนเรือประทุน ถึงกะนั้น พอถึงวันที่ 3 ก็รู้สึกเมื่อย ไห้เอาเก้าอี้ผ้าไบมาตั้งนอนเอนหลังและห้อยขาแก้เมื่อยได้บ้าง แต่เวลาเผลอตัวผลกหัวขึ้น ก็โดนเพดานเก๋งเจ็บหลายหน ล่องเรือมาทางลำแม่น้ำสักยังมีแปลกอีกหย่างหนึ่ง ด้วยกำหนดที่พักแรมล่วงหน้าไม่ได้เหมือนเช่นไปทางลำน้ำอื่น ๆ เพราะต้องเสียเวลาเข็นเรือข้ามขอนวันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่รู้ว่า วันไหนจะไปได้จนถึงไหน ทางก็เปลี่ยว บ้านช่องผู้คนก็ไม่มีจะเปนที่อาสัยพักแรม จึงต้องเอาแสงตะวันเปนหลักล่องลงมาพอถึงเวลาราวบ่าย 4 โมง ก็มองหาชายตลิ่งที่เปนหาดพอจะจอดเรือพักแรมได้ จอดแล้วพอพลบค่ำก็ต้องกองไฟรายล้อม ไห้บันดาคนที่ไปด้วยกันหยู่แต่ไนวงกองไฟ เพราะไม่รู้ว่า สัตว์ป่ามันจะหยู่ที่ไหน ครั้งนั้น พระยาวจีสัตยารักส์ (ดิส) เมื่อยังเปนพระยาสระบุรี คุมเรือขึ้นไปรับฉันที่เมืองเพชรบูรน์ แกไปเล่าว่า ไปกลางทางเวลากลางคืน มีสัตว์อะไรหย่างหนึ่งได้ยินแต่เสียงร้อง “ป๊อกเจี๊ยก ๆ” มันมาเที่ยวเลาะหยู่รอบกองไฟ จนพวกคนแจวเรือพากันกลัวอ้ายตัวป๊อกเจี๊ยก เพราะไม่รู้ว่า มันเปนตัวอะไร แต่เมื่อฉันลงมา หาได้ยินเสียงสัตว์หย่างไดไม่ พวกที่มาด้วยกันเฝ้าเตือนถึงตัว