พิจารณาแล้ว ก็ต้องรีบพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ อย่าให้ต้องหยุดการพิจารณาไว้โดยไม่มีเหตุอันจำเปนที่จะต้องชักช้าต่อไป
มาตรา ๑๙ เมื่อผู้พิพากษาได้ฟังคำพยาน แลได้ฟังคำชี้แจงในคำพยาน และในบทกฎหมาย ทั้งฝ่ายโจทย์ฝ่ายจำเลยเสร็จแล้ว ก็ให้พิพากษาตัดสินในที่ประชุมศาล ถ้าเหนว่า พิจารณาได้ความจริงตามฟ้องแล้ว ก็ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดกฎหมาย ถ้าเหนว่า พิจารณาไม่ได้ความจริงตามฟ้องแล้ว ก็ให้ยกฟ้องเสีย
มาตรา ๒๐ ผู้พิพากษาต้องพิพากษาตัดสินในวันที่ได้ชำระเสร็จแล้ว ฤๅมิฉนั้น ในกำหนดภายใน ๓ วันนับตั้งแต่วันที่ได้ชำระแล้ว แลผู้พิพากษาจะพิพากษาตัดสินวันใดแล้ว ก็ต้องนัดให้โจทย์จำเลยทราบล่วงน่าเสียก่อน
มาตรา ๒๑ คำพิพากษาตัดสินนั้น ต้องให้เขียนเปนตัวอักษร แล้วให้บันดาผู้พิพากษาทั้งปวงผู้ได้ลงเนื้อเหนพิพากษาตัดสินคดีเรื่องนั้นเขียนชื่อลงลายมือของตนไว้จงทุกนาย
มาตรา ๒๒ ในคำตัดสินนั้น ให้ผู้พิพากษาลงเนื้อเหนชี้ขาดในข้อซึ่งจะกล่าวไว้ต่อไปนี้ คือ—
ข้อ ๑ พิจารณาได้ความจริงว่า จำเลยได้กระทำการผิดล่วงลเมิดกฎหมายตามเช่นกล่าวในฟ้องนั้นฤๅไม่
ข้อ ๒ ถ้าฝ่ายโจทย์ฟ้องหากล่าวว่า จำเลยทำการผิดโดยเหตุต่าง ๆ อันควรทวีโทษให้หนักขึ้นก็ดี ฤๅถ้าฝ่ายจำเลยให้การแก้กล่าวว่า จำเลยทำการผิดโดยมีเหตุต่าง ๆ อันควรจะลดหย่อนผ่อนโทษได้ก็ดี เมื่อฝ่ายโจทย์ฤๅฝ่ายจำเลยกล่าวดังนี้แล้ว ก็ให้ชี้ขาดว่า จำเลยได้ทำการผิดด้วยเหตุต่าง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งดังเช่นว่ามาแล้วนี้ฤๅไม่
ข้อ ๓ ถ้าฝ่ายจำเลยให้การแก้กล่าวว่า ข้อที่จำเลยทำการผิดนั้น ย่อมไม่มีโทษตามกฎหมาย ดังนี้แล้ว ก็ให้ชี้ขาดว่า
(๑) ข้อที่ฝ่ายจำเลยกล่าวแก้นั้น พิจารณาได้สมจริงฤๅไม่ แลถ้าพิจารณาสมจริงแล้ว ก็ให้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่งว่า
(๒) ข้อที่ฝ่ายจำเลยกล่าวแก้ แล