หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).pdf/221

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๑๖๔

นายทั้งไพร่แล้วจำใส่เรือนตรุไว้ อยู่ประมาณหกวันเจ็ดวัน พระเจ้าหงษาวดีทรงพระราชดำริห์ว่า นเรศวรทำการศึกว่องไวหลักแหลมองอาจนัก จนถึงยุทธหัตถีมีไชยแก่มหาอุปราชา เอกาทศรฐเล่าก็มีไชยแก่มางจาชโร เห็นพี่น้องสองฅนนี้จะมีใจกำเริบยกมาตีพระนครเราเปนมั่นคง แต่ทว่า จะคิดเอาเมืองตนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวาย ก่อน จำจะให้นายทัพนายกองแลไพร่ซึ่งไปเสียทัพมานี้ให้ยกลงไปรักษาเมืองตนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวาย ไว้ให้ได้ ศึกจึงจะไม่ถึงกรุงหงษาวดี ครั้นทรงดำริห์แล้ว เพลารุ่ง ก็เสด็จออก ตรัศสั่งให้ถอดนายทัพนายกองออกจากสังขลิกพันทนาการ แล้วให้เร่งยกลงไปรักษาเมืองตนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวาย ไว้ให้ได้ ถ้าเสียเมืองตนาวศรี เมืองมฤท เมืองทวาย แก่ข้าศึก จะเอานายทัพนายกองแลไพร่ทั้งนี้ใส่เล้าเผาเสียให้สิ้นทั้งโคตร นายทัพนายกองทั้งปวงกราบถวายบังคมลายกกองทัพไปจากกรุงหงษาวดี.

 ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่แจ้งอึงกิดาการในกรุงเทพมหานครขึ้นไปเสร็จสิ้นทุกประการ ก็เกรงพระเดชเดชานุภาพ จึงตรัศแก่แสนท้าวพระยาลาวทั้งปวงว่า บัดนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาถึงแก่สวรรคต สมเด็จพระนเรศวรราชบุตรได้ครองราชสมบัติ พระมหาอุปราชายกลงมาได้ทำคชยุทธถึงแก่พิราไลยกับฅอช้าง แล้วทัพกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาก็ยกออกไปตีเมืองมฤท เมืองทวาย อยู่แล้ว อันหมู่ปรปักษ์ที่จะเข้าไปรอต่อยุทธด้วยกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยานั้นดุจหนึ่งฝูงมิคชาติอันจะเข้าไปต่อศักดาเดชพระยาไกรสรสีหราช ถ้ามิฉนั้น ดุจหนึ่งโลมชาติสกุณปักษาอันเข้าไปรอเปลวเพลิง มีแต่พินาศฉิบหาย