หน้า:ระเบียบ กกต ใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้ง 2563.pdf/1

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร

เล่ม ๑๓๙ ตอนที่ ๕๐ ก

๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๕
หน้า ๓
ราชกิจจานุเบกษา

ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ
เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง
พ.ศ. ๒๕๖๓

โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้กรณีที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุอายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น ให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเงื่อนไขจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ และกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวางระเบียบเกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ขณะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยคานึงถึงการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคำนึงถึงความสุจริต เที่ยงธรรม ความเสมอภาค และโอกาสทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง

อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๖๙ (๔) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๒๒ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๓"

ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๑

ข้อ ๔ ในระเบียบนี้

"ทรัพยากรของรัฐ" หมายความว่า ทรัพย์สินทั้งปวงอันเป็นของรัฐ

"บุคลากรของรัฐ" หมายความว่า ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ และให้หมายความรวมถึงบรรดาบุคคลและคณะบุคคลซึ่งใช้อำนาจ หรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางการปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบของหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่

"หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นใดที่ดำเนินกิจการของรัฐตามกฎหมายและได้รับเงินอุดหนุนหรือเงินหรือทรัพย์สินลงทุนจากรัฐ

"กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่" หมายความว่า กิจการที่รัฐเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาผู้เป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นแต่ละคนทุกคน และจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นมีจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของหุ้นส่วนหรือหุ้นทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น