หน้า:เทศาภิบาล - ดำรง - ๒๔๙๘.pdf/62

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
๕๗

จะรั้งรอต่อไปไม่ได้” และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงย้ายสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จากกระทรวงธรรมการมาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มีพระราชดำรัสอีกครั้งหนึ่งว่า “ในส่วนพระองค์ทรงเชื่อแน่ว่า เธอ (สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ) สามารถจัดกระทรวงธรรมการให้ดีได้ แต่การบ้านเมืองซึ่งสำคัญกว่านั้นยังมีอยู่ ... ด้วยต่างประเทศกำลังตั้งท่าจะรุกเมืองไทยอยู่แล้ว ถ้าเราประมาท ไม่จัดการปกครองบ้านเมืองเสียให้เรียบร้อย ปล่อยให้หละหลวมอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ช้าไปเห็นจะเป็นภัยแก่บ้านเมือง บางทีอาจถึงเสียอิสรภาพ ... การรักษาพระราชอาณาจักรด้วยการปกครองหัวเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยจึงเป็นการสำคัญมากกว่า ฯลฯ”

พระราชกระแสนี้เป็นแว่นส่องให้เห็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากผลที่ได้ทรงใช้พระบรมราโชบายโดยพระราชปรีชาสามารถเด็ดขาด เริ่มปฏิวัติการปกครองประเทศจากระบอบเก่าให้มาสู่ระบอบใหม่ในรัชสมัยของพระองค์ได้โดยราบรื่นและเป็นผลอย่างประเสริฐ ดังจะเห็นได้ในส่วนสำคัญบางประการ เช่น

๑. ทรงปรับปรุงราชการในหน้าที่ของคณะเสนาบดีในราชธานี ซึ่งตามนิทานนี้ในภาคต้นว่า เดิมมีเพียง ๖ กระทรวง ยังหาพอแก่ราชการที่จะปฏิบัติให้มีผลลุล่วงรวดเร็วทันประโยชน์ของรัฐและราษฎร์ไม่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงปฏิวัติจัดตั้งตำแหน่งเสนาบดีบัญชาการเพิ่มขึ้นอีก ๖ ตำแหน่ง มีกระทรวงรวม ๑๒ กระทรวงทั้งที่มีอยู่เดิม