หน้า:เปิดกรุ (๑) - เหม เวชกร - ๒๕๓๘.pdf/192

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๑๙๒
 

ตัวเอนไปจนผ้าห่มไพล่จากรักแร้จนเห็นถันของนางแลบออกมา ขุนช้างร้องครางว่า "อีแม่เอ๋ย วันนี้กูตาย" แล้วเอาตนเองบีบท้องน่องตัวเอง ผมนึกยกย่องท่านกวีเอกที่แต่งเรื่องไว้ ช่างวางนิสัยของขุนช้างไว้เหมาะสมกับรูปร่าง ซึ่งเป็นนิสัยที่ผิดกันไกลกว่าขุนแผนเป็นไหน ๆ อีกทั้งนิสัยตัวละครทุก ๆ ตัวก็วางไว้ผิดกันคนละอย่างต่างกัน จนผู้อ่านแลเห็นจริงเห็นจังไปด้วย

วิชัยเห็นผมเคลิ้มอยู่ตำบลท่าพี่เลี้ยงพอควรแล้ว จึงชวนนั่งรถผ่านบ้านแถวขุนช้างที่เรียก บ้านรั้วใหญ่ ผมก็มองไปตามที่เขาชี้อย่างฝัน ๆ ตรงที่ชี้นั้นจะใช่ไม่ใช่ผมไม่กังวลใจ ในยามเย็น ตะวันอ่อน หัวใจเคลิ้มวังเวง แทบว่า ภาพทุกตอนทุกมุมของเรื่องนี้ได้ผุดขึ้นในสมองผม ขุนช้างถ้าจะไปไหนก็มีข้าทาสตามหลังกันพรั่งพรูออกรั้วบ้านไป ครั้นเวลากลับ ก็เมาเหล้าเปะปะมาเข้าบ้าน ด่าทอเข่นโคตรเหง้าเหล่ากอขี้ข้าเล่นสบายปาก

ในที่สุด รถได้มาหยุดที่วัดป่าเลไลยก์อีก เป็นเวลาเย็นค่ำรำไร ผมมองไปที่ศาลาทำบุญนั้น จะใช่ศาลาเก่านั้นก็หามิได้ ภาพการทำบุญได้ผุดกับตาและห้วงคิด ตอนแม่พิมกับบ่าวไพร่และแม่สายทองมาตักบาตรเณรแก้ว นั่งที่ระเบียงบนศาลา แม่พิมตักบาตรมาถึงตรงเณรแก้ว ก็สงสัยว่าจะเคยรู้จัก ก็ตักข้าวตักกับใส่ให้เสียจนล้นโถล้นบาตร เณรแก้วเคืองใจก็เงยหน้าดู ครั้นพบเห็นก็เข้าใจได้ว่า แม่คนนี้เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก จากไปเสียนาน กลับมาพบ ช่างสวยบาดใจ

ครั้นทอดตาไปทางหมู่กุฏิพระในยามแสงสลัว ๆ ก็เห็นภาพเณรแก้วกำลังนั่งรำพึงถึงแม่พิมด้วยความรักที่เกิดขึ้น ผมถอนใจด้วยเห็นใจหนุ่มสาวในสมัยนั้น ถ้านับระยะทางจากวัดมาถึงบ้านแม่พิมในสมัยนี้ นั่งรถไปสูบบุหรี่เพียงครึ่งมวนก็ถึง แต่สมัยโน้นย่อมรู้สึกว่าไกลนัก ยิ่งบ้านเมืองไม่เจริญ ทางเดินก็เหมือนป่า มีเสียงเรไรหริ่งร้องไปทุกต้นไม้ใหญ่

"อุทิศ! เราเดินทางกันเถอะ มันยังอีกไกลนัก" วิชัยเตือนผม ผมมองไปที่โบสถ์อีกครั้ง แล้วถอนใจอย่างบอกไม่ถูกว่า ถอนใจทำไม แสงอาทิตย์