หน้า:เปิดกรุ (๒) - เหม เวชกร - ๒๕๓๘.pdf/45

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๕๒
 

ใช้ม้าเป็นประจำ แต่ความจริงแล้ว ทุ่งบ้านนี้ พอพ้นหน้าน้ำไปแล้ว อะไร ๆ มันก็ต้องพึ่งบก ถ้ามีม้าใช้ มันก็เร็วทันใจในการจะไปไหนมาไหน ตาก็เคยพูดว่า ก๊กนี้มีฐานะดี ก็น่าจะใช้ม้าได้อย่างสบาย

พวกเราเพียงมอง ๆ ดูเท่านั้น ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก หากแต่อยู่ใกล้วัดพอมองเห็นกัน ก็ต้องเห็นอะไร ๆ บ้างเป็นธรรมดา ตกกลางคืนเขามีสวดกันที่ศาลา และสวดกันสามคืนแล้วก็เอาลงฝังไว้ที่ในป่าช้า มิได้เผาตามที่ชาวบ้านเรานิยมทำกันโดยยึดถือเอาว่า การเผานั้นเป็นการตัดห่วง ถ้าเก็บศพไว้อีก มันก็ยืดเยื้อไปวันหน้า เมื่อศพที่เราเห็นนั้นเป็นไปโดยเรียบร้อย ก็เห็นจะมีใบมรณบัตรมาให้ทางวัดเรียบร้อยแล้ว

เรื่องที่ผมรู้คราวหลังนี้ คนตายนั้นถูกลอบยิงตายจริง ๆ แต่ยังเอาตัวคนยิงไม่ได้ เพราะว่าเวลากลางคืนจะมองเห็นหน้าเห็นตากันได้อย่างไร ผู้ตายขี่ม้ากลับจากธุระกับลูกน้องอีกสองคน และผู้แอบยิงก็มีม้าขี่เหมือนกัน พอยิงตกม้าแล้ว ผู้ยิงก็ขับม้าหนีไปในความมืด ลูกน้องผู้ตายได้แต่เพียงยิงตามเสียงไปสุ่ม ๆ ไม่กล้าจะขี่ม้าตามให้เกิดตายกันอีก

ตัวผมนี่มันมีนิสัยอยู่ว่า เรื่องไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แต่ก็อดเก็บเอามาคิดไม่ได้ ใครจะเรียกผมว่า อ้ายเรืองขี้กลัว ก็ตามเถิด นอนกลางคืนอดจะคิดถึงทิดกล้าที่ตายไม่ได้ เพราะวัดอยู่ใกล้บ้านเรา ก็นึกเสียวอย่างไรพิลึก ศพตายโหง ผู้ใหญ่ว่า ตายอย่างไม่สงบ วิญญาณมักจะวนเวียน ตกกลางคืนจิตใจมันก็หวาดหวั่นทุกคืนไป ยิ่งตอนกลางวัน ตาพูดถึงเรื่องทิดกล้าบ่อย ๆ ในแง่สงสัยพี่น้องก๊กนี้ อ้ายคนที่มาแอบยิงอาจจะคุมแค้นในเรื่องหักหลังกันอย่างไรใครจะรู้ หรือแอบไปปล้นมาด้วยกันแล้วหักหลังฮุบเอาเสียคนเดียวจึงตามมาแก้แค้น ผมฟังแล้วก็ว้าวุ่นใจพิลึก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตอนกลางวันวันหนึ่งมีคนสองคนขี่ม้ามาหยุดที่หลังบ้านตะโกนเรียกชื่อตาของผมอยู่โหวก ๆ

"ใครวะ อ้ายเรือง?" ตาร้องถามผมมาจากห้อง ผมจะไปตอบได้อย่างไร เพราะไม่รู้จัก มองไปก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ตาจึงลงบันได