หน้า:เปิดกรุ (๒) - เหม เวชกร - ๒๕๓๘.pdf/50

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๕๗
 

หน้าผมด้วยดวงตาที่ลุกวาว ผมได้ยินคนเดียวจริง ๆ และได้ยินเต็มหูเลย ทั้งหมาใต้ถุนก้หอนขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าม้าดังผ่านไป ในขณะนั้นผมแทบจะจับไข้

ในคืนหลังมาอีก เสียงนั้นและอื่น ๆ ก็เป็นไปอย่างคืนก่อน แต่รุ่งเช้ายายรับว่า ได้ยินอย่างผม และยังได้ยินม้าร้องอย่างคะนอง ลุงโนดก็รับอีกปากว่า ได้ยินเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า หูผมไม่ได้แว่วไปคนเดียว ส่วนตานั้นนิ่ง ๆ ไม่ออกความเห็น จะได้ยินไม่ได้ยินไม่พูด ดูแกยาก แต่สังเกตว่า แกก็คงใจไม่ค่อยดีเช่นเดียวกับเรา แกทำอะไรคนเดียวเงียบ ๆ คือ เอายันต์ในตู้ออกมาแขวนที่ชายคาบ้าน ผมยิ่งแน่ใจว่า ตาเองก็รู้อะไร ๆ ทั้งหมด หากแต่เป็นพ่อบ้าน ย่อมจะต้องทำกิริยาให้หนักหน่วงเยือกเย็นไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดง่าย ๆ เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวแก่ลูกบ้าน

"มีอะไรที่ทิ้งอยู่ข้างล่างก็เก็บขึ้นบ้านเสียแต่วัน ๆ โว้ย อ้ายเรือง" ตาร้องบอกผม และตัวแกเองก็คว้าอะไรต่ออะไรขึ้นบ้านเกี่ยวกับของที่จะใช้สอยในตอนกลางคืน คำพูดของตาและการกระทำของตาทำให้ผมหนาวใจนัก แสดงว่า เรื่องต่าง ๆ มันถึงขนาดแล้ว มิฉะนั้น คนชั้นตาจะไม่เป็นไปอย่างพวกเรา ๆ เย็นค่ำลงตาได้สั่งปิดหน้าต่างและประตู อ้างว่า อากาศหนาว ปิดเสียดีกว่าเปิด

เสียงฝีเท้าม้าในยามดึกนั้นมันอาจเป็นไปได้สองนัย นัยหนึ่ง อาจจะเป็นม้าของทิดหาญเที่ยวควานหาความจริงของคนร้ายว่ามาจากทางไหนกันแน่ นัยที่สอง ถ้าเป็นม้าของทิดกล้าล่ะ คิดแล้วถึงกลับครางออกมา รุ่งขึ้นได้ข่าวว่า พระที่วัดองค์หนึ่งเห็นทิดกล้าเดินอยู่ในวัดอย่างช้า ๆ วนไปวนมา แล้วออกจากวัดไป

"อ้ายกล้าชักจะยุ่งเสียแล้ว!" ตาพูดงึมงำขณะที่กินข้าวอยู่

"ไม่รู้ว่าเสียงม้าใคร" พี่พุกพูด เขาเพิ่งจะพูดว่า เขาเองก็ได้ยินอย่างผมและยาย

"มึงได้ยินเรอะ?" ยายถาม