ของมนุษย์ตั้งอยู่บนรากฐานของความทุกข์ยากและทํางานเหมือนวัวควายของพวกทาส นี่นับเป็นอีกข้อหนึ่งที่ระบบทาสสร้างความก้าวหน้าให้แก่สังคมมนุษยชาติ
ในประเทศกรีซ สมัยทอง (Golden Age) ประมาณ ๖๐๐ ปี ก่อนคริสต์ศักราช คิดเฉลี่ยแล้วเสรีชนผู้ชายในกรุงเอเธนส์คนหนึ่งๆ มีทาสทํางานในบังคับ ๑๘ คน ในเมืองคอรินธ์ (Corinth) เมืองเอจินา (Aegina) และเมืองกรีซอื่นๆ ก็มีอัตราเฉลี่ยของทาสจํานวนพอๆ กัน๑ ถ้าเราคํานึงว่ากรีกโบราณอยู่รวมกันเป็นสกุล เป็นครอบครัวใหญ่ๆ สกุลหนึ่ง สมมุติว่ามีผู้ชาย ๑๐ คน ก็เป็นอันว่ามีทาสเฉลี่ยแล้ว ๑๘๐ คน ซึ่งแน่นอนสกุลกรีกที่มีอำนาจในทางการเมืองหนึ่งๆ อาจจะมีทาสตั้งพันๆ คนก็ได้! ในกรุงโรมสมัยก่อนคริสต์ศักราชก็มีทาสอย่างคับคั่ง ทาสเหล่านี้เป็นผู้ทํางานแทนนายทั้งหมดนับตั้งแต่งานในไร่นา, งานหัตถกรรม, งานในบ้าน มาจนถึงการฟ้อนรํา, ตีกระบี่กระบอง, สู้กับวัวกระทิงให้วัวขวิดไส้ทะลักให้นายดู ฯลฯ นายทาสที่มีบรรดาศักดิ์คนหนึ่งๆ มีทาสอย่างน้อย ๒๐๐ คน เวลาไปไหนมาไหนก็เกณฑ์พวกทาสเหล่านี้ ติดตามแห่แหนเป็นขบวน เพื่อเป็นเครื่องอวดเกียรติยศอานุภาพกันและกัน๒ พวกขุนนางเวลาจะไปไหนมาไหนก็มีเจ้าหน้าที่ ๑๒ คนคอยคุ้มกันให้ความสะดวก พวกที่ให้ความคุ้มกันนี้ ถือมัดหวายแสดงอาญาสิทธิในการโบยตีทําโทษผู้ขัดขวางทาง ถ้าหากออกนอกกรุง ก็จะเอาขวานเสียบมัดหวายนั้นไปด้วยเป็นเครื่องแสดงอาญาสิทธิที่จะประหารใครๆก็ได้ มัดหวายนี้ เรียกกันว่า Fasces (อันเป็นเครื่องหมายและต้นรากของคําว่า Fascism ของมุสโสลินีในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒)
ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าการขูดรีดในสังคมทาสเป็นการ