อรรถกถา ทุติยาปุตตกสูตร
- อรรถกถาทุติยาปุตตกสูตร
- พึงทราบวินิจฉัยในทุติยาปุตตกสูตรที่ ๑๐ ต่อไป :-
- บทว่า ปิณฺฑปาเตน ปฏิปาเทสิ ได้แก่ประกอบไว้กับบิณฑบาต
อธิบายว่า ได้ถวายบิณฑบาต. บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ไปโดยกิจบางอย่างคือ
โดยกิจมีเข้าเฝ้าพระราชาเป็นต้น. บทว่า ปจฺฉา วิปฺปฏิสารี อโหสิ ความ
ว่า ได้ยินว่า เศรษฐีนั้นพบพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แม้ในวันอื่นๆ
แต่เขามิได้เกิดจิตคิดจะถวายทาน. ในวันนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าพระนาม
ว่า ตครสิขี บุตรคนที่ ๓ ของนางปทุมวดีเทวี พระองค์นี้ ยับยั้งอยู่ด้วยสุข
เกิดแต่ผลสมาบัติ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ลุกขึ้น ณ เวลาเช้า บ้วนโอษฐ์ ณ
สระอโนดาด นุ่งสบงสีแดงดังน้ำชาด คาดประคดเอว ถือบาตรจีวร เข้า
จตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา เหาะไปด้วยฤทธิ์ลงที่ประตูนครห่มจีวรแล้ว
ถือบาตร ถึงประตูเรือนของเศรษฐีตามลำดับ ด้วยอากัปปะอาการมีก้าวไปเป็น
ต้นที่น่าเลื่อมใสประหนึ่งวางของมีค่าพันหนึ่งที่ประตูนครสำหรับชาวนครทั้ง
หลาย วันนั้น เศรษฐีตื่นแต่เช้าตรู่ บริโภคอาหารอันประณีต ปูอาสนะ ณ
ซุ้มประตูเรือน นั่งทำความสะอาดฟันอยู่ เศรษฐีนั้นเห็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
แล้ว เกิดจิตคิดจะถวายทาน เพราะวันนั้นเศรษฐีบริโภคอาหารเช้าแล้วนั่งอยู่
จึงเรียกภรรยามาสั่งว่า เจ้าจงถวายบิณฑบาตแก่สมณะผู้นี้แล้วก็หลีกไป.
- ภรรยาเศรษฐีคิดว่า โดยเวลาถึงเพียงเท่านี้ เราไม่เคยได้ยินคำว่าเจ้าจง
ถวายทานแก่ผู้นี้ แต่วันนี้ เศรษฐี แม้เมื่อสั่งให้ถวายทาน ก็มิได้สั่งให้ถวายแก่ผู้
นั้นผู้นี้ แต่ให้ถวายทานแก่พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากราคโทสและโมหะ
ผู้คายกิเลส ผู้ปลงภาระแล้ว จำเราจักไม่ถวายทานสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่จักถวายบิณ-
ฑบาตอันประณีต นางออกจากเรือนแล้วไหว้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าด้วยเบญ-
จางคประดิษฐ์แล้วรับบาตรนิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้ ณ ภายในนิเวศน์
ปรุงอาหารด้วยข้าวสารข้าวสาลีอันบริสุทธิ์ดี กำหนดกับที่ควรเคี้ยวและแกงที่พอ
สมกับ ประดับของหอมไว้ข้างนอกบรรจงวางไว้ในมือทั้งสองของพระปัจเจก
พุทธเจ้าแล้วไหว้ พระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่ฉันด้วยคิดจะทำการสงเคราะห์ พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ จึงกระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป. เศรษฐีแม้นั้นแล
กำลังเดินมาแต่ข้างนอกเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าถามว่า เราสั่งให้เขาถวาย
บิณฑบาตแก่ท่านแล้วหลีกไป ท่านได้บิณฑบาตแล้วหรือ. พระปัจเจกพุทธเจ้า
ตอบว่า ถูกละ เศรษฐี เราได้แล้ว เศรษฐีหมายใจว่าจะดู จึงชะเง้อคอขึ้นดู.
ขณะนั้นเองกลิ่นบิณฑบาตของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็พลุ่งขึ้นกระทบโพรงจมูก.
เขาไม่อาจสำรวมจิตได้ ภายหลังก็มีวิปปฏิสารร้อนใจ
- คำว่า วรเมตํ เป็นต้น เป็นการแสดงอาการของความร้อนใจที่เกิด
ขึ้น แต่เขาก็ฆ่าบุตรคนเดียวของพี่ชายเสีย เพราะเหตุแห่งทรัพย์สมบัติ. ได้
ยินว่า ครั้งนั้น เมื่อกองทรัพย์ยังมิได้แบ่งกัน มารดาบิดาและพี่ชายของเขา
ก็ตายไป เขาจึงอยู่ร่วมกับภรรยาของพี่ชาย. แต่พี่ชายของเขามีบุตรอยู่คนหนึ่ง.
เด็กนั้นกำลังเล่นอยู่ที่ถนน คนทั้งหลายก็พูดกันว่า นี้ทาส นี้ทาสี นี้ยาน นี้ทรัพย์
เป็นของ ๆ เจ้า เด็กนั้นก็จับคำของคนเหล่านั้นเอามาพูดว่า บัดนี้ นี้เป็นของ ๆ
เราดังนี้เป็นต้น.
- ฝ่ายอาของเด็กนั้นคิดว่า เดี๋ยวนี้ เด็กนี้ยังพูดอย่างนี้ เมื่อแก่ตัวเขาก็
จะพึงตัดกองทรัพย์เสียระหว่างกลาง บัดนี้นี่แหละ เราจำจักต้องทำการที่จะพึง
ทำแก่เด็กนี้. วันหนึ่ง เขาถือมีดสั่งว่า มานี่แน่ลูก เราจะไปป่ากัน แล้วนำเด็ก
นั้นไปป่าฆ่าเด็กนั้น ซึ่งกำลังร้องโหยหวน โยนลงในบ่อกลบด้วยฝุ่น. ท่าน
หมายเอาข้อนี้จึงกล่าวคำนี้. บทว่า สตฺตกฺขตฺตุํ แปลว่า ๗ ครั้ง. ก็ในคำนี้
พึงทราบความ โดยเจตนาต้นและเจตนาหลัง. จริงอยู่ ในการถวายบิณฑบาต
ครั้งหนึ่ง เจตนาคราวเดียว ย่อมไม่ให้ปฏิสนธิสองครั้ง. ก็เศรษฐีนั้น บังเกิด
ในสวรรค์ ๗ ครั้ง ในตระกูลเศรษฐี ๗ ครั้ง ก็ด้วยเจตนาต้นและเจตนาหลัง.
บทว่า ปุราณํ ได้แก่ กรรมคือเจตนาในบิณฑบาตทานที่ถวายแก่พระปัจเจก
พุทธเจ้า.
- บทว่า ปริคฺคหํ ได้แก่ สิ่งของที่หวงแหน. บทว่า อนุชีวิโน
ได้แก่ เหล่าตระกูล จำนวน ๕๐ บ้าง ๖๐ บ้าง อาศัยตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเลี้ยง
ชีพอยู่. ท่านหมายเอาคนเหล่านั้น จึงกล่าวคำนี้.
- บทว่า สพฺพนฺนาทาย คนฺตพฺพํ ได้แก่ พาเอาทรัพย์นั้นทั้งหมด
ไปไม่ได้. บทว่า นิกฺขีปคามินํ ได้แก่ทรัพย์นั้น ทั้งหมดมีอันต้องทิ้งไว้เป็น
สภาพ อธิบายว่า มีอันจำต้องสละเป็นสภาวะทั้งนั้น.
- จบอรรถกถาทุติยาปุตตกสูตรที่ ๑๐