เรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1

หนังสือเรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชเป็นหนังสือที่คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ได้เลือกสรรค์ไว้ในฐานะเป็นเอกสารที่ทรงค่าหาได้ยาก อยู่ในกลุ่มหนังสืออันดับที่ ๒๑ ที่รอดำเนินการพิมพ์ตามโครงการระยะสั้น
อนุสนธิการจัดพิมพ์หนังสือทรงตั้งเจ้าประเทศราช มีเหตุมาจากคณะกรรมการได้ปรารภกันว่า จารึกพระสุพรรณบัตรทรงตั้งเจ้าประเทศราชในรัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ มีอยู่หลายเรื่อง ล้วนเป็นเอกสารที่ทรงค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี เฉพาะพระสุพรรณบัตรนั้น เมื่อจารึกแล้ว ก็พระราชทานแก่เจ้าประเทศราชพร้อมด้วยเครื่องราชูปโภคอื่น ๆ คงเหลือแต่สำเนาจารึกพระสุพรรณบัตรรักษาไว้ในหอหลวง การพระราชทานอิสสริยยศแก่เจ้าประเทศราชเป็นการทำตามโบราณราชประเพณี คือต้องมีพระราชโองการมานบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมต่อหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทว่า ทรงแต่งตั้งสถาปนาท้าวพระยาเมืองนั้นเมืองนี้ขึ้นเป็นประเจ้าเทศราช พระโหราธิบดีต้องถวายฤกษ์จารึกพระสุพรรณบัตร ซึ่งส่วนมากจารึก ณ หอมณเฑียรธรรม มีประโคมปี่พาทย์ฆ้องไชย อาลักษณ์ผู้จารึกพระสุพรรณบัตรต้องนุ่มขาวห่มขาว เสร็จแล้วม้วนพระสุพรรณบัตรบรรจงลงกล่องเงิน แล้วใส่ในกล่องงา ใส่ถุงแพรญวนกระบวนจีน ปิดตรา เชิญพระสุพรรณบัตรไว้บนพานทอง ๒ ชั้น นำไปฝากไว้แก่หลวงธรรมะเสนาข้าพระ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามก่อน ต่อจากนั้นขุนนางกรมพระอาลักษณ์มาเชิญพานพระสุพรรณบัตรไปไว้ ณ ศาลาลูกขุน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยาแห่งเมืองพระประเทศราชนั้น ๆ แต่งดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบังคมรับพระราชทานพระสุพรรณบัตรเชิญพานพระสุพรรณบัตรแห่ไปยังที่ประทับของพระยาเมืองประเทศราชบรรดาที่ได้เข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อแห่ไปเมืองประเทศราชอีกต่อหนึ่ง ในการนี้ลางคราวยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมช้างคุมกองช้างเป็นขบวนไปส่งเป็นการพระราชทานพระเกียรติยศแก่เจ้าประเทศราชนั้น ๆ อีกด้วย
ที่กล่าวมานี้เป็นการพรรณนาตามเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุเก่า ๆ ถ้าจะพิจารณาถึงเหตุผลที่เป็นสาระสำคัญกันแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่พระมหากษัตริยาธิราชทรงบำเพ็ญตามจักรวรรดิวัตรเพื่อยังพระบารมีให้เพิ่มพูนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะการที่มีพระราชโองการสถาปนาให้ท้าวพระยานาหมื่นขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชครองบ้านครองเมือง และการพระราชทานเครื่องราชูปโภค พระราชทานทรัพย์เงินทองนั้น เป็นราชวัตรปฏิปทาของพระมหากษัตริยาธิราชของชาติไทยทรงบำเพ็ญสืบต่อกันมาแต่โบราณกาล ปรากฎเรื่องดั่งกล่าวนี้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงปฏิบัติอยู่ เมื่อ “คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่วยเหลือเกื้อกูล มันบ่มีช้าง บ่มีม้า บ่มีปั่ว บ่มีนาง บ่มีเงิน บ่มีทอง ให้แก่มัน ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง” แม้ทรงชนะศึกสงคราม “ได้ข้าเสอกข้าเสือหัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี” สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นการผูกจิตตใจของบรรดาเจ้าประเทศราชให้จงรักภักดีต่อเบื้องยุคลบาท ถวายดอกไม้เงินทองเป็นเมืองออกแล้ว ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงพระบารมีให้นานาประเทศทราบและชื่นชมด้วยว่า เมืองพระยาสามนตราชโดยรอบและปากใต้ฝ่ายเหนือเป็นประเทศราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (หรือของประเทศไทย) มาตั้งแต่ครั้งกระโน้นแล้ว
แล้วก็มีประเทศใดบ้างในอดีตที่เป็นประเทศราชของประเทศไทยอยู่ภายใต้บรมเดชานุภาพ และประเทศใดบ้างที่เป็นประเทศราชพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เป็นเรื่องน่ารู้น่าศึกษายิ่งนัก ท่านทั้งหลายจะทราบจากหนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่คณะกรรมการฯ ได้เลือกสรรค์มาพิมพ์ไว้ตามโครงการที่กล่าวข้างต้น
คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ได้เล็งเห็นความสำคัญและคุณค่าของเอกสารดั่งกล่าวมา จึงได้ประมวลมาพิมพ์เพื่อรักษาข้อความและเรื่องราวให้ปรากฏไว้เป็นเอกสารสำคัญของชาติ จริงอยู่แม้จะไม่ได้พระสุพรรณบัตรของจริงมารักษาไว้ แต่เราก็ได้สำเนาพระราชโองการที่ทรงสถาปนา เสก หรือแต่งตั้งเจ้าประเทศแต่ละประเทศมาตีพิมพ์ขึ้นไว้ เป็นการรักษาเอกสารสมบัติและหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่ละรัชสมัยให้ถาวร มิได้ทอดทิ้งอยู่ในสมุดข่อยเก่า ๆ ซึ่งนับวันจะชำรุดผุผังไปตามกาลเวลาโดยมิได้เป็นประโยชน์แต่อย่างใด
ผู้ที่ได้อ่านพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าประเทศราชนี้แล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เป็นเอกสารที่ปราศจากคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี ตลอดจนการแผ่พระราชอำนาจการปกครองในอดีตของพระมหากษัตริยาธิราชของเรา
โดยเหตุนี้เมื่อได้รอให้การพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ได้ผ่านไปแล้วหลายเรื่องหลายเล่ม เลขานุการคณะกรรมการเห็นว่า ถึงเวลาอันสมควรจะนำเสนอเรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชต่อคณะกรรมการพิจารณาสั่งพิมพ์ได้แล้ว จึ่งเมื่อคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๑๒ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๒ ระเบียบวาระที่ ๑ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมทราบว่า มีเอกสารต่าง ๆ ที่คณะกรรมการจัดพิมพ์ฯ ได้มีมติให้ดำเนินการพิมพ์ไปตามลำดับอยู่ ๒๔ เรื่อง เฉพาะเรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชเป็นเอกสารอันดับที่ ๒๑ ที่ประชุมมีมติเพียงรับทราบ ต่อมาถึงคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๑๓ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ระเบียบวาระที่ ๓.๕ เลขานุการเสนอต่อที่ประชุมถึงเรื่องการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ลำดับต่อไปตามที่ประธานกรรมการได้ฝากข้อเสนออีกครั้งหนึ่งว่า “ประธานกรรมการ (พระยาสุนทรพิพิธ) ได้ปรารภว่า เอกสารที่ได้รอลำดับไว้แล้วมี ๒๓, ๒๔ เรื่อง ควรเสนอที่ประชุมว่า เรื่องใดควรจะเป็นเรื่องที่จัดพิมพ์ต่อไป” ต่อจากนั้นเลขานุการได้อ่านชื่อเรื่องเอกสารที่ได้เลือกสรรไว้แล้วให้ที่ประชุมฟังด้วย
รองประธานกรรมการ (ศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์) ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า “เห็นควรพิมพ์เรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชเป็นลำดับต่อไป” ที่ประชุมได้ลงมติตามที่รองประธานเสนอ และให้ส่งต้นฉบับไปให้โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรีได้ และได้มอบให้นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ นายปรีดา ศรีชลาลัย นายเฉลียว จันทรทรัพย์ ร่วมกันดำเนินงานด้านพิมพ์เพื่อความเรียบร้อย การจัดพิมพ์เรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชมีปฐมเหตุดั่งได้พรรณนาฉนี้
การจัดพิมพ์เอกสารเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์และประเพณีการปกครองของพระมหากษัตริยาธิราชที่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าประเทศราชให้เป็นหลักฐานปรากฏอยู่ชั่วกาลนาน รวมทั้งขบวนการเขียนหนังสือของอาลักษณ์ในรัชสมัยนั้นมีการเขียนสกดการัตน์อย่างไรก็รักษาไว้อย่างนั้นเพื่อเป็นประวัติการเขียนอักษรไทย คือให้เรียงไปตามต้นฉบับ และวางรูปการพิมพ์ตามแบบอย่างอาลักษณ์เขียนไว้ในสมุดข่อยโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพื่อให้เห็นการเขียนหนังสือของอาลักษณ์ในสมัยก่อนว่าแตกต่างกับปัจจุบันอย่างไร ฉะนั้นในหนังสือเรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศ อักขรวิธีจึงได้เรียงและพิมพ์ไปตามต้นฉบับเดิม ซึ่งอาจแปลกตาไปบ้าง แต่เชื่อว่าทุก ๆ ท่านคงจะเดาอ่านได้ เพราะไม่ยากจนเกินไป ขออย่าได้ตำหนิติเตียนว่ากรมพระอาลักษณ์เขียนหนังสือไม่เป็นไม่ถูกเลย หากว่าในสมัยนั้นนิยมเขียนกันอย่างนั้น และก็ด้วยการใช้อักขรวิธีเช่นนี้มิใช่หรือที่สามารถสร้างสรรค์กาพย์กลอนโคลงฉันทวรรณกรรมไว้คู่บ้านคู่เมืองสืบมาจนถึงปัจจุบันไม่น้อย ปัจจุบันเสียอีกที่เล่าเรียนจนได้ปริญญาสูง ๆ ก็ยังไม่เคยเขียนวรรณกรรมได้เหมือนกับบรรพชนได้เขียนไว้เลย
เพื่อให้เห็นการเขียนแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ ว่าอาลักษณ์ได้เขียนหนังสือกันอย่างไร จึงได้ถ่ายต้นฉบับทรงแต่งตั้งเจ้าประเทศราชมาพิมพ์ไว้ด้วย สำหรับจะได้ศึกษาถึงประวัติการเขียนหนังสือเมื่อ ๑๘๐ กว่าปีล่วงมาว่าเขียนกันอย่างที่ได้ถ่ายภาพมา
คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารฯ ขอขอบพระคุณ ฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ที่กรุณาจัดสรรงบประมาณให้แก่คณะกรรมการฯ เพื่อจัดพิมพ์เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดีไว้เป็นสมบัติอันถาวรของชาติสืบไปในอนาคตกาล และขอขอบคุณนายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ นายปรีดา ศรีชลาลัย นายเฉลียว จันทรทรัพย์ กรรมการฯ ซึ่งได้ช่วยกันดำเนินงานที่มอบหมายเป็นการเรียบร้อย หนังสือเรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราช นอกจากจะเป็นหลักฐานยืนยันความจริงทางประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นการเตือนความทรงจำของผู้อ่านด้วยว่าประเทศใดบ้างในอดีตเคยเป็นประเทศราชของเรา
หวังว่าบรรดาผู้อ่านคงจะพอใจและได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ตามสมควร
๏ |
สารบัญ
|
ก. ข. |
๑. | ๓ |
๒. | ๔ |
๓. | ๕ |
๔. | ๖ |
๕. | ๗ |
๖. | ๑๑ |
๗. | ๑๒ |
๘. | ๑๕ |
๙. | ๑๗ |
๑๐. | ๒๐ |
๑๑. | ๒๑ |
๑๒. | ๒๕ |
๑๓. | ๒๙ |
๑๔. | ๓๓ |
๑๕. | ๔๑ |
๑๖. | ๔๕ |
๑๗. | ๔๙ |
๑๘. | ๕๐ |
ทรงตั้งเจ้าประเทศราช
กรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑
ก
| |||
กรุงกำภูชา | |||
พระนารายณ์ราชาธิราช ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๖ | ๗ | ||
พระองค์⟨อุ⟩ไทยธิราช ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๖๘ | ๑๗ | ||
ช
| |||
เชียงใหม่ | |||
โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเชียงใหม่เป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีศรีสุริยวงษ์เมื่อปี จ.ศ. ๑๑๖๔ | ๑๕, ๒๗ | ||
ไชยเจษฎา–พระ | ๒๐ | ||
น
| |||
นครจำปาศักดิ์ | |||
พระวิไชยราชสุริยวงศ์ ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๓ | ๕, ๒๕ | ||
นันทะเสน–พระเจ้า | ๓ | ||
นารายณ์ราชาธิราช–พระ | ๗ | ||
บ
| |||
บรมราชาธิบดีศรีสุริยวงษ์–พระเจ้า | ๑๖ | ||
ป
| |||
ประทุมวรราชสุริยวงษ์–พระ | ๖ | ||
พ
| |||
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง | |||
เจ้านันทเสนเป็นพระเจ้านันทเสน | ๓ | ||
เจ้าน้าเป็นพระวิไชยราชสุริยวงษ์ | ๕, ๒๕ | ||
เจ้าอินเป็นพระไชยเชถาธิราช | ๑๒ | ||
เจ้าอุปราชเป็นพระเจ้าร่มขาว | ๔ | ||
เจ้าอุปราชเป็นพระรัตนวงษา | ๑๑, ๒๕ | ||
พญาเชียงใหม่เป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีศรีสุริยวงษ์ | ๑๕, ๒๙, ๓๓ | ||
พระประทุมเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ | ๖ | ||
พระองค์จันเป็นพระองค์อุไทยธิราช | ๑๗, ๒๑ | ||
พระองค์เองเป็นพระนารายณ์ราชาธิราช | ๗, ๔๑ | ||
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง | |||
พระองค์สงวนเป็นพระไชยเจษฎา | ๒๐ | ||
พระองค์อิ่มเป็นพระศรีไชยเชษฐราชา | ๒๐ | ||
พิธี–จารึกพระสุพรรณบัตร | ๘, ๑๓, ๑๖, ๑๗ | ||
ร
| |||
ร่มขาวขัตติยราชสุริยวงษ์–พระเจ้า | ๔ | ||
รัตนาวงษามหาขัตติยราช–พระ | ๑๑ | ||
ราชาจอมหงษ์ | ๓๓ | ||
ว
| |||
วิชัยราชสุริยวงษ์–พระ | ๕ | ||
เวียงจันทบุรี | |||
พระเจ้านันทเสน ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๔๓ | ๓ | ||
พระไชยเชษฐาธิราช ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๗ | ๑๒ | ||
ศ
| |||
ศรีไชยเชษฐราชา–พระ | ๒๐ | ||
ส
| |||
สุพรรณบัตร–แผ่นพระ | ๘, ๑๓, ๑๖, ๑๗, ๒๐, ๒๕, ๒๖, ๒๙, ๓๓, ๓๙, ๔๑ | ||
สุวรรณภูมิ–เมือง | |||
พระรัตนวงษา ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๗ | ๑๑, ๒๕ | ||
ห
| |||
หลวงพระบาง–ราชธานี | |||
พระเจ้าร่มขาวขัตติยสุริยวงษ์ ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๓ | ๔ | ||
อ
| |||
อุบลราชธานี–เมือง | |||
พระปทุมวรราชสุริยวงษ์ ครองเมื่อปี จ.ศ. ๑๑๕๔ | ๖ |

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก
Public domainPublic domainfalsefalse