ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ"

จาก วิกิซอร์ซ
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Bitterschoko (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Bitterschoko (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัดที่ 117: บรรทัดที่ 117:
[[หมวดหมู่:งานที่ปีสร้างสรรค์ไม่แน่ชัด]]
[[หมวดหมู่:งานที่ปีสร้างสรรค์ไม่แน่ชัด]]
[[หมวดหมู่:ร้อยกรองสมัยรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:ร้อยกรองสมัยรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:57, 18 เมษายน 2563



ตราของกรมศิลปากร
ตราของกรมศิลปากร
กลอนเพลงยาว
เรื่อง
หม่อมเป็ดสวรรค์
และ
พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร
พิมพ์ชำร่วยในการทอดกฐินพระราชทาน
ของ
กรมศิลปากร
ณ วัดเทพธิดาราม
๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗



ตราของกรมศิลปากร
ตราของกรมศิลปากร
กลอนเพลงยาว
เรื่อง
หม่อมเป็ดสวรรค์
และ
พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร
พิมพ์ชำร่วยในการทอดกฐินพระราชทาน
ของ
กรมศิลปากร
ณ วัดเทพธิดาราม
๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗



คำนำ

วัดเทพธิดารามนับเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในการศึกษาวรรณคดี เพราะเป็นวัดที่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงสร้าง และท่านสุนทรภู่ กวีเอกของเรา เมื่อครั้งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้เคยอยู่จำพรรษาเป็นวัดสุดท้ายแห่งการครองสมณเพศของท่าน ตลอดเวลาราว ๓ ปีที่อยู่ในวัดนี้ ท่านสุนทรภู่ได้ประพันธ์บทร้อยกรองขึ้นหลายเรื่อง เช่น รำพันพิลาป กาพย์ เรื่อง พระไชยสุริยา ตลอดจนแต่งเรื่องพระอภัยมณีถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเดือนละเล่มสมุดไทย เป็นหนังสือถึง ๒๓,๙๘๔ คำกลอน (เพิ่มขึ้นจากตอนต้นซึ่งแต่งไว้แล้ว ๒๔,๐๙๘ คำกลอน) ซึ่งกรมศิลปากรเพิ่งชำระตอนที่แต่งถวายนี้เสร็จ และกำลังจัดพิมพ์เพิ่มเติมเป็นภาคจบบริบูรณ์ ดังมีรายละเอียดอยู่ในคำนำหนังสือคำกลอนสุภาพ เรื่อง พระอภัยมณี ที่จัดพิมพ์เป็นเล่ม ๓ เล่ม ๔ นั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๔ กรมศิลปากรจึงได้จัดงานกวีวรรรนาเนื่องในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันเกิดของท่านสุนทรภู่เวียนมาบรรจบครบ ๑๗๕ ปีขึ้นที่วัดเทพธิดาราม และได้จัดพิมพ์เรื่องรำพันพิลาป ฉบับชำระใหม่ และมีหมายเหตุจำหน่ายหารายได้ถวายวัดไว้ใช้จ่ายในการบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในพระอารามนั้นด้วย ปรากฏว่า มีนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเป็นจำนวนมากพากันสนใจมาในงานครั้งนั้น และในโอกาสต่อ ๆ มาก็ยังพากันไปชมกุฏิสุนทรภู่และถาวรวัตถุในวัดเทพธิดารามตามที่ท่านสุนทรภู่ได้พรรณนาถึงไว้ในหนังสือรำพันพิลาปเนือง ๆ ในขณะเดียวกัน กรมศิลปากรก็พยายามหาทางสนับสนุนแนะนำในการปฏิสังขรณ์พระอารามนี้ให้เป็นสถานประกอบการศึกษาวรรณคดีตลอดมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ นี้ กรมศิลปากรได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด ณ วัดเทพธิดาราม จึงพยายามรวบรวมบทร้อยกรองอันเนื่องด้วยกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระองค์ผู้ทรงสร้างพระอารามนี้ขึ้น ๒ เรื่อง คือ เพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และเพลงยาวว่าด้วยพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ มาพิมพ์ชำร่วยแก่ท่านผู้มาร่วมการกุศลกฐินพระราชทานครั้งนี้ เพื่อเป็นคู่กับเรื่องรำพันพิลาปซึ่งเคยพิมพ์ไว้เมื่อ ๓ ปีมาแล้ว และได้จัดพิมพ์อธิบายถึงความเป็นมาของกลอนเพลงยาวทั้ง ๒ เรื่องนั้นไว้ท้ายเล่ม เพื่อท่านผู้อ่านที่สนใจใคร่ทราบจะได้พิจารณาต่อไป

ขออนุโมทนาในกุศลกาลทานซึ่งบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีกุศลจิตร่วมบำเพ็ญทั้งในส่วนที่เป็นไวยาวัจมัยและบริจาควัตถุปัจจัยไทยธรรมร่วมในกฐินพระราชทานจงอำนวยผลดลบันดาลให้ทุกท่านเจริญด้วยอายุ วรรณ สุข พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ตลอดกาลนานเทอญ.

ลายมือชื่อของธนิต อยู่โพธิ์
ลายมือชื่อของธนิต อยู่โพธิ์
  • กรมศิลปากร
  • ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๗



พระพุทธเทววิลาส
พระพุทธเทววิลาส
  • พระพุทธรูปศิลาขาว
  • พระประธานในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม พระนคร



พระพุทธเทววิลาส
พระพุทธเทววิลาส
  • พระพุทธรูปศิลาขาว
  • ประดิษฐานอยู่เหนือเวชยันต์บุษบกในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม



กุฏิสุนทรภู่
กุฏิสุนทรภู่


  • กุฎีที่สุนทรภู่เคยอยู่ขณะบวชเป็นภิกษุ
  • ในวัดเทพธิดาราม ปัจจุบันเป็นคณะ ๗ ข.



อาคารวัดเทพธิดาราม
อาคารวัดเทพธิดาราม


  • พระอุโบสถ (กลาง) พระวิหาร (ขวา) และการเปรียญ (ซ้าย)
  • ในวัดเทพธิดาราม ซึ่งหน้าบันประดับด้วยเบี้ยแก้และกระเบื้องจีนเป็นรูปนก



  • ตุ๊กตาหิน
  • ภายในบริเวณพระอุโบสถ
  • แสดงการแต่งกายสุภาพสตรีไทย
  • สมัยรัชกาลที่ ๓
ตุ๊กตาหินวัดเทพธิดาราม
ตุ๊กตาหินวัดเทพธิดาราม
สิงโตจีนหน้าประตูโบสถ์
สิงโตจีนวัดเทพธิดาราม
สิงโตจีนวัดเทพธิดาราม



คนที่วัดเทพธิดาราม
  • ภายในพระอุโบสถ
  • วัดเทพธิดาราม
  • นักเรียน นักศึกษา
  • ประชาชนผู้สนใจ
  • และเจ้าหน้าที่
  • กรมศิลปากร
  • ร่วมกันบำเพ็ญกุศล
  • อุทิศแก่
  • ท่านสุนทรภู่
  • ในงานกวีวรรณนา
  • เนื่องในอภิลักขิตสมัย
  • คล้ายวันเกิด
  • ครบ ๑๗๕ ปี
  • ของท่านสุนทรภู่
  • เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖
  • มิถุนายน ๒๕๐๔
คนที่วัดเทพธิดาราม
คนที่วัดเทพธิดาราม



คนที่วัดเทพธิดาราม
  • นักเรียนที่มาร่วม
  • งานกวีวรรณนา
  • กำลังชมสมุดไทย
  • ภายในกุฎีสุนทรภู่
  • คณะ ๗ ข.
  • วัดเทพธิดาราม
สมุดไทย
สมุดไทยดำตัวเขียนต้นฉบับรำพันพิลาป



เพลงยาว
เรื่อง
หม่อมเป็ดสวรรค์[1]

  จะกล่าวถึงหม่อมสุดนุชนาฏ เป็นข้าบาทพระราชวังบวรสถาน
เป็นหม่อมห้ามขึ้นระวางนางอยู่งาน ครั้นเสด็จเข้าพระนิพพานล่วงลับไป
คิดถึงพระเดชพระคุณให้มุ่นหมก แสนเศร้าเปล่าอกตกเป็นหม้าย
ได้เห็นแต่หน้าหม่อมขำคอยช้ำใจ รักใคร่แนบข้างไม่ห่างทรวง
ครั้นอยู่มาก็นิรานิราศสถาน ลงมาทำราชการพระวังหลวง
ก็ขึ้นระวางเป็นนางต้องห้ามตามกระทรวง แต่ใจห่วงถึงหม่อมขำนั้นร่ำไป
ครั้นพบพักตร์ก็ตักเตือนชวนเพื่อนขำ ให้ลงมาทำราชการพระวังใหญ่
ครั้นหม่อมขำยินยอมลงพร้อมใจ กำหนดนัดวันไว้จะลงมา
จะจรทางสาชลก็จนใจ บ่าวไพร่ไม่มีพายขายหน้า
ให้อักอ่วนป่วนใจอยู่ไปมา จะยาตราตามถนนก็จนใจ
เป็นคราวขัดจัดกันจะมาบก ไปยืมม่านท้าวนกก็ไม่ได้
จะขึ้นวอจรลีไม่มีใคร ก็สั่งให้ยืมผ้าละว้าลาว
ให้บ่าวถือสี่มุมแล้วคลุมเพลาะ ก็ย่างเหยาะมาในระวางกลางผ้าขาว
ออกถนนคนผู้ดูเกรียวกราว มาพบเจ้าจางวางหมอก็รอรั้ง
นางสี่คนถือม่านพานตาขาว ด้วยกลัวเจ้าก็หยุดทรุดลงนั่ง
หม่อมก็ยืนแข็งเก้อกะเบอกะบัง ครั้นจะทรุดลงนั่งก็อายใจ
ก็ยืนซื่อดื้อคว้างอยู่กลางถนน ผู้คนคับคั่งทั้งวังใหญ่
มิรู้ที่จะวางหน้าลงเท่าไร สู้แข็งใจอยู่จนเสด็จจร
  ครู่หนึ่งก็มาถึงพระวังใน ตรงไปที่ตึกคุณสุดก่อน
ครั้นเพลาสายัณห์ตะวันรอน ก็พากันจรขึ้นเฝ้าพระทรงธรรม์[2]
พระชุบเลี้ยงขึ้นเป็นนางระวางห้าม ตั้งตามตำแหน่งวังหน้านั่น
กับคุณสุดที่เป็นคู่อยู่ด้วยกัน ทอดสนิทติดพันกันสืบไป
แล้วโปรดปรานพระราชทานหม่อมขำมา ให้เป็นข้าในพระตำหนักใหญ่
เป็นเกณฑ์โปรดคนสนิทชิดใช้ จะเจรจาปราศรัยเป็นไพรเม็ด
ฝ่าพระบาทจึ่งพระราชทานนาม ยกจากห้ามขึ้นเป็นจอมเรียกหม่อมเป็ด
ริมฝีปากสู้เอากระเหม่าเช็ด ในเสด็จใช้นางอย่างผู้ดี
หมั่นผัดพักตร์ผิวผ่องละอองหน้า แต่ทันตาอันตรายไปหลายซี่
ประจงตัดจัดกะลาที่หนาดี ใส่เข้าที่แทนฟันทุกอันไป
ที่ไม่รู้ดูเหมือนกับสาวน้อย กระชดกระช้อยเจรจาอัชฌาสัย
คุณสุดสุดสวาทจะขาดใจ แต่เวียนไปเวียนมาทุกราตรี
สู้ติดสอยมาให้ใช้ใต้ฝ่าพระบาท ก็เปรื่องปราดโปรดปรานประทานที่
ชื่อคุณโม่งโด่งดังฝีปากดี จะพาทีกลางสนามไม่ขามใคร
พูดเล่นเฮฮาร่าเริงแรง ถึงนายแฟงนายคงครูไม่สู้ได้
แหลมฉลาดปรีชาปัญญาไว หนังสือไทยอ่านคล่องทำนองชาย
รู้จักทำกาพย์กลอนอักษรสาร สำหรับอ่านพระราชนิพนธ์ถวาย
หนังสือตกอ่านแต้มไม่แย้มพราย อ่านอยู่ปลายพระแท่นบรรทมใน
แต่ปากอ่านใจคิดขนิษฐ์เป็ด มิใคร่จะเสร็จสิ้นสุดสมุดได้
จนล่วงมัชฌิมยามสองย่ำฆ้องชัย จะหยุดไว้ก็เกรงพระอาชญา
หม่อมเป็ดน้อยค่อยเตือนให้เพื่อนนอน เฝ้าเคืองค้อนแค้นขัดสะบัดหน้า
ยังไม่ทรงพระบรรทมตรมอุรา แต่ชายตาดูพักตร์พยักกัน
เห็นพระองค์ทรงนิ่งไม่ติงพระกาย เดือนก็ชายดึงด่วนให้ป่วนปั่น
หับสมุดหยุดยั้งฟังสำคัญ ด้วยกระสันเสียวซ่านรำคาญใจ
พระแกล้งทรงพระกรรสะจะให้รู้ ว่าตื่นพระบรรทมอยู่หาหลับไม่
คุณโม่งก็ชะงากกระดากใจ ก็แข็งจิตอ่านไปใจประวิง
ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายอยู่ปลายพระบาท ก็คิดคาดเอาว่าคนหาเห็นไม่
จึ่งกระทำเอาแต่อำเภอใจ ด้วยแสงไฟมืดมิดไม่มีโพลง
กระซุบกระซิบซุ่มกายอยู่ปลายพระบาท อุตลุดอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง จึ่งตรัสเรียกว่าคุณโม่งแต่นั้นมา
ข้างหม่อมเป็ดเสด็จท่านโปรดปราน ได้ประทานเปลี่ยนนามตามยศถา
เพราะเดินเหินโยกย้ายส่ายกิริยา จึ่งชื่อว่าหม่อมเป็ดเสด็จประทาน
พระชุบย้อมอย่างดีให้มีศักดิ์ คนในพระตำหนักไม่หักหาญ
เป็นจอมฝูงสูงโสดคนโปรดปราน ห้ามทวารมิให้ออกนอกเวียงชัย
  เพลาหนึ่งหม่อมเป็ดเห็นเสด็จประทม ชวนข้าในกรมลงตำหนักแพใหญ่
ลงอาบน้ำดำว่ายสบายใจ แล้วสั่งให้เรียกเรือหนมจีนมา
ทั้งห่อหมกนกคั่วใบบัวอ่อน ทอดมันจันลอนไว้นักหนา
ซื้อรับพระราชทานชานชลา ยิ่งโอชารสร่ำซ้ำหนักไป
สิ้นหลายควบจวบสลึงถึงขนาด เตโชธาตุหาทันผลาญอาหารไม่
ในท้องปวดนวดนิ่งอยู่ในใจ จะบอกใครก็อดสูดูไม่ดี
ครั้นปวดท้องเต็มทนจนสิ้นอาย ลุกวิ่งจะไปถ่ายให้ถึงที่
ด้วยเหลือทนพ้นกระสันพันทวี ก็ราดเรี่ยเสียทีมาตามทาง
ก็ซื้อขนมให้ตาเฒ่าเฝ้าตำหนัก ให้ตักน้ำชำระสะสาง
ให้หมดสิ้นกลิ่นอายระคายคาง ช่วยอำพรางเสียให้มิดช่วยปิดบัง
  วันหนึ่งจึ่งหม่อมเจ้าจอมเป็ด ขึ้นเล่นไพ่ในเสด็จหน้าที่นั่ง
หลายกระดานนานเนิ่นเกินกำลัง ให้คับคั่งในอุทรร้อนรนใจ
นั่งนวดปวดป่วนจวนจะออก มิอาจบอกความจริงกับใครได้
ถวายบังคมก้มคลานลนลานไป ให้อาวรณ์ร้อนในเหมือนไฟลุก
ครั้นถึงที่สรีร์สำราญซานเข้าไป ออกสักอ่างว่างใจค่อยได้สุข
ค่อยเสื่อมคลายหายรำคาญที่พล่านพลุก ครั้นสิ้นทุกข์แล้วก็กลับมาฉับไว
เดินดิ่งเข้ามาถึงพระตำหนัก ไม่หยุดพักคลานตรงไปลงไพ่
ครั้นเกินเพลาหน้านิ่วหิวสุดใจ ผ่อนธาตุในออกเสียหมดอดไม่ได้นาน
ท้องแห้งท้องเหี่ยวนั่งเปรี้ยวปาก ทรหดอดหมากทั้งอยากหวาน
นั่งหิวนิ่วหน้าอยู่ช้านาน แล้วค่อยคลานมาข้างเครื่องชำเลืองตา
เห็นว่างคนทนไม่ได้ด้วยใจเงี่ยน เลื่อนเอาทุเรียนมาทั้งแบบวางแอบฝา
หยิบเข้าเคี้ยวเหนียวครันเจ็บทันตา แล้วเอามายัดในลงในตะบัน
ครั้นละเอียดลออพอกินได้ กระทุ้งใส่เข้าจนสิ้นกินขันขัน
พอท้องคลายหายร้อนอ่อนอ่อนฟัน คิดสำคัญว่าผู้ใดเขาไม่รู้
แล้วมิหนำซ้ำลักเอาผลบัว ที่เขาคั่วใส่เครื่องยังมีอยู่
ใส่ตะบันเล่นสบายคล้ายหมากพลู ครั้นลุงทองจีนแลดูกระดากใจ
ลุงอ่อนถามว่าอะไรในตะบัน หม่อมเป็ดปิดคิดกันพูดแก้ไข
มิให้คนรู้เท่าเข้าใจ ด้วยความในไม่สู้ดีจะตรีชา
ว่าเหลือกำลังนั่งเคี้ยวฉันเปรี้ยวปาก ตะบันหมากกินดอกจ๊ะคุณลุงจ๋า
แล้วเบือนบิดปิดปากไม่เจรจา ครั้นโอษฐ์อ้าไม่เห็นแดงจะแคลงใจ
อันคนแก่ตะบันหมากมากด้วยกัน แต่ซึ่งตะบันทุเรียนหามีไม่
ผลบัวก็ตะบันขันสุดใจ น่าจะใคร่ศึกษาเป็นอาจารย์
  วันหนึ่งจึ่งท่านหลวงนายศักดิ์ นุ่งสมปักเข้าไปในพระราชฐาน
สำหรับเดินคอยเชิญพระอาการ มาพูดกับท่านเจ้าขรัวนายข้างฝ่ายใน
หม่อมเป็ดน้อยพลอยมาทำพย่ำเผยอ พูดเจ้อจีบปากถลากไถล
เอาลิ้นดันฟันกะลาเลื่อนออกไป ไหมเปื่อยขาดปุดหลุดลงมา
ตกเปาะจำเพาะหน้าหลวงนายศักดิ์ ก็ถามทักทันใดอะไรขา
หม่อมอายบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเจรจา ซึ่งตกมาจากปากหมากตะบัน
เด็กมันตำไม่สู้แหลกแตกสองซีก เคี้ยวก็หลีกกระเด็นกระดากจากปากฉัน
ทำพิโรธโกรธบ่าวคนตะบัน แล้วหยิบเอาฟันกะลามาสวมไว้
ดีจริงใจหม่อมไม่ยอมแก่ อุตส่าห์แก้ตัวปลิ้นสิ้นสงสัย
จะแจ้งจริงกับหลวงนายก็อายใจ เพื่อมิให้รู้แน่ว่าแพ้ฟัน
สู้ต่อติดปิดป้องที่ช่องหัก เอาไหมสักผูกติดให้มิดมั่น
ดูระเบียบเรียบดีเรียงสีฟัน ที่ไม่รู้ดูสำคัญว่าฟันดี
  ครั้งหนึ่งจึ่งจอมหม่อมเป็ดน้อย เช้าสำออยออเซาะปะเหลาะพี่
ทำหน้านิ่วว่าฉันหิวใจเต็มที มีอะไรบ้างหนอขอรับประทาน
คุณโม่งช้อนคางทางพาที ว่ามั่งมีในห้องของเปรี้ยวหวาน
หม่อมเป็ดดีใจไปลนลาน เที่ยวค้นคว้าช้านานรำคาญใจ
เกลือสินเธาว์เอาไว้จะทำยา คิดว่าขันทศกรทั้งก้อนใหญ่
ไม่ทันพิจารณาว่าสิ่งไร หยิบใส่ปากอมเข้าซมซาน
พอรสเกลือนั้นละลายแสบปลายลิ้น ก็รู้ว่ากินก้อนเกลือไม่เจือหวาน
ฮึดฮัดขัดใจใช่น้ำตาล ใจให้ดาลเดือดขุ่นคิดวุ่นวาย
ยิ่งปลอมก็ยิ่งแกล้งแสร้งสำออย เฝ้าตะบอยบ่นร่ำระส่ำระสาย
ลวงให้กัดก้อนเกลือฉันเหลืออาย เข้าตะกายหยิกตีเอาพี่นาง
คุณโม่งก็ยิ่งปลอบพะงอบง้อ ทำอ่อนคอบ้าบ่นไปจนสว่าง
แสนพิโรธโกรธใจดั่งไฟฟาง ยิ่งวอนว่าก็ยิ่งวางขึ้นหนักไป
โกรธงกยกท้าวกระทืบโผง ฝ่ายคุณโม่งโกรธมั่งไม่ยั้งได้
จนเกิดทะเลาะเบาะเถียงเสียงอึงไป จนขนัดใจโกรธขึ้งถึงตัดกัน
คุณโม่งว่าถึงจะตัดไม่ขัดใจ เรามิได้ร้อนจิตคิดพรั่น
แต่ของเข้าน้อยนิดที่ติดพัน คือเอาฟันกะลามาเดี๋ยวนี้
หม่อมเป็ดเข็ดปากไม่อยากพูด คลานเข้าพระวิสูตรหลบหน้าหนี
แล้วคิดได้ด้วยไวปัญญาดี ขึ้นลอยหน้าพาทีประชดประชัน
ขนมปลากริมที่ให้ไว้วานซืน โกรธข้าเจ้าเอาคืนมาให้ฉัน
คงจะให้ไม่ลวงที่พวงฟัน ให้สิ้นสวาทขาดกันแต่นี้ไป
คุณโม่งตอบพลางแล้วทางยิ้ม ขนมปลากริมของหลวงประทานให้
ยังแค่นทวงวุ่นวายไม่อายใจ หรือว่าเธอซื้อไว้ให้ข้ากิน
แม้นหม่อมไปตึกข้าเวลาใด ก็หาให้ไม่กลัวจะหมดสิ้น
หม่อมก็ได้ไปมาเป็นอาจิณ ของกินจัดไว้ให้รับประทาน
ครั้นถึงทีข้ามาหาแม่เป็ด ก็ซื้อลังเล็ดขนมทองเป็นของหวาน
ก็ถ้อยทีหนุนเกื้อกันเจือจาน นี่แกล้งพาลมิให้ทวงเอาพวงฟัน
หม่อมเป็ดน้อยว่าไม้สอยสนจำหลัก หม่อมเช็ดไรเสียให้หักกลางสะบั้น
หมึกหอมเอาไปฝนปนน้ำมัน โกรธกันจะขอรับประทานเอา
หม่อมโม่งว่าแป้งหินเขาสิ้นตลับ เอาไปจับริมฝีปากต่างกระเหม่า
ฝางเสนเขาทั้งท่อนค่อนขูดเอา อมเข้าไว้เหมือนหมากให้ปากแดง
ปนกับปูนนูนเหมือนสีลิ้นจี่จิ้ม ให้จับขอบรอบริมขึ้นเป็นแสง
กานพลูผลกระวานสีพานแพง แกล้งเอาปนหมากตะบันทุกวันมา
หมึกหอมของหม่อมค่ากี่เฟื้อง ของเขาเปลืองยิ่งกว่านั้นฉันไม่ว่า
ทั้งสองฝ่ายหายกันอย่าฉันทา แต่ของสำคัญฟันกะลาเอามาคืน
ข้างหม่อมเป็ดฟังคำทำร้องไห้ สะทึกสะท้อนถอนใจให้สะอื้น
หมายจะโกรธจริงจังไม่ยั่งยืน พอกลางคืนคนหลับกลับดีกัน
  ครั้งหนึ่งพระองค์กรมวงศา เสด็จมาในพระตำหนักนั่น
หม่อมเป็นนั้นเป็นต้นคนสำคัญ สารพันเพ็ดทูลพระอาการ
ครั้นสิ้นเรื่องในพระโรคนั้นสำเร็จ หม่อมเป็ดบังคมประสมประสาน
เกล้ากระหม่อมมึนหน้ามาช้านาน ขอประทานยานัตถุ์เครื่องข้างใน
ฝ่ายเสด็จว่าหม่อมเป็ดปวดศีรษะ เราจะช่วยเป่ายานัตถุ์ให้
ก็เทจากขวดน้อยเจียระไน ใส่เข้าไว้ในกล้องสักสองนัด
แกล้งเลือกเอายาแดงที่แรงร้าย ให้หม่อมหงายหน้าตรงทรงเป่าปรัด
น้ำตาไหลจามไอศีรษะฟัด จนฟันพลัดตกเปาะจำเพาะพักตร์
กรมวงศ์ทรงทอดพระเนตรมา เห็นกะลาทำฟันให้ขักหนัก
แล้วก็ทรงพระสรวลสำรวลคัก หม่อมอายนักก้มหน้าไม่พาที
เสด็จตรัสว่ายานัตถุ์ดีขยัน แต่ฟันคนเจียวยังหลุดออกจากที่
นี่หรือโรคจะไม่คลายหายดี บัดเดี๋ยวนี้ก็จะหายไปคล้ายฟัน
หม่อมเป็ดอายเสด็จไม่อยู่ได้ แกล้งไถลเลื่อนหลีกไปจากนั่น
เที่ยวค้นคว้าหาไหมอยู่เป็นควัน ผูกฟันเสียใหม่ให้ดิบดี
ดิฉันกล่าวตามราวเรื่องโบราณ หม่อมมาพาลโกรธไปไม่ต้องที่
คำปะรำปะราว่าไว้มี ฉันพบเห็นเช่นนี้จึ่งขับไป
มาถือโทษโกรธวุ่นคุณรับสั่ง พลอยโกรธทั้งคุณเหมหาควรไม่
ลุงทองจีนมิได้บอกออกฉันใด เผ้าพิไรโกรธฮึกออกคึกคัก
ทราบเพราะเสด็จดอกท่านบอกฉัน มาพลอยโทษโกรธท่านหลวงนายศักดิ์
ลุงทองจีนก็ไม่ได้เห็นพักตร์ ได้รู้จักกันกับฉันนั้นเมื่อไร
แล้วไปโทษนายผึ้งว่าเพื่อนบ้าน ได้เอ่ยบอกวานฉันที่ไหน
นี่เรื่องเก่าเขามีมาแต่ไร หรือพอกระทบจริงใจจึ่งแค้นนัก
เฝ้าคมค้อนเคืองเข็ญไม่เว้นใคร โกรธบรรดาข้าไทในพระตำหนัก
หม่อมกระไรใจคอนี้น้อยนัก ฉันประจักษ์แจ้งความตามนิยาย
กระทบเรื่องของซื้อเขาหรือจ๊ะ จึ่งเกะกะโกรธร่ำระส่ำระสาย
ไม่มีใครบอกนุสนธิ์ต้นปลาย ลายไปผุดขึ้นตำบลถนนอาจารย์
ฉันพบเห็นตำราจึ่งว่าไป ขออภัยเถิดอย่าโกรธดิฉาน
ถ้าแม้นหม่อมรักตัวกลัวอัประมาณ ก็บนบานคนขับจะรับไว้
ถ้าหม่อมอายเสียดายชื่อจะลือชา ก็เอาเงินเอาผ้านั้นมาให้
ฉันจะลบตำรับไม่ขับไป จงถึงใจตาแจ้งเสียเถิดรา
คืนนี้กระหม่อมฉันนอนฝันไป ว่าคุณข้างในกล่าวขวัญฉันหนักหนา
เพลาดึกสองยามย่ำนาฬิกา คุณโม่งลงมาจากพระตำหนักใน
กับหม่อมเป็ดสองคนมาสนทนา ที่ตรงหน้าเตียงทองที่ห้องใหญ่
หม่อมเป็ดว่าคุณจ๋าฉันเจ็บใจ คนพิไรค่อนว่าสารพัน
เก็บเอาความไม่ดีไปชี้แจง ว่าตาแจ้งตะแกจะรู้อะไรนั่น
ลุงทองจีนนั่นแหละต้นคนสำคัญ คุณชีเหมก็ขยันข้างแคะไค้
หลวงนายศักดิ์นายผึ้งก็ปากบอน ค่อนบอกความจริงจนสิ้นไส้
ให้อับอายขายหน้าระอาใจ ค่อนพิไรกล่าวขวัญพรรณนา
ข้างคุณโม่งจะแกล้งพ้อหรือยอฉัน ว่าตาแจ้งแกขยันแม่ขำจ๋า
แกช่างประดิษฐ์ติดกรับขับเสภา จะหาเหมือนตะแกแท้ยากครัน
ข้างหม่อมขำฟังคำซ้ำขัดใจ ดีอะไรกับตาแกแกล้งกลั่น
สาระวอนค่อนว่าสารพัน กล่าวขวัญเราสองคนเป็นพ้นนัก
พวกเราแหละไปเล่าให้ความอึง คุณชีเหมนายผึ้งหลวงนายศักดิ์
ลุงทองจีนก็ครันขยันนัก เพราะคนในพระตำหนักจึ่งความอึง
ครั้นเช้าคุณเหมมาพระตำหนัก พอพบพักตร์หม่อมขำทำปั้นปึ่ง
แล้วเสกแสร้งแกล้งว่าชักหน้าตึง ว่าพวกนายศักดิ์นายผึ้งแล้วเป็นไร
คุณชีเหมเคืองขัดสะบัดหน้า มาโทษเอาข้าสองคนกระนี้ได้
วันนี้จะให้เสภาว่าหนักไป พอสิ้นฝันฉันตกใจตื่นขึ้นมา
คืนนี้กระหม่อมฉันฝันอีกครั้ง ว่าความในวังชุลมุนวุ่นนักหนา
พอเกล้ากระหม่อมรัวกรับขับเสภา หม่อมเป็ดมาแฝงบานทวารบัง
คิดว่าจะขับเรื่องตัวกลัวอาย แกล้งอุบายพูดหลอกบอกคุณรับสั่ง
ว่าทรงกริ้วพระสุรเสียงสำเนียงดัง อย่าให้ตาแจ้งวัดระฆังขับต่อไป
คุณรับสั่งรู้เท่าว่าเขาหลอก อุบายบอกหาให้ขับเรื่องตัวใหม่
จึงไม่เข้าทูลฉลองตรองอยู่ในใจ เอาความไปกราบทูลเจ้าวางจาง
ประเดี๋ยวนี้หม่อมเป็ดขำสำออยนัก ขึ้นนั่งตักคุณโม่งไม่คิดหมาง
หลวงนายศักดิ์แลไปในม่านกลาง ใครสร้างพระสี่ขาเข้ามาไว้
หม่อมเป็ดน้อยเป็ดสวรรค์ครั้นได้ฟัง ละอายใจไม่นั่งอยู่ตักได้
หลบหน้าเข้าในม่านรำคาญใจ มิใคร่จะพูดกับหลวงนายอายเต็มที
แล้วก็พากันมานั่งข้างเก๋งเสวย หม่อมเป็ดเอ่ยออเซาะปะเหลาะพี่
เบื่อเดือนสิบสองตาแจ้งขับรับกับนายมี ตลับทองของดีก็หายไป
ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ คุณลุงซ้ำให้อีเปียมาเกลี่ยไกล่
จึ่งเอ่ยออกบอกพลันไปทันใด เชิญคุณทั้งสองไปรับประทาน
หม่อมเป็ดบอกกับอีเปียพี่เสียใจ เราไม่ไปกินแล้วของคาวหวาน
จะฟังเสภาตาแจ้งถนนอาจารย์ ให้หายรำคาญขุ่นคิ่นในวิญญาณ์
ลุงทองจีนซ้ำเดินมาเชิญใหม่ พูดกันถึงอะไรหม่อมจำ
ฉันเห็นพูดกันเพลินเกินเวลา ไปรับประทานข้าวปลาให้สุขใจ
หม่อมเป็ดรำคาญง่านหงุดหงิด เกรงจิตลุงทองจีนไม่ขัดได้
ให้ป่วนหวดในอุทรร้อนธาตุใน ประเดี๋ยวหนึ่งจึงจะไปดอกเจ้าคะ
ว่าแล้วลุกจากที่ตะลีตะลาน ออกทวารลุกวิ่งมาเกะกะ
ถึงที่ก็หายคลายทุกข์ที่ท้องปะทะ อุจจาระเสร็จแล้วก็รีบมา
ครั้นมาถึงพี่นางทางบอกพลัน กินข้าวมันเถิดหรือจ๊ะคุณโม่งจ๋า
คุณเสียยอไม่ได้ก็ไคลคลา รับประทานแล้วก็เข้ามานั่งด้วยกัน
ยายปานบุตรผุดปากขึ้นทันที ตาแจ้งดีตีกรับขับขยัน
จะไว้วางเป็นจังหวะฉะฟัน ทั้งขันทั้งเพราะเสนาะดี
หม่อมเป็ดฟังคำแล้วซ้ำเคือง กระทืบเท้าเปรื่องเปรื่องขึ้นในที่
ออปานลูกมึงจะถูกไม้เรียวรี คนอะไรไม่มีอัธยา
อย่ามานั่งอยู่ที่กูดูไม่ได้ ก็ลุกเข้าไปทั้งสองห้องเคหา
ลงเรียบเรียงเคียงชิดกันนิทรา เอานวมมาห่มหุ้มคลุมเข้าด้วยกัน
หม่อมเป็ดขำซ้ำเรียกหนูลิ้นจี่ ไปหยิบผ้ามาทีในหีบนั่น
ห่มนอนดำร่ำไว้เมื่อกลางวัน กระแจะจันทน์เจือปรุงจรุงใจ
ให้เมื่อยขบไปทั้งตนบ่นออดแอด ให้เรียกแพทย์วาโยมานวดให้
คุณโม่งตัดสกัดกั้นไปทันใด ฉันจะนวดหม่อมให้ใจสบาย
หม่อมว่าฉันไม่ใช้ให้คุณทำ บาปกรรมนั้นจะมีไปมากหลาย
พูดพลอดกอดกริ่มยิ้มพราย แล้วคิดระคายคำคนบ่นร่ำไร
สำออยว่าหม่อมขาฉันแค้นนัก เสียเงินสักสิบตำลึงหาคิดไม่
ไม่เท่าเสียรู้มนุษย์เจ็บสุดใจ เฝ้าแคะได้ค่อนว่าสารพัน
เก็บเอาความไม่ดีไปชี้แจง คุณชีเหมเชียวไปแสร้งแกล้งกลั่น
คนในพระตำหนักพรรคพวกกัน สารพันค่อนว่าเป็นน่าอาย
คนนั่งอยู่ริมห้องรองเข้าไป ฉันเข้าใจอยู่ดอกหม่อมอย่าแปดป่าย
มิได้พลอยกล่าวข้อบรรยาย เนื้อไหนร้ายก็ตัดแต่เนื้อนั้น
หม่อมเป็ดพูดเก้อละเมอเปล่า ได้ยินเขาท้วงติงก็นิ่งอั้น
มิได้พูดจาสารพัน ก็หลับเลยไปด้วยกันทั้งสองรา
  ครั้งหนึ่งเป็ดสวรรค์กระสันจิต บอกกับคนชอบชิดสนิทหน้า
ว่าคุณโม่งคู่ชีวิตมานิทรา อยู่ในห้องของข้ามาหลายวัน
พูดแล้วก็ปรามห้ามปาก อย่าพูดมากไปให้ฉาวคนจะกล่าวขวัญ
เจ้าจงช่วยกันปกปิดให้มิดควัน เสร็จสั่งดั่งนั้นก็นิ่งไป
หม่อมเป็ดชนอกช้ำคำเสภา อดสูดูหน้าใครไม่ได้
เห็นคุณชีเหมมาว่าร่ำไร พบใครเข้าก็ค้อนออกงอนชด
เห็นหน้าคุณรับสั่งคั่งแค้นนัก ลุงทองจีนหลวงนายศักดิ์ก็โกรธหมด
ท่านโกรธไปทั้งนั้นประชันประชด ปากบดบดบ่นไปคนใกล้เคียง
เมื่อวันถวายเสภาเวลาหลัง หม่อมเป็ดนั่งกับคุณโม่งที่ในเฉลียง
กระซุบกระซิบกันสองคนบนระเบียง ได้ยินออกชื่อเสียงก็ขัดใจ
แกล้งพูดเสียดเอาว่าเกลียดตาแจ้งบ้า เฝ้าขับว่าเรื่องเราร่ำไปได้
ไม่รู้แล้วรู้รอดสอดพิไร เฝ้าค่อนขอดแคะได้เจ็บใจจริง
ครั้นเห็นคนเดินมาหน้าเฉลียง สงบเสียงผุดลุกจะผลุนวิ่ง
คุณโม่งยุดฉุดน้องประคองอิง เรานั่งนิ่งอย่างนี้มิเป็นไร
ถึงลุงทองจีนจะขึ้นมาเห็นหน้าเรา จะหยิบเอาข้อผิดที่ไหนได้
หม่อมจะว่าตาแจ้งแกทำไม ฉันชอบใจแกอยู่ดอกอย่าเดือดแค้น
ฝ่ายหม่อมเป็ดสวรรค์ครั้นได้ฟัง ให้แค้นคั่งส่งเสียงขึ้นเปรี้ยงแปร้น
คุณกลับเข้าข้าตาแจ้งแกล้งแก้แทน ให้สุดแสนเจ็บใจใช่พอดี
กระทืบเท้าตึงตังกำลังทะเลาะ พอลุงทองจีนเดินเดาะมาถึงที่
จึ่งร้องถามสองท่านไปทันที มาอึงมี่วิวาทอะไรกัน
หม่อมเป็ดฟังคุณลุงสะดุ้งใจ ลุกไถลหลีเลี่ยงไปจากนั่น
ทั้งสองคนวนวิ่งพัลวัน มิให้ทันเห็นกายด้วยอายนัก
ลุกหลีกลัดแลงไปแฝงตน ซ่อนตัวกลัวคนจะรู้จัก
วิ่งมาบนเฉลียงเสียงคิกคัก จนรอดหักหกล้มลงด้วยกัน
คุณโม่งล้มปับทับหม่อมเป็ด น้ำตาเล็ดผุดลุกขมีขมัน
แล้วคิดกลัวคนผู้รู้สำคัญ แกล้งถลันกล่าวเกลื่อนให้กลบคำ
เพราะตาแจ้งขับเสภามาฟังนัก เฉลียงหักยับไปไม่เป็นส่ำ
นึกเกลียดน้ำหน้าตาเจ้ากรรม ใช้ตาแจ้งแกมาทำให้หนำใจ
ทำเป็นพูดเชือนแชพอแก้ตน คุณสองคนก็ขึ้นนอนบนเตียงใหญ่
พลิกพลอดกอดก่ายสบายใจ เทียบประทับหลับไหลไปด้วยกัน
  ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า พระเดชพระคุณให้หาหม่อมเป็ดสวรรค์
เมื่อเพลาพลบค่ำทำไมกัน จนชั้นเฉลียงเตียงหักกระจัดกระจาย
หม่อมเป็ดทูลเบี่ยงเลี่ยงเจรจา คนมานั่งฟังเสภามากหลาย
ตาแจ้งขับเสภาว่าแยบคาย คนทั้งหลายไม่เคยฟังประดังมา
ประทุกมากหลายคนบนระเบียง จนเฉลียงเก๋งหักลงนักหนา
เป็นต้นเหตุผลเพราะเสภา คนเข้ามาฟังนักจึ่งหักไป
พระทรงฟังกริ้วกราดตวาดดัง ชะเจ้าช่างเบือนบิดคิดแก้ไข
เขาว่าเจ้านั่งอยู่สองคนบ่นร่ำไร แคะไค้คมค้อนทำงอนรถ
กระทืบเท้าผึงผางกลางระเบียง จนเฉลียงไม้สักเขาหักหมด
จะแกล้งมาพูดบิดเบี้ยวเลี้ยวลด เขารู้พยศเจ้าทุกอย่างมาพรางกัน
หม่อมเป็ดได้ฟังรับสั่งกริ้ว ทำหน้าจิ๋วร้อนจิตคิดพรั่น
ใจระเริ่มรัวกลัวราชทัณฑ์ อภิวันท์สารภาพกราบกราน
ได้พลั้งพลาดขอพระราชทานโทษ ขอพระองค์ทรงโปรดกระหม่อมฉาน
ไปเบื้องหน้าตาแจ้งถนนอาจารย์ จะขับเสภาว่าขานไม่เคืองใจ
พระสดับรับผิดหม่อมสารภาพ เห็บเรียบราบแล้วก็โปรดยกโทษให้
จึงตรัสสั่งข้างหน้าทหารใน ทำเฉลียงเก๋งใหม่ให้ดิบดี
  ครั้นรุ่งเช้าถึงเวลาเสพย์อาหาร หม่อมเป็ดเรียกลูกปานมาในที่
จัดเรือใหญ่ใบเสาเข้าให้ดี ไปถึงที่เมืองละครอย่านอนใจ
ซื้อข้าวเหนียวสังขยามาให้ทัน เอาถ้วยโคมใบนั้นแหละไปใส่
ยายปานลูกผูกเสาเชือกเพลาใบ แล่นไปครู่หนึ่งถึงเมืองละคร
ซื้อข้าวเหนียวสังขยามาถ้วยโคม ก็แล่นฝืนคลื่นโครมไม่หยุดหย่อน
ครั้นถึงเกาะแบกสังขยาพาจร รีบร้อนเร็วไปในประตูพลัน
หลวงนายศักดิ์ถามทักไปทันใด สังขยาถ้วยใหญ่ของใครนั่น
ยายปานว่าหม่อมเป็ดเธออยากครัน ใช้ฉันไปซื้อถึงเมืองละคร
ฝ่ายหม่อมนิ่งนอนคอยคอยหา เห็นปานมาผุดลุกขึ้นจากหมอน
กำลังอยากสังขยาให้อาวรณ์ ถึงเตียงหย่อนก้นกักเตียงหักพลัน
พื้นพังดังสวบเสียงกรวบกราบ เสียงก้องกาบกาบเหมือนเป็ดขัน
กับหม่อมระบายผายลมประสมกัน เหมือนเป็ดสวรรค์ที่ฉันเลี้ยงไว้วัดระฆัง
ยายปานลุกช่วยกันผูกเตียงเสียใหม่ ครั้นหม่อมสิ้นตกใจก็ไปนั่ง
เปิบข้าวเหนียวมูมมูมสุ่มตะรัง หมดทั้งถ้วยโคมไม่ใคร่พอ
ครั้นรับประทานแล้วขึ้นไปนั่งในพระตำหนัก หลวงนายศักดิ์พบตัวก็หัวร่อ
ว่าหม่อมกินสังขยาไม่รารอ เตียงเขาต่อด้วยไม่สักยังหักไป
หม่อมเป็ดตอบหลวงนายด้วยอายหน้า นายไปรู้ความมาแต่ข้างไหน
หรือใครมาบอกเล่าจึ่งเข้าใจ การแคะได้พาทีแล้วดีนัก
หลวงนายว่าข้าพเจ้าประจักษ์ตา หม่อมเปิบสังขยาจนเตียงหัก
ฉันไม่ได้สอดความไปถามซัก เพราะเห็นประจักษ์แก่ตาจึ่งพาที
หม่อมเป็ดตรึกนึกแหนงอยู่ในใจ ตัวคนไรไปเล่าจนถ้วนถี่
จะเป็นคนอื่นไกลนั้นไม่มี เพราะลุงทองจนพาทีทุกสิ่งอัน
แม้นมิบอกหลวงนายอีกนายหนึ่ง ก็บอกนายผึ้งตาพองเป็นแม่นมั่น
จึ่งได้แจ้งกิจจาสารพัน ให้ตาแจ้งมาแกล้งกลั่นบรรยาย
ครั้นเขาทำน้ำยาเวลาค่ำ หม่อมเป็นขำนึกอยากเป็นมากหลาย
เคยรับประทานครั้งไรไม่สบาย กระหายหอบบอบช้ำระกำใจ
ลุงทองจีนจึ่งปรามห้ามหม่อมเป็ด น้ำยาเผ็ดแสบร้อนกระฉ่อนไส้
ของแสลงแล้วจะแกล้งรับทานไย จะหอบฮักหนักไปจะเสียที
หม่อมเป็ดตอบคำว่าน้ำยา รับทานมาเผ็ดร้อนแต่ก่อนกี้
โดยจะหอบขึ้นมายาฉันมี คุณโม่งพี่ดิฉันท่านสอนไว้
ลุงทองจีนจะใคร่ได้รู้ความ จะซักถามเอาตำรายาให้ได้
หม่อมเป็ดปิดอิดเอื้อนเบือนบิดไป เพื่อมิให้ใครรู้ตำรายา
ครั้นเวลาระฆังตีสี่ทุ่มนาน เขายกเอาพานขนมจีนมาตั้งหน้า
หม่อมเป็ดเจาะปากอยากเต็มประดา เข้าคว้าเอาทันทีตะลีตะลาน
คุณลุงว่าน้ำยากินไม่ชอบ จะหืดหอบขึ้นมามากลำบากจ้าน
มิพอที่จะตนทนทรมาน จะรับประทานทำไมให้เวทนา
หม่อมเป็ดอยากเหลือทนจนสิ้นอาย แล้วอุบายลุงทองจีนจ๋า
ถึงจะหอบขึ้นเดี๋ยวนี้ฉันมียา ก็ออกบอกตำรามาพลัน
โดยน้ำยามานั้นไม่ชอบจะหอบโครง คุณโม่งหม่อมพี่เธอสอนฉัน
เอาดอกลำโพงมาใส่ลงในตะบัน เกลือสินเธาว์เท่ากันขยันจริง
ตะบันไปให้ละเอียดเฉียดยาบด กินให้หมดที่ตะบันนั้นยวดยิ่ง
เบากายหายฉิบเหมือนหยิบทิ้ง ไม่เกรงกริ่งโรคาเพราะยามี
และหยิบหนมจีนน้ำยามาคลุกเคล้า เปิบเข้ายังไม่ทันอิ่มถึงที่
ได้เจ็ดคำหอบทำขึ้นทันที มือยังมิทันล้างก็วางชาม
ลุกมาเรียกหาลูกปานพลัน เอาดอกลำโพงมาตะบันกระผลีกระผลาม
ปนกับเกลือสินเธาว์เข้าพองาม บั้นเข้าสามสี่ก้อนลูกกลอนกลืน
ครั้นล่วงเลยลำคอก็พอคลาย หอบหายลงไปได้ในใจชื่น
ครั้นล้างมือเสร็จสรรพขยับยืน ก็กลับคืนเข้านิทราในราตรี
พอสักครู่ก็พอรู้รับสั่งให้หา ก็เรียกลูกปานลุกมาขมันขมี
เขาขันใหญ่ปากจำหลักตักวารี มาตั้งไว้ในที่ชำระกาย
ยายปานวิ่งงกงันหยิบขันตัก สะดุดกักล้มคว่ำคะมำหงาย
ปากแตกหน้าเผือดเลือดกระจาย ก็ร้องกรีดหวีดว้ายขึ้นทันที
หม่อมเป็ดตัวสั่นให้หวั่นจิต เห็นโลหิตโซมสาดลงดาดที่
ตกประหม่าหน้ามืดไม่สมประดี อกสั่นขวัญหนีเหมือนตีปลา
ทอดลงลงบนม้าอุจจาระ ลมปะทะมัวมึนขึ้นมืดหน้า
คุณโม่งตกใจจริงวิ่งออกมา หยิบเอายานัตถุ์ให้สูดมะกรูดดม
แล้วประคองขึ้นบนตักตะพักไว้ ประทับเส้นเคล้นไคล้ประคบประหงม
แล้วนวดฟั้นคั้นลงประตูลม ค่อยชื่นชมฟื้นสมประดีกาย
คุณโม่งเข้าประคองน้องเป็ดน้อย เฝ้าตะบอยบีบตะบมให้ลมหาย
คุณโม่งเห็นเป็ดสวรรค์นั้นค่อยคลาย ก็พานางย่างกรายเข้าห้องใน
และเห็นเกลือสินเธาว์หยิบเอามา สำคัญว่าพิมเสนประสมใส่
กับยานัตถุ์ผิวมะกรูดสูดเข้าไป บัดเดี๋ยวใจก็สบายหายวับตา
แล้วก็คิดสงสารยายปานบุตร กำสรดสุดโศกรักเป็นหนักหนา
จะเจ็บช้ำระกำกายหลายเวลา เมื่อยามอยากสังขยาจะใช้ใคร
เคยไปซื้อสังขยามาแต่ละคร แล้วรีบร้อนมาหาทันแสบท้องไม่
จะล้มหมอนนอนเสื่อเหลืออาลัย เฝ้าร่ำไรโศกสุดถึงบุตรปาน
ครั้นโศกว่างวิ่งขึ้นมาเฝ้า แต่จิตเศร้าอยู่ถึงบุตรสุดสงสาร
หมอบชม้อยคอยฟังบัญชาการ มือประสานหมอบเมียงเคียงคุณลุง
  วันหนึ่งคุณโม่งผู้โปร่งเปรื่อง ให้บ่าวทำข้าเหนียวเหลืองหน้ากุ้ง
ผักชีพริกไทยใส่ปรุง น่ากินกลิ่นฟุ้งจรุงใจ
แล้วคิดถึงเป็ดฟ้าพะงางาม ก็มูนใส่ไว้เป็นชามปากไปล่
ทั้งหน้ากุ้งปรุงปนระคนไป ก็ใช้บ่าวเอาไปให้หม่อมเป็ดพลัน
นางคนใช้เร็วจริงวิ่งหรบหรบ มาถึงที่มิได้พบหม่อมเป็ดสวรรค์
จะตะบอยคอยท่าเห็นช้าครัน ข้าเหนียวนั้นฝากลุงทองจีนไว้
ฝ่ายคุณลุงยุ่งอยู่ด้วยราชการ ก็เนิ่นนานหาได้บอกหม่อมเป็ดไม่
ข้าวเหนียวค้างอยู่จนเย็นเหม็นกระไอ ครั้นจักได้แล้วบอกกับหม่อมพลัน
คุณให้บ่าวเอาข้าวเหนียวลงมาให้ ฝากไว้ที่ในห้องของดิฉัน
ลืมไปจนเวลาจวนสายัณห์ ข้าวเหนียวนั้นบูดไปไม่น่ากิน
กะทิมูนข้าวเหนียวเหม็นเปรี้ยวฟุ้ง หน้ากุ้งค้างจนเย็นก็เหม็นกลิ่น
ข้าวเหนียวก็เปียกเปื้อนปนเป็นมลทิน หม่อมจะกินหรือจะเทก็ตามที
หม่อมเป็ดได้ฟังนั่งคิด กำลังจิตหมกมุ่นรักคุณพี่
เธออุตส่าห์เอามาให้ถึงไม่ดี จะเทข้าวเหนียวเสียเดี๋ยวนี้จะน้อยใจ
ก็ยกชามหยิบชิมยิ้มแผยะ ถึงบูดแฉะชั่วดีของพี่ให้
เพราะความรักชักให้อร่อยไป จนหมดชามปากไปล่ใช่พอการ
ตำราว่ารับประทานด้วยการรัก น้ำต้มฟักก็ซดเป็นรสหวาน
นี่ข้าวเหนียวบูดเหม็นไม่เป็นการ ยังรับประทานหมดได้ไม่พอพุง
ครั้นเพลาพลบค่ำก็ทำท้อง เพราะกินของบูดเปรี้ยวข้าวเหนียวกุ้ง
เรียกออพูเข้าไปที่ในมุ้ง ให้นวดตนจนรุ่งพระสุริยา
เต็มทนจนออพูอยู่ไม่ได้ ขัดใจเต็มทีก็หนีหน้า
คุณโม่งคอยหายไปไม่เห็นมา มาต่อว่าตัดพ้อคอเป็นเอ็น
หม่อมยังไรใช้คนจนระอา ให้หนีซนค้นคว้าหาไม่เห็น
บ่าวเขาให้มามากไม่ยากเย็น นี่ขืนเคี่ยวเข็ญจนหนีไป
แม้นมันหนีลี้ลับไม่กลับมา หม่อมเอาค่าตัวมันนั้นมาให้
ไม่ติดตามมาจริงจริงนิ่งนอนใจ จะส่งออกไปข้างหน้าว่าความกัน
หม่อมเป็ดได้ฟังก็นั่งนิ่ง ด้วยผิดจริงช่วงใช้บ่าวไพร่ท่าน
เห็นคุณเธอพิโรธโกรธครัน เฝ้าผ่อนผันวิงวอนให้อ่อนใจ
  วันหนึ่งหม่อมนิทราเพลาดึก นอนนึกอยากทุเรียนน้ำลายไหล
พอม่อยหลับลงพลันก็ฝันไป ว่าชาวละครเอามาให้หลายใบนัก
แต่ละใบยวงใหญ่เท่ากำปั้น ฉีกตะบันกินตะบอยอร่อยหนัก
พอหมดสิ้นสี่ใบใจคึกคัก จุกจักกระแหล่นตายวุ่นวายใจ
ในความฝันนั้นว่าคุณโม่งพี่ เข้านวดฟั้นเต็มที่หาหายไม่
ยิ่งนวดก็ยิ่งหนักจักบรรลัย สะดุ้งตื่นตกใจก็จุกจริง
กลิ้งเกลือกเสือกตนทนไม่ได้ กระฉ่อนไส้ตัวสั่นดั่งผีสิง
ผิดลุกจากที่นอนเอาหมอนพิง ป่วนปวดนวดนิ่งไม่บอกใคร
พอยายมาพี่เลี้ยงเคียงเข้ามาพลัน หยิบเอาฟันสามพวงมายื่นให้
ครั้นหม่อมเห็นพวงฟันเข้าทันใด ดีใจหยิบรับเอาฉับพลัน
พวงหนึ่งทำไว้ด้วยไม่มะเกลือ วิไลเหลือดำดีสีขยัน
พวงหนึ่งทำด้วยกะลาหนาครัน เขาเจียนจัดขัดเป็นมันเหมือนทันตา
พวงหนึ่งทำไว้ด้วยไม้ทองหลาง ทำเหมือนอย่างซี่ฟันขันหนักหนา
เอาไหมร้อยเรียบเรียงดูเกลี้ยงตา รับเอามาดูกริ่มแล้วยิ้มพราย
เขาช่างทำงามงามทั้งสามพวง แล้วห่อหวงเก็บไว้ไม่ให้หาย
ชอบอารมณ์สมคิดจิตสบาย จุกก็คลายหายฉิบไปทันที
หม่อมเป็ดถามยายมาว่าพวงฟัน นี่ขยันสุดใจใครให้พี่
ยายมาอวดซ้ำเขาทำดี ซื้อมาที่จีนยูทั้งสามพวง
หม่อมเป็ดตรองความตามเรื่องฝัน นิมิตรดีขยันเป็นใหญ่หลวง
ว่าเขาให้กินทุเรียนกินหลายยวง เป็นลาภใหญ่พวงฟันกะลา ฯ



อธิบายเพลงยาว
เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์
ของ
นายหรีด เรืองฤทธิ์เปรียญ

ว่าด้วยหม่อมเป็ดเล่นเพื่อน เป็นเรื่องรู้กันอยู่ในราชสำนัก

นามบุคคลสำคัญในเรื่อง
๑. หม่อมสุด ๒. หม่อมขำ
นามผู้ประกอบในเรื่อง
๓. ท้าวนก ๔. เจ้าจางวางหมอ
๕. หลวงนายศักดิ์ ๖. คุณรับสั่ง
๗. ตาแจ้งวัดระฆัง ๘. นายมี
๙. แพทย์วาโย ๑๐. คุณชีเหม
๑๑. จีนยู
นามสถานที่ในเรื่อง
๑๒. พระราชวังบวรสถานฯ ๑๓. พระวังหลวง, พระวังใหญ่
๑๔. พระตำหนักใหญ่ ๑๕. ตำหนักแพ
๑๖. สรีร์สำราญ ๑๗. พระราชฐาน
๑๘. เมืองละคร ๑๙. ถนนอาจารย์

๑. หม่อมสุด เป็นหม่อมห้ามในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นั้นสวรรคตแล้ว ลงมารับราชการในพระบรมมหาราชวัง ประจำอยู่ที่พระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นผู้รู้หนังสือดี มักจะโปรดให้อ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทมเสมอ แต่ชอบเล่นเพื่อน ทำหน้าที่เป็นเพื่อนชายของหม่อมขำ (ดูที่ หม่อมขำ) คืนหนึ่ง อ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวาย สำคัญว่า บรรทมหลับ ก็ดับเทียน เอาผ้าคลุมโปงกอดจูบหม่อมขำ เพื่อนหญิง อยู่ที่ปลายพระบาท กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมยังไม่หลับ ทรงเห็นหม่อมสุดทำเช่นนั้น ก็ประทานชื่อให้ว่า "คุณโม่ง" เพราะเอาผ้าคลุมโปงเล่นเพื่อน

"เอาเพลาะหอมกรอมหุ้นกันคลุมโปง จึ่งตรัสเรียกว่าคุณโม่งแต่นั้นมา"

ในท้องกลอนเรียกหม่อมสุดว่า "คุณโม่ง" เสมอ

เพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ กล่าวถึงคุณโม่งอยู่ ๒–๓ แห่ง แห่งหนึ่งว่า "คุณโม่งขู่คุณขำทำสิงหนาท"

๒. หม่อมขำ เป็นหม่อมห้ามของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพเหมือนกัน ตามคุณโม่งลงมาทำราชการในวังหลวง อยู่ที่พระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นหม่อมที่ชอบไว้กิริยา เมื่อเดินมักจะไว้จังหวะเยื้องย่างไปอย่างเป็ด กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงประทานนามให้ว่า "หม่อมเป็ด" เพราะ—

"เดินเหินโยกย้ายส่ายกิริยา จึ่งชื่อว่าหม่อมเป็ดเสด็จประทาน"

หม่อมเป็ด มักจะเรียกกันว่า หม่อมเป็ดสวรรค์, หม่อมเป็ดขำ หรือหม่อมขำเป็ด และลางทีก็เรียกว่า คุณขำ คู่กับ คุณโม่ง

เพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เรียกหม่อมเป็ดว่า "คุณขำ"

"พิศดูหน้าคุณขำก็เห็นกลัว คุณโม่งตัวปากสั่นรำพันความ"

๓. ท้าวนก เป็นข้าราชการฝ่ายในของวังหน้า สงสัยว่า จะเป็นคนเดียวกับคุณนกที่กล่าวในเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ว่า "คุณนกคุณน้อยคุณโม่งนั่งอยู่ข้างนอก" เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพสวรรคตแล้ว คงจะตามคุณโม่ง คุณขำ ลงมารับราชการอยู่ในวังหลวง

๔. เจ้าจางวางหมอ คือ กรมหมื่นวงศาสนิท (เลื่อนเป็นกรมหลวงวงศาธิราชสนิทในรัชกาลที่ ๔) ทรงเป็นหมอถวายพระโอสถเจ้านาย มีออกพระนามโดยตรงอยู่แห่ง ๑ ว่า

"ครั้งหนึ่งพระองค์กรมวงศา เสด็จมาในพระตำหนักนั่น
หม่อมเป็นนั้นเป็นต้นคนสำคัญ สารพันเพ็ดทูลพระอาการ"

๕. หลวงนายศักดิ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานพระอธิบายไว้ในเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ว่า "หลวงนายศักดิ์ ชื่อ ครุฑ เป็นเจ้าพระยายมราชในรัชกาลที่ ๔"

๖. คุณรับสั่ง ฟังเป็นกุลสตรีชั้นสูง รับหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ เพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เรียกว่า เจ้าคุณ

"สำหรับทูลเมื่อเพลาห้าโมงเช้า เป็นของเจ้าคุณคอยไม่ห่างเหิน"

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประทานอธิบายว่า "เจ้าคุณหญิงต่าย พระสัมพันธวงศ์ เรียกกันว่า เจ้าคุณปราสาท เป็นผู้ใหญ่ในวัง"

จะเป็นคน ๆ เดียวกับคุณรับสั่งหรือไม่ สงสัยอยู่

๗. ตาแจ้งวัดระฆัง ลางทีก็เรียก ตาแจ้งถนนอาจารย์

"จะฟังเสภาตาแจ้งถนนอาจารย์ ให้หายรำคาญขุ่นคิ่นในวิญญาณ์"

เป็นคนขับเสภา มีชื่อเสียงอยู่ในรัชกาลที่ ๓ แต่มักจะเรียกกันในชั้นหลังว่า ครูแจ้ง เป็นผู้ฉลาดในบทกลอน ว่าดีทั้งกระบวนกลอนแต่งและกระบวนกลอนสด นับว่า เป็นทั้งจินตกวีและปฏิภาณกวีที่เยี่ยมยิ่งผู้หนึ่ง เสภา เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ก็ว่า เป็นสำนวนครูแจ้งแต่งอยู่หลายตอน เพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ ที่หาครูแจ้งไปขับเสภา ก็ว่ากลอนสดเป็นพื้น

๘. นายมี คนขับเสภาคู่กับครูแจ้ง น่าจะเป็นนายมี จินตกวีสูงส่งซึ่งแต่งนิราศพระแท่นดงรัง นิราศเดือน และนิราศสุพรรณ เมื่อหาไปขับเสภาที่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ มักจะยกเอาความในของหม่อมเป็ดที่พวกนางในกระซิบบอกขึ้นขับรับกับครูแจ้ง ตอดกันคนละที ถึงกับหม่อมเป็ดเอือมระอา บ่นกับคุณโม่งว่า

"เบื่อเดือนสิบสองตาแจ้งขับรับกับนายมี ตลับทองของดีก็หายไป"

๙. แพทย์วาโย เป็นหมอนวด เคยได้ยินราชทินนามว่า ขุนวาโย

๑๐. คุณชีเหม จะเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ฝักใฝ่อยู่ในกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ

๑๑. จีนยู ช่างทำฟัน มีชื่อเสียงอยู่ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเป็ดแพ้ฟัน ชอบใช้ฟันจำลองของจีนยู

๑๒. พระราชวังบวรสถานฯ หรือวังหน้า เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ซึ่งพระองค์สวรรคต พ.ศ. ๒๓๗๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ได้ ๘ ปี

๑๓. พระวังหลวง, พระวังใหญ่ เป็นชื่อสามัญ หมายถึง พระบรมมหาราชวัง

๑๔. พระตำหนักใหญ่ หมายถึง พระตำหนักที่ประทับของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ

๑๕. ตำหนักแพ คือ พระตำหนักแพ ลอยอยู่ริมน้ำท่าราชวรดิตถ์

๑๖. สรีร์สำราญ เว็จข้างใน

๑๗. พระราชฐาน พระราชวัง

๑๘. เมืองละคร ชื่อสมมติเรียกตลาดขายของ สงสัยว่า จะเป็นตลาดท้องน้ำท่าวัดกัลยาฯ ท่าวัดแจ้ง หรือท่าวัดระฆัง ฝั่งธนบุรี แห่งใดแห่งหนึ่ง ด้วยข้อความในท้องกลอนว่า ยายปาน (เด็กหญิงในพระตำหนักใหญ่) ซึ่งหม่อมเป็ดเลี้ยงเป็นลูก แล่นเรือใบไปเมืองละครซื้อข้าวเหนียวสังขยามาให้หม่อมเป็ด เช่นที่ว่า

"ยายปานลูกผูกเสาเชือกเพลาใบ แล่นไปครู่หนึ่งถึงเมืองละคร
ซื้อข้าวเหนียวสังขยามาถ้วยโคม ก็แล่นฝืนคลื่นโครมไม่หยุดหย่อน
ครั้นถึงเกาะแบกสังขยาพาจร รีบร้อนเร็วไปในประตูพลัน
หลวงนายศักดิ์ถามทักไปทันใด สังขยาถ้วยใหญ่ของใครนั่น
ยายปานว่าหม่อมเป็ดเธออยากครัน ใช้ฉันไปซื้อถึงเมืองละคร"

๑๙. ถนนอาจารย์ น่าจะอยู่แถววัดระฆัง ภายหลังอาจเปลี่ยนชื่อเป็นอื่นหรือลบเลือนหายไปก็ได้

ผู้แต่งเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นพวกนางในเชี่ยวชาญอยู่ในราชสำนัก แต่งเพลงยาวเรื่องนี้เพื่อจะขับหม่อมเป็ดซึ่งชอบเล่นเพื่อน เป็นเรื่องสนุกกันในหมู่นางใน ด้วยได้ยินเสียงเครงครืนอยู่ทั้งในและนอกราชสำนัก แต่ก็ว่าน่าฟัง

"เฝ้าคมค้อนเคืองเข็ญไม่เว้นใคร โกรธบรรดาข้าไทในพระตำหนัก
หม่อมกระไรใจคอนี้น้อยนัก ฉันประจักษ์แจ้งความตามนิยาย
กระทบเรื่องของซื้อเข้าหรือจ๊ะ จึ่งเกะกะโกรธร่ำระส่ำระสาย
ไม่มีใครบอกนุสนธิ์ต้นปลาย ลายไปผุดขึ้นตำบลถนนอาจารย์
ฉันพบเห็นตำราจึ่งว่าไป ขออภัยเถิดอย่าโทษโกรธดิฉาน
ถ้าแม้นหม่อมรักตัวกลัวอัประมาณ ก็บนบานคนขับจะรับไว้
ถ้าหม่อมอายเสียดายชื่อจะลือชา ก็เอาเงินเอาผ้านั้นมาให้
ฉันจะลบตำรับไม่ขับไป จงถึงใจตาแจ้งเสียเถิดรา"

สำนวนกลอนเป็นของคน ๆ เดียวกับผู้แต่งเพลงยาวว่าด้วยเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แต่เพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ แต่งเมื่อยามกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงพระสำราญ แม้จะมีพระโรคเบียดเบียนบ้างก็แต่ละครั้งละคราว ผู้แต่ง ๆ ด้วยอารมณ์สนุก แต่เมื่อแต่งเพลงยาว เรื่อง พระอาการพระประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ดูผู้แต่งเป็นทุกข์ถึงเจ้านายอยู่มาก จึงเห็นได้ว่า เพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ แต่งก่อนเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ จะแต่งเมื่อศักราชเท่าไรไม่บอก แต่เมื่อแต่งเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ บอกไว้ว่า

"นิราศร่ำทำอักษรเป็นกลอนสด ให้ปรากฏด้วยปัญญาอัชฌาสัย
เมื่อเดือนสี่ปีเถาเคราะห์เหลือใจ ละห้อยไห้แสนคะนึงถึงประชวร"

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานพระอธิบายว่า ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๐๕ พ.ศ. ๒๓๘๖

กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงประชวรพระโรคเรื้อรังนับแต่เดือน ๔ ปีเถาะถึงปีมะเส็ง แต่ผ่อนให้สำราญพระวรกายบ้าง มาหนักลงในระยะ ๖ เดือนหลัง สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๘๘ พระชันษา ๓๕ ปี จึงอนุมานได้ว่า เพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ จะแต่งราว ๆ ปีฉลู–ขาล พ.ศ. ๒๓๘๔–๒๓๘๕ ติดต่อกันกับเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งแต่งเมื่อเดือน ๔ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๘๖

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสว่า เพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ คุณสุวรรณ ข้าหลวงในกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ อยู่ที่ตำหนัก แต่ง

คุณสุวรรณเป็นจินตกวีที่รู้รสกวีดีคนหนึ่ง แต่งบทกลอนดี ทั้งในเวลาที่สำเริงสุขและเวลาที่ทุกข์ร้อน อื่นจากแต่งเพลงยาว ๒ เรื่องนี้แล้ว ยังได้แต่งบทละคอนอุณรุทร้อยเรื่อง และบทละคอน เรื่อง พระมเหลเถไถ ไว้อีก เป็นกวีหญิงที่มีชื่อเสียงสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.



พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร ๗๔ ซอยรัชฐภัณฑ์ วงเวียนมักกะสัน พระนคร โทร. ๗๐๗๕๒ นายจรัส วันทนทวี ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ๒๕๐๗


เชิงอรรถของบรรณาธิการ

บรรณานุกรม

  • กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ. (๒๕๐๗). กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร. (พิมพ์ชำร่วยในงานทอดกฐินพระราชทานของกรมศิลปากร ณ วัดเทพธิดาราม ๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗). น. [ก]–[ข], ๗–๒๖, ๕๖–๖๓.

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก
  1. ดู อธิบายเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ หน้า ๕๖
  2. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว