ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วรรณกรรมต่างเรื่อง"

จาก วิกิซอร์ซ
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Bitterschoko (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Bitterschoko (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 116: บรรทัดที่ 116:
<br>
<br>
<pages index="วรรณกรรมต่างเรื่อง - ๒๕๐๕.pdf" include="76"/>
<pages index="วรรณกรรมต่างเรื่อง - ๒๕๐๕.pdf" include="76"/>
<br>
----
----



รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:47, 6 กรกฎาคม 2563


ตราของกรมศิลปากร
ตราของกรมศิลปากร
วรรณกรรมต่างเรื่อง
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ
นางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน)
ณ เมรุวัดทองนพคุณ ธนบุรี
๘ พฤษภาคม ๒๕๐๕



ตราของกรมศิลปากร
ตราของกรมศิลปากร
วรรณกรรมต่างเรื่อง
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ
นางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน)
ณ เมรุวัดทองนพคุณ ธนบุรี
๘ พฤษภาคม ๒๕๐๕





คำนำ

เนื่องในงานฌาปนกิจศพนางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน) กำหนดงานวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๐๕ ณ เมรุวัดทองนพคุณ ธนบุรี นายสุริยน เพชรพลาย ได้เป็นผู้แทนมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือบทละคร เรื่อง ระเด่นลันได ของ พระมหามนตรี (ทรัพย์) กับบทละคร เรื่อง พระมะเหลเถไถ และ อุณรุทร้อยเรื่อง ของ คุณสุวรรณ และนิราศเดือน ของ นายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร) รวมในเล่มเดียวกันโดยใช้ชื่อว่า "วรรณกรรมต่างเรื่อง" เพื่อแจกเป็นอนุสรณ์เนื่องในงาน กรมศิลปากรมีความยินดีอนุญาตให้จัดพิมพ์แจกจ่ายได้ดังประสงค์

หนังสือทั้ง ๔ เรื่องนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์คำอธิบายไว้ และได้นำมาพิมพ์ไว้ข้างต้นของเรื่องนั้น ๆ ด้วยแล้ว

กรมศิลปากรขออนุโมทนาในกุศลราศีทักษิณานุปทานที่เจ้าภาพได้บำเพ็ญอุทิศแด่นางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน) ตลอดจนให้พิมพ์หนังสืออันเกี่ยวกับวรรณคดีเช่นนี้ออกแจกจ่ายเป็นสาธารณประโยชน์ ขอกุศลทั้งนี้จงเป็นปัจจัยดลบันดาลให้นางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน) ผู้ล่วงลับ ได้ประสบสุคติตามควรแก่ฐานะนิยมสมดังเจตจำนงของเจ้าภาพจงทุกประการเทอญ.

  • กรมศิลปากร
  • ๒๕ เมษายน ๒๕๐๕



  • นางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน)
  • ชาตะ   วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒
  • มรณะ   วันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒



ประวัติ

นางเทียบ เพชรพลาย เป็นบุตรคนสุดท้องของนายจัน และนางเจียม ถนอมกุลบุตร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ที่บ้านตำบลบางประทุน อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี ได้ทำการมงคลสมรสกับ ร.ต. เยี่ยม เพชรพลาย และเกิดบุตร, ธิดา ด้วยกัน คือ

๑. นางพยุงศรี มังตรีสรรค์

๒. นายสุริยน เพชรพลาย

๓. นางพยอม สงวนศิลป์

๔. ร.อ. สุริยะ เพชรพลาย

๕. นางพายัพ บุบผาคำ

๖. เด็กหญิงแดง เพชรพลาย (ถึงแก่กรรมเมื่อยังเยาว์)

เมื่อนางเทียบ เพชรพลาย ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากการประกอบอาชีพส่วนตัวแล้ว ยังได้สนใจกับงานช่างทางฝีมือต่าง ๆ และทำการฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ จนต่อมาเมื่อทางกระทรวงศึกษาได้เปิดการอบรมการช่างฝีมือทางจักสานและประดิษฐ์หมวกใบลานขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้เข้ารับราชการเป็นครูสอนตั้งแต่นั้นมา โดยอาศัยส่วนหนึ่งของโรงเรียนมัธยมวัดราชโอรสเป็นสถานฝึกสอน ต่อมา ทางกระทรวงศึกษาได้ย้ายมาฝึกสอนอยู่โรงเรียนเพาะช่าง, ก่อสร้างอุเทนถวาย และครั้งสุดท้าย ได้ย้ายมารับราชการอยู่ที่โรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ (เมื่อยังเป็นโรงเรียนสตรีบ้านทวายรวมอยู่กับโรงเรียนศรีสุริโยทัย) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๘๕ จึงได้จากราชการมาประกอบอาชีพส่วนตัวจนถึงแก่กรรม

นางเทียบ เพชรพลาย ได้เริ่มป่วยกะเสาะกะแสะเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ส่วนมากมักมีอาการป่วยปวดเมื่อยและเจ็บที่บริเวณสะโพกเป็นครั้งคราว แต่ก็มิได้สงสัยว่า จะมีอาการของโรคร้ายแต่ประการใด และก็ยังพอประกอบอาชีพส่วนตัวได้เป็นปกติ จนต่อมา มีอาการเจ็บป่วยมากขึ้นจนไม่สามารถจะลุกเดินได้เป็นปกติ จึงได้ทำการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชอยู่ประมาณ ๑ เดือน อาการแต่มีทรงและทรุดลง จึงได้กลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่มีอาการทรุดหนักเพียบลงเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๐๕ รวมอายุได้ ๖๐ ปี ๑ เดือน ๘ วัน

ขณะที่นางเทียบ เพชรพลาย ยังมีชีวิตอยู่ ได้อุตสาหะพากเพียรประกอบอาชีพและอบรมบุตรธิดาด้วยความมานะอดทนตลอดมา และประกอบกับนางเทียบ เพชรพลาย เป็นผู้มีนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีเมตตากรุณาแก่บุคคลทั่วไป และหมั่นประกอบการบุญการกุศลอยู่เป็นเนืองนิจ ฉะนั้น ในการที่นางเทียบฯ ถึงแก่กรรมลงในครั้งนี้ จึงเป็นที่น่าเสียดายและอาลัยรักอย่างสุดซึ้งแก่บรรดาลูก ๆ ญาติพี่น้อง และผู้รู้จักคุ้นเคยเป็นอันมาก

สาเหตุที่ใช้นามสกุล "เร็วพลัน" เนื่องจากขณะที่ ร.ท. เยี่ยม เพชรพลาย ได้ย้ายไปรับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารม้า มณฑลทหารบกนครราชสีมา ได้รับพระราชทานนามสกุลใหม่เป็น "เร็วพลัน" (ซึ่งในขณะนั้น มีเพื่อนนายทหารรุ่นเดียวกันกับ ร.ท. เยี่ยม เพชรพลาย ได้รับพระราชทานนามสกุลพร้อมในคราวเดียวกันดังนี้ คือ เร็วพลัน (ร.ท. เยี่ยมฯ) ทันด่วน, วิ่งคล่อง ว่องไว) ต่อมา ร.ท. เยี่ยมฯ ได้ลาออกจากราชการมารับราชการอยู่ที่กรมไปรษณีย์โทรเลข ก็ยังคงใช้นามสกุล "เร็วพลัน" เรื่อยมา เมื่อออกจากราชการรับบำเหน็จบำนาญแล้ว จึงได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุล "เพชรพลาย" ตามเดิม


๒๕ เมษายน ๒๕๐๕



  • บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได
  • ของ
  • พระมหามนตรี (ทรัพย์)



อธิบายบทละคร เรื่อง ระเด่นลันได

บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได ถ้าอ่านโดยไม่ทราบเค้ามูล ก็คงจะเข้าใจว่า เป็นบทแต่งสำหรับเล่นละครตลก แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หนังสือ เรื่อง ระเด่นลันได นี้ ที่แท้เป็นจดหมายเหตุ หากผู้แต่งประสงค์จะจดให้ขบขันสมกับเรื่องที่จริง จึงแกล้งแต่งเป็นบทละครสำหรับอ่านกันเล่น หาได้ตั้งใจจะให้ใช้เป็นบทเล่นละครไม่

เรื่อง ระเด่นลันได เป็นหนังสือแต่งในรัชกาลที่ ๓ เล่ากันมาว่า ครั้งนั้น มีแขกคนหนึ่งชื่อ ลันได ทำนองจะเป็นพวกฮินดูชาวอินเดีย ซัดเซพเนจรเข้ามาอาศัยอยู่ที่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ในกรุงเทพฯ เที่ยวสีซอขอทานเขาเลี้ยงชีพเป็นนิจ พูดภาษาไทยก็มิใคร่ได้ หัดร้องเพลงขอทานได้เพียงว่า "สุวรรณหงส์ถูกหอกอย่าบอกใคร บอกใครก็บอกใคร" ร้องทวนอยู่แต่เท่านี้ แขกลันไดเที่ยวขอทานจนคนรู้จักกันโดยมาก ในครั้งนั้น มีแขกอีกคน ๑ เรียกกันว่า แขกประดู่ ทำนองก็จะเป็นคนชาวอินเดียเหมือนกัน ตั้งคอกเลี้ยงวัวนมอยู่ที่หัวป้อม (อยู่ราวที่สนามหน้าศาลสถิตยุติธรรมทุกวันนี้) มีภรรยาเป็นหญิงแขกมลายูชื่อ ประแดะ อยู่มา แขกลันไดกับแขกประดู่เกิดวิวาทกันด้วยเรื่องแย่งหญิงมลายูนั้นโดยทำนองที่กล่าวในเรื่องละคร คนทั้งหลายเห็นเป็นเรื่องขบขัน ก็โจษกันแพร่หลาย พระมหามนตรี (ทรัพย์) ทราบเรื่อง จึงคิดแต่งเป็นบทละครขึ้น

พระมหามนตรี (ทรัพย์) นี้ เป็นกวีที่สามารถในกระบวนแต่งกลอนแปด จะหาตัวเปรียบได้โดยยาก แต่มามีชื่อเสียงโด่งดังในการแต่งกลอนต่อเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ใคร่พอใจแต่งโดยเปิดเผย หนังสือซึ่งพระมหามนตรี (ทรัพย์) ได้ออกหน้าแต่ง มีปรากฎแต่โคลงฤๅษีดัดตน บท ๑ กับเพลงยาวกลบทชื่อ กบเต้นสามตอน (ซึ่งขึ้นต้นว่า "เจ็บคำจำคิดจิตขวย") บท ๑ เท่านั้น ที่พระมหามนตรี (ทรัพย์) มีชื่อเสียงสืบต่อมาจนรัชกาลหลัง ๆ เพราะแต่งหนังสืออีก ๒ เรื่อง คือ เพลงยาวแต่งว่าพระยามหาเทพ (ทองปาน) เมื่อยังเป็นจมื่นราชามาตย์ เรื่อง ๑ กับบทละคร เรื่อง ระเดนลันได นี้ เรื่อง ๑

เพลงยาวว่าพระยามหาเทพ (ทองปาน) นั้น เล่ากันมาว่า เป็นแต่ลอบแต่ง แล้วเขียนมาปิดไว้ที่ทิมดาบตำรวจในพระบรมมหาราชวัง ผู้อื่นเห็นก็รู้ว่า เป็นฝีปากพระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่ไม่มีผู้ใดฟ้องร้องว่ากล่าว มีแต่ผู้ลอกคัดเอาไป (แล้วเห็นจะเลยฉีกทิ้งต้นหนังสือเสีย จึงไม่เกิดความฐานทอดบัตรสนเท่ห์) ด้วยครั้งนั้น มีคนชังพระยามหาเทพ (ทองปาน) อยู่มากด้วยกัน เพลงยาวนั้นก็เลยแพร่หลาย หอสมุดได้พิมพ์เพลงยาวนั้นไว้ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ เล่ม ๓ ประจำปีกุน จุลศักราช ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐)

ส่วนบทละคร เรื่อง ระเด่นลันได เหตุที่แต่งเป็นดังอธิบายมาข้างต้น ถ้าผู้อ่านสังเกตจะเห็นได้ว่า ทางสำนวนแต่งดีทั้งกระบวนบทสุภาพและวิธีที่เอาถ้อยคำขบขันเข้าสอดแซม บางแห่งกล้าใช้สำนวนต่ำช้าลงไปให้สมกับตัวบท แต่อ่านก็ไม่มีที่จะเขินเคอะในแห่งใด เพราะฉะนั้น จึงเป็นหนังสือซึ่งชอบอ่านกันแพร่หลายตั้งแต่แรกแต่งตลอดมาจนในรัชกาลหลัง ๆ นับถือกันว่า เป็นหนังสือกลอนชั้นเอกเรื่อง ๑

บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได นี้ มีผู้เคยพิมพ์มาแล้ว แต่ฉบับที่พิมพ์มาแต่ก่อนวิปลาสคลาดเคลื่อน และมีผู้อื่นแต่งแทรกแซมเพิ่มเติมอีกเป็นอันมากจนวิปริตผิดรูปฉบับเดิม กรรมการหอพระสมุดฯ เห็นว่า บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได นับว่า เป็นเรื่องสำคัญในหนังสือกลอนไทยเรื่อง ๑ ซึ่งสมควรจะรักษาไว้ให้บริสุทธิ์ จึงได้พยายามหาฉบับมาแต่ที่ต่าง ๆ สอบชำระแล้วพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้

แต่เสียดายอยู่ที่บทตอนท้ายในเล่มนี้ยังขาดฉบับเดิมอยู่สักสามฤๅสี่หน้ากระดาษ เนื้อเรื่องที่ขาดเพียงใดจะอธิบายบอกไว้ท้ายเล่มสมุด เผื่อท่านผู้ใดมีฉบับบริบูรณ์ ถ้ามีแก่ใจคัดส่งมายังหอพระสมุดฯ หรือให้ยืมต้นฉบับมาให้พระสมุดฯ คัดได้ จะขอบพระคุณเป็นอันมาก


  • ดำรงราชานุภาพ สภานายก
  • หอพระสมุดวชิรญาณ
  • วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓



บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได
 ช้าปี่
  มาจะกล่าวบทไป ถึงระเด่นลันไดอนาถา
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภา ตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วน กำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม
มีทหารหอนเห่าเฝ้าโมงยาม คอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย
ฯ ๔ คำ ฯ
  เที่ยวสีซอขอข้าวสารทุกบ้านช่อง เป็นเสบียงเลี้ยงท้องของถวาย
ไม่มีใครชังชิงทั้งหญิงชาย ต่างฝากกายฝากตัวกลัวบารมี
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ ยุงชุมสุมควันแล้วเข้าที่
บรรทมเหนือเสื่อลำแพนแท่นมณี ภูมีซบเซาเมากัญชา
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  ครั้นรุ่งแสงสุริยันตะวันโด่ง โก้งโค้งลงในอ่างแล้วล้างหน้า
เสร็จเสวยข้าวตังกับหนังปลา ลงสระสรงคงคาในท้องคลอง
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 ชมตลาด
  กระโดดดำสามทีสีเหื่อไคล แล้วย่างขึ้นบันไดเข้าในห้อง
ทรงสุคนธ์ปนละลายดินสอพอง ชโลมสองแก้มคางอย่างแมวคราว
นุ่งกางเกงเข็มหลงอลงกรณ์ ผ้าทิพย์อาภรณ์พื้นขาว
เจียระบาดเสมียนละว้ามาแต่ลาว ดูราวกับหนังแขกเมื่อแรกมี
สวมประคำดีควายตะพายย่าม หมดจดงดงามกว่าปันหยี
กุมตระบองกันหมาจะราวี ถือซอจรลีมาตามทาง
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
 ร่าย
  มาเอยมาถึง เมืองหนึ่งสร้างใหม่ดูใหญ่กว้าง
ปราสาทเสาเล้าหมูอยู่กลาง มีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง
พระเยื้องย่างเข้าทางทวารา หมู่หมาแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง
แกว่งตระบองป้องปัดอยู่เก้กัง พระทรงศักดิ์หยักรั้งคอยราญรอน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้น นางประแดะหูกลวงดวงสมร
ครั้นรุ่งเช้าท้าวประดู่ภูธร เสด็จจรจากเวียงไปเลี้ยงวัว
โฉมเฉลาเนาในที่ไสยา บรรจงหั่นกัญชาไว้ท่าผัว
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว หวีหัวหาเหาเกล้าผมมวย
ได้ยินแว่วสำเนียงเสียงหมาเห่า คิดว่าวัวเข้าในสวนกล้วย
จึงออกมาเผยแกลอยู่แร่รวย ตวาดด้วยสุรเสียงสำเนียงนาง
พอเหลือบเห็นระเด่นลันได อรไทผินผันหันข้าง
ชม้อยชม้ายชายเนตรดูพลาง ชะน้อยฤๅรูปร่างราวกับกลึง
งามกว่าภัสดาสามี ทั้งเมืองตานีไม่มีถึง
เกิดกำหนัดกลัดกลุ้มรุมรึง นางตะลึงแลดูพระภูมี
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระสุวรรณลันไดเรืองศรี
เหลียวพบสบเนตรนางตานี ภูมีพิศพักตร์ลักขณา
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชมโฉม
  สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  นี่จะเป็นลูกสาวท้าวพระยา ฤๅว่าเป็นพระมเหสี
อกใจทึกทักรักเต็มที ก็ทรงสีซอสุวรรณขึ้นทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ
 พัดชา
  ยักย้ายร่ายร้องเป็นลำนำ มีอยู่สองสามคำจำไว้ได้
สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใคร ถูกแล้วกลับไปได้เท่านั้น
ฯ ๒ คำ ฯ
 ร่าย
  แล้วซ้ำสีอิกกระดิกนิ้ว ทำยักคิ้วแลบลิ้นเล่นขบขัน
เห็นโฉมยงหัวร่ออยู่งองัน พระทรงธรรม์ทำหนักชักเฉื่อยไป
ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี
  เมื่อนั้น นางประแดะตานีศรีใส
สดับเสียงสีซอพอฤทัย ให้วาบวับจับใจผูกพัน
ยิ่งคิดพิศวงพระทรงศักดิ์ ลืมรักท้าวประดู่ผู้ผัวขวัญ
ทำไฉนจะได้พระทรงธรรม์ มาเคียงพักตร์สักวันด้วยรักแรง
คิดพลางทางเข้าไปในห้อง แล้วตักเอาข้าวกล้องมาสองแล่ง
ค่อยประจงลงใส่กระบะแดง กับปลาสลิดแห้งห้าหกตัว
แล้วลงจากบันไดมิได้ช้า เข้ามานอบนบจบเหนือหัว
เอาปลาใส่ย่ามด้วยความกลัว แล้วยอบตัวลงบังคมก้มพักตรา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ลันไดให้แสนเสนหา
อะรามรักยักคิ้วหลิ่วตา พูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้โลม
  งามเอยงามปลอด ชีวิตพี่นี้รอดด้วยข้าวสาร
เป็นกุศลดลใจเจ้าให้ทาน เยาวมาลย์แม่มีพระคุณนัก
พี่ขอถามนามท้าวเจ้ากรุงไกร ชื่อเรียงเสียงไรไม่รู้จัก
เจ้าเป็นพระมเหสีที่รัก ฤๅนงลักษณ์เป็นราชธิดา
รูปร่างอย่างว่ากะลาสี พี่ให้มีใจรักเจ้าหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้กัลยา พระราชาฉวยฉุดยุดมือไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระสอบ ทำเล่นเห็นชอบฤๅไฉน
ไม่รู้จักมักจี่นี่อะไร มาเลี้ยวไล่ฉวยฉุดยุดข้อมือ
ยิ่งว่าก็ไม่วางทำอย่างนี้ พระจะมีเงินช่วยข้าด้วยฤๅ
อวดว่ากล้าแข็งเข้าแย่งยื้อ ลวนลามถามชื่อน้องทำไม
น้องมิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย หยาบเหมือนขี้เลื่อยเมื่อหัวไหล่
ลูกเขาเมียเขาไม่เข้าใจ บาปกรรมอย่างไรก็ไม่รู้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  ดวงเอยดวงไต้ สบถได้เจ็ดวัดทัดสองหู
ความจริงพี่มิเล่นเป็นเช่นชู้ จะร่วมเรียงเคียงคู่กันโดยดี
ถึงมิใช่ตัวเปล่าเจ้ามีผัว พี่ไม่กลัวบาปดอกนะโฉมศรี
อันนรกตกใจไปใยมี ยมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน
เพียงจับมือถือแขนอย่าแค้นเคือง จะให้น้องสองเฟื้องอย่าหุนหัน
แล้วแก้เงินในไถ้ออกให้พลัน นี่แลขันหมากหมั้นกัลยา
พอดึกดึกสักหน่อยนะน้องแก้ว พี่จะลอดล่องแมวขึ้นไปหา
โฉมเฉลาเจ้าจงได้เมตตา เปิดประตูไว้ท่าอย่าหลับนอน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  ทรงเอยทรงกระโถน อย่ามาพักปลอบโยนให้โอนอ่อน
ไม่อยากได้เงินทองของภูธร นางเคืองค้อนคืนให้ไม่อินัง
ช่างอวดอ้างว่านรกไม่ตกใจ คนอะไรอย่างนี้ก็มีมั่ง
เชิญเสด็จรีบออกไปนอกวัง อย่ามานั่งวิงวอนทำค่อนแคะ
เพียงแต่รู้จักกันกระนั้นพลาง พอเป็นทางไมตรีกระนี้แหละ
เมื่อพระอดข้าวปลาจึงมาแวะ น้องฤๅชื่อประแดะดวงใจ
ท่านท้าวประดู่ผู้เป็นผัว ยังไปเลี้ยงวัวหากลับไม่
แม้นชักช้าชีวันจะบรรลัย เร่งไปเสียเถิดพระราชา
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ลันไดยิ้มเยาะหัวเราะร่า
เราไม่เกรงกลัวอิทธิ์ฤทธา ท้าวประดู่จะมาทำไมใคร
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญ แต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังแบกไหว
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟ ประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะเห็นความจะวามวุ่น
จึงนบนอบยอบตัวทำกลัวบุญ ไม่รู้เลยพ่อคุณนี้มีฤทธิ์
กระนั้นสิเมื่อพระเสด็จมา หมูหมาย่นย่อไม่รอติด
ขอพระองค์จงฟังยั้งหยุดคิด อย่าให้มีความผิดติดตัวน้อง
ท้าวประดู่ภูธรเธอขี้หึง ถ้ารู้ถึงท้าวเธอจะทุบถอง
จงไปเสียก่อนเถิดพ่อรูปทอง อย่าให้น้องชั่วช้าเป็นราคี
ว่าพลางทางสลัดปัดกร ควักค้อนยักหน้าตาหยิบหยี
นาดกรอ่อนคอจรลี เดินหนีมิให้มาใกล้กราย
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ลันไดไม่สมอารมณ์หมาย
เห็นนางหน่ายหนีลี้กาย โฉมฉายสลัดพลัดมือไป
มันให้ขัดสนยืนบ่นออด เจ้ามาทอดทิ้งพี่หนีไปได้
ตัวกูจะอยู่ไปทำไม ก็ยกย่ามขึ้นไหล่ไปทั้งรัก
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
 ช้า
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่สุริวงศ์ทรงกระฏัก
เที่ยวเลี้ยงวัวล้าเลื่อยเหนื่อยนัก เข้าหยุดยั้งนั่งพักในศาลา
วันเมื่อมเหสีจะมีเหตุ ให้กระตุกนัยเนตรทั้งซ้ายขวา
ตุ๊กแกตกลงตรงพักตรา คลานไปคลานมาก็สิ้นใจ
แม่โคขึ้นสัดผลัดโคตัวผู้ พิเคราะห์ดูหลากจิตคิดสงสัย
จะมีเหตุแม่นมั่นพรั่นพระทัย ก็เลี้ยวไล่โคกลับเขาพารา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
 ร่าย
  ครั้นถึงขอบรั้วริมหัวป้อม พระวิ่งอ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า
ไล่เข้าคอกพลันมิทันช้า เอาขี้หญ้าสุมควันกันริ้นยุง
ยืนลูบเนื้อตัวที่หัวบันได แล้วเข้าในปรางค์รัตน์ผลัดผ้านุ่ง
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างมุ้ง เห็นกระบุงข้าวกล้องนั้นพร่องไป
ปลาสลิดในกระบายก็หายหมด พระทรงยศแสนเสียดายน้ำลายไหล
กำลังหิวข้าวเศร้าเสียใจ ก็เอนองค์ลงในที่ไสยา
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมเหสี เข้ามานี่พุ่มพวงดวงยี่หวา
วันนี้มีใครไปมา ยังพาราเราบ้างฤๅอย่างไร
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะฟังความที่ถามไถ่
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอ ร้อนตัวกลัวภัยพระภูมี
ตั้งแต่พระเสด็จไปเลี้ยงวัว น้องก็นอนซ่อนตัวอยู่ในที่
ไม่เห็นใครไปมายังธานี จงทราบใต้เกษีพระราชา
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวประดูได้ฟังให้กังขา
จึงซักไซ้ไล่เลียงกัลยา ว่าไม่มีใครมาน่าแคลงใจ
ทั้งข้าวทั้งปลาของข้าหาย เอายักย้ายขายซื้อฤๅไฉน
ฤๅลอบลักตักให้แก่ผู้ใด จงบอกไปนะนางอย่าพรางกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะตกใจอยู่ไหวหวั่น
ด้วยแรกเริ่มเดิมทูลพระทรงธรรม์ ว่าใครนั้นมิได้จะไปมา
ครั้นจะไม่ทูลความไปตามจริง ก็เกรงกริ่งด้วยพิรุธมุสา
สารภาพกราบลงกับบาทา วอนว่าอย่าโกรธจงโปรดปราน
วันนี้มีหน่อกระษัตรา เที่ยวมาสีซอขอข้าวสาร
น้องเสียมิได้ก็ให้ทาน สิ้นคำให้การแล้วผ่านฟ้า
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่ได้ฟังนึกกังขา
ใครหนอหน่อเนื้อกระษัตรา เที่ยวมาสีซอขอทาน
เห็นจะเป็นอ้ายระเด่นลันได ที่ครอบครองกรุงใกล้เทวฐาน
มันเสแสร้งแกล้งทำมาขอทาน จะคิดอ่านตัดเสบียงเอาเวียงชัย
จึงชี้หน้าว่าเหม่มเหสี มึงนี้เหมือนหนอนที่บ่อนไส้
ขนเอาปลาข้าวให้เขาไป วันนี้จะได้อะไรกิน
ถ้ามั่งมีศรีสุขก็ไม่ว่า นี่สำเภาเลากาก็แตกสิ้น
แล้วมิหนำซ้ำตัวเป็นมลทิน จะอยู่กินต่อไปให้คลางแคลง
เจ้าศรัทธาอาศัยอย่างไรกัน ฤๅกระนี้กระนั้นก็ไม่แจ้ง
จะเลี้ยงไว้ไยเล่าเมื่อข้าวแพง ฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะเลี้ยวลอดกอดเอวได้
เหมือนเล่นงูกินหางไม่ห่างไกล นึกประหวั่นพรั่นใจอยู่รัวรัว
โปรดก่อนผ่อนถามเอาความจริง เมื่อชั่วแล้วแทงทิ้งเถิดทูลหัว
อันพระสามีเป็นที่กลัว จะทำนอกใจผัวอย่าพึงคิด
พระหึงหวงมิได้ล่วงพระอาญา ที่ให้ข้าวให้ปลานั้นข้าผิด
น้องนี้ทำชั่วเพราะมัวมิด ทำไมกับชีวิตไม่เอื้อเฟื้อ
น้องมิได้ศรัทธาอาศัย จะลุยน้ำดำไฟเสียให้เชื่อ
ไม่มีอาลัยแก่เลือดเนื้อ แต่เงื้อเงื้อไว้เถิดอย่าเพ่อแทง
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวประดูเดือดนักชักพระแสง
ถ้าบอกจริงให้กูอีหูแหว่ง จะงดไว้ไม่แทงอย่าแย่งยุด
กูก็เคยเกี้ยวชู้รู้มารยา มิใช่มึงโสดามหาอุด
มันเป็นถึงเพียงนี้ก็พิรุธ ถึงดำน้ำร้อยผุดไม่เชื่อใจ
ยังจะท้าพิสูจน์รูดลอง พ่อจะถองให้ยับจนตับไหล
เห็นว่ากูหลงรักแล้วหนักไป เอออะไรนี่หวาน้ำหน้ามึง
หาเอาใหม่ให้ดีกว่านี้อีก ผิดก็เสียเงินปลีกสองสลึง
กำลังกริ้วโกรธาหน้าตึง ถีบผึงถูกตะโพกโขยกไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 โอ้
  เมื่อนั้น นางประแดะเจ็บจุกลุกไม่ไหว
ค่อยยืนยันกะเผลกเขยกไป เข้ายังครัวไฟร้องไห้โฮ
ร้อนดิ้นเร่าเร่าพ่อเจ้าเอ๋ย ลูกไม่เคยโกหกพกโมโห
เสียแรงได้เป็นข้ามาแต่โซ กลับพาลโกรธาด่าตี
น้องก็ไร้ญาติวงศ์พงศา หมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มี อยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา
ตะโพกโดกโดยเมียแทบคลาด ถีบด้วยพระบาทดังชาติข้า
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้ายา ตายโหงตายห่าก็ตายไป
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้น ท้าวประดูได้ฟังดังเพลิงไหม้
ดูดู๋อีประแดะค่อนแคะได้ กลับมาด่าได้อีใจเพชร
เอาแต่คารมเข้าข่มกลบ กูจะจิกหัวตบเสียให้เข็ด
ชะช่างโศกาน้ำตาเล็ด กูรู้เช่นเห็นเท็จทุกสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  ว่าพลางทางคว้าได้พร้าโต้ ดุด่าตาโตเท่ากำปั้น
ผลักประตูครัวไฟเข้าไปพลัน นางประแดะยืนยันลันกลอนไว้
ผลักมาผลักไปอยู่เป็นครู่ จะเข้าไปในประตูให้จงได้
กระทืบฟากโครมครามความแค้นใจ อึกกระทึกทั่วไปในพารา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  บัดนั้น พวกหัวไม้กระดูกผีขี้ข้า
บ่อนเลิกกินเหล้าเมากลับมา ได้ยินเสียงเถียงด่ากันอื้ออึง
จึงหยุดนั่งข้างนอกริมคอกวัว ว่าเมียผัวคู่นี้มันขี้หึง
พอพลบค่ำราตรีตีตะบึง อึงคงนักหนาน่าขัดใจ
แล้วคว้าก้อนอิฐปาเข้าฝาโผง ตกถูกโอ่งปาล้อแลหม้อไห
พลางตบมือร้องเย้ยเผยไยไย แล้ววิ่งไปทางตะพานบ้านตะนาว
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่ตาพองร้องบอกกล่าว
หยิบงอบครอบหัวตัวสั่นท้าว อ้ายพ่อจ้าวชาวบ้านวานช่วยกัน
วัวน้ำวัวหลวงกูได้เลี้ยง อิฐมาเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่น
สาเหตุมีมาแต่กลางวัน คงได้เล่นเห็นกันอ้ายลันได
ทั้งนี้เพราะอีมะเหเสือ จะกินเลือดกินเนื้อกูให้ได้
ขว้างวังครั้งนี้ไม่มีใคร ชู้มึงฤๅมิใช่อีมารยา
พระฉวยได้ไม้ยุงปัดกวัดแกว่ง สำคัญว่าพระแสงขึ้นเงื้อง่า
เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยา วิ่งมาวิ่งไปอยู่ในครัว
ฯ ๘ คำ ฯ
 สับไทย
  เหม่เหม่ดูดู๋อีประแดะ ที่นี้แหละเห็นประจักษ์ว่ารักผัว
หากกูรู้ตัว หัวไม่แตกแตน
ขว้างแล้วหนีไป มิได้ตอบแทน
ยิ่งคิดยิ่งแค้น เลี้ยวแล่นไล่ตี
ฯ ๔ คำ ฯ
 รื้อ
  ทรงเอยทรงกระบอก น้องไม่เห็นด้วยดอกพระโฉมศรี
ปาวังครั้งนี้ มิใช่ชู้น้อง
สืบสมดังว่า สัญญาให้ถอง
วิ่งพลางทางร้อง ตีน้องทำไม
ฯ ๔ คำ ฯ
  เหลือเอยเหลือเถน ขัดเขมนขบฟันมันไส้
ปรานีมึงไย ใครใช้มีชู้
ไม่เลี้ยงเป็นเมีย ไปเสียอย่าอยู่
รั้ววังของกู ปิดประตูตีแมว
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  เมื่อนั้น นางประแดะเหนื่อยอ่อนลงนอนแส้ว
ยกมือท่วมหัวลูกกลัวแล้ว กอดก้นผัวแก้วเข้าคร่ำครวญ
ฯ ๒ คำฯ
 โอ้
  โอ้พระยอดตองของน้อยเอ๋ย กระไรเลยช่างสลัดตัดเด็ดด้วน
แม้นชั่วช้าจริงจังก็บังควร พ่อมาด่วนมุทะลุดุดันไป
จงตีแต่พอหลาบปราบพอจำ จะเฝ้าเวียนเฆี่ยนซ้ำไปถึงไหน
งดโทษโปรดเถิดพระภูวไนย น้องยังไม่เคยไกลพระบาทา
ถึงไม่เลี้ยงเป็นพระมเหสี จะขอพึ่งบารมีเป็นขี้ข้า
ไม่ถือว่าเป็นผัวเพราะชั่วช้า จะก้มหน้าเป็นทาสกวาดขี้วัว
สิบคนเข้าไม่เท่าคนหนึ่งออก อยู่กับคอกช่วยใช้พ่อทูลหัว
ร่ำพลางทางทุ่มทอดตัว ตีอกชกหัวแล้วโศกา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่ได้ฟังนางร่ำว่า
ให้นึกสมเพชเวทนา น้ำตาไหลนองสักสองครุ
หวนรำลึกนึกถึงอ้ายลันได กลับเจ็บใจไม่เหือดเดือดดุ
โมโหมืดหน้าบ้ามุทะลุ กระดูกผุเมื่อไรก็ไม่ลืม
กูไม่อยากเอาไว้ใช้สอย นึกว่าปล่อยสิงห์สัตว์วัดสามปลื้ม
แต่ชั้นทอผ้ายังคาฟืม ดีแต่ยืมเขากินอีสิ้นอาย
แม่เรือนเช่นนี้มิเป็นผล มันจะลวงล้วงก้นจนฉิบหาย
ไปเสียมึงไปไม่เสียดาย กูจะเป็นพ่อหม้ายสบายใจ
สาวสาวชาววังก็ยังถม ไม่ปรารมภ์ปรารี้จะมีใหม่
เก็บเงินค่านมผสมไว้ หาไหนหาได้ไม่ทุกข์ร้อน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะหูกลวงดวงสมร
สุดที่จะพรากจากจร บังอรข้อนทรวงเข้าร่ำไร
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้
  โอ้พ่อใจบุญของเมียเอ๋ย แปดค่ำพ่อเคยเชือดคอไก่
ต้มปลาร้าตั้งหม้อกับหน่อไม้ เมียยังอาลัยได้อยู่กิน
พราะเคยรีดนมวัวให้เมียขาย แม้สายที่ยังไม่หมดสิ้น
เหลือติดก้นกระบอกเอาจอกริน ให้เมียกินวันละนิดคิดทุกวัน
แต่พอพลบรบเมียเข้ากระท่อม พ่อนั่งกล่อมจนหลับแล้วรับขวัญ
ในมุ้งยุงชุมพ่อสุมควัน สารพันทรงศักดิ์จะรักเมีย
จะกินอยู่พูวายสบายใจ พ่อมอบไว้ให้วันละสิบเบี้ย
อกน้องดังไฟไหม้ลามเลีย จะทิ้งเมียเสียได้ไม่ไยดี
เที่ยงนางกลางคืนพ่อทูลหัว จะให้ออกนอกรั้วลูกกลัวผี
ก้นไต้ก้นไฟก็ไม่มี ผลัดรุ่งพรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ
ถึงจะไม่ได้อยู่บนตำหนัก ขอพึ่งพักอาศัยเพียงใต้ถุน
ยกโทษโปรดเถิดพ่อใจบุญ เสียแรงได้เลี้ยงขุนมีคุณมา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่ได้ฟังชังน้ำหน้า
น้อยฤๅอีขี้เค้าเจ้าน้ำตา ยังจะร่ำไรว่ากวนใจกู
เมินเสียเถิดหวาอีหน้ารุ้ง อย่าพูดอยู่ข้างมุ้งรำคาญหู
ไสหัวมึงออกนอกประตู ขืนอยู่ช้าไปได้เล่นกัน
ว่าพลางปิดบานทวารโผง เข้าในห้องท้องพระโรงขมีขมัน
ยกหม้อตุ้งก่าออกมาพลัน พระทรงศักดิ์ชักควันโขมงไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นชลนัยน์ จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้าการ
แต่ทุบตีมิหนำแล้วซ้ำขับ ให้อายอับเพื่อนรั้วหัวบ้าน
เช้าค่ำร่ำว่าด่าประจาน ใครจะทานทนได้ในฝีมือ
กูจะหาผัวใหม่ให้ได้ดี เอาโยคีกินไฟไม่ได้ฤๅ
ไหนไหนชาวเมืองก็เลื่องฦๅ อึงอื้ออับอายขายพักตรา
คว้าถุงเบี้ยได้ใส่กระจาด ฉวยผ้าแพรขาดขึ้นพาดบ่า
ลงจากบันไดไคลคลา น้ำตาคลอคลอจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
 โอ้ร่าย
  ครั้นมาพ้นคอกวัวรั้วตราง เหลียวหลังดูปรางค์ปราสาทศรี
เคยได้ค้างกายมาหลายปี ครั้งนี้ตกยากจะจากไป
หยุดยืนสะอื้นอยู่อืดอืด เดือนก็มืดเต็มทีไม่มีไต้
ฝนตกพรำพรำทำอย่างไร ก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ที่ร้าน
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
 ช้า
  เมื่อนั้น โฉมระเด่นลันไดใจหาญ
ครั้นพลบค่ำเข็นบันไดไว้นอกชาน ยกเชิงกรานสุมไฟใส่ฟืนตอง
แล้วเอนองค์ลงเหนือเสื่อกระจูด นอนนิ่งกลิ้งทูดอยู่ในห้อง
เสนาะเสียงสำเนียงพิราบร้อง ครางกระหึมครึ้มก้องบนกบทู
แว่วแว่วเค้าแมวในกลีบเมฆ ดูวิเวกลงหลังคาเที่ยวหาหนู
พระเผยบัญชรแลชะแง้ดู ดาวเดือนรุบรู่ไม่เห็นตัว
พระพายชายพัดอุตพิด พระทรงฤทธิ์เต็มกลั้นจนสั่นหัว
หอมชื่นดอกอัญชันที่คันรั้ว ฟุ้งตระหลบอบทั่วทั้งวังใน
ฯ ๘ คำ ฯ
 ร่าย
  หวนรำลึกนึกถึงนางประแดะ ที่นัดแนะแต่เย็นเป็นไฉน
ดึกแล้วแก้วตาเห็นช้าไป จะร้องไห้รำพึงถึงพี่ชาย
จำจะไปให้ทันดังสัญญา ได้ย่องเบาเข้าหานางโฉมฉาย
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกาย สวมประคำดีควายสำหรับตัว
แหงนดูฤกษ์บนฝนพยับ เดือนดับลับเมฆขมุกขมัว
ลงบันไดเดินออกมานอกรั้ว โพกหัวกลัวอิฐคิดระอา
หลายครั้งตั้งแต่มันทิ้งกู พระโฉมตรูเหลือบซ้ายแลขวา
แล้วผาดแผลงสำแดงเดชา เดินมาตามตรอกซอกกำแพง
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
  ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงคอกโคขัง จะเข้าได้ดอกกระมังยังไม่แจ้ง
เห็นกองไฟใส่สุมอยู่แดงแดง แอบแฝงฟังอยู่ดูท่าทาง
เห็นทีท้าวประดู่ผู้ผัว จะนอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง
แต่โฉมศรีนิฤมลอยู่บนปรางค์ กูจะขึ้นหานางทางล่องแมว
จึงกลิ้งครกที่ใต้ถุนเข้าหนุนตีน พระโฉมฉายป่ายปีนอยู่แด่วแด่ว
อกใจไม้ครูดขูดเป็นแนว จะเห็นรักบ้างแล้วฤๅแก้วตา
พระประหวั่นพรั่นตัวกลัวจะตก ทำหนูกกเจาะเจาะเกาะข้างฝา
ไฉนไม่คอยกันดังสัญญา อนิจจานอนได้ไม่คอยรับ
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่สุริวงศ์โก้งโค้งหลับ
พอปราสาทสะเทือนไหวตกใจวับ ลุกขยับนิ่งฟังนั่งหลับตา
คิดว่ามเหสีที่ถูกถอง แสบท้องหายโกรธเข้ามาหา
ให้นึกสมเพชเวทนา สู้ทนทานด้านหน้ามาง้องอน
จะขับหนีตีไล่ไม่ไปจาก อีร่วมเรือนเพื่อนยากมาแต่ก่อน
แล้วคลี่ผ้าคลุมหัวล้มตัวนอน พระภูธรทำเฉยเลยหลับไป
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ลันไดล้วงสลักชักกลอนได้
เปิดประตูเยื้องย่องเข้าห้องใน เข้านั่งใกล้ในจิตคิดว่านาง
สมพาสยักษ์ลักหลับขึ้นทับบน ท้าวประดู่เต็มทนอยู่ข้างล่าง
พระสร้วมสอดกอดไว้มิได้วาง ช้อนคางพลางจูบแล้วลูบคลำ
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวประดู่ผุดลุกขึ้นปลุกปล้ำ
ตกใจเต็มทีว่าผีอำ ต่างคนต่างคลำกันวุ่นไป
เอ๊ะจริตผิดแล้วมิใช่ผี จะว่าพระมเหสีก็มิใช่
ขนอกรกหนักทักว่าใคร ตกใจฉวยตระบองร้องว่าคน
ลันไดโดดโผนโดนประตู ท้าวประดู่ร้องโวยขโมยปล้น
ตะโกนเรียกเสนาสามนต์ มันไม่มีสักคนก็จนใจ
ระเด่นโดดโลดออกมานอกรั้ว ผิดตัวแล้วกูอยู่ไม่ได้
ก็ผาดแผลงสำแดงฤทธิไกร วิ่งไปตามกำลังไม่รั้งรอ
ฯ ๘ คำ ฯ
  หมาหมูกรูไล่ไม่มีขวัญ ปล่อยชันสามขาเหมือนม้าห้อ
เต็มประดาหน้ามืดหืดขึ้นคอ ต้องหยุดยั้งรั้งรอมาตามทาง
ถึงโดยจะไล่ก็ไม่ทัน ผิดนักสู้มันแต่ห่างห่าง
พอแว่วสำเนียงเหมือนเสียงคราง อยู่ในร้านริมข้างหนทางจร
เอ๊ะผีฤๅคนขนลุกซ่า พระหัตถ์คว้าฉวยอิฐได้สองก้อน
หยักรั้งตั้งท่าจะราญรอน นี่หลอกหลอนเล่นข้าฤๅว่าไร
ครั้นได้ยินเสียงชัดเป็นสัตรี จะลองฤทธิ์สักทีหาหนีไม่
กำหมัดเยื้องย่องมองเข้าไป แก่สาวคราวไหนจะใคร่รู้
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะนั่งซุ่มคลุมหัวอยู่
สาระวนโศกาน้ำตาพรู เห็นคนย่องมองดูก็ตกใจ
พอฟ้าแลบแปลบช่วงดวงพักตร์ เห็นระเด่นรู้จักก็จำได้
ทั้งสองข้างถ้อยทีดีใจ ทรามวัยกราบก้มบังคมคัล
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ระเด่นเห็นนางพลางรับขวัญ
นั่งลงซักไซ้ไล่เลียงกัน ไฉนนั่นกัลยามาโศกี
พี่หลงขึ้นไปหานิจจาเอ๋ย ไม่รู้เลยน้องแก้วแคล้วกับพี่
พี่ไปพบท้าวประดู่ผู้สามี เกิดอึงมี่ตึงตังทั้งพารา
มันจะกลับจับพี่เป็นผู้ร้าย จะฆ่าเสียให้ตายก็ขายหน้า
เขาจะค่อนติฉินนินทา อดสูเทวาสุราลัย
จะเอาเมียแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัว คิดกลัวบาปกรรมไม่ทำได้
พี่ขอถามสาวน้อยกลอยใจ เป็นไฉนกัลยามาโศกี
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น นางประแดะดวงยี่หวามารศรี
สะอื้นพลางทางทูลไปทันที ทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว นางตีอกชกหัวแล้วร้องไห้
ยังจะกลับมาเยาะนี่เพราะใคร ดูแต่หลังไหล่เถิดพ่อคุณ
เขาขับหนีตีไล่ไสหัวส่ง เพราะพระองค์ทำความจึงวามวุ่น
แต่รอดมาได้เห็นก็เป็นบุญ อย่าอยู่เลยพ่อคุณเขาตีตาย
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ลันไดได้ฟังนางโฉมฉาย
เขม้นมองดูหลังยังไม่ลาย พระจูบซ้ายจูบขวาห้าหกที
เอาพระหัตถ์ช้อนคางแล้วพลางปลอบ อย่าพะอืดพะออบเลยโฉมศรี
จะละห้อยน้อยใจไปไยมี บุญพี่กับนางได้สร้างมา
อันระตูฤๅจะคู่กับนางอนงค์ มิใช่วงศ์อสัญแดหวา
โฉมเฉลาเจ้าเหมือนบุษบา จรกาฤๅจะควรกับนวลน้อง
ถ้าเป็นระเด่นเหมือนเช่นพี่ จึงควรที่ร่วมภิรมย์ประสมสอง
ตรัสพลางทางชวนนวลละออง เยื้องย่องนำหน้าพานางเดิน
ฯ ๘ คำ ฯ
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนตำหนัก ตงหักกลัวจะตกงกเงิ่น
ค่อยพยุงจูงนางย่างดำเนิน ชวนเชิญโฉมเฉลาเข้าที่นอน
ลดองค์ลงเหลือที่ไสยาสน์ พระยี่ภู่ปูลาดขาดสองท่อน
แล้วจึงมีมธุรสสุนทร อ้อนวอนโฉมเฉลาให้เข้ามุ้ง
ฯ ๔ คำ ฯ
 โอ้โลม
  โฉมเอยโฉมเฉิด เอนหลังบ้างเถิดจวนจะรุ่ง
เสียแรงพี่รักเจ้าเท่ากระบุง จะไปนั่งทนยุงอยู่ทำไม
เชิญมาร่วมเรียงเคียงเขนย อย่าทุกข์เลยที่จะหามาเลี้ยงให้
เรามั่งมีศรีสุขทุกข์อะไร เงินทองถมไปที่ในคลัง
แต่ข้าวสารให้ทานพี่นี้ฤๅ ไม่พักซื้อได้ขายเสียหลายถัง
ทั้งปลาแห้งปลาทูปูลัง เสบียงกรังมีมากไม่ยากจน
ขี้คร้านขายนมวัวเหมือนผัวเจ้า พี่ได้เปล่าสารพัดไม่ขัดสน
จงนั่งกินนอนกินสิ้นกังวล พี่จะขวนขวายหาเอามาเลี้ยง
ว่าพลางทางตระโบมโลมเล้า อะไรเล่าฮึดฮัดเฝ้าวัดเหวี่ยง
อุแม่เอ๋ยมิให้เข้าใกล้เคียง จะตกเตียงลงไปแล้วแก้วกลอยใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น นางประแดะคลุ้มคลั่งผินหลังให้
ถอยถดขยดหนีภูวไนย นี่อะไรน่าเกลียดเบียดคะยิก
ลูกผัวหัวท้ายเขาไม่ขาด ทำประมาทเปล่าเปล่าเฝ้าหยุกหยิก
ปัดกรค้อนควักผลักพลิก อย่าจุกจิกกวนใจไม่สบาย
อย่าพักอวดสมบัติพัสถาน ไม่ต้องการดอกจะสู้อยู่เป็นหม้าย
หนีศึกปะเสือเบื่อจะตาย เฝ้ากอดก่ายไปได้ไม่ละวาง
ฯ ๖ คำ ฯ
 ชาตรี
  สุดเอยสุดลิ่ม เชิญผินหน้ามายิ้มกับพี่บ้าง
เฝ้าถือโทษโกรธเกรี้ยวไปเจียวนาง ไม่เห็นอกพี่บ้างที่อย่างนั้น
เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดใครอดได้ พี่ก็ไม่มีคู่ตุนาหงัน
ตั้งแต่นวดปวดท้องมาสองวัน ใครจะกลั้นอดทนพ้นกำลัง
ทำไมกับลูกผัวกลัวมันไย ผิดก็เสียสินไหมให้ห้าชั่ง
จูบเชื่อเสียก็ได้แล้วไม่ฟัง ลูบหน้าลูบหลังนั่งแอบอิง
น้อยฤๅนมแต่ละข้างช่างครัดเคร่ง ปลั่งเปล่งใจหายคล้ายกล้วยปิ้ง
อุ้มขึ้นใส่ตักรักจริงจริง อย่าสะบิ้งสะบัดตัดไมตรี
ยิ่งดิ้นยิ่งกอดสอดสัมผัส อุยหน่าอ่ากัดพระหัตถ์พี่
ปัดป้องว่องไวอยู่ในที จนล้มกลิ้งลงบนที่บรรทมใน
อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้อง ฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไป หลังคาพาไลแทบเปิดเปิง
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่ ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิง อึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
นกกระจอกออกจากวิมานมะพร้าว ต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ
ขนคางหางปีกเปียกจนมอซอ ฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม
 ช้า
  เมื่อนั้น นางประแดะหูกลวงห่วงสงสาร
ได้ร่วมรักชักเชยก็ชื่นบาน เยาวมาลย์หมอบเมียงเคียงกาย
แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้ง นางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพราย โฉมฉายขวั้นอ้อยคอยแก้คอ
ถูกเข้าสามจะหลิ่มยิ้มแหยะ นางประแดะสรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
พระโฉมยงทรงขับรับเพลงซอ ฉลองหอทรงธรรม์แล้วบรรทม
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
 ช้า
  มาจะกล่าวบทไป ถึงนางกระแอทวายขายขนม
เจ้าเงินโปรดปรานพานอุดม นุ่งห่มผืนผ้าค่าบาทเฟื้อง
ผูกดอกออกจากฟากเรือนนาย ลดเลี้ยวเที่ยวขายข้าวเหนียวเหลือง
ตามตลาดเสาชิงช้ามาเนืองเนือง ปลดเปลื้องเฟื้องไพได้ทุกวัน
กับโฉมยงองค์ระเด่นลันได รักใคร่กันอยู่ก่อนเคยผ่อนผัน
เชื่อถือซื้อขายเป็นนิรันดร์ เว้นวันสองวันหมั่นไปมา
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  วันเอยวันหนึ่ง คิดถึงลันไดจะไปหา
นึ่งข้าวเหนียวใส่กระจาดยาตรา ตรงมาหาชู้คู่ชมเชย
เที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร้องแล้วท่องเที่ยว ซื้อข้าวเหนียวหน้ากุ้งกินแม่เอ๋ย
ที่รู้จักทักถามกันตามเคย บ้างเยาะเย้ยหยอกยื้อซื้อหากัน
พอเวลาตลาดวายสายแสง กระเดียดตะแกรงกรีดกรายผายผัน
ทอดกรอ่อนคอจรจรัล มาปราสาทสุวรรณเจ้าลันได
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
  ครั้นถึงจึงขึ้นบนนอกชาน เห็นทวารบานปิดคิดสงสัย
ทั้งเสียงคนพูดกันอยู่ชั้นใน ทรามวัยแหวกช่องมองดู
เห็นโฉมยงองค์ประแดะกับระเด่น คลี่ผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่
โมโหมืดหน้าน้ำตาพรู ดังหัวหูจะแยกแตกทำลาย
นี่เมียอ้ายประดู่อยู่หัวป้อม ไยจึงมายินยอมกันง่ายง่าย
ทั้งสี่จักรยักหล่มถ่มร้าย มันจะให้ฉิบหายขายตน
ชิชะเจ้าระเด่นพึ่งเห็นฤทธิ์ แต่ผ้านุ่งยังไม่มิดจะปิดก้น
จองหองสองเมียจะเสียคน คิดว่ายากจนเฝ้าปรนปรือ
จึงแกล้งเรียกพลันเจ้าลันได ค่าข้าวเหนียวสองไพไม่ให้ฤๅ
ผ่อนผัดนัดหมายมาหลายมื้อ แม่จะยื้อให้อายขายหน้าเมีย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้น โฉมระเด่นลันไดแรกได้เสีย
กำลังนั่งเคล้าเฝ้าคลอเคลีย ชมโฉมโลมเมียอยู่ริมมุ้ง
ยกบาทพาดเพลาเกาสีข้าง สัพยอกหยอกนางอย่างลิงถุง
แล้วยื่นมือมาจี้เข้าที่พุง นางสะดุ้งดุกดิกพลิกตะแคง
เขาจะนอนดีดีเฝ้าจี้ไช ช่างกระไรหน้าเป็นเอ็นแข็ง
จะนิ่งอยู่สักประเดี๋ยวทำเรี่ยวแรง มาแหย่แย่งกวนใจไปทีเดียว
พอระเด่นได้ยินเสียงเรียกหา ก็รู้ว่าชู้เก่าเจ้าข้าวเหนียว
จึงร้องว่าใครนั่นขันจริงเจียว จะมาเที่ยวจัณฑาลพาลเอาความ
ค่าข้าวเหนียวสองไพข้าให้แล้ว มาทำเสียงแจ้วแจ้วไม่เกรงขาม
ไม่ได้ติดค้างมาอย่าวู่วาม ลุกลามสิ้นทีมีแต่อึง
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
  เมื่อนั้น นางทวายยิ่งพิโรธโกรธขึ้ง
ยืนกระทืบนอกชานอยู่ตึงตึง หวงหึงด่าว่าท้ายทาย
นี่แน่อ้ายสำเร็จเจ็ดตะคุก มาลืมคุณข้าวสุกเสียง่ายง่าย
กูเชื่อหน้าคิดว่าลูกผู้ชาย จึงสู้ขายติดค้างยังไม่รับ
ช่างโกหกพกลมประสมประสาน จะประจานเสียให้สมที่สับปลับ
แต่เบี้ยติดสองไพยังไม่รับ กูสิ้นนับถือแล้วอ้ายลันได
ฯ ๖ คำฯ
  เมื่อนั้น ระเด่นตอบตามอัชฌาสัย
เขาขี้คร้านพูดจาอย่าหนักไป ข้ารู้ใจเจ้าดอกกัลยา
เจ้าพิโรธโกรธขึ้งเพราะหึงหวง จึงจาบจ้วงล่วงเกินเป็นหนักหนา
ข้าผิดแล้วกลอยใจได้เมตตา เชิญเข้าเคหาปรึกษากัน
ฯ ๔ คำ ฯ




  • บทละคร เรื่อง พระมะเหลเถไถ
  • ของ
  • คุณสุวรรณ



อธิบายเรื่องบทละครของคุณสุวรรณ

มีผู้ได้ไต่ถามแลเตือนมาเนือง ๆ ว่า เหตุใดหอพระสมุดฯ จึงไม่พิมพ์บทละครของคุณสุวรรณ เหตุนั้นก็บอกได้โดยง่ายว่า เพราะหอพระสมุดฯ หาฉบับยังไม่ได้ จึงมิได้พิมพ์ มาบัดนี้ หาฉบับได้ หอพระสมุดฯ จึงพิมพ์บทละครของคุณสุวรรณทั้ง ๒ เรื่องไว้ในสมุดเล่มนี้ให้ได้อ่านกันตามปรารถนา

แต่ผู้ที่ยังไม่ทราบเค้ามูลเรื่องบทละครของคุณสุวรรณเห็นจะมีในชั้นนี้มากด้วยกัน ถ้าไม่อธิบายให้ทราบ น่าจะพากันเห็นเป็นการแปลกประหลาดที่หอพระสมุดฯ เอาหนังสือเช่นนี้มาพิมพ์ เพราะที่แท้เป็นบทบ้าแต่ง มิใช่บทละครอย่างปรกติ เพราะฉะนั้น จำจะต้องชี้แจงให้ทราบเรื่องเดิมแลข้อขำของบทละครคุณสุวรรณเสียก่อน

คุณสุวรรณผู้แต่งบทละคร ๒ เรื่องนี้เป็นธิดาพระยาอุไทยธรรม (กลาง) ราชินิกุลบางช้าง มีอุปนิสัยใจรักการแต่งกลอนมาแต่ยังเด็ก ได้ถวายตัวทำราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุลเมื่อในรัชกาลที่ ๓ อยู่ที่ตำหนักพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ในชั้นนั้น คุณสุวรรณได้แต่งกลอนเพลงยาวเป็นนิราศเรื่องกรมหมื่นอัปสรฯ ประชวร[1] ยังปรากฏอยู่เรื่อง ๑ นอกจากเพลงยาวนิราศแลบทละครที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ กลอนของคุณสุวรรณคงมีเรื่องอื่นอีก แต่ยังหาพบไม่ เมื่อกรมหมื่นอัปสรฯ สิ้นพระชนม์แล้ว คุณสุวรรณก็อยู่ในพระราชวังต่อมา แต่ไม่ปรากฏว่า ทำราชการในตำแหน่งพนักงานใด

คุณสุวรรณมามีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อรัชกาลที่ ๔ เหตุด้วยเสียจริต แต่ไม่คลั่งไคล้อันใด เป็นแต่ฟุ้งไปในกระบวนแต่งกลอน จึงแต่งบทละคร ๒ เรื่องที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ เรียกกันว่า เรื่องพระมะเหลเถไถ เรื่อง ๑ กับอุณรุทร้อยเรื่อง อีกเรื่อง ๑ เล่ากันมาว่า คุณสุวรรณอยู่เรือนที่แถวนอก ใครไปหา ถ้าบอกว่า อยากจะฟังบทละครที่แต่งใหม่ คุณสุวรรณก็ว่าบทละคร ๒ เรื่องนี้ให้ฟังโดยจำไว้ได้แม่นยำ ผู้ที่ได้ฟังเห็นขบขันก็พากันชอบ ที่จำได้บ้างก็มาว่าให้ผู้อื่นฟังต่อ ๆ มา เพราะฉะนั้น บทละครของคุณสุวรรณจึงแพร่หลาย พวกผู้ดีชาววังจำกันได้มากบ้างน้อยบ้างแทบจะไม่เว้นตัว แต่ที่ได้จดไว้เป็นตัวอักษรนั้นน้อยแห่ง ครั้นนานมา จึงหาฉบับยาก

คุณสุวรรณถึงแก่กรรม[2] เมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ แต่บทละครของคุณสุวรรณยังมีผู้จำได้เป็นตอน ๆ แลว่าให้กันฟังสืบต่อมา พึ่งพบฉบับที่ได้เขียนไว้ที่ได้มาพิมพ์ในสมุดเล่มนี้

บทละครของคุณสุวรรณที่เป็นของแปลกนั้น คือ:– บทละครเรื่องพระมะเหลเถไถ คุณสุวรรณแต่งเป็นภาษาบ้างไม่เป็นภาษาบ้างปะปนกันไปแต่ต้นจนปลาย แต่ใครอ่านก็เข้าใจความได้ตลอดเรื่อง ความขบขันอยู่ที่ตรงข้อนี้ ส่วนบทละครอุณรุทร้อยเรื่องนั้น คุณสุวรรณเกณฑ์ให้ตัวบทในละครเรื่องต่าง ๆ มารวมกันอยู่ในเรื่องเดียว ถ้าดูโดยกระบวนความ อยู่ข้างจะเลอะ แต่ไปดีทางสำนวนกลอนกับแสดงความรู้เรื่องละครต่าง ๆ กว้างขวาง เพราะในสมัยนั้น บทละครยังมิได้พิมพ์ คุณสุวรรณคงต้องพยายามมากทีเดียว จึงได้รู้เรื่องละครต่าง ๆ มากถึงเพียงนั้น แต่มีอยู่บท ๑ ในอุณรุทร้อยเรื่องของคุณสุวรรณซึ่งควรสรรเสริญในกระบวนความว่า เป็นความคิดแปลกดี คือ บทจำแลงตัวซึ่งพิมพ์อยู่หน้า ๔๙ ในสมุดเล่มนี้

กรรมการหอพระสมุดฯ หวังใจว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้ทราบเค้ามูลของบทละครคุณสุวรรณดังแสดงมา คงจะพอใจอ่านบทละครของคุณสุวรรณทั่วกัน


ดำรงราชานุภาพ
สภานายก
  • หอพระสมุดวชิรญาณ
  • วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓



บทละคร เรื่อง พระมะเหลเถไถ
ของ คุณสุวรรณ
 ช้าปี่
  เมื่อนั้น พระมะเหลเถไถมะไหลถา
สถิตยังแท่นทองกะโปลา สุขาปาลากะเปเล
วันหนึ่งพระจึงมะหลึกตึก มะเหลไถไพรพรึกมะรึกเข
แล้วจะไปเที่ยวชมมะลมเต มะโลโตโปเปมะลูตู
ตริแล้วพระมะเหลจึงเป๋ปะ มะเลไตไคลคละมะหรูจู๋
จรจรัลตันตัดพลัดพลู ไปสู่ปราสาทท้าวโปลา
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
 ร่าย
  ครั้นถึงจึงเข้าตะหลุดตุด ก้มเกล้าเค้าคุดกะหลาต๋า
มะเหลไถกราบไหว้ทั้งสองรา จึงแจ้งกิจจามะเลาเตา
ด้วยบัดนี้ตัวข้ามะเหลเถ ไม่สบายถ่ายเทกะเหงาเก๋า
จะขอลาสองราหน้าเง้าเค้า เที่ยวมะไลไปเป่าพนาวัน
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท่านท้าวโปลากะปาหงัน
กับนางตาลากะปาลัน ได้สดุบตรุบหันมะเลเท
มะลอกทอกบอกว่าจะลาไป พนาปำทำไมจะไพล่เผล
มะเลอเตอเป๋อเปื้อนเที่ยวเชือนแช จึงตรัสห้ามมะเหลเถมะเลทา
เจ้าอย่าไปไชเชกะเปลู จงเอ็นดูพ่อเถิดมะไหลถา
พระมะเหลไถเฝ้ามะเลาชา ก็จำให้ลูกยามะลาปอง
ฯ ๖ คำ
  เมื่อนั้น มะเหลไถทูลลามาหงองก๋อง
จึงตรัสสั่งเสนากะจารอง ให้ผูกม้าปาป๋องกะงึงกึง
ฯ ๒ คำ ฯ
  บัดนั้น เสนารับสั่งกะงังกึ่ง
ไม่นั่งนิ่งวิ่งไปมะลึงตึง มะลันตันครั้นถึงจึงบอกกัน
ว่าบัดนี้มีรับสั่งมะเหลเถ ให้ผูกม้าปาเปกะหงันกั๋น
จะเสด็จเตร็จเตร่มะเลตัน ว่าแล้วชวนกันมะแลงแตง
ฯ ๔ คำ ฯ
 ยานี
  ผูกเบาะอานพานหน้ามะเหลาะเตาะ เข็มสลักปักเปาะกะแง๋งแก๋ง
เตรียมทั้งพหลพลแปงแมง แล้วไปทูลแถลงมะแรงตา
ฯ ๒ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น พระมเหลเถไถมะไหลถา
ได้ฟังเสเนาทะเลาปา เสด็จมาที่สรงมะลงโช
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 โทน
  สระสรงทรงสุคนธ์ปนตลึก ลูบไล้ไป่ปึกกะโง๋โก๋
สนับเพลาเชิงไชกะไรโจ ภูษาสีสะโรกะโปลัน
เจียรบาดปักทองกะลองเต็ด ปั้นเหน่งเพชรสายสอดจรอดฉัน
ฉลององค์อย่างน้อยกะปอยลัน มะลวงชวงปวงปันคั่นทองกร
มงกุฎแก้วแวววาบมะราบรับ กรรเจียกจันปันกับมะหลอนฉอน
ธำมรงค์จินดากะราชอน ตลุดฉุดอรชรมะลอนชัน
ดูเลือบเชือบเหลือบแลกะโปงโลง งามดังปังโปงกำงั๋นกั๋น
กะงวยกวยฉวยพระแสงมะแรงตัน มอระตอก็รันขึ้นอาชา
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
 ร่าย
  พร้อมหมู่โยธาพะลาแหน พลาหับนับแสนแน่นหนา
ได้ฤกษ์เลิกพหลมะลนทา ออกจากภารากะปาโล
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
 ชมดง
  พระชมเขาเนาเนินกะหรกกก รุกขชาติดาษดกมะโหลโต๋
มะลาตันสาระพันกะลันโป กะลาปียี่โถมะโยตัน
มะโยติงปริงปรางลางสาบ ลางสาดหาดหาบมะหลันปั๋น
มะลันปีสีเสียดประเหยียดกัน ประยงค์แก้วแถวพันมะลันดา
มาลีดวงพวงช่อมะลอชร มาลีชาดมาดซ้อนมะรอนฉา
มะรินชิงจิงจ้อมะยอตา มะยมเต็มเข็มลามะกาโล
มะกาลิงปิงปุ่มกะทุ่มท้อน กะทิงถินกลิ่นขจรมะลอนโหว
มะลิวันมันโมกกะโหลกโก กุหลาบแกมแนมโยทกาลี
กาหลงชงโคมะโยแป๋ว มะโยปมนมแมวมะแลวฉี
มะลัยฉาวสาวหยุดมะลุดลี มะลิลาสารภีมะลีโช
พระชมปักษากะลาชอน กะลาฉินบินว่อนกะล่อนโฉ
กะลิงเฉียบเหยียบแต้วเค้าแมวโม เค้าเมงหมิ่นผินโผพะโวตา
พะวาติบจิบจาบคาบไข่ ขาบเคียงเขาไฟไถลถา
ถลาโถมโจมจับมารับกา รับกันจำพันจากะสาลม
กะสาเล่นเบญจวันมะลันปี มะลันโปโนรีมะลีสม
มะลาโสนโกญจากะทาทม กะทาเทืองเงื่องงมมะลมปา
มะลาปิงคลิ้งโคลงอีโลงแล่น อีลุ้มลี้อีแอ่นกะแรนฉา
กะเรียนฉาบคาบคั้นมะรันบา มาร่อนบินกินหว้ามะลาแชง
มะลาชัดสัตวากระสาสูง กระแสเสียงเถียงยูงกะรูงแฉ่ง
กะรอกฉวยกล้วยไม้ดูไวแวง ดุเหว่าหวานขานแข่งระแวงวัง
ระเวงแว่วแจ้วเจื้อยระเรื่อยร้อง ระเรื่อยรี่มี่ก้องมะลองกั๋ง
มะเลียบกิ่งทิ้งถ่อนมะลอนกัง มะเล่นกิ่งชิงรังมะลังโต
มาโลดเต้นเม่นหมีชะนีบ่าง ชะนีแบดแรดช้างกะงางโก๋
กะแหงนเกยเสยแทงทะโยงโย ทะยานโยกโศกโสทะโลเป
ทลายป่นกล่นเกลื่อนทะเลือนเท่า ถลาโถมถล่มเท้าทะเลาเส
ถลันสำถลำสวบระยวบเย ระยำทับเทมะเลทอน
มะไลโทโคถึกมฤคี มฤคาพาชีมะหลอนฉอน
มาลบเชือเสือสิงห์มหิงส์จร มหาใจไกรสรมะลอนชา
ฯ ๒๘ คำ ฯ เชิด
 สมิงทอง
  เมื่อนั้น พระมะเหลเถไถมะไหลถา
เพลิดเพลินฤทัยมะไลทา ลืมทุกข์สุขามะลาจี
ละเลิงจนสนธยาหัสดง หัสดับลับลงคีรีศรี
พระจึงมีสิงหนาทประภาษพี สั่งพวกเสนีมะลีทา
ให้ยับยั้งพหลกะรนจง กะร้อมชอมล้อมวงมะรงฉา
แล้วให้ช่วยกันมะรันทา มะเรทับพลับพลาพนาลี
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  บัดนั้น เสนารับสั่งมาลังปี๋
มะลุกปุกคุกเข่ามะเลาตี มะรันทังดังมีมะลีทา
เกณฑ์กันฟันแฝกมะแลกแจง คัดขุดลุดแชงมะแลงฉา
กะรับชับสรรพเสร็จมะเร็จตา สำเร็จตามบัญชามะลาเท
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
  เมื่อนั้น พระมเหลเถไถมะไหลเถ
เสด็จขึ้นพลับพลามะลาเท มะไหลถอนนอนเอ้ทะเวกา
ฯ ๒ คำ ฯ
 ช้า
  เทวศกายคายคันรัญจวน ร้อนใจใคร่ครวญหวนหา
หวนโหยโดยดิ้นในวิญญา วิญญากจากปรามะราโท
มาแรมทางกลางป่าพนาดร พนาแดนศิงขรมะยอนโฉ
มาเย็นเฉื่อยเรื่อยร้างน้ำค้างโพร น้ำค้างพรมลมโวมะโรตอน
มารื่นต่างนางในรำไพพัด รำเพยเพียงเคียงรัตน์ปัจถรณ์
ประทมที่ศรีใสจะไลชอน จนหลับชิดสนิทนอนมะลอนชา
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
 ยานี
  มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวหัสไนยมะไหลถา
สถิตที่วิมานมะลานชา กายารุ่มร้อนมะลอนจี
จึงเล็งทิพเนตรมะเลดป่า ในชมพูแผ่นหล้ามะลาถี
เห็นพระมะเหลเถทะเวที มาแรมร้างค้างที่มะลีไช
เพราะไม่มีคู่จรูสม เสวยรมย์ราชามะลาไส
ผู้เดียวเปลี่ยวองค์มะลงไต จำเราจะให้มะไลทา
อันลูกท้าวไทมะไลที เลิศล้ำนารีมะลีถา
ชื่อนางตะแลงแกงมะแลงกา วาสนาควรคู่มะลูตอง
อัมรินทร์จินตนาแล้วลาเชด เหาะระเห็จจากวิมานมะลานถอง
มายังกรุงไกรมะไลทอง โดยจิตคิดปองมะรองแทง
ฯ ๑๐ คำ ฯ เหาะ
 ร่าย
  ครั้นถึงซึ่งพารามะลาตั๋ง โกสีย์ลงยังมะลังแต๋ง
เข้าไปในปรางค์มะรางแชง อุ้มองค์ตะแลงแกงตะแลงมา
ฯ ๒ คำ ฯ
  เหาะลิ่วปลิวฟ้ามาฉับพลัน ถึงพลับพลาสุวรรณมะลันถา
วางองค์ลงใกล้มะไลชา อัมราพินิจมะลิดจู
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชมโฉม
  งามดังสุริยันมะลันตอน เคียงดวงศศิธรมะลอนฉู
จะดูไหนวิไลกะไรตู สมสองครองคู่จะลูเจ
ดูโฉมตะแลงแกงแมลงกัด งามดังเพชรรัตน์มะลัดเถ
งามพระมเหลไถมะไลเท ดังสุวรรณอันเอละเลทา
สมวงศ์ทรงศักดิ์จักรพรรดิ์ สมเชื้อเนื้อกษัตริย์มะลัดถา
สมทรงคงครองกะรองปา เป็นมหาจรรโลงมะโรงกี
แล้วท้าวหัสนัยน์มะไลถา ก็ออกจากพลับพลาพนาศรี
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธี ไปสู่ที่วิมานมะลานทา
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
 ร่าย
  เมื่อนั้น พระมะเหลเถไถมะไหลถา
ผวาตื่นฟื้นจากมะรากปา เห็นนางกัลยามะลาที
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชมโฉม
  พระเพ่งพินิจมะลิดตัก ประไพพักตร์เพียงจันทร์มะลันถี
อรชรอ้อนแอ้นมะแรนจี เลิศล้ำนารีมะลีทา
ฤๅหนึ่งนางในมะไลจึก พระไพรพฤกษ์พระไทรมะไลต๋า
แกล้งจำแลงแปลงกายมะไลทา มาหลอกเล่นเห็นมามะลาตม
ฤๅหนึ่งยักษ์ขินีผีไพร มาคิดปองลองใจมะไลถม
จึงทรงโฉมโสภามะลางม จำจะปลุกชวนชมขึ้นลมปู
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  คิดพลางทางอิงมะลิงออง ค่อยประคองปลุกนางมะลางฉู
เจ้างามชื่นตื่นเถิดมะเลิศตู แล้วเล้าโลมโฉมตรูมะลูเตา
ฯ ๒ คำ ฯ
  เมื่อนั้น โฉมนางตะแลงแกงมะแลงเก๋า
ลืมเนตรเห็นองค์มะลงเทา นงเยาว์เคืองขัดปัดกร
เออไฉนไยทำกะลำกัก มาหาญหักไม่เกรงมะเลงฉอน
ข้าอยู่ถึงภารากะลาตอน ไปลักพามาชอนมะลอนไชย
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระมะไหลไถเถมะเหลไถ
ได้ฟังพจนามะลาไท ภูวไนยจึงมีมะลีทา
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้โลม
  โฉมเฉลา พี่จะเล่าให้แจ้งมะแลงก๋า
เดิมทีพี่จากมะรากกา มาเที่ยวเล่นป่ามะลาไช
พอค่ำย่ำแสงมะแลงชอน พี่ดะหลุดหยุดนอนมะลอนไฉ
เป็นกุศลดลจิตมะลิดไท เคียงได้เคียงคู่มะลูทอง
ชะรอยว่าเทวัญมะลันที อุ้มองค์มารศรีมาสมสอง
จึงได้ประสบมะลบออง นวลน้องเจ้าอย่าเขินมะเลินใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น โฉมนางตะแลงแกงมะแลงไก๋
ได้ฟังถ้อยคำมะลำไท ทรามวัยจึงตอบมะลอบที
ไปว่าเอาเทวัญมะลันตู เหมือนหนึ่งใครไม่รู้มะลูถี
เมื่อครั้งไรใครพามะลาชี ภูมีเก็บเอามาเลาตา
แล้วนางแค้นขัดมะลัดตอน เคืองค้อนภูวไนยมะไหลถา
น้อยฤๅนั่นน่าเชื่อมะเรือปา มาเศกแสร้งแกล้งว่ากะลาเกา
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระมะไหลไถเถมะเหลเถา
เห็นนางกัลยามะลาเตา จึงตรัสโลมเล้ามะเลาปอน
ฯ ๒ คำ ฯ
 ชาตรี
  ดูก่อนโฉมตรูมะลูถี เวทีมิเชื่อมะเหลือถอน
อันพระอุณรุทมะลูดชอน เทวาก็พาจรมะลอนเกา
ไปสมสร้อยอุษามะลาตึก โฉมยงจงนึกมะลึกเก๋า
นี่บุญของพี่ยามะลาเตา จึงพาเจ้ามาสมมะลมเต
ว่าพลางทางถดมะหลดติด อย่าอายเอียงเบี่ยงบิดมะลิดเป๋
นางป้องปัดหัตถามะลาเท มะโลโตโปเปมะเลตุง
สองภิรมย์ชมเชยมะเลยปม สำราญรมย์รื่นเริงมะเลิงตุ๋ง
สัพยอกหยอกเย้ามะเลาชุง สมสวาดิ์มาดมุ่งมะลุงแชง
ฯ ๘ คำ ฯ โลม
 ร่าย
  ครั้นรุ่งรางส่างแสงมะแลงทอง สกุณาร่าร้องมะรองแฉ่ง
พระตื่นจากไสยาศน์นลาตแทง ชวนองค์ตะแลงแกงมะแลงกง
สระสรงพักตรามะลาเต็ด สรรพเสร็จออกจากมะลากก๋ง
พร้อมหมู่ทหารมะลานปง ก้มเกล้าเค้าคงมะลงแตง
พระจึงมีสิงหนาทมะลาดจู เหวยหมู่ทหารมะลานแฉง
จงตรวจเตรียมโยธามะลาแกง ตามตำแหน่งของใครมะไลที
ฯ ๖ คำ ฯ
  บัดนั้น เสนารับสั่งมะลังปี๋
ต่างชะแง้แลดูมะลูจี พาทีเบี้ยวบุ้ยมะลุยตุง
แล้วมาเร่งรัดจัดเจา พร้อมพรั่งดังเก่ามะเลาปุ๋ง
คอยพระมะเหลไถมะไลทุง ต่างนายหมายมุ่งจะลูงทา
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระมเหลไถมะไหลถา
ชวนนางตะแลงแกงมะแลงกา ขึ้นทรงคชามะลากุย
ออกจากพลับพลามะลาโท ทวยหาญขานโห่ตะลุ๋ยปุ๋ย
ดัดดั้นบั่นบุกปุกปุย อีหลุกขลุกขลุยมะลุยปอย
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวไทอสุรามะลาก๋อย
มะรายกาดชาติเชื้อสะเรือดอย สุราต้องกองกอยพะลอยไช
เพราะลอบชมนางฟ้าสลาโสด ศุลีซ้ำทำโทษมะโดดไข
มาตัวขาดอาจองทะลงใจ เที่ยวไล่จับสัตว์ไพรสะไรกุง
สุรากินสิ้นซากมายากทุกข์ กำลังอยากบากบุกมะลุกปุ๋ง
มาแลปะมะเหลไถสะไรชุง สุราชาติมาดมุ่งมะรุงแชง
มราชักยักษ์ย่องมาลองดู มาลอบด้อมค้อมอยู่พะดูแถง
พอได้ทีลีลามมะหามแทง มะฮึกทำสำแดงแทลงกี
ถลากายหมายมั่นมะลันจ้อง มะเหลจับรับรองสะรองกี้
สุราก๋อยถอยท่ามะลารี มะเหลรุกคลุกคลีประชีไช
ประชิดชิงอาวุธยุทธนา ยักษ์ทะนงทรงคทาตะลาไป๋
ตลบป้องคล่องแคล่วมะแลวไท มะลวงทีหนีไล่มะไลทอง
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
หมดฉบับ เข้าใจว่า ของเดิมก็จบเพียงเท่านี้



  • บทละครอุณรุทร้อยเรื่อง
  • ของ
  • คุณสุวรรณ



บทละครอุณรุทร้อยเรื่อง
ของ
คุณสุวรรณ
 ช้าปี่
  เมื่อนั้น พระอุณรุทผู้รุ่งรัศมี
สมสู่อยู่ด้วยนางจันที ภูมีตรีตรึกนิกใน
แค้นด้วยอิเหนากุเรปัน กับสุวรรณมาลีศรีใส
เอานางจันสุดายาใจ ไปยกให้พระสมุทบุตรระตู
เสียดายวงศ์อสัญแดหวา พระราชาเคืองแค้นแสนอดสู
เหม่เหม่อสุรินดูหมิ่นกู จะได้ดูฤทธิ์กันในวันนี้
ฯ ๖ คำ ฯ
 ปีนตลิ่ง
  ดำริพลางทางมีพจนารถ สั่งท้าวสันนุราชเรืองศรี
กับทั้งตำมะหงงเสนี จงจัดพลมนตรีอย่านาน
ฯ ๒ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์คำนับรับบรรหาร
กับพระคาวีปรีชาชาญ รับสั่งแล้วคลานออกมาก
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 ยานี
  เกณฑ์หมู่จัตุรงค์องอาจ พรหมทัตธิราชเป็นกองหน้า
ปีกซ้ายชุณรัตน์ราชา ปีกขวาอินทรชิตฤทธิรงค์
กองหลวงล้วนสันทัดจัดเจน กะเกณฑ์ให้พระสุวรรณหงส์
คุมพวกพหลณรงค์ แล้วโบกธงสัญญาคลาไคล
ฯ ๔ คำ ฯ กราว
 ร่าย
  ออกจากขีดขินธานี ปัถพีเลื่อนลั่นหวั่นไหว
เร่งทัพขับพลสกลไกร เข้าในเหมันต์ทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
  ครั้นถึงจึงถวายอภิวาท ท้าวพิไชยนุราชเรืองศรี
ด้วยบัดนี้สุวิญชาเป็นกาลี ภูมีจะคิดประการใด
ฯ ๒ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวบรมจักรกฤษณ์เป็นใหญ่
ได้ฟังคั่งแค้นแน่นใจ ดูดู๋เป็นได้อีมณฑา
ไปรักใคร่ไอ้เงาะมันเหมาะเหลือ จะสับเชือดเลือดเนื้อให้สังขาร์
เหตุไฉนไยทำอหังการ์ มาลักองค์บุษบาพาไป
ฯ ๔ คำ ฯ
 โอ้
  เมื่อนั้น วิมาลาอกสั่นหวั่นไหว
กอดบาทยุขันเข้าทันใด พระภูวไนยอย่าเพ่อโกรธา
ลูกได้ผิดแล้วอย่าถือโทษ พระสุริยงค์จงโปรดเกษา
เมื่อข้าประสูติลูกยา ได้ยินเสียงโศกาจาบัลย์
เจ็ดนางเอาผ้าพันตาไว้ ภูวไนยอย่าเพ่อหุนหัน
ว่าพลางครวญคร่ำรำพัน ศรีประจันไม่เป็นสมประดี
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
 ร่าย
  ด้วยพระลิ้นทองผ่องพักตร์ แค้นนักดังจะม้วยเป็นผี
ไปสมสู่อยู่กินด้วยกากี นางเมรีร่ำไรแล้วไปตาม
ตะโกนก้องร้องเรียกพ่อสังข์หอย มาหาแม่สักหน่อยอย่าเกรงขาม
เรียกพลางทางแถลงแจ้งความ เกสรพราหมณ์ซวนซบสลบไป
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
  เมื่อนั้น พระมงกุฎเศร้าสร้อยละห้อยไห้
เห็นองค์อุณากรรณบรรลัย มิได้คืนสมประดีมา
โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกรัก นางยักษ์มาม้วยสังขาร์
ร่ำพลางทางขึ้นอาชา พาห่อนัยนาเหาะไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  ครั้นถึงรถาพระสี่กร วานรยินดีจะมีไหน
ถวายดวงชีวันทันใด กับท้าวไททศวงศ์ทรงศักดา
ฯ ๒ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวไกรสุทธสำรวลสรวลร่า
ชื่นชมด้วยสมเจตนา ได้ดวงชีวาชาละวัน
คราวนี้จะดับเข็ญให้เย็นยุค ให้พาราผาสุกเกษมสันต์
อันอีจันทาอาธรรม์ จะได้เล่นเห็นกันไอ้ลันได
ทั้งลักษณวงศ์ทรงฤทธิ์ จะลวงล้างชีวิตให้จงได้
เสียทีที่เลี้ยงมึงไว้ ดูด๋เป็นได้ไอ้โสภิณ
ขับนางจันทามเหสี ให้คนทั้งธานีเขาติฉิน
ไปสมสู่อยู่ด้วยมุจลินท์ ยอพระกลิ่นคั่งแค้นแสนทวี
ทั้งน้อยจิตคิดถึงคำนางอำพัน อยากจะใคร่ห้ำหั่นให้เป็นผี
คิดพลางเจ็ดนางจรลี ไปเยาะเย้ยพระมณีพิไชย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
 เฮ้ย
  ครั้นถึงจึงมีวาจา เจ้าไกรทองพงศาเป็นไฉน
ง่วงเหงาเศร้าจิตคิดถึงใคร เหมือนบ้าใบ้ไม่เป็นสมประดี
เสียแรงหวังตั้งจิตพิศวาส ไปรักใคร่ครุฑราชปักษี
นางจันทาว่าชั่วตัวอัปรีย์ ออกลูกไม่ดีเป็นท่อนไม้
ชะนางคนดีไม่มีชั่ว เลือกผัวงามนักน่ารักใคร่
ตะคอกขู่ชูกล่องดวงใจ ไยไพเยาะองค์เจ้าลงกา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
 ร่าย
  เมื่อนั้น พระดาวเรืองเคืองแค้นแสนสา
ได้ฟังถ้อยคำนางรำภา มาเย้ยเยาะข้านี้ว่าไร
เหม่เหม่พระมเหสีเอก โหยกเหยกหยาบช้าไม่ปราไส
พลางฉวยพระขรรค์แก้วแววไว เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยา
ฯ ๔ ฯ คำ
 สับไทย
  อีเอยอีเถ้า กูจะบั่นเกล้าเกษา
อวดว่าตัวดี วิ่งหนีไยนา
โบยตีศรีมาลา ลูกข้าทำไม
  ทรงเอยทรงเดช พระนารายณ์ธิเบศร์ไปอยู่ไหน
พระมาโบยตี ทองประศรีทำไม
ขุนแผนวิ่งไป หมื่นไวยวิ่งมา
  แค้นเอยแค้นนัก พระลักษณ์กริ้วโกรธนางอุสา
เป็นไรไปเข้า ด้วยเจ้าลงกา
คุมพลอสุรา ออกมาทำไม
  ทรงเอยพระทรงฤทธิ์ ข้าจะมีผิดก็หาไม่
ท่านท้าวกาหลัง ผลักสังข์ศิลป์ไชย
ตกเหวลงไป มิได้กลับมา
  อีเอยอีโสธร กลับกลอกยอกย้อนเป็นหนักหนา
กูรู้อยู่แล้ว อีแก้วกิริยา
ชิงชังสุวิญชา มุสาใส่ไคล้
  ภูเอยภูมินทร์ พระอไภยนุสินอย่าสงสัย
อันองค์วิยดา จรกาลักไป
มโนราห์จึงให้ แก่ไชยสุริวงศ์
ทูลพลางทางจร นี่ศรพระองค์
ดั้นดัดลัดพง วิ่งตรงเข้าไพร
ฯ ๒๐ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น พระโสวัตรรัศมีศรีใส
ครั้นเห็นมฤคีหนีไป ภูวไนยพิโรธโกรธา
กรกุมตระบองแก้วแววไว พร้อมเสนาในยักษา
แล้วเผ่นโผนโจนขึ้นไอยรา เคลื่อนคลาพหลพลไกร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  น้อยฤๅอีมัจฉากาลี คบชู้แล้วหนีพ่อได้
ทั้งเพชรมงกุฎวุฒิไกร คงบรรลัยด้วยมืออสุรา
ไสช้างพลางเร่งจัตุรงค์ สององค์เที่ยวเสาะแสวงหา
คนึงหวนครวญถึงบุษบา แก้วตาของพี่อยู่แห่งใด
พระกู่ก้องร้องเรียกเกสรน้อย แม่ยอดสร้อยนารีอยู่ที่ไหน
ให้ขัดสนทลนทลายไป ภูวไนยข้อนทรวงเข้าโศกา
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
 โอ้
  โอ้นางมณฑามารศรี ป่านนี้จะละห้อยคอยหา
เจ้ามีครรภ์เจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา ไกยวัลริษยาอาธรรม์
จำจะไปสังหารผลาญชีวิต ปโรหิตพ่อลูกให้อาสัญ
แล้วจะชุบบิตุรงค์ทรงธรรม์ จะได้พาอำพันมาธานี
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  อัมรินทร์จินตนาแล้วคลาไคล บัดใจก็ถึงพนาศรี
เห็นเกษสุริยงสิ้นชีวี กลิ้งกลางปัถพีอนาถใจ
จึงเอาน้ำทิพมาโสรจสรง เจ้าจงไม่ม้วยตักษัย
พระจึงเล่าแถลงให้แจ้งใจ อีประไพสุริยาเป็นกาลี
ระยำนักไปรักไอ้โจรดง เราสาปส่งเป็นชะนีเสียที่นี่
จงรีบไปเถิดจะได้นางวารี ท้าวนาคีซ่อนไว้ในไพรวัน
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น วรวงศ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ได้ฟังพระมหานักธรรม์ รำพันเสร็จสิ้นด้วยยินดี
ครั้นแล้วเคารพอภิวันท์ องค์ท้าวประมอตันเรืองศรี
พระลีลามาขึ้นพาชี ขุนกระบี่เหาะตรงเข้าพงไพร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
  จึงชักอาชาราร่อน ยังยอดศิงขรเนินไศล
แล้วพระศรีเมืองเรืองไชย ก็เข้าในคูหาวานรินทร์
ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย
 โอ้โลม
  น้องเอ๋ยน้องรัก ปวะหลิ่มเลิศลักษณ์เฉิดฉิน
แต่พี่เที่ยวหาทุกธานิน มิได้พบยอพระกลิ่นกลอยใจ
เสียดายเจ้ามาเกิดเป็นกุมภีล์ ในเมืองมนุษย์เช่นนี้หามีไม่
ขอถามข่าวสาวน้อยกลอยใจ เป็นไฉนมาอยู่แต่ผู้เดยว
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น วิมานจันทร์ผันแปลแลเหลียว
ได้ฟังพระรถพูดลดเลี้ยว นางบิดเบี้ยวเบือนหน้าแล้วพาที
  ทรงเอ๋ยพระทรงฤทธิ์ ข้าพลอยผิดด้วยยายทองประศรี
ไปสื่อชักสร้อยฟ้าให้คาวี พระศุลีสาปส่งให้ลงมา
รู้แล้วอย่าได้อยู่นาน พระยามารจะลงโทษา
ดังนางตะเภาทองทั้งสองรา ข้ากลัวอาญาจงคลาไคล
ฯ ๔ คำ ฯ
 ชาตรี
  เจ้าเอยเจ้าพี่ นางคันธมาลีศรีใส
พี่จะเล่าแถลงให้แจ้งใจ เดิมได้มาลาในวารี
ออกนามอุบลเวหา ในสาราว่าบุตรพระฤๅษี
จึงสู้ติดตามมากับพาชี เทวีจงแจ้งกิจจา
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น นางผมหอมตรอมใจเป็นหนักหนา
ฟังพระพิมพ์สวรรค์จำนรรจา กัลยาเคืองขัดตัดรอน
ข้าคนชั่วช้ากาลี ออกลูกไม่ดีพระทรงศร
จะสู้อยู่ในพนาดร มิขอคืนนครอยุธยา
ฯ ๔ คำ ฯ
 โลม
  น้องเอ๋ยน้องแก้ว เป็นบุญแล้วได้พบขนิษฐา
เต็มพิศด้วยฤทธิ์ปะตาปา รจนาอย่าได้เดือดดาล
แต่พี่เตร่เร่หาทุกธานี ชีวีปิ้มจะม้วยสังขาร
ศุภลักษณ์ไปแจ้งเหตุการณ์ จึงได้ข่าวสารบัดนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
 ร่าย
  เมื่อนั้น นางสุพรรณทลิกามารศรี
ได้ฟังวาจาพาลี เทวีจึงตอบคำไป
ซึ่งว่าพระแสนพิศวาส จึงไม่คลาดจากเมืองหมันหยาได้
อันนางเทพลีลายาใจ ที่พระองค์เก็บได้ที่ในกลอง
จงกลับไปภิรมย์สมสนิท เชยชิดสมสู่เป็นคู่สอง
อันข้าไซร้จะอยู่ในผะอบทอง พระไปครองนัคราให้สำราญ
ฯ ๖ คำ ฯ
 สมิงทอง
  อนิจจา นางสำมนักขายอดสงสาร
ศรีสวัสดิ์มาตัดรอนราน ใช่จะแต่งพจมานมาพาที
กำลังฤทธิ์ปู่เจ้าเขาเขิน จึงเผอิญให้ชังมเหสี
ไม่ทันสั่งนางลักษณวดี พระลอจรลีตามไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
 ช้าปี่
  เมื่อนั้น นางประทุมเทวีศรีใส
ผวาตื่นฟื้นองค์อรไทย ไม่เห็นพระภูวไนยที่ไสยา
นางเที่ยวค้นคว้าหาจบ มิได้พบพระไกรวงศ์พงศา
เห็นโลหิตผิดแล้วนะอกอา ทั้งหอกยนต์อยู่หน้าบัญชรชัย
เกิดเหตุทั้งนี้เพราะพี่เลี้ยง แท้เที่ยงมั่นคงไม่สงสัย
สองกรข้อนทรวงเข้าร่ำไร นางอุทัยเพียงจะสิ้นสมประดี
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
 โอ้
  โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว หนีเมียไปแล้วพระโฉมศรี
มิได้สั่งสนทนาพาที สกุณียังรู้สั่งยมนา
จระเข้ยังรู้สั่งอากาศ สิงหาราชยังรู้สั่งมหิงสา
หัศรังยังรู้สั่งไอยรา นาคายังรู้สั่งสุบรรณบิน
เหมราชยังรู้สั่งซึ่งคูหา แต่มังฉายังรู้สั่งซึ่งไพรสิณฑ์
พยัคฆ์ยังรู้สั่งมฤคิน พระภูมินทร์ควรฤๅไม่อาลัยลา
ฯ ๖ คำ ฯ
 ร่าย
  จำจะยกโยธาคลาไคล ตามองค์พระอภัยเชษฐา
ว่าพลางนางแปลงกายา เป็นองค์สุดาเยาวมาลย์
รี้พลให้กลายเป็นโยธา ไอยราแปลงเป็นคชสาร
พาชีแปลงเป็นอาชาชาญ พระพรหมานแปลงเป็นท้าวธาดา
ไกรสรให้แปลงเป็นสิงหราช สกุณชาติให้แปลงเป็นปักษา
พระราเมศแปลงเพศเป็นรามา พยัคฆาแปลงเป็นพยัคฆี
พระยาครุฑแปลงเป็นสุบรรณจร วานรแปลงเป็นกระบี่ศรี
นาคาเป็นพระยาวาสุกรี โกสีย์แปลงเป็นท้าวหัสนัย
พระสุริยันนั้นเป็นทินกร ศศิธรเป็นดวงแขไข
เจ้าพลายงามแปลงนามเป็นหมื่นไวย ชาละวันนั้นให้เป็นกุมภา
เทเวศรแปลงเพศเป็นเทวา กินราแปลงเป็นกินรี
พระยาหงศ์แปลงองค์เป็นเหมราช พระดาบสแปลงชาติเป็นฤๅษี
โคกลายกายาเป็นคาวี มฤคีแปลงเป็นมฤคา
มยุเรศกลายเพศเป็นยูงพลัน ทศกรรฐ์นั้นแปลงเป็นยักษา
อุณากรรณนั้นเป็นบุษบา ปันหยีแปลงกายาเป็นอายัน
ขุนแผนแผงแปลงกายเป็นพลายแก้ว สียะตราเพริศแพร้วเป็นหย้าหรัน
คนธรรพให้แปลงเป็นคนธรรพ์ นางพิมกลายกายพลันเป็นวันทอง
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศไหวจบสยบสยอง
โยธาเหลือหลายก่ายกอง คับคั่งทั้งท้องสนามใน
ฯ ๒๐ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระสุธนรัศมีศรีใส
พร้อมพวกพหลพลไกร ภูวไนยเสด็จจรลี
ขึ้นนั่งบนเวไชยันตราช พร้อมหมู่อำมาตย์กระบี่ศรี
สังข์แตรแซ่ซ้องกลองเภรี ระดมตีครื้นครั่นสนั่นดัง
พระคลายคลี่โยธาพลากร ออกจากพระนครกาหลัง
รีบเร่งโยธาเข้าป่ารัง มายังสมรภูมิพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ไชยทัตฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นพระมเหสีร่วมชีวัน ยกพวกพลขันธ์มาราวี
พระเร่งกระสันรัญจวนจิต ด้วยฤทธิ์เสน่ห์มเหสี
จงร้องท้าว่าเหวยอสุรี มึงกรีธาทัพมาจับใคร
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ไชยเชษฐ์รัศมีศรีใส
ได้ฟังคั่งแค้นแน่นใจ ภูวไนยจึงมีวาจา
แล้วร้องท้าว่าเหวยเกปุรัน ไยมึงอาธรรม์ริษยา
ทำฮึกฮักไปลักพระรามา ไปไว้ลงกาธานี
นี่หากกูติดตามไม่ขามจิต หวังจะล้างชีวิตกระบี่ศรี
แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวี จงเร่งส่งเมรีคืนมา
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ดาราวงศ์ทรงฟังไม่กังขา
แต่ออกชื่อจะให้ส่งองค์สีดา ผ่านฟ้าอัดอั้นตันใจ
ดูก่อนไพนาสุริวงศ์ อันองค์สุพรรณพิศมัย
เดิมท้าวกุมภัณฑ์พนันไว้ แพ้สกาจึงให้นางเทวี
ซึ่งจะให้คืนองค์อัคเรศ ก็เกรงเดชองค์สารปันหยี
จะพิโรธโกรธาฆ่าตี หน้าที่ชีวันจะบรรลัย
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่
ได้ฟังกริ้วกราดตวาดไป มึงอย่าใส่ไคล้พาที
ช่างอวดว่านารายณ์แบ่งภาค มาจากเกษียรวารีศรี
เป็นไฉนไม่แผลงฤทธี ให้วาสุกรีเขามัดกาย
ใช้ให้ไปกับอาชา คุมหมู่โยธาทั้งหลาย
ให้เขามัดตรึงตรามาหานาย ทำให้ขายบาทาฝ่าธุลี
เสียแรงหวังตั้งจิตให้ติดตาม ไปทำลามเลียมโลมนางโฉมศรี
สุบรรณลักยักษ์ตามพองามดี พระโยคีจะคิดอ่านประการใด
ฯ ๘ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระสังข์ฟังแจ้งแถลงไข
อันองค์จินตะหรายาใจ พี่สั่งให้ประหารผลาญชีวี
เหตุไฉนพี่น้องสองมนุษย์ ว่าโคบุตรเป็นลูกราชสีห์
บิตุรงค์ชื่อองค์สุมาลี ครอบครองธานีปางตาล
ฤๅจะเป็นบุตรานางกาไว ที่พระเพียรพิไชยไปสังหาร
นางก็ม้วยมรณาเสียช้านาน ท้าวกรุงพาลจะคิดประการใด
ฯ ๖ คำ ฯ
  เมื่อนั้น ท้าวอำไพได้ฟังดังเพลิงไหม้
รู้ว่าชาละวันบรรลัย ภูวไนยพิโรธโกรธา
โจนจากรถแก้วแววไว เข้าชิงชัยสัปยุทธยักษา
หมายจำนงชิงองค์นางโมรา โจรป่าบั่นบุกเข้าคลุกคลี
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระศรีสุทัศน์รัศมี
เห็นพระสุริยามาราวี ขุนกระบี่เผ่นโผนโจนทยาน
ทั้งสิบแปดมงกุฎวุฒิไกร หมายใจจำนงจงผลาญ
ทั้งสิบรถรัถาพระยามาร ต่างหาญต่างสู้เป็นคู่กัน
อันพระยากุศราชอาจอง จับบุญทนาวงศ์แข็งขัน
พระณรงค์พิไชยใจฉกรรจ์ เข้าโรมรันด้วยท้าวสีลยนต์
วงศ์สุริยามาตย์อาจหาญ เข้าต่อต้านด้วยท้าวสิงหล
องค์พระจันทโครพจบสกล เข้าประจญต่อตีศรีสุวรรณ
ท้าวกรดสุริกาญจน์ชำนาญศร เข้าต่อกรกับกระบิลนิลขัน
อันพระหลวิไชยใจฉกรรจ์ เข้าโรมรันสัปยุทธด้วยอุศเรน
พระสมุทโคดมเข้ากลมเกลียว ลดเลี้ยวต่อสู้มูระเหน
เจ้าสาครคนสันทัดจัทเจน จับได้สุรเสนวานร
ท้าวเสนากุฎยุทธทยาน เข่นฆ่าเวตาลชาญสมร
อันเจ้าลิขิตฤทธิรอน สังหารพระยาขรมรณา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
เห็นวิหยาสะกำสิ้นชีวา พระผ่านฟ้ากริ้วโกรธคือไฟ
จึงว่าเหวยสังคามารตา มาสังหารลูกยากูตักษัย
ว่าพลางทางขึ้นศิลป์ชัย แผลงไปถูกท้าวกรุงพาล
ฯ ๔ คำ ฯ
  เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ยี่สิบกรกุมศรพระอวตาร สิบโอษฐสั่งสารสุวิญชา
ฯ ๒ คำ ฯ
 โอ้
  ปากหนึ่งว่าโอ้เจ้าขวัญเนตร บิตุเรศจะม้วยสังขาร์
ขอฝากฝังแก้วเนตรเกษรา จงวันทาระเด่นมนตรี
  ปากสองร้องว่าพิเภกเอ๋ย กระไรเลยช่างมาฆ่าพี่
ขอฝากนางดาราเทวี กับสาวศรีนักสนมกำนัลใน
  ปากสามสั่งความพระสมุทร ขอฝากบุษมาลีศรีใส
โอ้พราหมณ์มัจฉายาใจ หวังจะได้ฝากฝีบิดร
  ปากสี่ว่าโอ้องคต โอรสจงจำคำสอน
ตั้งใจภักดีพระสี่กร อย่าคิดว่าภูธรเป็นสามี
  ปากห้าร้องว่านางเงือกน้ำ จงฟังคำนับถือพระฤๅษี
อุตส่าห์รักษาครรภ์เทวี แม่จะได้เป็นศรีจรกา
  ปากหกว่าเจ้าตะเภาทอง ทั้งสองอย่าคิดริษยา
อันองค์อุณากรรณกับสียะตรา จงนึกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน
  ปากเจ็ดเสร็จสั่งจะสังขาร์ ชีวาพี่จะม้วยอาสัญ
ไปยื่นด้ามให้กับโจรใจฉกรรจ์ เลื่อมไลวรรณไยเป็นได้เช่นนี้
  ปากแปดวอนว่าทรงยศ พระรถจงช่วยเผาผี
แม่จะเขียนมนตร์เรียกมฤคี ไว้กับคิรีให้ลูกยา
  ปากเก้าเฝ้าสั่งพระอุณรุท ทรงภุชเมียจะม้วยสังขาร์
น้องรักจักถวายบังคมลา กลับไปอยู่คูหาในวารี
  ปากสิบเสร็จคำที่ร่ำสั่ง สิ้นกำลังด้วยพิษศรศรี
พราหมณ์ก็กลายกายาเป็นนารี สิ้นชีวีอยู่ในไพรวัน
ฯ ๒๐ คำ ฯ 




  • นิราศเดือน
  • ของ
  • นายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร)



อธิบายนิราศเดือน
ของ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

หนังสือนิราศเดือนนี้เป็นนิราศซึ่งนับถือกันว่า สำนวนแต่งดีเป็นอย่างยิ่งเรื่อง ๑ บางคนเข้าใจว่า สุนทรภู่แต่ง แต่ที่กล่าวกันมาเป็นหลักฐานนั้นว่า นายมี ศิษย์ของสุนทรภู่ แต่งเมื่อตอนบวชเป็นพระอยู่วัดพระเชตุพน นายมีคนนี้ ว่า ได้แต่งกลอนนิราศเมืองถลางไว้อีกเรื่อง ๑ ปรากฏสำนวนในหนังสือ ๒ เรื่องด้วยกัน ความที่กล่าวมานี้ เห็นว่า พอจะเชื่อฟังได้ ด้วยกลอนนิราศเดือนแลนิราศเมืองถลางทั้ง ๒ เรื่องนี้แต่งตามแบบของสุนทรภู่ แต่พิเคราะห์ดูในทางความที่แต่ง ผิดกับสุนทรภู่ จึงเข้าใจว่า จะเป็นสำนวนผู้อื่นซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่

ศิษย์ของสุนทรภู่ที่สามารถแต่งกลอนได้ดีแทบจะถึงครูปรากฏแต่ ๒ คน คือ นายมีนี้คน ๑ กับหม่อมราโชทัย กระต่าย อิศรางกูร ณ กรุงเทพ ซึ่งแต่งนิราศลอนดอน อีกคน ๑ นิราศลอนดอนนั้น ว่า ที่แท้จะว่าดีกว่าของสุนทรภู่ในบางอย่างก็ว่าได้ เช่น ตรงใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ ใช้แห่งใด คงหาสัมผัสที่เหมาะเข้าความได้ ไม่มีเคอะเลยสักแห่งเดียว กระบวนเล่นศัพท์ภาษาต่างประเทศเช่นนั้น สุนทรภู่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ หาสามารถจะเล่นได้ไม่ จึงว่า หม่อมราโชทัยได้เปรียบสุนทรภู่อยู่ตรงนั้น ผู้ที่แต่งกลอนเอาอย่างสุนทรภู่มีมากกว่ามาก แต่ไม่มีใครที่จะแต่งได้ดีทัดทันครูเท่ากับนายมีกับหม่อมราโชทัยที่กล่าวมา.



นิราศเดือน
โอ้ฤดูเดือนห้าหน้าคิมหันต์
พวกมนุษย์สุดสุขสนุกครัน ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์
ทั้งผู้ดีเข็ญใจใส่อังคาส อภิวาทพุทธรูปในวิหาร
ล้วนแต่งตัวทั่วกันวันสงกรานต์ ดูสราญเพริดพริ้งทั้งหญิงชาย
ที่เฒ่าแก่แม่ม่ายมิใคร่เที่ยว สู้อดเปรี้ยวกินหวานลูกหลานหลาย
ที่กำดัดซัดสีสวยทั้งกาย เที่ยวถวายน้ำหอมพร้อมศรัทธา
บ้างก็มีที่สวาทมาดพระสงฆ์ ต่างจำนงนึกกำดัดขัดสิกขา
ได้แต่เพียงพูดกันจำนรรจา นานนานมากลับไปแล้วใจตรอม
ล้วนแต่งตัวเต็มงามทรามสวาท ใส่สีฉาดฟุ้งเฟื่องด้วยเครื่องหอม
สงกรานต์ทีตรุษทีไม่มีมอม ประดับพร้อมแหวนเพชรเม็ดมุกดา
มีเท่าไรใส่เท่านั้นฉันผู้หญิง ดูเพริดพริ้งเพราเอกเหมือนเมขลา
รามสูรเดินดินสิ้นศักดา เที่ยวไล่คว้าลางทีก็มีเชิง
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด ใครขี้ตืดถากถางวางกันเหลิง
บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง ที่รู้เชิงทำแปดเก้าเป็นเจ้ามือ
เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ผ้า สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือ ๆ
นั่งเสียใจเต็มทีต้องหนีมือ ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง
ดูเขาเล่นเป็นฤดูไม่รู้ขาด นุชนาฏพึ่งกะเตาะขึ้นเหมาะเหม็ง
บ้างก็หลงเลยเล่นเป็นนักเลง ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รักเลย
ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น บ้างซุ่มเป็นผัวเมียกันเสียเฉย
แต่ตัวเราเปล่าไปมิได้เชย โอ้อกเอ๋ยคิดไปแล้วใจตรม
ให้เจ็บจุกทุกข์เท่าคีรีศรี ด้วยไม่มีคู่ชิดสนิทสนม
ทุกวันนี้ใครมีซึ่งคู่ชม สำราญรมย์เริงจิตเป็นนิจกาล
เมื่อไรเล่าเรานี้จะมีบ้าง จะได้ว่างเว้นทุกข์สนุกสนาน
แต่นึกตรองปองหามาช้านาน ทอดสะพานเข้าที่ไหนไม่ได้เลย
 ร่ำคะนึงถึงนุชสุดวิตก ถึงเดือนหกเข้าแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย
เขาแต่งงานปลูกหอขอกันเชย เราจะเฉยอยู่ก็เห็นไม่เป็นการ
เขาแรกนาแล้วมานักขัตฤกษ์ เอิกเกริกโกนจุกทุกสถาน
ที่กำดัดจัดแจงกันแต่งงาน มงคลการตามเล่ห์ประเพณี
โอ้โอ๋อกอาตมานี้อาภัพ ทั้งไร้ทรัพย์สาระพัดน่าบัดสี
ดูเพื่อนบ้านเขาทั้งหลายสบายดี เขาคิดมีลูกเมียเสียทุกคน
สำราญรมย์ชมน้องในห้องหอ เฝ้าเคลียคลอเจรจาว่ากุศล
ที่ยังไม่ส่งตัวนึกกลัวตน ก็ต่างคนต่างนึกคะนึงตรอง
โอ้อกเอ๋ยยังไม่เคยจะมีผัว สงสารตัวตั้งแต่นี้มีแต่หมอง
มิได้ทาแป้งขมิ้นดินสอพอง จะมีท้องแท้แล้วไม่แคล้วเลย
เสียดายแก้มผุดผ่องจะต้องจูบ จะซีดซูบพักตรานิจจาเอ๋ย
เสียดายนมจะระบมเพราะมือเชย ยังไม่เคยมีคู่ดูน่าอาย
ไหนจะปัดฟูกหมอนนอนด้วยผัว ไม่เหมือนตัวเปล่าเปลือยเหนื่อยใจหาย
จะไม่มีก็ไม่ได้ไม่สบาย พวกผู้ชายเจ้าชู้มักดูแคลน
จะพูดเกี้ยวเลี้ยวลดให้อดสู ถ้ามีคู่คุ้มตัวเหมือนหัวแหวน
ที่ลางคนบ่นบ้าว่าน่าแค้น พ่อแม่แค่นขืนให้ไม่ชอบใจ
เที่ยวหลบลี้หนีสถานทิ้งบ้านช่อง มีพวกพ้องน้าป้าไปอาศัย
บ้างชอบชายรูปงามตามเขาไป ไม่อาลัยพ่อแม่ไปแต่ตัว
ที่โกนจุกได้ปีครึ่งพึ่งจะผลิ อุตริหนักหนาจะหาผัว
ที่ลงคนละห้อยน้อยใจตัว ว่ารูปชั่วชายชังไม่หวังเชย
ที่ตกพุ่มกลุ้มกลัดขัดในอก ถึงมุ่นหมกอยู่ในก็ใช้เฉย
แสนสงสารหญิงชายไม่วายเลย โอ้อกเอ๋ยเราก็เป็นเหมือนเช่นกัน
ไม่พ้นตัวชั่วช้าว่าแต่เขา ตัวของเราเหมือนยักษ์มักกระสัน
เห็นกะเตาะไม่ได้ใจเป็นควัน เหลือจะกลั้นใจคอเที่ยวกรอกราย
ถ้ามีงานใหญ่โตมะโหรสพ ขี้มักพบเห็นมากดูหลากหลาย
เห็นนารีรูปงามตามแทบตาย เพราะเมามายแรกรักนี่หนักจริง
มีอิเหนาคราวนั้นขันหนักหนา ทำทีท่าถูกในน้ำใจหญิง
นอนละเมอเพ้อจิตคิดประวิง ฉันหนาวจริงพ่อขุนทองประคองที
อันความรักมักละเมอจนเพ้อพก เหมือนกับอกเรียมแล้วนะแก้วพี่
ให้โหยหวนครวญหาทุกราตรี สักกี่ปีจะได้น้องประคองนอน
 กระทั่งถึงเดือนเจ็ดไม่เสร็จโศก บังเกิดโรคแรงนักด้วยรักสมร
สลากภัตรจัดแจงแต่งหาบคอน อย่างแต่ก่อนหาบกระทายมีลายทอง
ใส่คานรูปนาคาวายุภักษ์ ครั้นเดินหนักดูเต้นเผ่นผยอง
แสรกร้อยห้อยพวงมาลัยกรอง ใส่เข้าของหาบหามตามกันมา
ทุกวันนี้มีแต่จะทำแปลก ใส่โต๊ะแบกเดินด่วนมาถ้วนหน้า
สาระพัดเอมโอชโภชนา ตามศรัทธาสัปปุรุษนุชอนงค์
ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปมาก จับสลากหนังสือชื่อพระสงฆ์
รู้จักนามตามพบประสบองค์ ต่างจำนงน้อมถวายรายกันไป
พระลางองค์งงงกตกประหม่า ให้ยะถาเสียงสั่นอยู่หวั่นไหว
สัปปุรุษกรวดน้ำร่ำในใจ ที่ผู้ใหญ่หมายประโยชน์โพธิญาณ
ที่หนุ่มหนุ่มสาวสาวราวกับฉัน นึกรำพันในจิตอธิษฐาน
ให้มีเมียรูปงามทรามสคราญ มีเรือนบ้านคับคั่งเขามั่งมี
อนงค์นาฏปรารถนาจะหาผัว ไม่เล่นถั่วกินเหล้าเมาอาหนี
ให้รูปงามทรามชมอุดมดี ลางสตรีปรารถนาหาขุนนาง
มีเงินทองบ่าวไพร่เครื่องใช้สอย จะนั่งลอยนวลสบายนุ่งลายย่าง
ขี่แต่เรือเก๋งพั้งลงนั่งกลาง ไปตามทางแถวชลที่คนพาย
ที่ติดพันกันอยู่ก็ชูชื่น ไม่นึกอื่นนึกมีแต่ที่หมาย
ที่มีแล้วฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย ค่อยเว้นวายโศกเศร้าเบาหัวใจ
กระทำมาหากินภิญโญยิ่ง มีลูกหญิงลูกชายหมายอาศัย
ที่ไม่มีฝั่งฝาให้อาลัย เหมือนกับใจของฉันที่พรรณนา
คิดถึงนุชสุดที่รักให้หนักอก น้ำตาตกพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
สักเมื่อไรจะได้แนบแอบอุรา ละห้อยหาโศกศัลย์รำพันคราง
 ถึงเดือนแปดแดดอับพยับฝน ฤดูดลพระวสาเข้ามาขวาง
จวนจะบวชเป็นพระสละนาง อยู่เหินห่างเห็นกันเมื่อวันบุญ
ประดับพุ่มบุปผาพฤกษากระถาง รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น
ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์งามละมุน ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง
ต้นไม้ทองเสาธงหงส์ขี้ผึ้ง คู่ละสลึงเขาขายพวกชายหญิง
อุณรุทยุดกินนรชะอ้อนพริ้ง มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ
ขึ้นกุฎีที่รักรู้จักสนิท ดัดจริตพูดจาวิสาสะ
พระหนุ่มหนุ่มกลุ้มใจทำไมละ เสียงจ๋าจ๊ะเจรจาพาสบาย
ถ้าญาติโยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย มิใคร่เงยดูหน้าปัญญาหาย
ไม่พูดมากพาดพิงให้พริ้งพราย ดูเราะรายเรียบร้อยกระช้อยชด
พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาสุก เข้าบ้านกรุกเลยลาสิกขาบท
เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา
นึกคะนึงถึงนางกลางพรรษา แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา
เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาดดูลาดเลา เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา
นั่งพับเพียบเรียบร้อยน้อยไปฤๅ ประนมมือฟังธรรมเทศนา
ที่ฟังจริงนิ่งตรับจนหลับตา บ้างก้มหน้าฟังไปมิได้เงย
ที่ฟังเล่นเห็นกันเป็นขวัญเนตร ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณเอ๋ย
มานั่งเล่นตากันฉันไม่เคย ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลามกามคุณ
ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก หมายจะออกห่างเหจากเมถุน
ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนเอาบุญ ที่แรกรุ่นนี้แลร่านรำคาญใจ
ด้วยความรักหนักเหลือเหมือนเรือเพียบ จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว
ถ้าผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ แจวไปไหนไปได้ไม่หนักแรง
โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าหนุ่มหนุ่ม อยากใคร่สุ่มปลาหนองเที่ยวส่องแสวง
ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วยคลางแคลง จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้
โอ้ไฉนจะสมอารมณ์รัก ใครช่วยชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู
ยิ่งร้อนในใจคอให้หมอดู ว่าขัดคู่นักหนาให้อาดูร
 ถึงเดือนเก้าเศร้าสร้อยละห้อยหา พระจันทราวันดับก็ลับสูญ
แต่โศกเศร้าเราเสริมขึ้นเพิ่มพูน ไม่ลับสูญไปบ้างเหมือนอย่างเดือน
ไม่ได้ชมโฉมศรีไม่มีสุข จะเปรียบทุกข์อะไรก็ไม่เหมือน
ถึงจะมีเข้าของสักห้องเรือน ไม่ชื่นเหมือนคนรักสักราตรี
ถ้ามีคู่สู่สมภิรมย์รื่น ทุกวันคืนปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ถ้าไม่ได้เหมือนหมายตายเสียดี ไปเกิดมีชาติหน้าคอยท่าน้อง
โอ้ว่ากรรมจำเพาะพระเคราะห์รุด หมายได้นุชเดือนเก้ายิ่งเศร้าหมอง
เห็นเมฆมืดเวหาฟ้าคะนอง พยับฟองฝนสาดอยู่ปราดปราย
พยุเยือกโยกมาฟ้าก็แลบ ดูวับแวบแวววับแล้วดับหาย
เหมือนขวัญเนตรแลวับแล้วกลับกลาย ราวกับสายฟ้าแลบแปลบโพยม
พิรุณโรยโปรยมาเวลาดึก คะนึงนึกถึงนางสำอางโฉม
ถ้าเหาะได้จะไปพาเอามาโลม ประคองโฉมโลมเล่นไม่เว้นวาง
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่ ยิ่งคิดไปสารพัดจะขัดขวาง
ระทวยทอดกอดหมอนลงนอนคราง กลัวจะค้างมรสุมกลุ้มหัวใจ
ยิ่งคิดคิดจิตคล้อยละห้อยหา ชลนาเอิบอาบพิลาปไหล
กลางคืนหนาวกลางวันร้อนอ่อนฤทัย เมื่อครั้งไรจะพ้นข้อทรมาน
 ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร
กระยาสารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน พวกชาวบ้านถ้วนหน้ามาธารณะ
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ แล้วจับจบทัพพีน้อมศีรษะ
หยิบเข้าของกระยาสารทใส่บาตรพระ ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน
พอลับเนตรเชษฐาอุราร้อน แสนอาวรณ์โหยให้ใครจะเหมือน
ไม่รู้ที่จะวานใครไปตักเตือน ให้มาเยือนเยี่ยมพี่ถึงที่นอน
ถ้าเข้าชิดอิดออดจะกอดรัด สอดสัมผัสเคล้นทรวงดวงสมร
แม้นข่วนหยิกพลิกหันจะกันกร ทำแง่งอนพี่จะง้อให้ท้อใจ
จะเป่าด้วยคาถามหาเสน่ห์ อิธะเจทำผงให้หลงใหล
โอ้ยามนี้โฉมตรูก็อยู่ไกล ทำไฉนจะได้มิตรมาชิดเชย
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานสถิต ช่วยเตือนมิตรให้มาเยือนอย่าเชือนเฉย
อย่าให้เรียมคอยท่าอยู่ช้าเลย ไม่ได้เชยนุชนงค์ฉันคงตาย
อันหญิงอื่นดื่นไปทั้งไตรจักร ไม่มีรักเหมือนนุชที่สุดหมาย
ขอให้ได้แนบน้องประคองกาย อย่าคลาดคลายตราบเท่าเข้านิพพาน
ยิ่งรำคาญแค้นใจให้สะอื้น ถ้างามชื่นเห็นคงจะสงสาร
แม้แลกเปลี่ยนน้ำใจอาลัยลาญ คงรำคาญเหมือนเรียมที่เตรียมตรอม
ถ้ายอดรักรักรวบประจวบจิต คงได้ชิดเชยแนบแอบถนอม
จะประโลมโฉมเฉลิมเป็นเจิมจอม ให้เพริศพร้อมพริ้งพรายสบายบาน
จะตั้งตึกปึกแผ่นให้แน่นหนา มีเงินตรากินกรุ่มเป็นภูมิฐาน
ช่วยข้าคนบ่าวไพร่ไว้ใช้การ ให้เยาวมาลย์ชื่นชมภิรมย์ใจ
พี่นอนตรึกนึกนิยมสมบัติบ้า ก็เพราะว่าความรักมักหลงใหล
สิ้นเดือนสิบลิบลับนับแต่ไกล ยังไม่ได้กัลยาน้ำตาริน
 เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา ชาวพาราเซ็งแซ่แห่กฐิน
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง
สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น บ้างแข่งกันขันสู้เป็นคู่สอง
แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี
ไปช่วยแห่แลกันกระสันสวาท นุชนาฏพายเรือใส่เสื้อสี
จนเปียกชุ่มตูมตั้งอลั่งดี เส้นเกษีโศกสร้อยก็พลอยยับ
เหมือนตกแสกแบกโศกไว้สักพ้อม ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ
ถึงบ้านหอบบอบอ่อนลงนอนพับ ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น ช่างดูฉันนี่กระไรน่าใจหาย
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย เบื่อจะตายไปกฐินเขานินทา
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน แสนอาวรณ์วิญญาณ์นิจจาเอ๋ย
ไม่ว่าเล่นเป็นบ้าหลังด้วยหวังเชย ยิ่งเคยเคยก็ยิ่งคิดเป็นนิจกาล
ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปรารถนา จะพรรณนาสุดคิดให้วิตถาร
ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง
 เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง ชนทั้งปวงเลยตามอร่ามแสดง
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเป็นดวงแดง ทั้งพลุแรงตึงตังดังสะท้าน
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดอ้ายตื้อ เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่หน้าฉาน
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสะพาน อลหม่านนาวาในสาคร
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน
ขับประโคมดนตรีมีละคร อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ
บ้างก็ร้องสักรวาใส่หน้าทับ ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ
ฟังสำเนียงสตรีไม่มีเครือ เป็นใยเยื่อจับในน้ำใจชาย
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ แล้วหวนรำลึกถึงนุชที่สุดหมาย
กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี
นอนไม่หลับกลับลุกเปิดหน้าต่าง จันทร์กระจ่างแจ่มฟ้าในราศี
เห็นดวงเดือนเหมือนลักษณ์ภัคินี ยุพินพี่อยู่ไกลนัยนา
พี่นั่งคอยนอนคอยละห้อยหวน แสนรัญจวนมิได้สิ้นถวิลหา
เห็นราหูจู่จับพระจันทรา ชาวพาราอื้ออึงคะนึงดัง
พิลึกลั่นครั่นครึกเสียงกึกก้อง ระฆังฆ้องกลองแซ่ทั้งแตรสังข์
ประดังเสียงเพียงพื้นพิภพพัง มีทุกครั้งดังทุกคราวฉาวทุกที
โอ้ว่าดวงจันทร์เจ้าดูเศร้าหมอง ไม่ผุดผ่องเผือดอับพยับสี
อยู่ในปากราหูอสุรี มีนาทีปล่อยปละสละกัน
แต่ตัวพี่มิได้มีนาทีชื่น ทุกวันคืนเฝ้าวิโยคด้วยโศกศัลย์
ครวญคะนึงถึงมิตรที่ติดพัน พี่ชมจันทร์ต่างเจ้าเยาวมาลย์
เมื่อวันที่เทศนามหาชาติ ได้เห็นนาฏนุชนงค์ยอดสงสาร
สัปปุรุษคับคั่งฟังกุมาร ชัชวาลย์แจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน
พี่ฟังธรรมเทศน์จบไม่พบน้อง เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ไม่พบพักตร์เยาวมาลย์ในการเปรียญ ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจ
 ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร ยิ่งหนาวนอนกอดประทับไม่หลับไหล
ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดรัก
พี่เป็นทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์
ให้คับแค้นวิญญาณ์หนักหนานัก จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ เหมือนพระสี่เสาร์กษัตริย์พลัดสถาน
พระเสาร์ทับชันษาอยู่ช้านาน พระภูบาลเป็นบ้าเข้าป่าไป
ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย กลับสบายคืนมาพาราได้
แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป ทำกระไรจะได้ชื่นทุกคืนวัน
เป็นเคราะห์กรรมซ้ำแทรกเข้าแรกรุ่น มาหมกมุ่นด้วยผู้หญิงจริงจริงฉัน
แม่โลกีย์เจ้ากรรมแกทำครัน จะบากบั่นไม่ขาดประหลาดใจ
ยิ่งเห็นหน้ามิ่งมิตรให้คิดรัก อกจะหักเสียแล้วกรรมทำไฉน
ชะรอยเป็นคู่สร้างฤๅอย่างไร จึงอาลัยนางงามถึงสามฤดู
ยกเอาเรื่องในใจใส่สมุด ถ้านงนุชทราบเรื่องคงเคืองหู
อันความรักมักคลั่งตั้งกระทู้ มีทุกผู้ทุกคนไม่พ้นเลย
 ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว นางสาวสาวอาบน้ำทำหน้าเฉย
อุตส่าห์บำรุงกายให้ชายเชย ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง
ไม่ใคร่ผิงอัคคีกลัวศรีเสีย อลิ้มอะเหลี่ยเหลือดีไม่มีหมอง
คัดปีกเปิดเลิศล้วนนวลละออง อนงค์น้องน่ารักลักขณา
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก เห็นผมดกคิ้วดำขำหนักหนา
อุตส่าห์ถอนอุตส่าห์ตัดหัดเล่นตา เป็นวิชาชวนชายให้ตายใจ
บ้างก็ยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม เอาหมึกแต้มให้ดำทำเป็นไฝ
ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป นี่ฤๅใครจะไม่รักภัคินี
ทั้งขาวขำสำอางเหมือนอย่างปั้น ย่อมหวานมันเหมือนกันหมดรสอิตถี
ผูกสายสร้อยกบข้อมือลือว่ามี ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง
บ้างก็ไปวัดวาหาหลวงพี่ ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ
ใครไม่รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย
ธรรมดาว่ารักเขามักรู้ เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตุง่าย
จะเจรจาพาทีมีแยบคาย ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย
เช่นทำนองของฉันทุกวันเล่า เขารู้เท่าทัง้นั้นฉันก็เฉย
โอ้โอ๋อกชายที่หมายเชย ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตระบม
สิบเดือนถ้วนครวญหามารศรี มิได้มีความสบายเท่าปลายผม
เฝ้าคิดถึงสาลิกาป่าชะอม น้ำค้างพรมพรั่งพราวหนาวหัวใจ
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนจนเดือนยี่ เจ้าปักษีโบกบินไปกินไหน
สุริยาอัสดงลงไรไร โอ้อาลัยสาลิกาน้ำตานอง
โฉมยุพินกินรีเจ้าพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง
ดูผิวเหลืองเรืองดีดังสีทอง ได้ประคองแล้วจะชื่นทุกคืนวัน
ดอกโกมุทบุษบามณฑาทิพ วิไลลิบลอยล่องของสวรรค์
ถ้าหล่นลงตรงพี่จะดีครัน คงลือลั่นโลกาสุธาสะเทือน
แม่ดวงแก้วนพเก้าเสาวภาค พี่ฝังฝากรักใคร่ใครจะเหมือน
ให้หมกมุ่นวุ่นวายมาหลายเดือน สติเฟือนคลั่งไคล้ในใจตรม
 ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อมสูญ จันทร์จำรูญแสงงามยามปฐม
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม
ดูแวววับเวหาล้วนดาเรศ เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโสม
ดูกระพริ้มริมแดงดังแสงโคม ลอยโพยมล้อมจันทร์พรรณราย
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย
บุปผาเผยกลิ่นก้านบานกระจาย ต้องพระพายหอมประทิ่นเหมือนกลิ่นนาง
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง
ฟังเป็นเสียงสายสมรวอนให้วาง จึงปลอบนางทางว่าด้วยอาลัย
พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปฤๅ ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส
พอรู้สึกนึกเขินเดินออกไป ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง
ราวกับถูกยาแฝดสักแปดโถ จนซูบโซเสียศรีดังผีสิง
พระอภัยหลงรูปวาดหวาดประวิง เรากลับยิ่งกว่าพระอภัยไป
ถ้ามิได้นวลหงฉันคงม้วย ใครจะช่วยดับเข็ญเห็นไม่ไหว
ฤๅจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ ให้สงสัยวิญญาณ์เป็นอาจิณ
ดูตำราว่าพฤหัสบดิ์เป็นปัตตนิ ตามลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ
ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล ก็สมสิ้นเหมือนตำราสารพัน
เออก็ขัดด้วยอะไรไฉนหนอ แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน
เห็นที่อื่นดื่นดาษไม่ขาดวัน จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาน
เหมือนแสบท้องต้องฝืนกลืนข้าวตาก ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้นหวาน
เหมือนอดข้าวกินมันยามกันดาร กว่าจะพานพบของที่ต้องใจ
กระแจะจันทน์คันธาบุปผาสด ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรพิสมัย
ประเวณีมีจบภพไตร ไม่ว่าใครทุกตัวทั่วโลกา
 ถึงเดือนสี่ปีสุดถึงตรุษใหม่ ยังไม่ได้นุชนาฏที่ปรารถนา
ฟังเสียงปืนยิงยัดอัตนา รอบมหานัคเรศนิเวศวัง
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง
นวลหงคงจะรู้ถึงหูดัง จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น
ในทรวงช้ำเหมือนเขาเชือดเอาเลือดกระเด็น ใครจะเป็นเช่นข้าทั้งธานี
ความรักนุชสุดหลงพะวงจิต จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี
ลืมบิดามารดาทั้งตาปี เหมือนไม่มีกตัญญูดูเถิดเรา
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ เฝ้าฉอเลาะก็ไม่ได้อะไรเขา
รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา อุตส่าห์เฝ้าอยู่ไม่ไปข้างไหนเลย
จะได้ฤๅมิได้ไม่รู้แน่ เห็นจะแก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย
สงสารใจใจคิดจะชิดเชย สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา
สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด สงสารปากปากพลอดไม่นักหนา
สงสารอกอกโอ้อนิจจา ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ
สงสารหลังหลังหมายจะได้จุด สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล
สงสารตาตาพี่แต่นี้ไป จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา
โอ้อกเรามีกรรมทำไฉน จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา
ได้แต่ชื่อไว้ชมตรมอุรา ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ
ถึงได้แหวนได้ชมก็ตรมจิต ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิสมัย
ได้ของอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคองนอน
จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลก ไม่เท่าโศกใจหนักเหมือนรักสมร
จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย พอเจ็บกายชีวาจะอาสัญ
แต่เจ็บแค้นนี้แลแสนจะเจ็บครัน สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม จะว่าลมลมปากนี้มากแรง
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา
บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว เอาจับตัวใส่คุกทุกข์หนักหนา
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา เพราะตัณหาตัวเดียวมันเหนี่ยวแรง
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ สึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง
บ้างร้อนตัวกลัวอดเหมือนมดแดง นอนตะแคงคว่ำหงายสบายใจ
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิสมัย
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง
บ้างก็ถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง เป็นหอห้องเรือนเรือเป็นเชื้อวงศ์
บ้างก็รักเขาข้างเดียวลงเคี่ยวเข็ญ บ้างก็เป็นสังฆ์การีสึกชีสงฆ์
วิสัยพระทุกวัดขัดทุกองค์ ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ ชักสะพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ บวชเณรรู้ไว้เป็นศิษย์ดังจิตหมาย
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย พวกหญิงชายลือดังทั้งพิภพ
เพราะโลกีย์ฟั่นเฝือเหลือสละ แต่เป็นพระแล้วยังคิดผิดขนบ
นี่ฤๅคฤหัสถ์จะไม่โลภละโมบมบ ให้ปรารภเรื่องผู้หญิงประวิงวน
จะพรรณนาว่าไปไหนจะหมด เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน อย่าร้อนรอนร้าวรานรำคาญเคือง
ฉันคนชั่วตัวโศกเป็นโรครัก อกจะหักเสียเพราะตรอมจนผอมเหลือง
สวาทหวังตั้งจิตเป็นนิจเนือง จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง
พออ่านเล่นเป็นที่ประทังทุกข์ ให้ผาสุกตามประสาเป็นบ้าหลัง
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง
อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน
ถึงยากจนซนหาประสายาก ที่มีมากตั้งกองครองสงวน
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่หยุด ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ
เป็นเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ เถียงทะเลาะวุ่นวายไม่อายกัน
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ เผอิญเป็นทั่วโลกให้โศกศัลย์
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศ์สุบรรณ ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า หูจะชาเสียด้วยดังฟังไม่ไหว
แต่เงียบเสียงสิยังอึงคะนึงไป ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที แต่เรานี้ขวนขวายแทบตายโหง
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง แม้นจะรองชลนาสักห้าไห
ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป คงจะใส่เสียให้ยับไม่นับชิ้น
จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือทา สับศีรษะเสียให้สาอารมณ์ถวิล
จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่งกิน จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา
เอะอะไรใจจิตคิดฉะนี้ ไม่ควรที่จะโกรธขึ้งด้วยหึงสา
จะเป็นเวรเปล่าเปล่าไม่เข้ายา จิตนะอย่าอำมหิตให้ผิดคน
เมื่อรักเขาเราก็รักไว้นิ่งนิ่ง ถึงใครชิงนางงามตามกุศล
ถ้าคู่แท้แลจะไปข้างไหนพ้น อย่าร้อนรนรุกรานรำคาญใจ
ครั้นคิดได้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ ค่อยปราโมทย์ยิ้มย่องสนองไข
ที่จริงจิตฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร ตั้งหม้อใหญ่กระนั้นดีฉันเอง
แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก ยังไม่หักได้ก่อนลงนอนเขลง
น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง พูดเอาเองแก้เองออกวุ่นวาย
ด้วยความรักหนักแน่นแสนจะคลั่ง เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย
ถ้าสมรักนั่นแลฉันพลันสบาย ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เป็นคน
ทำกระไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ ฉันจะได้ฝากรักเสียสักหน
ขอเป็นข้านางงามไปตามจน จะสู้ทนทุบถองให้น้องใช้
ยิ่งรำพันปั่นป่วนรัญจวนจิต ถ้าแม้นผิดที่นี่แล้วที่ไหน
เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาลัย สุดวิสัยที่จะมุ่งผดุงปอง
จะเอาจริงดังใจไม่ได้แท้ มีก็แต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง
ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ตรึกตรอง จะนอนร้องละคอนเล่นให้เย็นใจ
นึกนึกแล้วก็เปล่าเรายิ่งวุ่น เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล
ท่านเจ้าจอมหม่อมจิตนี้คิดไป แสนอาลัยเพียงกายจะวายชนม์
เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ จะสู่ขอสารพัดก็ขัดสน
จะกระโจมโถมเอาเราก็จน ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์
ไม่ได้ตามความรักเลยสักท่า ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข
อุราเราร้อนเริงดังเพลิงลุก จะบากบุกเข้าไปอย่างไรดี
นึกจะแต่งศุภสารเป็นการลับ ก็คิดกลับกลัวน้องจะหมองศรี
ไม่เหมือนพบพักตราได้พาที ต้องอารีรักไว้แต่ในใจ
จะริเรื่องร่ำว่าก็น่าเกลียด ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล
สำหรับโลกโศกศัลย์ทุกวันไป กว่าจะได้พบพานก็นานครัน
จะขอลาน้องน้อยกลอยสวาท แรมนิราศราวป่าพนาสัณฑ์
เป็นดาบสทรงพรตพรหมจรรย์ ไปสวรรค์นิพพานสำราญกาย
ในชาตินี้บุญพี่นี้น้อยแล้ว เห็นคลาดแคล้วคลาเคลื่อนไม่เหมือนหมาย
มีแต่ทุกข์ระทมทับให้อับอาย เป็นผู้ชายสิ้นคิดอนิจจัง
เรื่องก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น ใครอย่านินทาว่าลับหลัง
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง พอเอวังก็มีเท่านี้เอง ฯ



  • พิมพ์ที่โรงพิมพ์ธรรมบรรณาคาร ๒๕๕ สี่แยกประตูผี พระนคร
  • นายเซ้ง แซ่เตียว ผู้พิมพ์โฆษณา ๒๕๐๕



  1. เพลงยาวนิราศของคุณสุวรรณ หอพระสมุดฯ ได้พิมพ์ในประชุมเพลงยาว ภาคที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
  2. ข้าพเจ้าได้กล่าวในคำนำเพลงยาวคุณสุวรรณว่า ถึงแก่กรรมเมื่อรัชกาลที่ ๔ นั้นผิดไป

บรรณานุกรม

  • วรรณกรรมต่างเรื่อง. (2505). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ธรรมบรรณาคาร. [พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนางเทียบ เพชรพลาย (เร็วพลัน) ณ เมรุวัดทองนพคุณ ธนบุรี 8 พฤษภาคม 2505].

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก