พิพากษามิได้ เว้นแต่ด้วยข้อกล่าวหาที่ลูกขุนได้รับหรือที่องค์กรนิติบัญญัติมีกฤษฎีกาไว้
ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีที่ปรึกษาที่ตนเลือกเอง หรือที่ได้รับการแต่งตั้งมาโดยตำแหน่ง[1]
การนั่งพิจารณาย่อมเป็นไปโดยเปิดเผย
ให้ลูกขุนที่พิพากษาประกาศข้อเท็จจริงและเจตนา
ให้คณะตุลาการทางอาญาเป็นผู้กำหนดโทษ
97.ให้สมัชชาการเลือกตั้งเลือกตั้งตุลาการทางอาญาทุกปี
98.ให้มีคณะตุลาการเพื่อการกลับคำพิพากษาสำหรับทั่วทั้งสาธารณรัฐ
99.คณะตุลาการนี้มิได้ไต่สวนรูปคดี
ให้คณะตุลาการนี้วินิจฉัยในเรื่องการไม่ปฏิบัติตามรูปแบบและเรื่องการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างชัดแจ้ง
100.ให้สมัชชาการเลือกตั้งเลือกตั้งสมาชิกคณะตุลาการนี้ทุกปี
101.ไม่มีพลเมืองผู้ใดได้รับยกเว้นจากพันธะหน้าที่อันทรงเกียรติในการมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสาธารณะ
102.คลังของชาติเป็นจุดศูนย์รวมแห่งรายรับและรายจ่ายของสาธารณรัฐ
103.ให้พนักงานบัญชีที่คณะมนตรีบริหารแต่งตั้งเป็นผู้บริหารคลังของชาติ
104.ให้พนักงานเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้าหลวงที่องค์กรนิติบัญญัติแต่งตั้งขึ้นโดยนำมาจากภายนอกองค์กร และต้องรับผิดชอบในการกระทำมิชอบที่ตนไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษ
105.บัญชีของพนักงานคลังแห่งชาติ และของผู้บริหารเงินทุนสาธารณะ ให้ยื่นเป็นรายปีต่อข้าหลวงผู้รับผิดชอบซึ่งคณะมนตรีบริหารแต่งตั้ง
106.ให้ผู้ตรวจสอบเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้าหลวงซึ่งองค์กรนิติบัญญัติแต่งตั้งโดยนำมาจากภายนอกองค์กร และต้องรับผิดชอบในการกระทำมิชอบและข้อผิดพลาดทั้งหลายที่ตนไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษ
ให้องค์กรนิติบัญญัติเป็นผู้ชำระบัญชี
- ↑ CNRTL (2012n) ว่า ในกฎหมายอาญา "d'office" หมายความว่า ตามความจำเป็นแห่งตำแหน่งหน้าที่ เช่น "Il avait été chargé de défendre d'office une femme accusée d'avoir volé une paire de bas" ("โดยตำแหน่งแล้ว เขามีหน้าที่ต้องแก้ต่างให้หญิงผู้หนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าขโมยถุงเท้าคู่หนึ่ง")