ห้องสิน/เล่ม 1
ห้องสิน |
เล่ม ๑ |
ในการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานจัดพิมพ์หนังสือชุดภาษาไทยเพื่อทบทวนงานที่ได้ดำเนินมาแล้วในปีแรก คณะกรรมการดำเนินงานได้มีมติให้เพิ่มการจัดพิมพ์หนังสือชุดภาษาไทยขึ้นอีกสามชุด คือ ชุดประชุมพงศาวดาร ชุดรามเกียรติ์ และชุดพงศาวดารจีน
ชุดพงศาวดารจีนซึ่งจัดเป็นชุดที่ ๒๐ นี้ คณะกรรมการได้มีมติให้จัดพิมพ์เฉพาะเรื่องที่นับเนื่องเป็น "พงศาวดารจีน" จริง ๆ เสียก่อน ส่วนเรื่องจีนอื่น ๆ ที่จัดว่าเป็น "เกร็ด" พงศาวดารบ้าง หรือที่แต่งเป็นแบบนวนิยายบ้าง ให้จัดพิมพ์ต่อภายหลัง
ความจริงหนังสือพงศาวดารจีนไม่ว่าประเภทใดมีผู้นิยมอ่านกันมาก ในสมัยก่อนชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปติดพงศาวดารจีนเหมือนกับการรับประทานอาหาร ฉะนั้นจึงปรากฏว่า บรรดาหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะต้องลงเรื่องจีนอย่างน้อยหนึ่งเรื่องเป็นประจำ นักอ่านจะซื้อหนังสือพิมพ์รายวันเพื่ออ่านเรื่องจีนวันต่อวัน เรื่องที่ลงพิมพ์นั้นบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เคยพิมพ์เป็นเล่มมาแล้ว แต่หาอ่านไม่ได้ เพราะต้นฉบับเดิมหายาก และมิได้มีการพิมพ์ขึ้นใหม่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แปลขึ้นใหม่จากนวนิยายจีนซึ่งแต่งอิงพงศาวดาร บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่นักประพันธ์ไทยแต่งขึ้นเองทำนองแต่งนวนิยายอาศัยพงศาวดารจีน เรื่องอิงพงศาวดารจีนที่น่าอ่านเพราะเป็นเรื่องมีคติแก่ชีวิตและครอบครัวก็มีหลายเรื่อง เช่น เรื่องจอยุ่ยเหม็ง เป็นต้น
ส่วนเรื่องจีนที่จัดได้ว่าเป็นเรื่อง "พงศาวดาร" นั้น ปรากฏจากหนังสือตำนานสามก๊ก พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลขึ้น ๒ เรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่นเรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊กเรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น และให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก นับเป็นเริ่มแรกของการแปลพงศาวดารจีนมาเป็นภาษาไทย ในรัชกาลที่ ๒ ได้มีการแปลบ้าง แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่ได้มีการแปลในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลต่อ ๆ มา
แต่การแปลพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยในครั้งนั้นหาได้แปลตามลำดับราชวงศ์กษัตริย์จีนไม่ เข้าใจว่า อาจเพ่งเล็งไปในความสนุกของเรื่อง หรือตามแต่จะหาต้นฉบับได้มากกว่า ทั้งผู้อ่านไม่ปรารถนาจะหาความรู้ทางประวัติศาสตร์นอกจากความสนุกเป็นสำคัญ แต่ในการพิมพ์คราวนี้ คณะกรรมการมีความคิดเห็นว่า ควรจะจัดพิมพ์ใหม่ตามลำดับราชวงศ์กษัตริย์จีน ซึ่งบางทีจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจของประวัติศาสตร์บ้าง จึงได้เรียงลำดับการพิมพ์ดังต่อไปนี้ คือ
๑. | ไคเภ็ก | เริ่มแต่ประวัติศาสตร์ยังเจือปนด้วยนิยาย เช่น การสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ สร้างโลก ฯลฯ จนถึงตอนใกล้ประวัติศาสตร์ กษัตริย์องค์แรก ๆ ของจีน ตั้งแต่สมัยที่กษัตริย์ได้ขึ้นเสวยราชย์โดยราษฎรเป็นผู้เลือก จนถึงปฐมกษัตริย์สืบราชวงศ์ คือ กษัตริย์ราชวงศ์แฮ่ กับกษัตริย์ราชวงศ์เซียว (ก่อนพุทธศักราช ๒๑๕๔ ปีถึงก่อนพุทธศักราช ๑๒๔๐ ปี) | |
๒. | ห้องสิน | ราชวงศ์เซียว และราชวงศ์จิว (ก่อนพุทธศักราช ๑๒๔๐ ปีถึงพุทธศักราช ๒๙๗) | |
๓. | เลียดก๊ก | ||
๔. | ไซ่ฮั่น | ราชวงศ์จิ๋น และราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. ๒๙๘–๓๓๗) | |
๕. | ไต้ฮั่น | ||
๖. | ตั้งฮั่น | ||
๗. | สามก๊ก | ราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ต่อราชวงศ์วุยและราชวงศ์จิ้นตอนต้น (พ.ศ. ๓๓๗–๘๐๗) | |
๘. | ไซจิ้น | ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์ซอง ราชวงศ์ชี ราชวงศ์เหลียง และราชวงศ์ตั้น (พ.ศ. ๘๐๘–๑๑๓๒) | |
๙. | ตั้งจิ้น | ||
๑๐. | น่ำซ้อง | ||
๑๑. | ส้วยถัง | ราชวงศ์ซุย และราชวงศ์ถังตอนต้น (พ.ศ. ๑๑๓๒–๑๑๖๑) | |
๑๒. | ซุยถัง | ||
๑๓. | เสาปัก | ราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๔๕๐) | |
๑๔. | ซิยิ่นกุ้ย | ||
๑๕. | ซิเตงซัน | ||
๑๖. | ไซอิ๋ว | ||
๑๗. | บูเช็กเทียน | ||
๑๘. | หงอโต้ว | ราชวงศ์เหลียง ราชวงศ์จัง ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์จิว (พ.ศ. ๑๔๕๐–๑๕๐๓) | |
๑๙. | น่ำปักซ้อง | ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๑๙) | |
๒๐. | บ้วนฮ่วยเหลา | ||
๒๑. | โหงวโฮ้วเพงไซ | ||
๒๒. | โหงโฮ้วเพงหนำ | ||
๒๓. | โหงวโฮ้วเพงปัก | ||
๒๔. | ซวยงัก | ||
๒๕. | ซ้องกั๋ง | ||
๒๖. | เปาเล่งถูกงอั้น | ||
๒๗. | ง่วนเฉียว | ราชวงศ์หงวน (พ.ศ. ๑๘๒๐–๑๙๑๑) | |
๒๘. | เม่งเฉียว | ราชวงศ์เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑–๒๑๘๖) | |
๒๙. | เองเลียดต้วน | ||
๓๐. | ซองเต๊กอิ้วกังหนำ | ||
๓๑. | ไต้อั้งเผ่า | ||
๓๒. | เซียวอั้งเผ่า | ||
๓๓. | เนียหนำอิดซือ | ||
๓๔. | เม่งมวดเซงฌ้อ | ราชวงศ์เช็ง (พ.ศ. ๒๑๘๗–๒๔๕๔) | |
๓๕. | เชงเฉียว |
รวมทั้งสิ้นเป็นหนังสือ ๓๕ เรื่อง ซึ่งถ้าแบ่งตามขนาดหนังสือชุดภาษาไทยก็อาจจะได้ไม่ต่ำกว่า ๕๐ เล่ม ต้นฉบับพิมพ์พงศาวดารจีนตามบัญชีดังกล่าวนี้ในปัจจุบันหาอ่านกันได้ยาก เพราะส่วนใหญ่มิได้มีการพิมพ์ขึ้นใหม่ นอกจากเรื่องที่นิยมกันว่าสนุก ๆ มากเท่านั้น การพิมพ์คราวนี้ก็ต้องยืมต้นฉบับจากหลายเจ้าของด้วยกัน ซึ่งคุรุสภาต้องขอแสดงความขอบคุณท่านเจ้าของต้นฉบับทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะความเอื้อเฟื้อของท่านเท่ากับเป็นการช่วยรักษาวรรณกรรมของชาติให้คงไว้ส่วนหนึ่ง และการจัดพิมพ์นั้นได้แก้ไขเฉพาะอักขรวิธี ส่วนถ้อยคำสำนวนต่าง ๆ ได้คงไว้ตามเดิม ซึ่งท่านจะได้ทราบภาษาที่คนไทยเรานิยมใช้เมื่อร้อยปีเศษมาแล้วว่าเป็นอย่างไร.
๏เรื่องนี้ภาษาจีนว่าเรื่องห้องสินบุนอ๋อง แปลออกเป็นคำไทยว่า ครั้งแผ่นดินแฮ่ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระเจ้าตีเค้า เสวยราชสมบัติ ณ เมืองเสี่ยง อยู่วันหนึ่งพระเจ้าตีเค้าพานางกั๋นเต๊กผู้เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายเสด็จออกไปไหว้เทพารักษ์ตำบลเก้าบ๋วย นางกั๋นเต๊กได้ฟองนกเหลืองฟองหนึ่ง นางจึงกินฟองนกนั้น ครั้นอยู่มานางทรงครรภ์ประสูติบุตรชายคนหนึ่งชื่อเคียด ครั้นนานมาพระเจ้าทังหงอได้ราชสมบัติ เคียดผู้บุตรนางกั๋นเต๊กได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นพระเจ้าทังหงอสวรรคต เคียดซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ราชสมบัติครองเมืองเสี่ยงสืบแซ่เชื้อพระวงศ์สิบสามชั่วกษัตริย์มาถึงแผ่นดินพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อไท้อิด เป็นคนมีสติปัญญา พระเจ้าเจ๊ดอ๋องให้เลื่อนที่ขึ้นเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ครั้งนั้นยังมีชายชาวนาคนหนึ่งชื่ออิอี๋น ทำนาอยู่ตำบลอี๋วซิน อิอี๋นผูกเพลงขับร้องสรรเสริญพระเจ้าทังหงอ ไท้อิดเห็นว่าอิอี๋นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงจัดผ้าแพรขาวกับสิ่งของทั้งปวงให้คนไปคำนับเชิญอิอี๋นถึงสามครั้ง อิอี๋นจึงมา ณ บ้านไท้อิด ไท้อิดก็พูดจาเกลี้ยกล่อมอิอี๋น อิอี๋นก็ยอมว่าจะทำราชการด้วยไท้อิด ไท้อิดจึงพาอิอี๋นเข้าไปถวายพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง เจ๊ดอ๋องมิได้รู้ว่าอิอี๋นเป็นคนดีมีสติปัญญา จึงคืนตัวอิอี๋นให้แก่ไท้อิด และพระเจ้าเจ๊ดอ๋องเชื่อแต่คำคนยุยง ว่าราชการบ้านเมืองมิได้อยู่ในยุติธรรม เสพย์แต่สุรา มัวเมาอยู่กับนางข้างใน ให้เสียเยี่ยงอย่างกษัตริย์แต่ก่อน กวนเล่งหองเสนาบดีผู้ใหญ่เห็นดังนั้น จึงเข้าไปทูลทัดทานให้สติพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง พระเจ้าเจ๊ดอ๋องโกรธ จึงให้เอาตัวกวนเล่งหองไปฆ่าเสีย แต่นั้นมาขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็มิอาจที่จะทูลทัดทานพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง ไท้อิดจึงคิดกลอุบายแต่งให้คนใช้ไปร้องไห้รักศพกวนเล่งหอง หวังจะให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปแก่คนทั้งปวงว่า กวนเล่งหองเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่พระมหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ความอันนั้นรู้ถึงพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง พระเจ้าเจ๊ดอ๋องรู้กลอุบายของไท้อิดดังนั้น พระเจ้าเจ๊ดอ๋องโกรธ จึงให้เอาไท้อิดมาจำไว้ ณ ทิมแซ่ไถ่
๏ครั้นอยู่มาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องหายโกรธ จึงให้ไท้อิดพ้นจากโทษเวรจำ ไท้อิดลาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องเดินมาถึงตำบลทุ่งนาแห่งหนึ่งจะไปบ้าน ครั้นไท้อิดเห็นชาวนาคนหนึ่งตั้งวงข่ายลงสี่ด้านหวังจะตลบนกเลี้ยงชีวิต ไท้อิดยืนพิเคราะห์ดูวงข่ายเห็นแยบคายสามารถนัก แม้นฝูงนกบินมาทั้งสี่ทิศก็มิอาจพ้นวงข่ายรอดชีวิตไปได้ ไท้อิดคิดปรานีแก่นก จึงยกมือไหว้ว่าแก่ชาวนาขอเลิกข่ายเสียสามด้าน ให้คงอยู่แต่ด้านเดียว นกตัวใดถึงแก่กรรมแล้วจึงให้ติดข่ายเถิด ไท้อิดว่าดังนั้นแล้วก็ไปบ้าน กิตติศัพท์นั้นก็ปรากฏไปแก่ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวง ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงเห็นว่า ไท้อิดมีเมตตาแก่สัตว์ ควรจะเอาเป็นที่พึ่งได้ จึงชักชวนกันมาขึ้นแก่ไท้อิดถึงสี่สิบหัวเมือง ไท้อิดจึงตั้งอิอี๋นเป็นที่อาจารย์สำหรับศึกษาไต่ถามกิจการทั้งปวง
๏ฝ่ายพระเจ้าเจ๊ดอ๋องครองสมบัติมิได้อยู่ในยุติธรรม และหาผู้ใดจะทัดทานมิได้ ก็ยิ่งกระทำทุจริตเนือง ๆ ราษฎรและหัวเมืองขึ้นทั้งปวงได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ไท้อิดเห็นดังนั้นจึงคิดกับอิอี๋นซึ่งเป็นอาจารย์และหัวเมืองทั้งสี่สิบเมืองพร้อมใจกันยกเป็นกระบวนทัพเข้าเมืองเสี่ยง ทหารไท้อิดจับพระเจ้าเจ๊ดอ๋องได้ ไท้อิดมิได้ประหารชีวิตพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง จึงให้เอาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องไปปล่อยเสียที่ตำบลน้ำเฉา ไท้อิดจึงว่าแก่หัวเมืองทั้งสี่สิบเมืองว่า บัดนี้ก็สำเร็จการแล้ว เราจะกลับไปอยู่ที่แห่งเรา ทหารและหัวเมืองทั้งปวงได้ฟังไท้อิดว่าดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ก็มิบังควร ขอเชิญท่านครองสมบัติในเมืองเสี่ยงสืบไปจึงจะควร หัวเมืองทั้งปวงพร้อมกันจึงอัญเชิญไท้อิดให้เป็นเจ้าเมืองเสี่ยง ชื่อพระเจ้าเสี่ยงทาง พระเจ้าเสี่ยงทางเมื่อได้สมบัติชันษาได้แปดสิบเจ็ดปี พระเจ้าเสี่ยงทางจึงสร้างพระนครหนึ่งชื่อปัดโต๋
๏ขณะเมื่อพระเจ้าเจ๊ดอ๋องมิได้อยู่ในยุติธรรม ฝนแล้งมาประมาณเจ็ดปี ราษฎรได้ความเดือดร้อนด้วยอาหารยิ่งนัก พระเจ้าเสี่ยงทางเสด็จไปคำนับบวงสรวงเทพยดา ณ ตำบลซึงหนิมเพื่อจะให้ฝนตกตามฤดูกาล แต่นั้นมาฝนตกชุกชุมเป็นปรกติอย่างแต่ก่อน พระเจ้าเสี่ยงทางจึงให้เจ้าพนักงานเบิกคลังทองเงินมาพระราชทานทหารและขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเสี่ยงทางบำรุงประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยยุติธรรม พระเจ้าเสี่ยงทางอยู่ในสมบัติได้สิบสามปีจึงสวรรคต ไท้กอบุตรพระเจ้าเสี่ยงทางได้ครองสมบัติสืบกษัตริย์ซึ่งเป็นวงศ์แห่งพระเจ้าเสี่ยทางครองเมืองปัดโต๋ลำดับมา คือ พระเจ้าไท้กอหนึ่ง ออกเตงหนึ่ง ไท้แกหนึ่ง เสียวกะเป็นน้องไท้กอหนึ่ง หยงกี๋หนึ่ง ไท้โบ๋หนึ่ง ต้องเต๊งหนึ่ง ฮั่วยิมหนึ่ง ทันกะหนึ่ง โจอิดหนึ่ง โจสินหนึ่ง อ๊อกกะหนึ่ง เจ้าเต๊กหนึ่ง น่ำแกหนึ่ง ย่างกะหนึ่ง พ่วนแกหนึ่ง เสี่ยวซิ้นหนึ่ง เสี่ยวอิดหนึ่ง บู๋เตงหนึ่ง โจแกหนึ่ง โจกะหนึ่ง หมินชิน นึ่ง แกเต๊งหนึ่ง บู๊อิดหนึ่ง ไท้เต๊งหนึ่ง ตีอิดหนึ่ง ติวอ๋องหนึ่ง ศิริกษัตริย์วงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองปัดโต๋สืบมายี่สิบแปดองค์ คิดเป็นปีได้หกร้อยสี่สิบปี และเมื่อพระเจ้าตีอิดบุตรพระเจ้าไท้เต๊งได้ครองเมืองปัดโต๋ มีพระราชบุตรสามองค์ บุตรที่หนึ่งชื่อมุ่ยจี๋วคี บุตรคนที่สองชื่อมุ่ยจี๋วอ๋อง บุตรที่สามชื่อลิ้วอ๋อง วันหนึ่งพระเจ้าตีอิดและพระราชบุตรทั้งสามกับขุนนางออกไปชมดอกโบตั๋น ณ สวนงือหึง เป็นที่สวนเคยประพาส ขื่อตำหนักสวนหักลง ลิ้วอ๋องผู้เป็นพระราชบุตรที่สามเอามือเข้ารับไว้มิให้ขื่อตำหนักตกลง ขุนนางและทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญลิ้วอ๋องว่ามีกำลังหาผู้จะเสมอมิได้ เชียงหยงปวยเป๊กเตียคีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนกราบทูลพระเจ้าตีอิดว่า ลิ้วอ๋องผู้เป็นพระราชบุตรที่สามมีกำลังและสติปัญญาควรจะเป็นอุปราชได้ พระเจ้าตีอิดก็ให้ลิ้วอ๋องเป็นที่อุปราช พระเจ้าตีอิดอยู่ในราชสมบัติสามสิบปี เมื่อพระเจ้าตีอิดใกล้จะสวรรคต มอบสมบัติให้ลิ้วอ๋อง แล้วสั่งบุนไท้สือกับอึ้งปวยฮอซึ่งเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ให้เป็นผู้จัดแจงการงานบ้านเมือง
๏ครั้นพระเจ้าตีอิดสวรรคตแล้ว ลิ้วอ๋องก็ได้ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าตีอิด ชื่อพระเจ้าติวอ๋อง ครองเมืองปัดโต๋ ให้ชื่อเมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องจึงตั้งบุนไท้สือเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ตั้งอึ้งปวยฮอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ว่าที่ฝ่ายทหาร และพระเจ้าติวอ๋องมเหสีสามองค์ ชื่อนางเกียงสีหนึ่ง ชื่อนางอึงสีหนึ่ง ชื่อนางเอียสีหนึ่ง และเมืองเอกซึ่งมาขึ้นแก่เมืองจิวโก๋มีสี่หัวเมือง เมืองเอกฝ่ายตะวันออกชื่อเมืองตั๋งลู้ เกียงฮ่วนฌ้อเป็นเจ้าเมือง เมืองเอกฝ่ายตะวันตกชื่อใสเบกเฮ้า กีเชียงเป็นเจ้าเมือง เมืองฝ่ายทิศเหนือชื่อเมืองปกเปกเฮ้า ช่องเฮ่าเฮาเป็นเจ้าเมือง เมืองฝ่ายทิศใต้ชื่อนำป๊กเฮ้า งกเชาฮูเป็นเจ้าเมือง และเมืองเอกทั้งสี่เมืองมีเมืองขึ้นเมืองละสองร้อย เข้ากันเป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้าติวอ๋องเป็นเมืองแปดร้อยสี่เมือง และพระเจ้าติวอ๋องครองเมืองจิวโก๋ตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุข
๏พระเจ้าติวอ๋องครองสมบัติได้เจ็ดปี ณ เดือนสี่ อ้วนหกทงเจ้าเมืองปักไฮ กับเมืองขึ้นเจ็ดสิบสองเมืองฝ่ายเหนือ เป็นกบฏ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้บุนไท้สือเป็นนายทัพคุมทหารไปจับอ้วนหกทง
๏ครั้นอยู่ ณ เดือนสาม พระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เชียงหยงขุนนางผู้เฒ่าจึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เป็นอย่างธรรมเนียมกษัตริย์ได้ครองเมืองจิวโก๋สืบมา ถ้าถึงเดือนสาม ขึ้นสิบห้าค่ำ เป็นวันเกิดแห่งเทพธิดาหนึงวาสี กษัตริย์แต่ก่อนเคยเสด็จไปคำนับทุกองค์ ขอเชิญเสด็จไปคำนับหนึงวาสีตามธรรมเนียม พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เทพธิดาหนึงวาสีมีคุณประการใด ท่านจะให้เราไปคำนับ เชียงหยงจึงทูลว่า แต่ก่อนครั้งเมื่อจงกงสีพี่น้องทั้งสองรบกัน จงกงสีพ่ายแพ้ จงกงสีแค้นใจ เอาศีรษะกระทบภูเขา ภูเขาก็ทำลาย จงกงสีโดดขึ้นไปด้วยกำลัง และศีรษะจงกงสีกระทั่งฟ้า ฟ้าก็พังไป จงกงสีตกลงยังแผ่นดิน แผ่นดินก็ถล่มไป พระอาทิตย์และพระจันทร์มิอาจจะเดินส่องฟ้าได้ ก็มืดไปทั่วแผ่นดิน หนึงวาสีเห็นดังนั้นจึงเอาศิลาเหลือง ศิลาแดง ศิลาเขียว ศิลาขาว ศิลาดำ มาเคี่ยวให้ละลาย แล้วหนึงวาสีเอาไปปิดยาฟ้าและดินซึ่งทำลายทะลุถล่มไปให้ปรกติ พระอาทิตย์พระจันทร์ก็ส่องสว่างไปดังเก่า แต่นั้นมาคนทั้งปวงก็นับถือหนึงวาสีว่ามีคุณยิ่งนัก จึงปลูกเป็นศาลสามหลังจำหลักรูปหนึงวาสีไว้เป็นที่คำนับสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้
๏พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันเดือนสาม ขึ้นสิบห้าค่ำ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จทรงรถพร้อมด้วยข้าทหารขุนนางทั้งปวงออกไป ณ ศาลเจ้าหนึงวาสี และแถวทางที่เสด็จนั้นราษฎรทั้งปวงเอาเจียมปูแผ่นดิน แพรแดงผูกปลายไม้ปักดุจช่องประตู ภาษาจีนถือคำนับว่าเป็นมงคล ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จถึงศาลเจ้าหนึงวาสี กระทำคำนับตามธรรมเนียมแล้ว จึงเที่ยวชมศาลมาถึงห้องที่รูปหนึงวาสีตั้งอยู่นั้น พอลมพัดม่านซึ่งรูปหนึงวาสีเวิกออกไป พระเจ้าติวอ๋องเห็นรูปเทพธิดาหนึงวาสีซึ่งกระทำไว้นั้นงามยิ่งนัก จึงคิดว่า ตัวกูมีบุญหาผู้เสมอมิได้ มิได้เป็นใหญ่แก่หัวเมืองทั้งสี่ทิศ มีมเหสีและนักสนมกำนัลจะนับมิได้ จะหารูปให้เหมือนรูปเทพธิดาหนึงวาสีที่ทำไว้หามิได้
๏พระเจ้าติวอ๋องจึงเรียกเอาพู่กันมาเขียนเป็นโคลงชมศาลเทพารักษ์ว่างามเป็นลวดลายทองสี่บท โคลงชมรูป
๏พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เราเห็นว่ารูปหนึงวาสีงาม จึงทำโคลงชมไว้ ถึงมาตรว่าราษฎรได้เห็นได้อ่านก็จะพลอยชมด้วยเราเสียอีก ท่านอย่าทัดทานเราเลย เชียงหยงและขุนนางทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องตรัสดังนั้นก็มิอาจที่จะทูลประการใดได้ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง
๏ขณะเมื่อพระเจ้าติวอ๋องออกไปคำนับหนึงวาสีนั้น หนึงวาสีขึ้นไปเฝ้าฮกฮี แล้วไปเฝ้ายาติฮินหวน แปลภาษาไทยว่าเป็นเทพยดาผู้ใหญ่ทั้งสามองค์อยู่สวรรค์ หนึงวาสีกลับลงมายังที่อยู่ เห็นโคลงซึ่งติวอ๋องเขียนไว้นั้น หนึงวาสีโกรธนัก จึงคิดว่า แต่พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองจิวโก๋สืบ ๆ แซ่เสี่ยงทางมาตราบเท่าถึงติวอ๋องได้หกร้อยสิบสองปี หามีผู้ใดจะดูหมิ่นแก่เราไม่ บัดนี้ติวอ๋องดูหมิ่นเรา มาเขียนโคลงไว้ดังนี้ ไม่ควรเลย เหตุดังนี้แซ่เสี่ยงทางจะสิ้นสูญแลว จำจะทำทดแทนติวอ๋องให้เห็นกำลังฤทธิ์ครั้งนี้ หนึงวาสีคิดดังนั้นแล้วก็ขึ้นขี่หงส์ เพ๊กเฮียถือฉัตร ห้องจี้ถือธง นำหน้าหนึงวาสีไปโดยอากาศ ครั้นถึงเมืองจิวโก๋ หนึงวาสีเลื่อนลอยอยู่ตรงที่อยู่แห่งติวอ๋อง แลลงมาเห็นหินเก๋าหินท๋งบุตรจิวอ๋องทั้งสองนั่งเฝ้าติวอ๋องอยู่ หนึงวาสีพิจารณาดูก็รู้ว่า หินเก๋าบุตรติวอ๋องนี้ตายไปจะเกิดเป็นเจ้าปีเจ้าวันเจ้าเดือน หินท๋งผู้นี้ตายไปจะเกิดเป็นเจ้าข้าวเปลือกเจ้าข้าวโพดเจ้าข้าวฟ่างเจ้าถั่วเจ้างา แล้วพิจารณาเห็นว่า ติวอ๋องยังจะครองสมบัติไปได้อีกยี่สิบแปดปีจึงจะสิ้นบุญ หนึงวาสีจะกระทำอันตรายแก่ชีวิตติวอ๋องยังมิได้ ก็กลับมายังที่อยู่ จึงสั่งให้ฮุ่ยเฮ้ยท่องจิ้วเอาน้ำเต้ามา หนึงวาสีจึง⟨เ⟩ปิดฝาน้ำเต้า ก็บังเกิดเป็นควันพลุ่งขึ้นสูงประมาณสามสิบศอก ปลายควันนั้นบังเกิดเป็นธงปลิวอยู่
๏ขณะนั้นปิศาจทั้งปวงเห็นธงสำคัญดังนั้นก็มาเฝ้าหนึงวาสีพร้อมกัน หนึงวาสีจึงว่า ท่านทั้งปวงจงกลับไปเถิด ให้อยู่กับเราแต่เฮาหลี ว่าเสือปลา ฮิบี๋ ว่าไก่ ปีแป ว่าพิณ หนึงวาสีจึงว่า แต่วงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองจิวโก๋สืบมาถึงยี่สิบเจ็ดองค์ย่อมมาคำนับเราทุกองต์ แต่ติวอ๋องคนนี้หมิ่นประมาทเรา มาเขียนโคลงไว้ดังนี้ บัดนี้วงศ์เสี่ยงทางจะสิ้นสูญเสียครั้งนี้ เราได้ยินเสียงหงส์ร้องบนเขากิสัว ผู้มีบุญบังเกิดในเมืองไซรกีแล้ว หงส์จึงร้องให้ประจักษ์ ท่านทั้งสามช่วยกันกระทำเล่ห์กลอุบายให้ติวอ๋องลุ่มหลงด้วยกามคุณและให้ปราศจากเมืองจงได้ แต่อย่าให้ราษฎรเป็นอันตราย ต่อเมื่อใดผู้มีบุญชื่อบุนอ๋องได้ครองเมืองจิวโก๋แล้ว เราจึงจะให้ท่านทั้งสามเป็นที่ผู้ใหญ่ ปิศาจทั้งสามรับคำนับหนึงวาสีแล้วก็เป็นลมพัดหายไป
๏ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งแต่ได้เห็นรูปหนึงวาสีที่ศาลมาวันนั้น ให้หลงรักรูปหนึงวาสีอยู่เป็นนิจมิได้ขาด จนจะออกขุนนางก็นั่งคิดถึงหนึงวาสีมิเป็นอันที่จะว่าราชการ เข้าไปข้างในก็มิได้ยินดีด้วยมเหสีและกำนัลทั้งปวง คิดถึงแต่รูปหนึงวาสีเป็นนิจ วันหนึ่งเวลาเย็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ที่เคียงเข่งต้อย ว่าที่นั่งเย็น ฮิวฮุนฮุยต๋งสองคนกับมหาดเล็กน้อย ๆ เฝ้าพระเจ้าติวอ๋องอยู่ ตั้งแต่บุนไท้สือยกไปตีเมืองปักไฮ ฮิวฮุนฮุยต๋งเป็นคนชิดชอบอัชฌาสัยแห่งพระเจ้าติวอ๋อง ฮิวฮุนฮุยต๋งจะทูลความสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังทุกสิ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงบอกแก่คนทั้งสองว่า ตั้งแต่เราไปเห็นรูปหนึงวาสีมา เรามีความรักใคร่ยิ่งนัก คิดประการใดจึงจะได้สตรีที่รูปงามเหมือนรูปหนึงวาสีดังนี้ ฮุยต๋งจึงทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า พระองค์เป็นใหญ่ มีเมืองขึ้นถึงแปดร้อยสี่เมือง ขอให้มีหนังสือไปถึงเมืองเอกทั้งสี่เมืองให้จัดหาสตรีที่รูปงามเข้ามาถวายเมืองละร้อย ก็เห็นว่าจะจัดหาสตรีที่มีรูปงามเหมือนรูปหนึงวาสีได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย อยู่วันหนึ่งพระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าติวอ๋องจงสั่งแกตึงแกกั๋วให้มีหนังสือไปถึงเมืองเอกทั้งสี่ให้จัดสตรีรูปงามเข้ามาเมืองละร้อยคน เชียงหยงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องสั่งดังนั้นจึงทูลว่า พระองค์ได้ดำรงแผ่นดินตั้งอยู่ในยุติธรรม อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว บัดนี้จะให้เมืองเอกทั้งสี่จัดสตรีรูปงามถึงสี่ร้อยเข้ามาถวาย ข้าพเจ้าเห็นว่า ราษฎรทั้งปวงจะเดือดร้อน หนึ่งเมืองปักไฮกับหัวเมืองเจ็ดสิบสองเมืองก็คิดเอาใจออกจากพระองค์อยู่ พระเจ้าติวอ๋องฟังเชียงหยงทูลทัดทานก็เห็นชอบด้วย มิได้โต้ตอบประการใด ก็เสด็จขึ้น ขุนนางทั้งปวงก็กลับไปบ้าน
๏ครั้งนั้นพระเจ้าติวอ๋องครองสมบัติได้แปดปี อยู่ ณ เดือนสี่ข้างจีน เจ้าเมืองซึ่งกินเมืองเอกตั้งสี่กับเมืองขึ้นทั้งปวงนำเอาเครื่องบรรณาการมาถวาย และเจ้าเมืองทั้งสี่นั้นรู้ว่า บุนไท้สือซึ่งเคยคำนับไปราชการทางเมืองปักไฮ แล้วเห็นว่า ฮิวฮุนฮุยต๋งสองคนนี้เป็นที่ชอบอัชฌาสัยแห่งพระเจ้าติวอ๋อง หัวเมืองทั้งปวงจึงจัดสิ่งของไปคำนับฝากตัวฮิวฮุนฮุยต๋งทั้งสิ้น แต่เชาฮูผู้เดียวเห็นว่า ฮิวฮุนฮุยต๋งเป็นคนไม่ซื่อตรง เชาฮูจึงมิได้ไปคำนับฮิวฮุนฮุยต๋ง ฮิวฮุนฮุยต๋งเห็นว่า เชาฮูไม่มาคำนับ คิดผูกใจพยาบาทเชาฮู วันหนึ่งเป็นวันแขกเมืองเข้าเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อม ห้องมึงกัว ภาษาไทยว่าขุนนางกรมวัง กราบทูลเบิกแขกเมืองเอกทั้งสี่เข้าเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องปราศรัยแขกเมืองตามธรรมเนียมแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เชียงหยงนำแขกเมืองไปเลี้ยงโต๊ะ ณ เคียงเข่งต้อย แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น จึงให้หาฮิวฮุนฮุยต๋งเข้าไปข้างใน จึงตรัสว่า ซึ่งเราสั่งให้สี่เมืองเอกจัดหญิงรูปงามมาสี่ร้อยคน เชียงหยงว่ากล่าวขัดไว้ บัดนี้เมืองเอกทั้งสี่เมืองก็มาพร้อมกันแล้ว เราจะสั่งให้เมืองเอกทั้งสี่จัดหญิงที่รูปงามส่งเข้ามาเมืองละร้อยคน ท่านจะเห็นประการใด ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เดิมพระองค์สั่งแกตึง แกกั๋ว ว่า จะให้มีหนังสือไปถึงสี่เมืองเอกให้จัดสตรีรูปงามมาถวาย เชียงหยงทูลทัดทาน พระองค์ก็เชื่อฟังคำเชียงหยงห้ามแล้ว บัดนี้ พระองค์กลับจะสั่งหัวเมืองทั้งสี่ให้จัดสตรีรูปงามมาถวายอีกเล่า พระองค์เป็นมหากษัตริย์ ตรัสสิ่งใดมิได้ยั่งยืนดังนี้ ราษฎรจะนินทาได้ และข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า มีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงามและประกอบด้วยสติปัญญา ขอให้หาตัวเชาฮูผู้บิดามาขอ เชาฮูก็จะถวายบุตรแก่พระองค์โดยง่าย และราษฎรทั้งปวงก็จะมิได้เดือดร้อนสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาเชาฮูมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสแก่เชาฮูว่า มีผู้บอกแก่เราว่า ท่านมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงาม เราจะใคร่ได้ ถ้าท่านให้บุตรแก่เรา เรากับท่านก็จะได้เป็นคนสนิทกัน และเราก็จะให้ท่านครองเมืองกีจิวเฮ้ากว่าจะสิ้นชีวิต มีอาญาสิทธิ์เหมือนกับเรา เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มิได้ยินดี มีใจโกรธ จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า พระองค์มีนักสนมกำนัลนับด้วยพันแล้ว ล้วนแต่มีลักษณะรูปร่างงาม อันบุตรข้าพเจ้าจะได้งามดุจผู้มากราบทูลนั้นหามิได้ แต่พระองค์ได้ครองราชสมบัติมา บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขโดยยุติธรรม ราษฎรทั้งปวงก็สรรเสริญว่า พระองค์มิได้ฝักใฝ่ในกามคุณ บัดนี้ มาเชื่อฟังคำคนยุยงดังนี้ไม่ควร ชอบให้เอาผู้ยุยงไปฆ่าเสียจึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า ตัวท่านถ้ายกลูกสาวให้แก่เราแล้ว ท่านก็จะได้เป็นใหญ่เสมอเรา ท่านเร่งตรึกตรองดูเถิด เชาฮูได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องว่าดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดร้องว่า ตัวท่านเป็นกษัตริย์ ควรจะคิดบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และจะทำทุจริตเหมือนดังพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง เสพแต่สุรา มัวเมาด้วยกามคุณ จนแผ่นดินเป็นจลาจลต่าง ๆ นั้นหาควรไม่ ชอบแต่ท่านจะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขดุจพระเจ้าเสี่ยงทางจึงจะควร และวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางซึ่งได้บำรุงราษฎรอยู่เป็นสุขสืบมาถึงหกร้อยปีเศษแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า แผ่นดินจะฉิบหายเสียเพราะท่านกระทำทุจริตเหมือนพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเชาฮูว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่เชาฮูว่า เราเป็นกษัตริย์ ชีวิตท่านทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือเรา และเราขอลูกท่านทั้งนี้ด้วยความกรุณา จะเลี้ยงท่านให้เป็นใหญ่ และท่านกลับกล่าวคำหยาบช้า เอาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องมา
เปรียบเราดังนี้ ท่านหามีความยำเกรงแก่เราไม่ พระเจ้าติวอ๋องว่าดังนั้นแล้วจึงให้เอาตัวเชาฮูออกไปให้ขุนนางปรึกษาใส่ด้วยกฎหมาย ถ้าโทษถึงตายให้ประหารชีวิตเสีย คนใช้พระเจ้าติวอ๋องก็เอาตัวเชาฮูออกไป ณ หง้อหมึงฮุยต้อง ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษเชาฮูตามกฎหมายนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ราษฎรทั้งปวงจะนินทาว่า พระองค์ฆ่าเชาฮูเสีย เพราะจะเอาลูกสาวเป็นภรรยา ขอให้ปล่อยเชาฮูไปเมืองกีจิวเฮ้าก่อน เห็นว่า เชาฮูจะรู้จักโทษตัวกลัวอาญา จะแต่งบุตรมาถวายโดยดี หาผู้นินทามิได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ยกโทษเชาฮู ให้เชาฮูกลับไปเมือง
ฝ่ายเชาฮูก็ไป ณ กงก๋วน ภาษาไทยว่า เป็นที่อยู่แขกเมือง และบรรดาขุนนางซึ่งมาด้วยเชาฮูแต่เมืองกีจิวเฮ้านั้น ครั้นเห็นเชาฮูกลับมา จึงชวนกันมาถามเชาฮูว่า พระเจ้าติวอ๋องให้หาท่านเข้าไปว่าด้วยข้อราชการสิ่งใด เชาฮูจึงเล่าความให้ขุนนางทั้งปวงฟังทุกประการ แล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เชื่อฟังแต่ถ้อยคำฮิวฮุน ฮุยต๋ง ยุยงต่าง ๆ หาดูเยี่ยงอย่างพระเจ้าเสี่ยงทางซึ่งเป็นอัยกาไม่ และซึ่งให้เราพ้นโทษมาทั้งนี้ เพราะความคิดของฮิวฮุน ฮุยต๋ง ด้วยหมายว่า เราจะคิดถึงบุญคุณ ก็จะยอมให้บุตรโดยง่าย ครั้นเราจะยอมให้บุตรแก่พระเจ้าติวอ๋องครั้งนี้ ขุนนางทั้งปวงก็จะติเตียนว่า เราหาปัญญามิได้ ด้วยพระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เชื่อฟังแต่คำฮิวฮุน ฮุยต๋ง คิดทำทุจริตต่าง ๆ ถ้าแลบุนไท้สืออยู่แล้ว ที่ไหนพระเจ้าติวอ๋องจะทำการวิปริตได้ถึงเพียงนี้ เราคิดเสียดายแต่แผ่นดินของพระเจ้าเสี่ยงทางจะสูญเสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ขุนนางทั้งปวงจึงว่าแก่เชาฮูว่า พระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นว่า ขุนนางและหัวเมืองทั้งสิ้นก็จะเอาใจออกหากจากพระเจ้าติวอ๋องหมด ท่านเร่งกลับไป ณ เมืองกีจิวเฮ้าโดยเร็วเถิด จะได้คิดการใหญ่สืบไป เชาฮูได้ฟังจึงว่า เราเป็นชาย คิดดังนั้นหาองอาจไม่ เชาฮูจึงเอาพู่กันมาเขียนเป็นโคลงปิดไว้ ณ บานประตูกงก๋วนที่อยู่บทหนึ่งเป็นใจความห้าข้อ ข้อหนึ่งว่า เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าอยู่ในยุติธรรม ขุนนางทั้งปวงก็จะรักใคร่ยำเกรงยิ่งนัก หนึ่ง ผู้เป็นอาจารย์สอนศิษย์ ถ้ามิได้ลำเอียง เที่ยงตรงอยู่ ศิษย์ก็กลัวเกรง หนึ่ง ผู้จะเป็นบิดาเลี้ยงบุตรโดยธรรม บุตรก็กลัวเกรง หนึ่ง ผู้จะเป็นผัว ถ้าเลี้ยงเมียเป็นยุติธรรม เมียก็ยำเกรง หนึ่ง ผู้จะมีมิตรสหาย ถ้ารักใคร่กันโดยสุจริต มิตรก็ย่อมเกรงใจ นี่เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในยุติธรรมดังนี้ จะมีผู้ใดเกรงกลัวเล่า ตั้งแต่วันนี้ไป เมืองจิวโก๋กับเราขาดกัน เราจะได้ไปมาอย่างแต่ก่อนนั้นหามิได้แล้ว เชาฮูครั้นเขียนโคลงแล้วก็พาขุนนางทั้งปวงซึ่งเป็นพรรคพวกออกจากเมืองจิวโก๋ไปยังเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งแต่ปล่อยเชาฮูไปเมือง ก็มีความวิตกว่า เชาฮูจะไปเอาบุตรมาให้เราหรือ หรือเชาฮูจะคิดประการใดก็ยังไม่รู้ ขณะนั้น นายประตูซึ่งรักษากงก๋วนเชาฮูอยู่นั้น ครั้นเชาฮูไปแล้ว เห็นโคลงจารึกไว้ ณ บานประตูดังนั้น จึงนำเอาโคลงเชาฮูเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องอ่านดูเห็นข้อความว่ากล่าวหยาบช้ายิ่งนัก พระเจ้าติวอ๋องโกรธ จึงด่าเชาฮูว่า มันหารู้จักคุณกูไม่ ครั้งก่อนว่ากล่าวหยาบช้าต่อกู กูยกโทษเสีย ควรที่จะคิดถึงคุณกู บัดนี้ กลับทำโคลงว่ากล่าวหยาบช้าอีกเล่า ครั้นจะมิเอาโทษเชาฮู ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง จำจะให้ไปจับเอาตัวมาฆ่าเสียจงได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาอินโภ้โป้ หนึ่ง เตียวฉาน หนึ่ง ลู่หยง หนึ่ง เข้ามา แล้วจึงบอกว่า เชาฮูว่ากล่าวหยาบช้าแก่เราต่าง ๆ เราจะยกกองทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้าจับตัวเชาฮูฆ่าเสียจงได้ เราจะให้ท่านทั้งสามคุมพลทหารยี่สิบหมื่นเป็นทัพหน้าเรา ลู่หยงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องตรัสดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวฮ่องว่า หัวเมืองเอกทั้งสี่ก็เข้ามาพร้อมกันในเมืองจิวโก๋ และซึ่งพระองค์จะยกทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า และจะละเมืองจิวโก๋เสียดังนี้มิควร ขอให้เมืองเอกเมืองใดเมืองหนึ่งคุมทหารไปตีเมืองกีจิวเฮ้าก็เห็นจะพอได้ เพราะเมืองกีจิวเฮ้าเป็นเมืองน้อย ถ้าทัพหลวงยกไป ถึงมาตรว่าจะได้เมือง ก็ไม่มีเกียรติยศ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงถามลู่หยงว่า เจ้าเมืองเอกทั้งสี่ท่านจะเห็นผู้ใดมีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็งเล่า ฮุยต๋งจึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เมืองกีจิวเฮ้าและเมืองปักเป๊กเฮ้าสองเมืองนี้เป็นเมืองฝ่ายเหนือ ขอให้ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้าเมืองปักเป๊กเฮ้า ยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า เห็นจะได้โดยง่าย ลู่หยงได้ฟังฮุยต๋งทูลดังนั้นจึงคิดว่า ซ่องเฮ่าเฮ้านี้เป็นคนหยาบช้า หามีผู้ใดนับถือรักใคร่ไม่ ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทีแก่เมืองกีจิวเฮ้า ก็จะเสียพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินไป ลู่หยงคิดดังนั้นจึงทูลว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าคนนี้ยังหาเห็นฝีมือปรากฏในการรบพุ่งประการใดไม่ ข้าพเจ้าเห็นแต่กีเซียง เจ้าเมืองใส่เป๊กเฮ้านั้น มีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็ง แล้วสัตย์ซื่อมั่นคง ราษฎรทั้งปวงก็นับถือรักใคร่กีเซียงเป็นอันมาก ถ้าโปรดให้กีเซียงถืออาญาสิทธิ์เป็นนายทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า จับเอาตัวเชาฮูมาถวาย เห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังลู่หยงทูลดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านทั้งสองต่างคนต่างเห็นดังนั้นแล้ว เราจะให้อาญาสิทธิ์ไปทั้งสองคน ให้เป็นนายทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เขียนหนังสือมอบธงอาญาสิทธิ์ไปให้แก่กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า เป็นใจความว่า ให้กีเซียงกับซ่องเฮ่าเฮ้าถืออาญาสิทธิ์ด้วยกันทั้งสอง เป็นนายทัพยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า จับตัวเชาอูมาจงได้
ขณะนั้น ผู้ถือหนังสือรับสั่งไปให้กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้านั้น กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกันกินโต๊ะอยู่ ณ เคียงเข่งต้อย กีเซียงและซ่องเฮ่าเฮ้าได้แจ้งในหนังสือรับสั่งนั้นแล้ว
ฝ่ายกีเซียงจึงว่าแก่เชียงหยง ปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ ว่า เชาฮูคนนี้สิเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วก็มาเฝ้าอยู่ด้วยกันทุกวัน ไฉนจึงทำโคลงหยาบช้าให้ขัดเคืองฉะนี้เล่า และโคลงบทนี้เชาฮูจะทำหรือ หรือจะเป็นผู้ซึ่งชังเชาฮูแกล้งแต่งโคลงไว้ให้ลงโทษเอาเชาฮู ความทั้งนี้ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ขอท่านได้ทราบทูลถามพระเจ้าติวอ๋องก่อน ถ้าเชาฮูกระทำโคลงหยาบช้าจริงดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับเชาฮูมาฆ่าเสียจงได้ ปิกันได้ฟังกีเซียงว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงตอบกีเซียงว่า ท่านว่าดังนี้เราไม่เห็นด้วย อันประเพณีพระมหากษัตริย์ ถ้าตรัสสิ่งใดแล้วก็สิทธิ์ขาด ข้าราชการก็กระทำตาม ซึ่งท่านจะให้ทูลถามนั้นเหมือนหนึ่งหายำเกรงกลัวพระราชอาญาไม่ กีเซียงจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่เราเห็นว่า เชาฮูนั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วโทษผิดแต่เพียงนี้ ซึ่งจะให้ยกทัพไปจับเชาฮูนั้น ราษฎรทั้งปวงก็พลอยได้ความเดือดร้อน ข้อหนึ่งก็จะเปลืองพระราชทรัพย์หลวงซึ่งจ่ายเป็นเสบียงอาหาร หาควรไม่ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า ความซึ่งท่านว่านี้เราก็คิดอยู่ แต่ว่าเรามิอาจที่จะขัดรับสั่งได้ กีเซียงจึงว่า ถ้าดังนั้น ท่านจงยกกองทัพไปก่อนเราเถิด เราจึงจะค่อยยกตามไปครั้งหลัง ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้น ก็พาขุนนางหัวเมืองทั้งปวงกลับไปที่อยู่กงก๋วน กีเซียงครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าไปแล้วจึงว่าแก่เชียงหยง ปิกัน บัดนี้ ซ่องเฮ่าเฮ้าเขาจะยกไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าจะต้องแวะไปจัดเอาทหาร ณ เมืองไซรกี ได้ทหารพร้อมแล้วจึงจะยกไปตามกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้า กีเซียงว่าดังนั้นแล้วก็ลาไป เชียงหยง ปิกัน ก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ก็เข้าไปทูลลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็พาทหารห้าหมื่นยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า ฝ่านเชาฮู ครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า จึงเล่าความทั้งปวงให้ชวนต๋ง ผู้บุตร กับทหารทั้งปวงฟังทุกประการ แล้วจึงว่า เมื่อเราจะมานี้เราเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ ณ ประตูกงก๋วน ถ้าพระเจ้าติวอ๋องรู้ว่า เป็นโคลงของเราเขียนไว้ เห็นจะโกรธเรา จะยกกองทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง จำจะจัดแจงบ้านเมืองเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม ทหารและขุนนางทั้งปงวงก็ทำตามเชาฮูสั่งทุกประการ
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นยกทัพมาถึงเมืองกีจิวเฮ้าแล้ว ให้ตั้งค่ายมั่นคงไว้ใกล้กำแพงเมืองประมาณยี่สิบเส้น ทหารเชาฮูซึ่งอยู่รักษาเชิงกำแพงเห็นดังนั้น จึงเข้าไปบอกแก่เชาฮูว่า ข้าพเจ้าเห็นกองทัพคนประมาณห้าหมื่นยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่นอกกำแพงเมืองทางประมาณยี่สิบเส้น เชาฮูจึงถามทหารว่า ผู้ใดเป็นนายทัพมา ทหารจึงบอกว่า ธงชื่อ ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้ามืองปักเป๊กเฮ้า เชาอูจึงว่า ถ้าผู้อื่นยกมาก็พอจะพูดจาด้วยได้ อันซ่องเฮ่าเฮ้านี้เป็นคนหยาบช้า และจะละไว้มิได้ เชาฮูจึงจัดแจงพลทหารทั้งปวง พร้อมแล้วเชาฮูก็แต่งตัวใส่เกราะขึ้นมื้อทวนพาพวกพลทหารออกจากเมือง ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เชาฮูจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วร้องว่า ให้เชิญท่านแม่ทัพออกมาเจรจากัน ทหารซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปบอกความแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าได้แจ้งดังนั้น จึงแต่งตัวใส่เสื้อเกราะสีแดง ขึ้นม้าถือง้าว กับซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร ยกพลทหารออกไปนอกค่าย
ฝ่ายเชาฮู ครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าออกมา จึงร้องถามว่า ท่านยกมาครั้งนี้มีความสุขอยู่หรือ อนึ่ง ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เสพแต่สุรามัวเมา เชื่อฟังคำยุยง ข่มเหงเอาบุตรขุนนางและราษฎรมาเป็นภรรยา ราษฎรได้ความเดือดร้อน เราเห็นว่า เมืองจิวโก๋จะฉิบหายมั่นคง และตัวเรานี้หามีความผิดไม่ ซึ่งท่านยกทัพมาจะตีเมืองเรานี้หาควรไม่
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังเชาฮูว่าดังนี้ จึงเอาแส้ม้าชี้หน้าเชาฮู แล้วร้องว่า ตัวท่านขัดรับสั่งโทษก็ถึงตายอยู่แล้ว พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้เอาโทษ ควรหรือหารู้จักคุณพระเจ้าติวอ๋องไม่ กลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าให้เคืองพระทัย พระเจ้าติวอ๋องจึงใช้ให้เรามาจับท่านไปฆ่าเสีย หวังจะมิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ท่านกลับกล่าวคำหยาบช้าว่าพระเจ้าติวอ๋องไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมอีกเล่า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงสั่งทหารให้เข้าตีทัพจับตัวเชาฮู
ฝ่ายป่วยบุ๋น ทหารซ้ายซ่องเฮ่าเฮ้า ใส่เกราะทองขี่ม้าถือขวานใหญ่ ขับม้าเข้าไปจะจับตัวเชาฮู เชาชวนต๋ง บุตรเชาฮู เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ามาจะรบด้วยป่วยบุ๋น ป่วยบุ๋นเห็นหน้าเชาชวนต๋งคล้ายเหมือนเชาฮู ก็เข้าใจว่า เป็นบุตรเชาฮู ป่วยบุ๋นจึงร้องว่า บิดาท่านเป็นคนโทษถึงตาย ชอบแต่จะมาไหว้ขอชีวิตเราจึงชอบ นี่ท่านกลับจะมารบกับเราอีกเล่า เชาชวนต๋งได้ฟังคำป่วยบุ๋นว่าหยาบช้าดังนั้น ก็ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยป่วยบุ๋นได้ยี่สิบเพลง เชาชวนต๋งเอาทวนแทงป่วยบุ๋นตกม้าตาย เชาฮูได้ทีดังนั้นก็ขับให้เตียเปีย หนึ่ง ตันกุยเก๋ง หนึ่ง กับทหาร เข้าไล่ฆ่าฟันทหารซ่องเฮ่าเฮ้าล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นดังนั้น ก็ให้ซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร หนึ่ง กิมคุ้ย หนึ่ง อึงง่วนจี่ หนึ่ง กับทหารซึ่งเหลืออยู่นั้น ถอยทัพรอรอไปทางประมาณร้อยเส้น เชาฮูก็ให้ตีม้าล่อสำคัญเลิกทัพเข้าเมือง แล้วปูนบำเหน็จทหารตามสมควร แล้วเชาอูจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปนั้นเห็นจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพ ณ เมืองจิวโก๋เพิ่มเติมมามั่นคง ถ้ามีทัพมาดังนั้น เมืองเราก็เล็ก ทหารก็น้อยตัว เห็นจะต้านทานมิได้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เตียเปง นายทหาร จึงตอบคำเชาฮูว่า ซึ่งกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปวันนี้ก็ยังหายับเยินไม่ ตัวท่านก็มีความผิดในพระเจ้าติวอ๋องมากขึ้น ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้ามีหนังสือไปถึงพระเจ้าติวอ๋อง เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะยกทัพใหญ่เพิ่มเติมมาอีก อันเมืองเราดุจศิลาอันน้อย ทัพพระเจ้าติวอ๋องจะยกมาดุจพระมหาสมุทร ซึ่งเราจะอยู่ต้านทานนั้นเหมือนเอาศิลาอันน้อยทอดทิ้งลงในพระมหาสมุทรอันใหญ่ ก็จะจมไปโดยเร็ว ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ถ้าแลท่านเห็นจะสู้รบมิได้ ก็เร่งให้คิดผ่อนผันเสีย ถ้าเห็นกำลังพอจะสู้รบได้อยู่ ก็เริ่งให้คิดการศึกให้มีกำลังขึ้น บัดนี้ ทัพซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปไกลเมืองออกไปประมาณสองร้อยเส้น เวลาค่ำวันนี้ขอให้ท่านแก้พรวนม้าห้ามปากเสียงเสียให้สงบสงัดยกเป็นกองโจรลอบไปปล้นค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เห็นจะได้โดยง่าย เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ชอบ เรายินดีนัก ด้วยต้องความคิดเรา เชาฮูจึงสั่งเชาชวนต๋ง ผู้บุตร ว่า ตำบลเหงากางติ๋นนั้นเป็นทางช่องแคบจำเพาะเดิน ถ้าทัพซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทีแก่เรา เห็นจะถอยไปทางนั้นเป็นมั่นคง เจ้าจงคุมทหารสามพันไปตั้งซุ่มอยู่ ถ้าทัพซ่องเฮ่าเฮ้าถอยไป ก็ให้ตีสกัดจับตัวซ่องเฮ่าเฮ้าฆ่าเสียจงได้ เชาชวนต๋งก็คุมทหารสามพันยกออกไปตั้งซุ่มอยู่ตามคำเชาฮูสั่ง
ฝ่ายเชาฮูจึงให้ตันกุยเจ๋งเป็นนายกองปีกซ้าย เตียเปียเป็นนายกองปีกขวา ตัวเชาฮูเป็นแม่ทัพ เชาฮูจึงสั่งทหารทั้งปวงให้แก้พรวนม้าออกเสีย ถ้าและเรายกไปถึงค่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแล้ว ให้ทหารนายกองทั้งปวงคอยฟังเสียงประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดแล้ว จึงให้ยกเข้าตีระดมพร้อมกัน ครั้นเชาฮูให้ความสัญญาแก่นายทหารทั้งปวงแล้ว พอเวลาพลบค่ำลง เชาฮูก็ยกทหารออกไปจากเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นเสียทีเชาฮูและเสียทหารเป็นอันมาก จึงถอยทัพประชุมทหารอยู่ไกลเมืองประมาณสองร้อยเส้น ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่เราทำศึกมาหลายครั้งแล้วหาเสียทหารเหมือนครั้งนี้ไม่ ซึ่งป่วยบุ๋น นายทหารเรา ตายนั้น เราเสียใจนัก บัดนี้ ทัพเชาฮูก็ได้ทีมีใจกำเริบขึ้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด อึงง่วนจี้จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ประเพณีเป็นทหารกระทำศึกแล้วก็มีแต่แพ้กับชนะ ซึ่งท่านจะคิดย่อท้อดังนั้นหาควรไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า กีเซียง เมืองไซรเป๊กเฮ้า ก็ยกตามมาจะใกล้ถึงอยู่แล้ว ถ้าทัพกีเซียงมาพร้อมกัน ทหารก็จะมาขึ้น จะเข้าตีเอาเมืองกีจิวเฮ้าก็จะได้โดยง่าย ขอท่านจงตั้งมั่นอยู่คอยกองทัพกีเซียงก่อน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหาร ทหารทั้งปวงพากันกินโต๊ะเสพสุรามัวเมา มิได้คิดที่จะรักษาค่าย
ฝ่ายเชาฮู ครั้นยกมาถึงค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เวลาประมาณยามเศษ เห็นค่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเงียบสงัดอยู่ได้ท่วงทีแล้ว ก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารเชาฮูได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็พากันโห่ร้องทลายค่ายเข้าไปทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายทหารซ่องเฮ่าเฮ้ามิทันรู้ตัว ตกใจตื่นแตกหนีทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสียเป็นอันมาก ซ่องเฮ่าเฮ้าหลับอยู่ ตื่นขึ้นได้ยินเสียงโห่ร้อง แลเห็นทหารวิ่งวุ่นวายหนีออกจากค่ายดังนั้น ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจ ก็ขึ้นม้าจะหนีเอาตัวรอด เชาฮูเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าจึงต้องตวาดว่า มึงจะหนีกูไปไหน จงทิ้งอาวุธเสีย มัดตัวเข้ามาหากูโดยดี กูจึงจะไว้ชีวิต เชาฮูว่าแล้วก็ขัยม้าเอาทวนแทงซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าเอาง้าวป้องกันไว้ แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าขับม้าเข้ารบด้วยเชาฮู ซ่องเอ๋งปิว บุตรซ่องเฮ่าเฮ้า กับกิมคุ้ย อึงง่วนจี้ เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าช่วยซ่องเฮ่าเฮ้ารุมรบเชาฮู เตียเป๋ง หนึ่ง ตันลี่เจง หนึ่ง ทหารเชาฮู เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าช่วยเชาฮูรบ ทหารทั้งเจ็ดนายรบพุ่งกันเป็นสามารถ เตียเป๋ง ทหารเชาฮู เอาง้าวฟันกิมคุ้ม ทหารซ่องเฮ่าเฮ้า ตกม้าตาย ซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทหาร เห็นจะต้านทานมิได้ จึงพาซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร กับอึงง้วนจี้ ชักม้าถอยรอรบไป เชาฮูชับม้าไล่ฆ่าทหารซ่องเฮ่าเฮ้าไปทางประมาณสองร้อยเส้น เชาฮูเห็นมืดนัก จึงให้ทหารตีม้าล่อถอยทัพกลับเข้าเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้ามาถึงเหงากางติ๋น รู้ว่า เชาฮูพาทหารกลับไปแล้ว จึงหยุดม้าประชุมทหารพร้อมกัน แล้วจึงว่า แต่เรารบศึกมาหลายครั้ง จะเสียทหารเหมือนครั้งนี้หามิได้ ซ่องเอ๋งปิวจึงว่า ซึ่งเสียทีแก่เชาฮูครั้งนี้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ทหารซึ่งเหลือตายอยู่น้อยตัวนัก ขอท่านให้ม้าใช้รีบไปถึงกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า ให้เร่งยกกองทัพมาโดยเร็ว จะได้คิดการตีเมืองกีจิวเฮ้าสืบไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังซ่องเอ๋งปิวว่าดังนั้น เห็นชอบด้วย จึงว่า รุ่งขึ้นวันพรุ่งนี้ เราจะให้ม้าใช้ไปเร่งกองทัพเมืองไซรเป๊กเฮ้า พอได้ยินเสียงประทัดและทหารโห่ร้องอื้ออึงมาสกัดหน้าไว้ แล้วร้องว่า บิดาเราใช้ให้เรามา จะเอาชีวิตท่าน ท่านเร่งลงจากม้ามาหาเราโดยดีเถิด ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจได้ยินดังนั้น แลไปเห็นทหารหนุ่มน้อยใส่เสื้อแดงขี่ม้าถือทวนขับม้าเข้ามาหน้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจำได้ว่า เป็นบุตรเชาฮู ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงร้องด่าว่า อ้ายลูกกบฏ มึงจะมีชีวิตอยู่สักกี่วัน แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าจึงให้อึงง่วนจี้เข้ารบด้วยเชาชวนต๋ง ทหารทั้งสองถ้อยทีต่อสู้กันเป็นสามารถ สิงจีอูเห็นอึงง่วนจี้เพลี่ยงพล้ำจะเสียทีแก่เชาชวนต๋ง สิงจีอูก็ขับม้าเข้ารบช่วยอึงง่วนจี้ เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกสิงจีอูตกม้าตาย
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบด้วยเชาชวนต๋ง เชาชวนต๋งผู้เดียวต่อรบด้วยทหารรทั้งสามเป็นสามารถ เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกขาซ่องเฮ่าเฮ้าเกราะขาด ซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นจะสู้รบเชาชวนต๋งมิได้ จึงชักม้าหนีไป ซ่องเอ๋งปิวเห็นดังนั้นตกใจประหม่ามือสั่น เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกแขน ซ่องเอ๋งปิวซวนไปจะตกลงจากหลังม้า ทหารทั้งปวงก็เข้าสกัดหน้าเชาชวนต๋งไว้ ซ่องเอ๋งปิวตั้งตัวได้ จึงพาทหารทั้งปวงหนีเชาชวนต๋งไป
ฝ่ายเชาชวนต๋งมีชัยแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นจะติดตามไปก็เห็นว่า เป็นเวลาดึกนัก เกลือกจะเสียท่วงทีแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า เชาชวนต๋งจึงพาทหารกลับเมืองกีจิวเฮ้า จึงเล่าความซึ่งได้รบกับซ่องเฮ่าเฮ้าให้แก่เชาฮูผู้บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังเชาชวนต๋งดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่า เราจะคอยฟังกำลังกองทัพซึ่งจะเพิ่มเติมมาภายหลังจะมากน้อยประการใด ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแตกทัพเสียทีแก่เชาชวนต๋ง ทหารล้มตายเป็นอันมาก ซ่องเฮ่าเฮ้ากับทหารซึ่งเหลือตายพากันหนีไปถึงเมืองปักเป๊กเฮ้า พอเวลารุ่งเช้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่เรารบศึกมาหลายครั้งแล้ว มิได้เสียทหารยับเยินเหมือนครั้งนี้ และทหารของเราล้มตายเสียเก้าส่วน ยังเหลืออยู่แต่ส่วนเดียว ทั้งซ่องเอ๋งปิว บุตรเรา ก็ต้องทวนป่วยอยู่ เราเสียใจนัก อึงง่วนจี้จึงตอบซ่องเฮ่าเฮ้าว่า การซึ่งจะทำศึกนี้มีแต่แพ้และชนะสองประการ ท่านอย่าเสียใจ ขอให้มีหนังสือไปถึงกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า เร่งให้ยกกองทัพรีบมาบรรจบกับกองทัพเรา ก็เห็นจะเอาชัยชำนะแก่เชาฮูได้ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า กีเซียงก็รู้ว่า เราได้รับกับเชาฮูติดพันอยู่แล้ว กีเซียงก็ยังหายกกองทัพมาช่วยเราไม่ ครั้นจะให้หนังสือไปถึงกีเซียง ก็เกรงจะเป็นแอบรับสั่ง
ขณะเมื่อซ่องเฮ่าเฮ้ากับอึงง่วนจี้ปรึกษากันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงเท้าม้าและคนอื้ออึงมาภายนอกเมืองเป็นอันมาก มิได้รู้ว่า กองทัพผู้ใดยกมา ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจนัก ก็ขึ้นม้าเปิดประตูเมืองออกไปดู ก็เห็นธงสำหรับแม่ทัพ และเห็นนายทหารหน้าดำ หนวดเหลืองดังสีทอง มีจักษุเหลืองทั้งสองข้าง ใส่เสื้อเกราะสีแดง ถือขวาน ขี่สิงโต มีทหารประมาณสองหมื่นเศษ ซ่องเฮ่าเฮ้าจำได้ว่า ซ่องเฮกเฮ้า ผู้น้องซึ่งกินเมืองเช่าจิ๋วเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้ามีความยินดีนัก จึงออกไปรับซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าจึงลงจากสิงโต คำนับซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ แล้วจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งความว่า พี่ท่านยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้าเสียทีแก่เชาฮู ข้าพเจ้าจึงยกกองทัพรีบมาหวังจะช่วยท่าน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังซ่องเฮกเฮ้าว่าดังนั้นยินดีนัก จึงพาซ่องเฮกเฮ้าเข้าไปในเมือง แล้วเล่าความซึ่งเสียทีแก่เชาฮูให้ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประหาร ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ข้าพเจ้าดื้หารที่มีฝีมือมาครั้งนี้ประมาณสามพัน ทหารเลวสองหมื่นเศษ ท่านอย่าได้เกรงแก่เชาฮูเลย ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารทั้งปวง พร้อมแล้วให้ซ่องเฮกเฮ้าเป็นทัพหน้า ยกไปถึงเมืองกีจิวเฮ้า แล้วให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงใหทหารร้องเข้าไปว่า ให้เชาฮูจัดทหารมีฝีมือเร่งออกมารบกัน ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่ได้ฟังจึงเข้าไปบอกแก่เชาฮู เชาฮูจึงว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีวิชาและฝีมือเข้มแข็งนัก เราไม่เห็นฝีมือผู้ใดจะสู้ได้ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างนิ่งอยู่ เชาชวนต๋งจึงว่า ทหารเขายกมา เราก็จำจะแต่งทหารออกไปรบ เปรียบดุจหนึ่งน้ำท่วมมา ก็เอาดินถมเป็นทำนบป้องกันไว้ เชาฮูจึงว่า เจ้ายังเด็กนักมิได้รู้ อันซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก แล้วได้เรียนวิชามาแต่สำนักผู้วิเศษ ถึงกองทัพจะยกมาหมื่นหนึ่งแสนหนึ่งก็ดี ซ่องเฮกเฮ้าก็อาจจะตัดศีรษะเอาศีรษะนายทหารไปโดยง่าย เจ้าอย่าเพ่อดูหมิ่นซ่องเฮกเฮ้า เชาชวนต๋งได้ฟังเชาฮูผู้บิดาว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ซึ่งท่านสรรเสริญซ่องเฮกเฮ้าดังนั้น ทหารทั้งปวงจะมิย่อท้อเสียใจไปหรือ ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามาจงได้ ถ้ามิได้ซ่องเฮกเฮ้า ข้าพเจ้าก็ไม่กลับมาหาท่าน เชาฮูจึงว่า ซึ่งเจ้ามิเชื่อเรา จะออกไปสู้กับซ่องเฮกเฮ้า ถ้าเสียทรมาประการใด เจ้าอย่าน้อยใจเรา เชาชวนต๋งรับคำนับแล้วขึ้นม้าถือทวนพาทหารเปิดประตูเมืองออกไป ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮกเฮ้า เชาชวนต๋งจึงร้องเข้าไปว่า ให้แม่ทัพทั้งสองนายเร่งออกมาต่อสู้ดูฝีมือกันโดยเร็ว
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้าได้ยินเชาชวนต๋งร้องว่ามาดังนั้นจึงคิดว่า กูมาครั้งนี้หวังจะแก้ความอายซ่องเฮ่าเฮ้าพี่ที่เสียทีพ่ายแพ้ไปครั้งก่อนนั้น อนึ่ง เชาฮูกับกูเล่าก็เป็นมิตรสหายกันมาแต่ก่อน จะได้ช่วยเชาฮูให้พ้นจากโทษข้อขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นซ่องเฮกเฮ้าคิดดังนั้นแล้วจึงขึ้นขี่สิงโตถือขวานออกมาหน้าค่ายแต่ผู้เดียว เห็นเชาชวนต๋งขี่ม้าถือทวนยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง ซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องว่า ให้เชาชวนต๋งเร่งกลับไปบอกเชาฮูผู้บิดาท่านออกมา จะได้พูดจากันกับเรา ตัวท่านเป็นเด็กน้อย หาแจ้งความทั้งปวงไม่ เชาชวนต๋งได้ฟังซ่องเฮกเฮ้าออกชื่อบิดาดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ท่านกับเราเป็นข้าศึกกัน เราออกมาหวังจะรบกับท่าน ซึ่งท่านจะให้เรากลับไปบอกบิดาเราให้ออกมานั้นหาควรไม่ ถ้าท่านคิดกลัวเรา จงคำนับเราแล้วเลิกทัพกลับไป เราจึงจะไว้ชีวิตท่าน ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังเชาชวนต๋งหยาบช้าก็โกรธ จึงร้องด่าว่า อ้ายลูกเล็กหารู้จักผู้ใหญ่ไม่ แล้วซ่องเฮกเฮ้าก็ขับสิงโตรำขวานเข้ารบกับเชาชวนต๋ง และซ่องเฮกเฮ้าคนนี้เมื่อยังน้อยอยู่ได้เรียนความรู้ทั้งปวงแก่อีหยิน และคำไทยว่า ฤษี อีหยินให้แก้วอันวิเศษแก่ซ่องเฮกเฮ้าดวงหนึ่ง แก้วดวงนี้มีฤทธิ์ใช้ได้ดังใจนึก ขณะเมื่อซ่องเฮกเฮ้าเข้ารบกับเชาชวนต๋งนั้น ซ่องเฮกเฮ้าเอาดวงแก้วผูกแขวนคอไว้ข้างหลัง
ฝ่ายเชาชวนต๋งเห็นซ่องเฮกเฮ้ารำขวานเข้ามาดังนั้น จงคิดว่า ขวานซ่องเฮกเฮ้าเป็นอาวุธสั้น เห็นจะสู้ทวนเราเป็นอาวุธยาวมิได้ เชาชวนต๋งคิดประมาทใจดังนั้น ก็ขับม้าเข้ารบบุกบั่น หวังจะจับตัวซ่องเฮกเฮ้าให้ได้โดยเร็ว เชาชวนต๋งกับซ่องเฮกเฮ้ารบกันริมคูเมืองเป็นสามารถ ซ่องเฮกเฮ้ารบพลางคิดในใจว่า เชาชวนต๋งคนนี้ฝีมือกล้าหาญนัก มิเสียทีเป็นลูกทหาร อันจะต่อสู้ด้วยอาวุธฉะนี้เห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ซ่องเฮกเฮ้าคิดดังนั้นจึงเอาขวานเหน็บหลัง แล้วชักสิงโตกลับเป็นทีหนี เชาชวนต๋งเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วคิดในใจว่า บิดากูสรรเสริญว่า ซ่องเฮกเฮ้ามีความรู้และฝีมือกล้าแข็งนัก บัดนี้ หนีไปแล้ว ถ้ากูเชื่อฟังบิดาห้ามแล้ว ที่ไหนจะได้ชัยชำนะเล่า จำจะตามจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามัดเข้าไปให้แก่บิดาตามสัญญา คิดดังนั้นเชาชวนต๋งก็ขับม้าไล่ติดตามซ่องเฮกเฮ้าไป
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้าเหลียวหลังมาเห็นเชาชวนต๋งจะใกล้ทันดังนั้น จึงแก้เอาแก้วซึ่งผูกคอไว้ข้างหลังมาเสกด้วยอาคม แล้วทิ้งไปเป็นหมอกมืดนัก แล้วบังเกิดเป็นข่ายเพชรเข้าวงมัดเชาชวนต๋งตกลงจากหลังม้า ทหารทั้งปวงก็เข้ากลุ้มรุมกันจับตัวเชาชวนต๋งมัดแขนไพล่หลัง แล้วซ่องเฮกเฮ้าก็เลิกทัพพาเชาชวนต๋งกลับค่าย
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นจึงนำความทั้งปวงไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า แม่ทัพ ซ่องเฮ่าเฮ้ามีความยินดีนัก จึงให้หาซ่องเฮกเฮ้าให้เอาตัวเชาชวนต๋งเข้ามาด้วย ม้าใช้ก็ไปบอกแก่ซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าจึงเอาตัวเชาชวนต๋งเข้ามา ณ ค่ายแม่ทัพ
ฝ่ายเชาชวนต๋งเข้ามาถึง ทำองอาจยืนอยู่ มิได้คำนับซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงเยาะเย้ยเชาชวนต๋งว่า เมื่อท่านไปตั้งสกัดเราอยู่ ณ ตำบลเหงากางติ๋นในเวลากลางคืนนั้น ท่านอ้างอวดตัวว่า มีกำลังฤทธิ์มาก แล้วเหตุใดจึงให้เขาจับมัดตัวมาได้เล่า เชาชวนต๋งได้ฟังซ่องเฮ่าเฮ้าเยาะเย้ย โกรธนัก จึงว่า ท่านจะทำสง่าให้เรากลัวหรือ เราหากลัวท่านไม่ ท่านจะฆ่าเราก็ฆ่าเสียเถิด เราผู้ชื่อว่า เชาชวนต๋ง จะได้เสียดายชีวิตหามิได้ เราคิดแค้นแต่อ้ายพวกสอพลอมันยุยงพระเจ้าติวอ๋องให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เราหมายจะกินเลือดมันให้จงได้ บัดนี้ เรายังหาได้กินเลือดอ้ายผู้ยุยงไม่ เราแค้นใจนัก หนึ่ง เราคิดเสียดายแผ่นดินของพระเจ้าเสี่ยงทาง เป็นสุขมาช้านาน จะเสื่อมสูญเสียเพราะพวกอ้ายคนสอพลอครั้งนี้แล้ว ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังคำเชาชวนต๋งว่าดังนั้นก็โกรธ จึงด่าว่า อ้ายลูกเด็ก ปากมึงยังหาสิ้นกลิ่นน้ำนมไม่ กูให้จับตัวมาได้ ชีวิตมึงอยู่ในเงื้อมมือกู ควรหรือมึงมากล่าวคำหยาบช้าอีกเล่า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงสั่งทหารให้เอาตัวเชาชวนต๋งไปตัดศีรษะเสียบไว้หน้าค่าย ซ่องเฮกเฮ้าจึงห้ามไว้ แล้วว่า ตัวเชาชวนต๋งก็ถึงที่ตายอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า เชาฮูกับเชาชวนต๋งสองคนนี้มีความชอบในพระเจ้าติวอ๋องมาแต่ก่อน อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เชาฮูมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงามหาผู้ใดเสมอมิได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ต้องพระประสงค์จะใคร่ได้บุตรหญิงเชาฮูอยู่ ขอให้ท่านเอาตัวเชาชวนต๋งจำไว้ก่อน ถ้าทัพกีเซียงยกมาพร้อมแล้ว จะได้บรรจบทัพกันเข้าตีเมืองกีจิวเฮ้า จับตัวเชาฮูและสมัครพรรคพวกเชาชวนต๋งส่งไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พี่ท่านจึงจะมีบำเหน็จความชอบสืบไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารเอาตัวเชาชวนต๋งไปจำไว้ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงซ่องเฮกเฮ้าและทหารทั้งปวง
ฝ่ายทหารเชาชวนต๋ง ครั้นเห็นซ่องเฮกเฮ้าจับเอาตัวเชาชวนต๋งไปได้ ก็รีบเข้าไปแจ้งแก่เชาฮู เชาฮูจึงว่า เราได้บอกแก่เชาชวนต๋งว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีความรู้และฝีมือเข้มแข็งนัก ได้ห้ามเชาชวนต๋ง เชาชวนต๋งก็มิได้ฟังคำเรา ซึ่งซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่เราคิดเสียใจอยู่ ด้วยเราเป็นชายชาติทหาร ยังหาเคยแพ้แก่ผู้ใดไม่ ซึ่งเชาชวนต๋ง บุตรเรา เสียทีแก่ซ่องเฮกเฮ้าครั้งนี้ เราได้ความอัปยศนัก อนึ่ง ซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเฮกเฮ้าก็จะมีใจกำเริบขึ้น เห็นเมืองเราก็จะเสียแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง แล้วเชาฮูจึงคิดแต่ในใจว่า เหตุทั้งนี้ก็เพราะพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในยุติธรรม เชื่อฟังแต่คำคนยุยง จะเอานางขันกีผู้บุตรแห่งเรา เราจึงได้ความเดือดร้อนทั้งนี้ ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้าได้เป็นเมืองเราแล้ว ก็จะจับเอาตัวเรา และบุตร ภรรยา ส่งขึ้นไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องจะลงโทษแก่เราเป็นสาหัส ราษฎรทั้งปวงก็จะติฉินเราได้ และซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะผลกรรมของเราเอง ถ้าแลเราจะฆ่าตัวและภรรยาเสีย เห็นว่า จะดีกว่ามีชีวิตอยู่ เพราะหาความเวทนาและความอัปยศแก่ราษฎรทั้งปวงไม่ เชาฮูคิดดังนั้นแล้วจึงชักกระบี่ออกจากฝัก เดินเข้าไปในข้างในหวังจะฆ่าบุตร ภรรยา เสีย นางขันกีเห็นบิดาถือกระบี่เข้ามาดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงถามว่า มีเหตุประการใดบิดาจึงถอดกระบี่เดินเข้ามาดังนี้ เชาฮูได้ฟังบุตรถามดังนั้นก็มีความอาลัย ยืนตะลึงอยู่มิอาจจะฆ่าบุตรได้ จึงบอกแก่บุตรว่า หารู้ไม่หรือซ่องเฮกเฮ้าจับเอาเชาชวนต๋งผู้พี่ชายไปได้แล้ว ตัวเรากับเจ้าก็จะไม่พ้นมือข้าศึก ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะตัวเจ้าผู้เดียว บ้านเมืองและญาติวงศ์ทั้งปวงจะพลอยฉิบหายเสีย ในขณะนั้น พอทหารเอาเนื้อความเข้ามาบอกเชาฮูว่า ซ่องเฮกเฮ้ายกมาจะรบกับท่าน เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารทั้งปวงให้รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นยกมาถึงใกล้เชิงกำแพงเมืองกิจิวเฮ้า มิได้เห็นทหารเชาฮูผู้ใดผู้หนึ่งออกมา ซ่องฮกเฮ้าคิดแต่ในใจว่า เรามาครั้งนี้หวังจะแก้ไขเชาฮูให้พ้นโทษซึ่งข้อขัดรับสั่ง เมื่อเชาฮูมิได้ออกมาให้เห็นหน้าเราดังนี้ จะรู้ที่ปรึกษาแก่ผู้ใดได้ ซ่องฮกเฮ้าก็เลิกทัพกลับเข้าค่าย แล้วบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ข้าพเจ้ายกไปเชิงกำแพง หวังว่ารับกับเชาฮู เชาฮูก็มิได้ออกมา เห็นแต่ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่เป็นสามารถ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า เชาฮูมิได้ออกมาต่อสู้กับเรา จะคิดให้ทำบันไดหกพาดกำแพงให้ทหารปีนขึ้นปล้นเอาเมืองกีจิวเฮ้าจงได้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ซึ่งจะทำดังนั้น ถึงมาตราว่าจะได้เมืองกีจิวเฮ้า ก็จะเสียอาหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดว่า จะตั้งค่ายมั่นล้อมเมืองไว้ให้เชาฮูขัดสนด้วยเสบียงอาหาร แล้วเห็นจะได้เมืองโดยง่าย ทั้งจะไม่เหนื่อยแรงทหารทั้งปวงด้วย ประการหนึ่ง กีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮา ก็ยังหามาไม่ ถ้าทัพซีเกียงพร้อมแล้ว เราจึงจะค่อยคิดการต่อไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทหารตั้งต่ายล้อมเมืองกีจิวเฮ้าไว้เป็นสามารถ
ฝ่ายเชาฮู ครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าล้อมเมืองไว้ดังนั้น ก็มิได้คิดที่จะสู้รบประการใด แต่นั่งนิ่งเป็นทุกข์อยู่ดุจหนึ่งว่า จะคอยให้ซ่องเฮ่าเฮ้ามามัดเอาตัวไปโดยง่าย พอทหารเข้ามาบอกเชาฮูว่า เตงหลุนซึ่งเป็นกองลำเลียงมาถึงแล้ว เชาฮูจึงสั่งให้หาเตงหลุนเข้ามา ครั้นเตงหลุนเข้ามาคำนับ เชาฮูมิได้ว่าประการใด แต่ถอนใจใหญ่อยู่ เตงเหลุนเห็นดังนั้นจึงว่ากับเชาฮูว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่า ศึกมาติดเมืองท่านแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบมาทั้งกลางวันกลางคืน บัดนี้ ท่านได้รบพุ่งเป็นประการใดบ้าง เชาฮูก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้เตงหลุนฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงว่า เมืองเรานี้จะเสียแก่ซ่องเฮ่งเฮ้าเป็นมั่นคงแล้ว ท่านอย่าได้เป็นธุระกังวลด้วยเราเลย จงคิดเอาตัวรอดเถิด เชาฮูว่าแล้วก็ร้องไห้ เตงหลุนเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงถามว่า ท่านเมาสุราอยู่หรือ จึงเจาราฟั่นเฟือนไปดังนี้ เชาฮูจึงว่า ซึ่งเราว่าดังนี้ด้วยเรากระทำความผิดไว้ในพระเจ้าติวอ๋องเป็นอันมาก หนึ่ง เมืองขึ้นพระเจ้าติวอ๋องมีถึงแปดร้อยเศษ ถ้าพระเจ้าติวอ๋องเกณฑ์ทหารเมืองขึ้นทั้งปวงให้ยกเพิ่มเติมมาบรรจบกันตีเอาเมืองเรา เราเห็นจะต้านทานสู้รบมิได้ เตงหลุนจึงว่า ตัวท่านได้ทำนุบำรุงข้าพเจ้ามาแต่น้อยคุ้มใหญ่ คุณท่านอยู่แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดจะสนองคุณท่าน ก็เห็นจะสมคิดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปจับตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเฮกเฮ้ามาให้ท่านจงได้ เชาฮูได้ฟังเตงหลุนว่ากล่าวดูหมิ่นแก่ซ่องเฮกเฮ้าดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เตงหลุนไปจัดหาเสบียงอาหารเป็นทางไกล ต่อจะป่วยไข้ลงยังรักษามิหายสนิท จึงพูดจาละล่ำละลักอยู่ดังนี้ และจะเชื่อฟังคำเตงหลุนเป็นแน่มิได้ เตงหลุนได้ฟังเชาฮูว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องประกาศต่อหน้าทหารทั้งปวงว่า ถ้าเรามิได้ตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้า เข้ามา ก็ให้ท่านตัดศีรษะเราเสียเถิด เตงหลุนว่าดังนั้นแล้วก็ขึ้นขี่สิงโตถือขวานใหญ่ ได้ทหารพรรคพวกประมาณสามพัน เปิดประตูเมืองออกไปด้วยกำลังโกรธ ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮกเฮ้า เตงหลุนจึงร้องเข้าไปว่า ให้นายทหารทั้งสองเร่งออกมารบกันกับเรา
ฝ่ายทหารซ่องเฮกเฮ้าจึงไปบอกแก่ซ่องเฮกเฮ้าตามคำเตงหลุนว่า ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงแต่งตัวใส่เสื้อเกราะถือขวานขึ้นขี่สิงโตพาพวกทหารออกมานอกค่าย ฝ่ายเตงหลุนจึงร้องว่าแก่ซ่องเฮกเฮ้าว่า ซึ่งท่านจับเอาเชาชวนต๋ง บุตรของนายเรา ไว้นั้น เร่งปล่อยเสีย แล้วท่านจงวางอาวุธลงจากสิงโตเข้ามาคำนับเราโดยดี เราจึงจะไว้ชีวิตแก่ท่าน ถ้ามิทำตามคำเรา เราจะสับด้วยขวานให้กระดูกละเอียดเป็นผงคลีในวันนี้ ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังเตงหลุนว่าดังนั้น จึงถามว่า ท่านเป็นขุนนางตำแหน่งไหน จึงเจรจาองอาจยิ่งกว่าเชาชวนต๋งผู้เป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นนายท่านอีกเล่า เตงหลุนจึงบอกว่า ตัวเราชื่อ เตงหลุน เป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ว่าที่กรมนา ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า เชาฮูนายมึงขัดรับสั่ง แข็งเมืองคิดกบฏต่อพระเจ้าติวอ๋อง มึงก็เป็นพวกกบฏด้วย โทษมึงก็ถึงที่กระดูกละเอียดอยู่เองแล้ว มึงกลับมาดูหมิ่นว่าหยาบช้ากูอีกเล่า ซ่องเฮกเฮ้าว่าดังนั้นแล้วก็ขึ้นสิงโตรำขวานเข้าต่อสู้ด้วยเตงหลุนได้ยี่สิบเพลง และทหารทั้งสองสู้รบกันเป็นสามารถ มีคำจีนเปรียบชมไว้ว่า กี๋หองตุ้ยชีว แปลเป็นคำไทยว่า ทหารทั้งสองรบกัน ถ้อยทีรู้ท่วงทีกัน ดุจหนึ่งผู้เล่นหมากรุกดีชอบมือกัน และเมื่อเตงหลุนรบกับซ่องเฮกเฮ้าอยู่นั้น เตงหลุนแลเห็นแก้วซึ่งแขวนคอซ่องเฮกเฮ้าอยู่เบื้องหลัง จึงคิดในใจว่า เชาฮูบอกกับกูไว้ว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้ได้เรียนความรู้มาแต่ผู้วิเศษ ชะรอยซ่องเฮกเฮ้าจะมีฤทธิ์ด้วยแก้งดวงนี้เป็นมั่นคง จึงจับตัวเชาชวนต๋าไปได้ ครั้นกูจะนิ่งไว้ช้าจะเสียทีไป จำจักชิงเอาชัยชนะแก่ซ่องเฮกเฮ้าเสียก่อนจึงจะได้ และเตงหลุนคนนี้เมื่อยังเด็กอยู่นั้นได้เรียนวิชามาแต่ฤษีชื่อว่า เต้าจินหยิน อันอยู่ในเชาไซรกุนตุ๋น แม้นเตงเหลุนจะสู้รบแก่ข้าศึก เตงหลุนร่ายมนต์หายใจออกไป ก็บังเกิดเป็นหมอกควันพลุ่งออกจากช่องจมูกทั้งสอง และหมอกควันนั้นไปถูกต้องหมู่ข้าศึก หมู่ข้าศึกนั้นก็ตกตะลึงสิ้นกำลัง มือและเท้าอ่อนเมื่อยล้าไป ก็อาจจะจับตัวข้าศึกได้โดยง่าย ถ้าเตงหลุนจะทิ้งอาวุธไป อาวุธก็บังเกิดเป็นงูใหญ่ เหล่าทหารก็กลายเป็นศีรษะกา มือถือเชือกเหล็กและขอเหล็กอาจจะไปจับมัดข้าศึกมาได้ และชื่อเตงหลุนคนนี้ก็มีปรากฏในห้องสินทำนายไว้ว่า เตงหลุนตายแล้วจะไปบังเกิดเป็นเทพารักษ์
ขณะเมื่อเตงหลุนรบกับซ่องเฮกเฮ้านั้น เตงหลุนร่ายมนต์หายใจออกไปเสียงดังเหมือนเสียงระฆัง บังเกิดเป็นหมอกควันพลุ่งเป็นสายออกจากช่องจมูกทั้งสอง ต้องตัวซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าสิ้นกำลัง มีมือและเท้าอันอ่อน สิ้นสมประดีตกลงจากหลังสิงโต จักขุทั้งสองมืดมัวแลไปมิดได้เห็นตัวเตงหลุน
ฝ่ายเตงหลุนครั้นได้ทีจึงขว้างอาวุธไปบังเกิดเป็นงูใหญ่ และทหารสามพันมีศีรษะเป็นกา ถือเชือกเหล็กและขอเหล็กเข้ามาผูกมัดเอาตัวซ่องเฮกเฮ้าและทหารทั้งปวงได้สิ้น เตงหลุนครั้นมีชัยชนะแก่ซ่องเฮกเฮ้า จึงให้ทหารโห่ร้องแล้วมัดเอาตัวซ่องเฮกเฮ้า เลิกทัพกลับเข้าเมือง
ฝ่ายเชาฮูได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง จึงคิดแต่ในใจว่า เตงหลุนออกไปกับซ่องเฮกเฮ้าครั้งนี้เห็นจะเสียแก่ซ่องเฮกเฮ้า จึงได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงดังนี้ พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกเชาฮูว่า เตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้าเข้ามาได้แล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ซ่องเฮกเฮ้าเป็นคนดีมีวิชาและฝีมือเข้มแข็งนัก ซึ่งว่าเตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามาได้ครั้งนี้อัศจรรย์หนักหนา
ฝ่ายเตงหลุนครั้นมาถึงจึงพาตัวซ่องเฮกเฮ้าเข้าไปหาเชาฮู เล่าเนื้อความซึ่งได้ออกไปรบพุ่งกับซ่องเฮกเฮ้าให้เชาฮูฟังทุกประการ เชาฮูมีความยินดีนัก จึงลงจากเก้าอี้ไปยังซ่องเฮกเฮ้า แล้วขับทหารซึ่งคุมตัวซ่องเฮกเฮ้าให้ออกไปเสียสิ้น แล้วเชาฮูจึงแก้มัดซ่องเฮกเฮ้า แล้วเชิญซ่องเฮกเฮ้าขึ้นนั่งบนที่สูง เชาฮูก็คำนับแล้วรับผิดว่า ข้าพเจ้าขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง โทษก็ถึงตายอยู่แล้ว บัดนี้ เตงหลุนไปจับเอาตัวท่านมาอีกเล่า โทษข้าพเจ้าผิดนัก ซ่องเฮกเฮ้าจึงตอบเชาฮูว่า ท่านกับข้าพเจ้าก็เป็นมิตรสหายรักกันมาแต่ก่อน ข้าพเจ้ายังหาลืมคุณท่านไม่ และทหารท่านจับตัวข้าพเจ้ามาได้ครั้งนี้ ชีวิตข้าพเจ้าก็อยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว และท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้า กลับคำนับข้าพเจ้าอีกเล่า คุณท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดี ขอบคุณท่านยิ่งนัก เชาฮูจึงเรียกเตงหลุนและทหารทั้งปวงมาคำนับซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าก็สรรเสริญเตงหลุนว่า ท่านมีวิชาเชี่ยวชาญหาผู้เสมอมิได้ ควรท่านจะเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ได้ และตัวเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ต่อสู้ท่านมิได้ดังนี้ ชอบเราจะเปลื้องเสื้ออันเป็นเครื่องสำหรับยศยกให้แก่ท่านเสียจึงจะควร
ฝ่ายเชาฮู ครั้นให้เตงหลุนคำนับซ่องเฮกเฮ้าแล้ว จึงเชิญซ่องเฮกเฮ้าให้กินโต๊ะด้วยกันกับเชาฮู เชาฮูจึงเล่าความซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะต้องพระประสงค์นางขันกีผู้เป็นบุตรจนเกิดการรบพุ่งกันให้แก่ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ายกทัพมาครั้งนี้ก็เพราะซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ข้าพเจ้าแตกทัพไป ข้าพเจ้าหวังจะมาแก้แค้นแทนพี่ชายข้าพเจ้า ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดจะแก้ซึ่งโทษท่านขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องให้ท่านพ้นโทษด้วย และข้าพเจ้ามาทั้งนี้จะได้คิดเอาชัยชนะแก่ท่านนั้นหามิได้ และเชาชวนต๋ง บุตรท่าน ซึ่งยกออกไปนั้น ข้าพเจ้าได้บอกว่า ให้เชาชวนต๋งกลับเข้ามาเชิญท่านออกไปเจรจากับข้าพเจ้าก่อน เชาชวนต๋งก็มิได้กลับมาเชิญท่าน เชาชวนต๋งโกรธข้าพเจ้า กล่าวถ้อยคำหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงจับเอาตัวไปให้ทหารคุมไว้ ณ ค่าย จะได้ให้เป็นอันตรายชีวิตเชาชวนต๋งหามิได้ เชาฮูได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก กระทำคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้า มิได้กระทำอันตรายชีวิตเชาชวนต๋งผู้บุตรข้าพเจ้าครั้งนี่ คุณหาที่สุดมิได้
ฝ่ายเชาฮูกับซ่องเฮกเฮ้าต่างคนต่างคำนับพูดจากันอยู่ในเมือง ฝ่ายม้าใช้เห็นซ่องเฮกเฮ้าเสียทัพ เตงหลุนจับตัวไป ก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า เตงหลุน ทหารเชาฮู จับซ่องเฮกเฮ้าไปได้ จะเป็นตายประการใดมิได้รู้ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก จึงว่า ซึ่งซ่องเฮกเฮ้า น้องเราผู้นี้ มีวิชาความรู้และฝีมือเข้มแข็ง เตงหลุนกระทำประการใดจึงจับซ่องเฮกเฮ้าไปได้ ม้าใช้จึงเล่าเนื้อความซึ่งเตงหลุนกับซ่องเฮกเฮ้ารบพุ่งกันให้ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็มีความอาลัยในซ่องเฮกเฮ้ายิ่งนัก จึงให้หาพวกทหารทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน ปรึกษาจะให้ทหารซึ่งมีสติปัญญาปลอมเข้าไปสืบข่าวซ่องเฮกเฮ้าในเมืองกีจิวเฮ้า พอทหารมาบอกความว่า ซั้วซุนเสงถือหนังสือบอกกีเซียงมาแต่เมืองไซรเป๊กเฮ้าฉบับหนึ่ง ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้น จึงให้หาตัวซั้วซุนเสงผู้ถือหนังสือเข้ามา แล้วถามว่า กีเซียงผู้นายท่านรับอาญาสิทธิ์พระเจ้าติวอ๋องมาด้วยกัน และนายท่านมิได้ยกกองทัพมาช่วยเราให้ทัน และให้เรายกมากระทำศึกแต่ผู้เดียว กีเซียง นายท่าน ไม่กลัวเกรงพระราชอาญาขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องหรือประการใด ซั้วซุนเสงจึงตอบว่า กีเซียง นายข้าพเจ้า จะได้ขัดรับสั่งหามิได้ นายข้าพเจ้าเห็นว่า เกิดเหตุทั้งนี้เพราะพระเจ้าติวอ๋องต้องพระประสงค์บุตรเชาฮู และเชาฮูขัดรับสั่งมิได้เอาบุตรไปถวาย โทษผิดก็แต่เชาฮูผู้เดียว ซึ่งจะยกทัพมากระทำแก่เมืองกีจิวเฮ้า ราษฎรชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้ก็จะพลอยได้ความเดือดร้อนด้วย ถึงมาตรว่าจะได้ตัวบุตรเชาฮูไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องก็หาเป็นเกียรติยศไม่ นายข้าพเจ้าจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมา หวังจะห้ามท่านให้เลิกทัพกลับไปเมือง อนึ่ง เชาฮู กับท่าน และกีเซียงผู้นายข้าพเจ้า ก็เป็นเพื่อนราชการด้วยกันมาแต่ก่อน ยังหาควรจะขัดเคืองกันไม่ และนายข้าพเจ้าจะว่ากล่าวแก่เชาฮูโดยดีจะให้พาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง จะได้มิให้เสียราชการ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่ซั้วซุนเสงว่า แต่เรามาตั้งรบพุ่งกับเชาฮู จนจับเชาชวนต๋ง บุตรชายเชาฮู ได้ และเชาฮูก็มิได้อ่อนน้อม ซึ่งกีเซียง นายของท่าน ให้หนังสือมาทั้งนี้ยังจะสมคะเนหรือ ถ้าเชาฮูมิยอมพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง นายท่านจะคิดประการใด ท่านจงรีบเอาหนังสือเข้าไปให้เชาฮูเถิด เราจะคอยฟังความอยู่ ซั้วซุนเสงก็คำนับลาซ่องเฮ่าเฮ้า ไปถึงประตูเมืองกีจิวเฮ้า จึงบอกแก่นายประตูว่า เราชื่อ ซั้วซุนเสง ถือหนังสือกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า มา ท่านจงเร่งเข้าไปบอกแก่เชาฮูให้แจ้ง นายประตูได้ฟังดังนั้นจึงนำเอาเนื้อความเข้าไปบอกเชาฮูตามคำซั้วซุนเสง และเมื่อนายประตูเข้าไปบอกความแก่เชาฮู เชาฮูนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่กับซ่องเฮกเฮ้า ครั้นเชาฮูได้ฟังนายประตูบอกดังนั้น จึงคิดว่า กีเซียงผู้นี้เป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลมนัก จะมีธุระสิ่งไรหนอ จึงใช้คนมาหาเราฉะนี้ คิดแล้วสั่งนายประตูให้ไปรับตัวซั้วซุนเสงเข้ามา ซั้วซุนเสงจึงเข้าไปคำนับเชาฮู เชาฮูจึงถามซั้วซุนเสงว่า ท่านมาทั้งนี้ด้วยกิจธุระสิ่งใด ซั้วซุนเสงจึงบอกแก่เชาฮูว่า เมื่อครั้งท่านลงไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋นั้น ท่านเขียนโคลงไว้เป็นข้อหยาบช้าต่อพระเจ้าติวอ๋องไว้ ณ ประตูกงก๋วน พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงสั่งให้กีเซียงผู้นายข้าพเจ้ายกกองทัพมากระทำแก่ท่าน และนายข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอยู่ จึงมิได้ยกกองทัพมาเหยียบแผ่นดินเมืองท่าน จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาถึงท่านฉบับหนึ่ง ถ้าท่านเห็นหนังสือนี้แล้ว ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงควร แล้วซั้วซุนเสงก็เอาหนังสือให้แก่เชาฮู เชาฮูรับหนังสือมาอ่านได้ความในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้า กีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า ขออวยพรมาถึงเชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า ด้วยเราได้ยินคำโบราณว่าไว้ อันพระมหากษัตริย์ดุจหนึ่งพระจันทร์ซึ่งส่องสว่างโลก ลอยอยู่ในอากาศ ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑเสมาเหมือนดังดวงดาวอันเป็นบริวารแห่งพระจันทร์ และเราท่านทั้งปวงได้อยู่เย็นเป็นสุขมียศศักดิ์ก็เพราะพระมหากษัตริย์ชุบเลี้ยง ควรจะมีน้ำใจสัตย์ซื่อสวามิภักดิ์มิให้ขัดเคืองพระทัยพระมหากษัตริย์ ถ้าและพระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์สิ่งใด ข้าราชการผู้มีกตัญญูก็มิได้ขัดรับสั่ง และซึ่งพระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรท่านนั้น ชอบท่านจะถวายบุตรแก่พระเจ้าติวอ๋อง นี่เหตุไฉนท่านจึงมิได้พาบุตรไปถวายตามรับสั่งให้ขัดเคืองพระทัยนั้น เราเห็นหาควรไม่ แล้วท่านไปจารึกโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ ณ ประตูงกงก๋วนนั้น ในใจท่านจะคิดประการใด เราเห็นว่า โทษของท่านซึ่งทำการทั้งนี้ใหญ่หลวงนักดุจหนึ่งหากตัญญูและความคิดมิได้ ถ้าและท่านพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋องแล้ว เราเห็นว่า ท่านจะมีประโยชน์แก่ตัวท่านถึงสามประการ ประการหนึ่ง ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรท่าน ตัวท่านก็จะได้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าติวอ๋องก็จะพระราชทานเบี้ยหวัดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าบุตรท่านมีบุตรกับพระเจ้าติวอ๋อง ตัวท่านก็จะได้เป็นเชื้อสายกษัตริย์สืบไปเบื้องหน้า ประการหนึ่ง ตัวท่านก็จะได้กินเมืองกีจิวเฮ้าสืบไปจนลูกหลานท่าน ประการหนึ่ง ราษฎรชาวเมืองก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุขเพราะบุญท่าน ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะสรรเสริญความคิดและปัญญาท่าน ถ้าท่านมิพาบุตรไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง เราเห็นว่า ภัยจะบังเกิดแก่ท่านสามประการ ประการหนึ่ง เมืองกีจิวเฮ้าและทรัพย์สมบัติของท่านก็จะเสื่อมสูญด้วยอันตรายต่าง ๆ ประการหนึ่ง ตัวท่าน และบุตร ภรรยา สมัครพรรคพวกทั้งปวง ก็จะฉิบหายด้วยอาญาพระมหากษัตริย์ ประการหนึ่ง ราษฎรชาวเมืองกีจิวเฮ้าที่หาความผิดมิได้นั้นก็พลอยฉิบหายเสียด้วยท่าน คนทั้งปวงก็จะนินทาท่านว่า หาปัญญาและความคิดมิได้ ความชั่วก็จะอยู่ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ อนึ่ง แซ่ท่านกับเราก็ได้เป็นข้าราชการสืบมาแต่ครั้งพระเจ้าเสี่ยงทางผู้เป็นอัยกาพระเจ้าติวอ๋อง เราเห็นว่า ท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ซึ่งท่านจะรักบุตรและให้เสียประเพณีข้าราชการซึ่งมีกตัญญูดังนี้ เราหาเห็นควรไม่ อนึ่ง ธรรมดาเกิดมาในแผ่นดิน จะได้ความเดือดร้อนเพราะประมาทและคิดผิดพลั้งไป ข้อซึ่งท่านคิดกระทำการเกินไปนั้น ถ้ารู้ว่า ตัวผิด จำจะคิดหาชอบ เราก็เห็นว่า ชอบจะลบล้างผิดเสียได้ แล้วก็จะไม่เสียเยี่ยงอย่างข้าราชการซึ่งมีกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ ตัวท่านและชาวเมืองกีจิวเฮ้าก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งเราว่าทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ถ้าและท่านจะคิดประการใด จงมีหนังสือมาให้เราแจ้ง เชาฮูครั้นได้แจ้งความในหนังสือกีเซียงก็เห็นชอบด้วย แต่ไม่ว่ากล่าวประการใด พยักหน้าแก่ซั้วซุนเสงแล้วก็นิ่งอยู่
ฝ่ายซั้วซุนเสงเห็นเชาฮูมิได้ว่ากล่าวประการใด จึงถามว่า ซึ่งนายข้าพเจ้าให้หนังสือมาถึงท่านทั้งนี้ก็เพราะเมตตาท่านโดยสุจริต และซึ่งท่านอ่านหนังสือแล้วนิ่งเสียมิได้ว่าประการใดนั้น ท่านสงสัยนายข้าพเจ้าว่าล่อลวงหรือ หรือท่านจะคิดอ่านเป็นประการใด แม้นท่านเห็นชอบด้วย จะกระทำการตามถ้อยคำนายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะลาท่านกลับออกไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าให้เลิกทัพกลับไปเมือง แม้นท่านจะขัดขืนมิกระทำตามถ้อยคำนายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะลาท่านกลับไปบอกกับกีเซียง นายข้าพเจ้า ให้ยกกองทัพเพิ่มเติมมาบรรจบกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้า ยกเข้าตีเอาเมืองท่านตามรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง ขอท่านจงมีหนังสือตอบไปถึงนายข้าพเจ้าให้แน่โดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านกลับไป เชาฮูได้ฟังซั้วซุนเสงว่าดังนั้นก็นิ่งอยู่ จึงส่งหนังสือกีเซียงให้แก่ซ่องเฮกเฮ้า แล้วว่า ท่านจงพิเคราะห์ดูหนังสือกีเซียงเถิด ซึ่งว่ากล่าวมาทั้งนี้เห็นว่า กีเซียงมีความเมตตาแก่เราโดยสุจริต หาเป็นกลอุบายไม่ ควรจะกระทำตามถ้อยคำกีเซียงว่า แล้วเชาฮูก็ให้พาตัวซั้วซุนเสงไปกินโต๊ะยับยั้งอยู่ ณ กงก๋วน ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง แล้วจัดแพรและสิ่งของให้แก่ซั้วซุนเสงตามสมควร แล้วว่า ท่านจงเอาหนังสือนี้ไปให้กีเซียงเถิด จงบอกว่า เราจะกระทำตามคำทุกประการ ซั้วซุนเสงจึงว่าแก่เชาฮูว่า ท่านจะกระทำตามคำนายข้าพเจ้าแล้ว ก็ให้เร่งกระทำตามโดยเร็ว ถ้าช้าท่วงทีไปหลายวัน การทั้งปวงก็จะกลับกลาย ภายหลังท่านจะแก้ตัวยาก ประการหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้นายข้าพเจ้ามาตีเมืองท่าน ถ้าการเนิ่นช้าไป นายข้าพเจ้าก็จะได้ความผิดเป็นข้อขัดรับสั่ง ซั้วซุนเสงว่าแล้วก็คำนับลาเชาฮูรีบไปเมืองไซรเป๊กเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นแจ้งความในหนังสือกีเซียงนั้นแล้ว จึงว่าแก่เชาฮูว่า ซึ่งซีเกียงมีหนังสือมานี้ เราเห็นชอบด้วย ท่านจงเร่งจัดแจงการทั้งปวงตามคำกีเซียงเถิด ข้าพเจ้าจะขอลาออกไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ให้เลิกกองทัพกลับไปเมือง แล้วข้าพเจ้าจะปล่อยตัวเชาชวนต๋ง บุตรท่าน มาให้แก่ท่าน เชาฮูได้ฟังจึงว่า ท่านกับกีเซียงมีคุณแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้หาที่สุดมิได้ บุตรชายข้าพเจ้ามีแต่เชาชวนต๋งคนเดียว เมื่อท่านจับเชาชวนต๋งไปได้นั้น มารดาเชาชวนต๋งร้องไห้รักประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย ท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้า จงปล่อยเชาชวนต๋ง บุตรข้าพเจ้า เข้ามาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ซ่องเฮกเฮ้ารับคำเชาฮูแล้วก็ลาออกไป ณ ค่าย
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นซ่องเฮ็กเฮ้าผู้น้องมา มีความยินดีนัก จึงว่า เมื่อเตงหลุนจับเจ้าไปได้นั้น เรามีความทุกข์ถึงท่านนัก เชาฮูทำประการใดแก่ท่านบ้าง ซ่องเฮกเฮ้าก็เล่าเนื้อความให้ซ่องเฮ่าเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า เราคิดแค้นใจเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าอยู่ ด้วยเดิมมีรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องว่า ให้ทัพเมืองไซรเป๊กเฮ้ายกมาบรรจบกับกองทัพเราเข้าตีเมืองกีจิวเฮ้า บัดนี้ เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าหามาไม่ ให้ซั้วซุนเสงถือหนังสือมาถึงเชาฮูฉบับหนึ่ง เมื่อท่านไปอยู่ ณ เมืองกีจิวเฮ้านั้น ซั้วซุนเสงเอาหนังสือไปให้เชาฮู เชาฮูว่าประการใด ท่านรู้บ้างหรือไม่ ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า แซ่เราแต่ได้เป็นขุนนางสืบมาถึงหกชั่วแล้ว ตัวท่านกับข้าพเจ้าร่วมมารดาเดียวกันแต่ใจต่างกัน เหมือนคำโบราณว่า ไม้ต้นเดียวกัน และผลนั้นมีรสต่างกัน บัดนี้ ตัวท่านได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าติวอ๋อง เมื่อพระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งใช้ให้ยกกองทัพมาตีเมืองกีจิวเฮ้านี้ ท่านก็มิได้เพ็ดทูลทัดทานประการใด เร่งรีบยกกองทัพมา ทหารถึงห้าหมื่นก็หาเอาชัยชนะแก่เชาฮูได้ไม่ กลับเสียทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก เพราะท่านมิได้พิจารณา และกีเซียงหน่วงทัพไว้ไม่ยกมา ให้แต่ซั้วซุนเสงถือหนังสือมาเกลี้ยกล่อมเชาฮูโดยดี เชาฮูก็เห็นชอบด้วย มีใจอ่อนน้อมจะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง และท่านจะกลับติเตียนกีเซียงนั้น ข้าพเจ้าเห็นหาชอบไม่ ขอท่านเลิกทัพกลับไปเมืองเถิด ถ้าท่านไม่เห็นด้วยข้าพเจ้า ก็เหมือนต้นไม้ต้นเดียวแต่ผลมีรสต่างกัน ซ่องเฮกเฮ้าว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้ทหารถอดเชาชวนต๋งออกจากโทษจำ พาตัวเข้ามา เชาชวนต๋งเห็นซ่องเฮกเฮ้าจึงคิดว่า เตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้าไปได้แล้ว และมิได้มีอันตรายแก่ชีวิต กลับคืนมาได้ดังนี้ ชะรอยซ่องเฮกเฮ้าจะเป็นมิตรสหายกับบิดากูเป็นมั่นคง คิดดังนั้นแล้วเชาชวนต๋งก็คำนับซ่องเฮกเฮ้า แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกเล็ก มิได้รู้จักความผิดและชอบ หมิ่นประมาทท่าน ซึ่งท่านจับตัวข้าพเจ้ามาได้ และไว้ชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณท่านหาที่สุดมิได้ เหมือนดังข้าพเจ้าตายแล้วและได้ชีวิตคืนมา ขอท่านได้ยกโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้น จึงว่าแก่เชาชวนต๋งว่า บิดาท่านคิดถึงท่านนัก หลานจงเร่งกลับเข้าไปบอกบิดาว่า ซึ่งจะคิดอ่านการทั้งปวงนั้นก็เร่งให้คิดเสีย อย่านอนใจ บัดนี้ เราจะลาเลิกทัพกลับไปเมืองแล้ว อนึ่ง เราก็มีหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋ด้วย ท่านจงเร่งกลับไปหาบิดาท่านเถิด เชาชวนต๋งรับคำ คำนับลาซ่องเฮกเฮ้า แล้วก็ขึ้นม้าไปเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นปล่อยเชาชวนต๋งไปแล้ว จึงร้องประกาศด้วยเสียงอันดังให้ทหารทั้งปวงเลิกทัพกลับไปเมืองจิวโก๋ ซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นซ่องเฮกเฮ้ากระทำการดังนั้น ก็แจ้งใจว่า ซ่องเฮกเฮ้าโกรธ ก็พลอยให้เลิกทัพกลับไปเมืองปักเป๊กเฮ้า แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าก็แต่งหนังสือให้ทหารถือไป ณ เมืองจิวโก๋ฉบับหนึ่ง
ฝ่ายเชาชวนต๋ง ครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า ก็เข้าไปคำนับบิดา แล้วเล่าเนื้อความซึ่งได้รบกับซ่องเฮกเฮ้าจนซ่องเฮกเฮ้าปล่อยตัวมาให้แก่บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีนัก จึงเล่าความซึ่งกีเซียงให้หนังสือมานั้นให้เชาชวนต๋งฟัง แล้วจึงว่า ประเพณีพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นใหญ่แก่คนอันเป็นข้าอยู่ในขอบขัณฑเสมา ตัวเราก็เป็นข้าแผ่นดิน ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้ พระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์บุตรเรา แม้นเราจะอาลัยขืดขันไว้ไม่ถวายครั้งนี้ ก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ไพร่บ้านพลเมือง ควรบิดาจะพานางขันกีผู้น้องเจ้าไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องตามประสงค์ จึงจะชอบ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองบำรุงราษฎรเถิด บิดาไปไม่ช้านักก็จะกลับคืนมา เชาฮูว่าดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง สั่งหญิงคนใช้ให้ไปหานางเฮียสีและนางขันกีมา แล้วเชาฮูจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งกีเซียงมีหนังสือมานั้นให้ฟังทุกประการ นางเฮียสีครั้นแจ้งว่า บุตรจะจากอกไปดังนั้น มีความอาลัยนัก จึงร้องไห้วิงวอนเชาฮูผู้สามีว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนเดียว รักดังดวงชีวิต หวังว่าจะได้เห็นหน้ากันเมื่อยามไข้เจ็บ ข้าพเจ้าเล่าก็ตั้งใจจะฝากผีแก่บุตร ซึ่งท่านจะพรากบุตรข้าพเจ้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋องนั้น ข้าพเจ้าก็จะมีแต่ความระกำใจ ขอท่านจงดำริดูก่อนเถิด เชาฮูได้ฟังภรรยาว่ากล่าววิงวอนดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าแก่ภรรยาว่า เดิมเราก็คิดอยู่ว่า จะสู้เสียชีวิต หวังจะมิให้เสียบุตร จึงทำการรบพุ่งกับซ่องเฮ่าเฮ้า จนซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปได้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ถ้าและเมืองกีจิวเฮ้าเสียลงในครั้งนี้ ราษฎรทั้งปวงก็จะพลอยฉิบหายด้วย และผู้ซึ่งได้ความเดือดร้อนก็จะนินทาว่า เกิดจลาจลทั้งนี้เพราะบุตรเราผู้เดียว และซึ่งกองทัพเลิกกลับไปนั้นก็เพราะเรารับคำกีเซียงว่า จะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นเราจะคืนคำเสีย กีเซียงก็จะติเตียนว่า เราเจรจาไม่จริง แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็จะยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเราอีก ซึ่งจะต้านทานกำลังพระเจ้าติวอ๋องนั้นก็เหมือนหนึ่งเอาฟางทอดลงกลางกองเพลิงสำหรับแต่จะฉิบหายไป ประการหนึ่ง ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงก็จะนินทาว่า เราหากตัญญูต่อแผ่นดินไม่ ความชั่วก็จะติดตัวอยู่ตราบเท่าสิ้นชีวิต ซึ่งเกิดการทั้งนี้เพราะสำหรับกรรมของเราเอง เจ้าอย่าโศกเศร้านักเลย
นางเฮียสีจึงว่า ซึ่งท่านขัดพระราชอาญามิได้และจะพาบุตรไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าาคิดวิตกว่า ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรเราอยู่ ข้าพเจ้ากับท่านก็จะค่อยมีความสุข ถ้าและพระเจ้าติวอ๋องไม่โปรดปรานบุตรเรา เราก็จะยิ่งมีความทุกข์ทวีไป ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็สำหรับแต่จะตรอมใจตาย เชาฮูจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรเรา เราก็บิดพลิ้วอยู่มิได้ถวายจนยกกองทัพมาตีเมืองเรา บัดนี้ เราเกรงกลัวพระราชอาญาจึงยอมถวายบุตร ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดและมิโปรดนั้นก็ตามวาสนาของนางขันกีเถิด ใช่ว่าเราสวามิภักดิ์ถวายบุตรโดยดีเมื่อไรเล่า การทั้งนี้ก็เพราะความจำใจ ซึ่งจะคิดดังนั้นหาควรไม่ เจ้าจงหักใจเสียเถิด นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิอาจที่จะว่าประการใด เชาฮูกับนางเฮียสีก็สั่งสอนบุตรทุกประการ แล้วเรียกเชาชวนต๋งเข้ามาสั่งให้จัดแจงทหารสามพัน กับขุนนางห้าร้อย เกวียนบรรทุกทรัพย์สิ่งของ และรถสำหรับนางให้พร้อมไว้ เชาชวนต๋งก็ไปจัดตามคำเชาฮูสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูก็ให้จัดแจงทรัพย์สิ่งของทั้งปวงบรรทุกเกวียน พร้อมแล้วจึงสั่งหญิงคนใช้ให้ไปเชิญนางขันกีผู้บุตร นางขันกีได้แจ้งดังนั้นก็เข้าไปยังนางเฮียสีผู้เป็นมารดา แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่สนองคุณท่านกว่าจะหาชีวิตไม่ บัดนี้ ก็เป็นผลกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงค่อยอยู่จงดีเถิด ซึ่งข้าพเจ้าไปครั้งนี้ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นท่านอีกเล่า นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็กอดนางขันกีเข้าร้องไห้ด้วยความอาลัยมิใคร่จะจากกันได้ หญิงคนใช้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ปลอบนางเฮียสีและนางขันกีว่า ซึ่งท่านจะมาร้องไห้รักกันอยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่ การทั้งนี้จำเป็นจำจากกัน ขอท่านจงระงับความโศกเสียเถิด บัดนี้ เชาฮูคอยท่าอยู่ นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายโศกลงเพราะความจนใจ หญิงคนใช้ก็คำนับเชิญนางขันกีไปขึ้นรถ เชาฮูก็ขึ้นม้า ให้ยกทหารออกจากเมืองกีจิวเฮ้า เชาชวนต๋งก็ตามออกไปส่งทางไกลเมืองประมาณสิบเส้น แล้วคำนับลาบิดากลับมาเมือง
ขณะนั้น เชาฮูจึงให้เอาธงแพรเหลืองสองคันให้ทหารถือไปหน้า และธงนั้นจารึกเป็นตัวอักษรว่า กุยหยิน แปลเป็นคำไทยว่า ผู้มีบุญ และเชาฮูให้ทหารรีบเดินประมาณทางเจ็ดวันก็ถึงเมืองอินจี๋น พอเวลาจวนจะพลบค่ำ เชาฮูจึงเข้าไปที่กงก๋วนเป็นที่ตำแหน่งขุนนางไปมาราชการเข้าหยุดพัก
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงออกมาคำนับเชาฮู แล้วถามด้วยกิจราชการ เชาฮูก็แจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงสั่งแก่เจ้าพนักงานว่า เวลาค่ำวันนี้ เราจะให้บุตรเราเข้าหยุดพักในกงก๋วนนี้ ท่านจงเร่งจัดแจงการให้พร้อมไว้ เจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงบอกแก่เชาฮูว่า ในกงก๋วนนี้ ประมาณสามปีมาแล้ว มีปิศาจร้ายย่อมกระทำอันตรายแก่ผู้ไปมาราชการซึ่งมาหยุดพักในกงก๋วนนี้เนือง ๆ อยู่ ซึ่งท่านจะไว้บุตรในกงก๋วนนี้ ขอท่านจงดำริดูก่อน เชาฮูได้ฟังเจ้าพนักงานว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เราจะพาบุตรไปถวายพระมหากษัตริย์ และบัดนี้ บุตรเราก็เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับปิศาจ ท่านจงเร่งไปจัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมไว้เถิด เจ้าพนักงานก็ไปทำตามคำเชาฮูสั่งทุกประการ ครั้นเวลาพลบค่ำ เชาฮูจึงพานางขันกีเข้าไปในกงก๋วน ให้นางขันกีอยู่ห้องข้างในกับหญิงคนใช้ประมาณห้าสิบคนให้พิทักษ์รักษาอยู่ แล้วเชาฮูจึงสั่งให้ทหารสามพันล้อมอยู่นอกกงก๋วน ขุนนางห้าร้อยนั้นก็แบ่งออกเป็นสี่กองรักษาประตูทั้งสี่ด้าน ตัวเชาฮูนั้นอยู่ห้องนอก แต่คิดกริ่งใจอยู่ จึงถอดกระบี่วางไว้ข้างตัว ตามเทียนดูหนังสืออยู่ ร้องตรวจตราทหารทุกทุ่มยาม มิได้ประมาท
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งรับคำนางเทพธิดาหนึงวาสีมากระทำให้พระเจ้าติวอ๋องปราศจากราชสมบัตินั้น ก็เที่ยวไปทั้งนอกเมืองในเมือง ยังมิได้ช่องที่จะทำการได้ ครั้นเห็นเชาฮูพาบุตรมาจะไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง หยุดพักในกงก๋วนวันนั้น จึงคิดว่า จะฆ่านางผู้นี้เสีย แล้วจะเข้าสิงอยู่ในรูปนาง จะล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงปราศจากราชสมบัติให้จงได้ เฮาหลีปิศาจคิดแล้วก็เข้าไปคอยท่วงทีอยู่ ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปในห้องนางขันกีอยู่นั้น และเมื่อขณะเฮาหลีปิศาจเข้าไปนั้นบันดาลเป็นลมไปถูกตัวเชาฮู เชาฮูนั้นให้เยือกเย็นไปทั่วสรรพางค์กาย เชาฮูก็คิดกริ่งใจอยู่ พอได้ยินเสียงคนใช้ซึ่งนอนอยู่กับนางขันกีนั้นร้องขึ้นว่า ยักษ์เข้ามาแล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงฉวยกระบี่ ลุกขึ้นถือโคม เดินเข้าไปถึงประตูห้อง โคมดับไป เชาฮูก็กลับออกมาเรียกคนใช้ให้เร่งหาเพลิงมา
ขณะนั้น เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปกระทำนางขันกีให้สิ้นชีวิต แล้วก็เข้าสิงอยู่ในกายนางนั้น แสร้งทำนอนอยู่เป็นปรกติ เชาฮูได้เพลิงจุดโคมแล้ว ก็เดินรีบกลับเข้าไปในห้อง เห็นหญิงคนใช้ทั้งปวงพากันตกตะลึงอยู่สิ้น เชาฮูจึงเปิดมุ้งเข้าไป เห็นนางขันกีนอนนิ่งเป็นปรกติอยู่ เชาฮูจึงถามว่า เมื่อหญิงคนใช้ร้องขึ้นว่ายักษ์เข้ามานั้น เจ้าเห็นหรือไม่ เฮาหลี
ปิศาจซึ่งเป็นนางขันกีจึงแสร้งบอกเชาฮูว่า ได้ยินเสียงคนร้อง แลไปก็มิได้เห็นตัวยักษ์ว่าเป็นประการใด ครั้นเห็นบิดาถือโคมเข้ามา ก็สิ้นความกลัว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่า เดชบุญของเจ้าซึ่งจะได้เป็นข้าพระมหากษัตริย์ เทพยดารักษาอยู่ จึงมิได้เป็นอันตราย แล้วจึงว่าแก่หญิงคนใช้ทั้งปวง จงไปนอนหลับเสียให้เป็นปรกติเถิด เชาฮูก็กลับออกไปนอนจุดเทียนดูหนังสืออยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว เชิญนางขันกีขึ้นรถรีบไปทางประมาณสามวันก็ถึงเมืองจิวโก๋ เชาฮูจึงยับยั้งอยู่แต่นอกเมืองทางประมาณร้อยเส้น จึงใช้คนให้ถือหนังสือเข้าไปแจ้งความทั้งปวงแก่บู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายบู๊เสงอ๋องได้แจ้งความในหนังสือเชาฮูดังนั้น จึงตอบหนังสือไป ให้เชาฮูพาบุตรเข้ามาในเมืองจิวโก๋เถิด แต่ไพร่พลทั้งปวงนั้นให้พักอยู่นอกเมืองก่อน เชาฮูแจ้งในหนังสือบู๊เสงอ๋อง ก็พานางขันกีมาอยู่ในเมืองจิวโก๋ตามคำบู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายฮิวฮุน ฮุยต๋ง แจ้งความว่า เชาฮูพาบุตรมาถึงเมืองจิวโก๋แล้ว มิได้เห็นเชาฮูเอาสิ่งของใดมาคำนับ ก็มีใจพยาบาท จึงคิดกันว่า ชีวิตเชาฮูก็อยู่ในเงื้อมมือเรา ซึ่งเชาฮูพาบุตรมาถวายครั้งนี้ก็เพราะเราช่วยเพ็ดทูลพระเจ้าติวอ๋อง และเชาฮูมิได้รู้จักคุณเรา จำเราจะคิดหาสิ่งผิดใส่เชาฮูให้จงได้ สืบไปเมื่อหน้าจึงจะรู้คุณเราบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ พระที่นั่งข้างใน แล้วกราบทูลว่า บัดนี้ เชาฮูพาบุตรมาถึงแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็คิดขึ้นมาถึงเมื่อเชาฮูทำหยาบช้าไว้แต่หลัง ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เชาฮูนี้เป็นคนหยาบช้าหากตัญญูมิได้ เราจะเอาโทษเสียครั้งหนึ่งแล้ว เพราะท่านทั้งสองว่ากล่าวทัดทานเรา เราจึงปล่อยให้เชาฮูไป เชาฮูกลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ที่บานประตูกงก๋วน มิหนำยังคิดกบฏแข็งเมืองอีกเล่า บัดนี้ เห็นจะสู้รบมิได้ มันจึงพาบุตรมาให้เรา ครั้นจะมิเอาโทษ สืบไปเมื่อหน้าขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง ฮินฮุน ฮุยต๋ง ได้ท่วงทีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ลงโทษเชาฮูนี้ควรแล้ว ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จออก ณ พระที่นั่งเต๊กเตี้ยน แปลเป็นคำไทยว่า ท้องพระโรงเป็นที่เสด็จออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เจ้าพนักงานจึงกราบทูลว่า เชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า จะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้เข้ามา
ฝ่ายเชาฮูรู้ว่า โทษตัวผิดอยู่แต่ก่อน ก็มิได้แต่งตัวตามธรรมเนียมขุนนาง ใส่เสื้อและกางเกงอย่งนักโทษ ครั้นเข้าไปถึงหน้าที่นั่งคุกเข่าลงคำนับแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้า เชาฮู ผู้โทษถึงตาย พาบุตรมาถวายตามแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ท่านสิจารึกโคลงไว้ที่ประตูกงก๋วนนั้นว่า ไม่ไปมาเมืองเราแล้ว เหตุไฉนตัวจึงมาเล่า ครั้นให้ซ่องเฮ่าเฮ้ายกทัพไป ตัวก็มิได้ออกมาอ่อนน้อม กลับตั้งแข็งเมือง ตัวคิดกบฏต่อเราแล้ว บัดนี้ คิดประการใดเล่า จึงมาอ่อนง้อ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เอาตัวเชาฮูไปปรึกษาโทษตามกฎหมาย สิวเสี้ยงเสียงแคะ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษลงพระราชอาญาเชาฮูนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า กีเซียงซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าได้มีหนังสือเข้ามาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า กีเซียงมีหนังสือไปว่ากล่าวเชาฮูว่า เชาฮูได้กระทำความผิดไว้แต่ก่อนเป็นข้อใหญ่ และให้เชาฮูจัดแจงบุตรไปถวายตามรับสั่งจึงจะชอบ เชาฮูก็กระทำตาม ข้าพเจ้าเห็นว่า เชาฮูรู้สึกตัวกลัวพระราชอาญาอยู่แล้ว ขอให้งดโทษเชาฮูไว้ครั้งหนึ่งก่อน ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ได้ฟังสิวเสี้ยงเสียงแคะทูลดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งสิวเสี้ยงเสียงแคะกราบทูลขอโทษเชาฮูก็ควรอยู่แล้ว แต่ขอให้พาบุตรเชาฮูเข้ามาทอดพระเนตรก่อน แม้นบุตรเชาฮูรูปงามกว่าหญิงทั้งเมืองเหมือนคำเล่าลือ ชอบอัชฌาสัยแล้ว ก็ควรจะยกโทษเชาฮูไว้ ถ้าบุตรเชาฮูไม่งามเหมือนคำลือ มิได้ต้องพระประสงค์ ก็ควรให้ลงโทษเชาฮูถึงสิ้นชีวิต อย่าให้ขุนนางและทหารหัวเมืองทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลดังนั้น เห็นชอบด้วย มีความยินดี จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปรับตัวบุตรเชาฮูเข้ามา เจ้าพนักงานก็ออกไปพานางขันกีเข้ามาถวายให้พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตร
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งเข้าสิงกายนางขันกีอยู่นั้น ครั้นเจ้าพนักงานพาเข้ามาหน้าที่นั่ง จึงแสร้งทำจริตกิริยามารยาทปิศาจต่าง ๆ หวังจะให้ยั่วยวนพระทัย แล้วจึงกราบทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อ ขันกี เป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นโทษ สวามิภักดิ์เข้ามา แล้วแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องครั้นเห็นรูปโฉมนางขันกีงาม
คล้ายเหมือนนางเทพธิดาหนึงวาสี และจะหาสตรีผู้ใดงามเสมอมิได้ ให้บังเกิดความรักใคร่ชอบอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก ยิ่งได้ฟังสำเนียงนางกราบทูลไพเราะอ่อนหวานจับพระทัย พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เจ้าพนักงานประคองนางขันกียืนขึ้นทอดพระเนตรทั่วสรรพางค์กาย นางปิศาจก็ทำจริตกิริยาให้ชอบพระอัชฌาสัยต่าง ๆ พระเจ้าติวอ๋องพิศดูรูปโฉมนางขันกีพลางตรัสชมว่า นางขันกีบุตรเชาฮูคนนี้มีรูปทรงจริตกิริยามารยาทงามดังนางฟ้ามาแต่สวรรค์ สตรีในแผ่นดินจะได้งามเสมอเหมือนนางขันกีหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องชอบพระอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก จึงสั่งให้เชาฮูพ้นโทษ เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ กินเมืองกีจิวเฮ้าดังเก่า แล้วให้เจ้าพนักงานจ่ายข้าวพระราชทานเชาฮูเสมอเดือนละสองพันหาบ ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเชาฮูสามวัน แล้วให้ขุนนางฝ่ายทหารสามนาย พลเรือนสองนาย คุมทหารไปส่งเชาฮูให้ถึงเมืองกีจิวเฮ้า เชาฮูมีความยินดีนัก จึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋องไป พระเจ้าติวอ๋องจึงให้ส่งนางขันกีเข้าไปข้างใน แล้วเสด็จขึ้น ขุนนางต่างคนต่างกลับไปบ้าน เดินพูดถึงเชาฮูไปฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง แต่ได้นางขันกีมาไว้ ก็ลุ่มหลงไปด้วยมารยาปิศาจ นางขันกีจะเพ็ดทูลว่ากล่าวสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบทุกประการ พระมเหสีและสนมนางในทั้งปวงก็มิอาจจะเพ็ดทูลทัดทานตักเตือนพระเจ้าติวอ๋องได้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่แต่ข้างใน มิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองประมาณเดือนเศษ ข้อราชการในเมืองและหัวเมืองซึ่งบอกกิจราชการ และบรรณาการทั้งปวงซึ่งค้างอยู่มิได้กราบทูล ถ้าจะเก็บกองไว้ก็สูงเท่าภูเขาใหญ่ ขุนนางและราษฎรหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองจิวโก๋ถึงแปดร้อยเศษนั้น ครั้นหาผู้ที่จะตัดสินกิจสุขทุกข์มิได้ ก็ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก
ขณะนั้น มีผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อ หุนต๋งจู๊ อายุได้พันร้อยปีเศษ จีนทั้งปวงนับถือเรียกว่า ฤษี มีความรู้วิชาการมาก อาศัยอยู่ในถ้ำริมเชิงเขานำสารฝ่ายทิศใต้ อยู่วันหนึ่ง เวลาเช้า ฤษีหุนต๋งจู๊หิ้วกระเช้าสำหรับเก็บยาออกจากถ้ำจะไปเที่ยวป่า ครั้นมาถึงปากถ้ำ แลไปทิศตะวันออกเฉียงใต้เห็นเมฆเป็นลำพู่กันมืดเหมือนควันเพลิงพลุ่งขึ้นมาแต่แผ่นดินถึงอากาศ หุนต๋งจู๊ฤษีหยุดยืนพิจารณาดูโดยตำราก็แจ้งความทุกประการ จึงบอกแก่สานุศิษย์ผู้หนึ่งเป็นคนสำหรับรักษาปากถ้ำว่า บัดนี้ หนึงวาสีโกรธเจ้าเมืองจิวโก๋ว่า ไม่ยำเกรง จึงใช้เฮาหลีปิศาจมาคิดอ่านกำจัดพระเจ้าติวอ๋อง เฮาหลีปิศาจเข้าสิงอบู่ในกายนางขันกีผู้บุตรเชาฮู เชาฮูมิได้รู้ พาเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง นางขันกีปิศาจแกล้งทำมารยาล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องหลงรัก เราผู้เป็นฤษีรักษาสัจธรรม อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นรู้ว่าอันตรายบังเกิดแก่เจ้าแผ่นดินดังนี้ แล้วจะละเมิดเสีย ให้เฮาหลีย่ำยีพระมหากษัตริย์จนเสียบ้านเมืองนั้น หาควรไม่ จำจะไปช่วยกำจัดปิศาจเสีย ให้พระเจ้าจิวอ๋องทรงพระจำเริญในราชสมบัติ ขุนนางและราษฎรก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป หุนต๋งจู๊จึงใช้ศิษย์ผู้นั้นไปตัดกิ่งสนมาให้ จึงเหลาเป็นรูปกระบี่ลงเลขยันต์ สานุศิษย์เห็นดังนั้นจึงคำนับถามครูว่า อาวุธอันวิเศษสำหรับปราบปรามภูตปิศาจของท่านมีอยู่แล้ว เหตุใดจึงมิเอาไปใช้เล่า หุนต๋งจู๊จึงบอกว่า เฮาหลีปิศาจนี้เป็นแต่ผีสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ร้ายแรงนัก จะทำแต่กระบี่ไม้สนไปขับไล่ดูก่อน แม้นเฮาหลีมิไป จึงจะมาเอาอาวุธซึ่งปลุกเสกด้วยเวทมนตร์อันวิเศษเป็นของอย่างดีไปใช้ภายหลัง ท่านจงอยู่รักษาถ้ำ เราจะเข้าไปเมืองจิวโก๋ หุนต๋งจู๊จึงหยิบเลขยันต์ต์และกระบี่ไม้สนใส่กระเช้าดอกไม้ มือถือแซ่ขนจามรีเป็นเครื่องสำหรับฤษี แล้วโดดขึ้นบนอากาศขี่เมฆเหาะลอยตามลมไปเมืองจิวโก๋
ฝ่ายปิกันซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตั้งแต่งไว้ให้เป็นผู้สำเร็จราชการในเมืองจิวโก๋ ครั้นเวลาเคยเฝ้าก็เข้าไปเตรียมเฝ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกัน จะคอยทูลถวายเครื่องราชบรรณาการและกิจสุขทุกข์ของราษฎรหัวเมืองซึ่งชำระค้างอยู่เก่าใหม่เป็นอันมาก พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้เสด็จออกว่าราชการถึงเดือนเศษแล้ว ปิกันคิดวิตกนัก จึงว่ากาเสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กว่า เราได้ยินคำโบราณกล่าวไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาว่า บิดามารดาย่อมเป็นที่พึ่งแก่บุตร บุตรจะค่อยจำเริญวัยได้มีความสุขก็เพราะบิดามารดาทำนุบำรุง แม้นบิดามารดาทำการอันมิควร บุตรเห็นชอบช่วยว่ากล่าวตักเตือนสติจึงจะควร บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงเราเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่เหมืองดังบิดาเลี้ยงบุตร พระเจ้าติวอ๋องมิได้เสด็จออกว่าราชการ ผิดประเพณีกษัตริย์ เราผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่จะพากันนิ่งเสียไม่คิดอ่านเชิญเสด็จออกว่าราชการตามอย่างธรรมเนียมนั้นมิชอบ ท่านจะเห็นประการใด เสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กได้ยินปิกันปรึกษาดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้เจ้าพนักงานตีระฆังซึ่งพระมหากษัตริย์แต่ก่อนให้ทำไว้ สำหรับขุนนางมีราชการร้อนมามิทันเฝ้าให้เข้าไปตีระฆังเชิญเสด็จ เจ้าพนักงานจึงเข้าไปตีระฆังสามทีเป็นสำคัญ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่กับนางขันกี ณ พระตำหนักที่นั่งชมดาว ได้ยิงเสียงระฆัง จึงตรัสแก่นางขันกีว่า ขุนนางทั้งปวงเข้ามาตีระฆังหวังจะให้ออกว่าราชการบ้านเมือง ครั้นจะมิออกไปก็จะเสียประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน ตรัสแล้วก็เสด็จลงจากพระตำหนัก นางขันกีก็ตามส่งเสด็จมาจนถึงที่นั่งข้างหน้า แล้วนางก็ถวายบังคมกลับไปที่อยู่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จนั่งที่ออกขุนนาง เห็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยถือหนังสือเรื่องราวที่จะกราบทูลข้อราชการอยู่ทุกตำแหน่ง ให้มีพระทัยเบื่อหน่ายในที่จะตัดสินข้อราชการ ขยับพระองค์จะเสด็จขึ้น ปิกันเห็นดังนั้นจึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ตั้งแต่พระองค์มิได้เสด็จออกว่าราชการบ้านเมืองมาถึงสองเดือนเศษ บังเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นกว่าแต่ก่อน ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อน แต่นี้ไปขอเชิญเสด็จพระองค์ออกชำระกิจสุขทุกข์ของราษฎรหัวเมืองตามประเพณีกษัตริย์ อาณาประชาราษฎรซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑเสมาจึงจะได้อยู่เย็นเป็นสุข พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า กิจราชการบ้านเมืองทั้งนี้เราก็มอบธุระไว้ให้แก่ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขปรกติอยู่ แต่หัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งเกิดศึกนั้น เราก็ได้จัดให้บุนไท้สือเป็นแม่ทัพไปปราบปราม อุปมาเหมือนหิดและเกลื้อนอันเกิดขึ้นมานิดหน่อยหนึ่งเท่านั้น ท่านอย่าวิตกเลย เมื่อพระเจ้าติวอ๋องตรัสอยู่กับเสี่ยงหยง ปิกัน ยังมิทันเสด็จขึ้น พอขุนนางนายประตูเข้ามากราบทูลว่า ซินแสคนหนึ่งจะขอเข้ามาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เชิญซินแสเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง เห็นซินแสนั้นยืนอยู่มิได้คำนับ ก็เคืองพระทัย จึงตรัสว่า ท่านมาแต่ไหน มาหาเราจะประสงค์สิ่งใด หุนต๋งจู๊จึงบอกแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าเป็นฤษีชื่อ หุนต๋งจู๊ อยู่ถ้ำเขาจองนำสาร เวลาวานนี้ไปเที่ยวเก็บยา แลมาตรงทิศเมืองจิวโก๋เห็นเมฆเป็นวิปริต จึงรู้ว่า ปิศาจเข้ามาปลอมอยู่ในพระนครนี้ และปิศาจนั้นเป็นสตรีมีมารยามาก จะแกล้งทำให้พระองค์หลงฟั่นเฟือนพระสติ นานไปภายหน้าราชสมบัติในเมืองจิวโก๋จะเกิดอันตราย ข้าพเจ้ามาหวังจะช่วยกำจัดปิศาจเสีย พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็แจ้งว่า ซินแสเป็นฤษีมีความรู้วิชาการ จึงเชิญให้ขึ้นนั่งที่สมควร แล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ปิศาจนั้นอาศัยอยู่แห่งใดเล่า หุนต๋งจู๊บอกว่า ปิศาจเข้าอยู่ภายในพระราชวังแล้ว แม้นมีพระทัยประสงค์จะรู้จักปิศาจ ข้าพเจ้าจะขอทำเลขยันต์ กระบี่ แขวนไว้ ณ ประตูตำหนักที่ข้างใน นางสนมผู้ใดเป็นปิศาจ เห็นเลขยันต์ก็จะระส่ำระสายอยู่ไม่เป็นสุข พระองค์จงขับเสียจากพระราชวัง พระเจ้าติวอ๋องก็เชื่อฟัง จึงให้หุนต๋งจู๊เอาเลขยันต์และกระบี่ไปแขวนไว้ที่ประตูพระตำหนักนั้น เมื่อหุนต๋งจู๊ลาพระเจ้าติวอ๋องไปนั้น จึงว่า ข้าพเจ้ามาทำการทั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติและยศศักดิ์หามิได้ น้ำใจข้าพเจ้าคิดมุ่งหมายแต่จะให้พระองค์ทรงพระจำเริญอยู่ในราชสมบัติ บำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ภายหน้าถ้ามีผู้มากราบทูลจะให้เลิกยันต์และกระบี่ออกเสีย พระองค์อย่าเชื่อฟัง จงจำคำข้าพเจ้าไว้ อย่าลืมสติ หุนต๋งจู๊ก็ลากลับออกไปปลอมชาวเมืองอยู่ หวังจะคอยฟังข่าวดีและร้าย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยครั้นมิได้เพ็ดทูลถ้อยความประการใด ต่างคนก็พากันออกจากที่เฝ้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาถึงที่ข้างใน มิได้เห็นนางขันกี จึงถามนางสนมทั้งปวงว่า นางขันกีไปไหน นางสนมจึงทูลว่า นางขันกีป่วยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงเสด็จเข้าไปข้างในห้องตึกเป็นที่อยู่นางขันกี เห็นนางขันกีนอนบนเตียงหน้าซีดสลดอยู่ จึงตรัสถามถึงอาการซึ่งป่วยไข้ นางขันกีจึงทูลว่า เมื่อเวลาเช้า พระองค์เสด็จออกข้างหน้า ครั้นเวลาจวนเสด็จขึ้น ข้าพเจ้าออกไปคอยรับเสด็จ แลเห็นกระบี่มีผู้เอามาแขวนไว้ที่ประตูตำหนัก ใจข้าพเจ้าดังจะสิ้นชีวิตลงด้วยความกลัว ตัวข้าพเจ้าให้สะท้านร้อนหนาวปวดศีรษะดังจะแตกทำลายเหลือที่จะทนทาน ถ้าพระองค์มิได้โปรดครั้งนี้ ชีวิตข้าพเจ้าเห็นจะนับวันอยู่ จะมิได้ฉลองพระคุณสืบไป ทูลแล้วนางขันกีก็ร้องไห้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้น มีพระทันอาลัยในนางขันกีนัก จึงตรัสปลอบว่า ซึ่งเจ้าป่วยไข้ได้ความทุกข์ร้อนทั้งนี้ เพราะเราหลงเชื่อฟังคนป่ามันเข้ามาล่อลวงว่า ปิศาจเข้าอยู่ในวัง เอากระบี่ทำด้วยวิทยาคมมาแขวนไว้ด้วยใจริษยาจะแกล้งกำจัดเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงเสด็จออกมาสั่งให้เอากระบี่นั้นไปเผาเสีย นางขันกีก็คล่อยคลายป่วย แกล้งทำมารยาด้วยอุบายปิศาจให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงรักใคร่ จะเพ็ดทูลสิ่งใดก็เชื่อฟังทุกประการ
ฝ่ายหุนต๋งจู๊ซึ่งปลอมชาวเมืองคอยฟังข่าวอยู่ แลเห็นเป็นแสงสว่างขึ้นที่ในวัง พิจารณาดูก็รู้ว่า พระเจ้าติวอ๋องเผากระบี่ซึ่งทำไว้ด้วยเลขยันต์นั้นเสียแล้ว ปิศาจกลับกำเริบขึ้นมาดังเก่า จึงคิดว่า เราตั้งใจเข้ามาทำด้วยเวทมนตร์ หมายจะขับปิศาจเสียให้พ้นจากเมืองจิวโก๋ บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำขันกีปิศาจ มันแกล้งทำมารยาทูลยุยง เสียงแรงเราเข้ามาทำการก็หาสมความคิดไม่ หุนต๋งจู๊ตกใจนัก จึงทำนายไว้ว่า ชะตาเมืองจิวโก๋จะสิ้นเชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางแต่เพียงพระเจ้าติวอ๋ององค์นี้แล้ว จะเกิดรบพุ่งกัน เกียงจูแหยซึ่งอยู่ ณ เขาขุนหนุนจะออกมาเป็นกุนสือทำนุบำรุงแซ่จิ่วขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองจิวโก๋สืบไป หุนต๋งจู๊จึงเดินไปถึงตึกโต้ไทสือ วันนั้น โต้ไทสือมิได้อยู่ เข้าไปว่าราชการอยู่ในวัง หุนต๋งจู๊จึงจารึกอักษรไว้ที่ผนังตึกภายนอก แล้วกลับไปที่อาศัย
ฝ่ายโต้ไทสือออกจากวังมาถึงบ้าน เห็นอักษรมีผู้มาเขียนไว้ที่ผนังตึกผิดประหลาดอยู่ จึงแวะเข้าไปอ่านในหนังสือนั้นว่า เฮาหลีปิศาจเข้ามาปลอมปนอยู่ในวัง ทำอุบายมารยาจะให้กษัตริย์เมืองจิวโก๋สิ้นเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่ปีม้าไปถึงปีหนูครบเจ็ดขวบ เลือดชาวเมืองจิวโก๋จะดาษแดงทั่วแผ่นดิน หัวเมืองฝ่ายตะวันตกจะเลื่องลือเกียรติยศ โต้ไทสืออ่านหนังสือแล้วก็ตกใจ จึงถามคนใช้ผู้อยู่เฝ้าบ้านว่า ผู้ใดเขียนอักษรไว้ คนใช้จึงบอกว่า ซินแสคนหนึ่งมิได้รู้จักหน้ามาเขียนไว้ โต้ไทสือเห็นถ้อยคำในหนังสือนั้นว่ากล่าวหลักแหลมอยู่ เกรงความจะฟุ้งเฟื่องไป จึงให้คนใช้ลบล้างอักษรนั้นเสีย แล้วขึ้นมาบนตึก นั่งตรึกตรองตามกระแสเรื่องราวความในหนังสือวึ่งจารึกไว้ให้ลบเสียนั้น ก็เห็นว่า ผู้ซึ่งมาจารึกอักษรนี้ชะรอยจะเป็นฤษีซึ่งมาทำเลขยันต์ขับปิศาจในพระราชวังเป็นมั่นคง ครั้นเวลาค่ำลง จึงขึ้นไปบนกวนแซ่เหลาเป็นที่สำหรับดูดาว เวลาดึกประมาณเวลาสามยามเศษ ดาวพระมหากษัตริย์ขึ้นมา มีเมฆหมอกมืดเหมือนควันเพลิงเข้าบดบังดาวกษัตริย์ไว้ให้รัศมีมัวหมองไม่ผ่องใสเหมือนแต่ก่อน โต้ไทสือเห็นดังนั้นจึงคิดว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงด้วยนางขันกี มิได้เสด็จออกว่าราชการ เราเป็นขุนนางมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว เมื่อเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระมหากษัตริย์ฉะนี้ จะนิ่งเสียไม่ควร โต้ไทสือจึงทำเรื่องราวกราบทูลฉบับหนึ่ง พอเวลารุ่งดช้า จึงไปเล่าเนื้อความซึ่งได้ดูดาวให้เสี่ยงหยง ขุนนางผู้ใหญ่ ฟังทุกประการ แล้วว่า ขอท่านจงนำเรื่องราวข้าพเจ้าขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องให้ทราบด้วย เสี่ยงหยงรับเรื่องราวมาอ่านดู เห็นชอบด้วยการแผ่นดิน จึงพาโต้ไทสือเข้าไปวัง ให้โต้ไทสือยับยั้งอยู่แต่ที่หอหนังสือ เสี่ยงหยงนำเรื่องราวโต้ไทสือเข้าไปถึงพระตำหนักข้งใน จึงให้ฮองงีกั๋ว ผู้อยู่รักษาพระตำหนัก ขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เสี่ยงหยงจะขึ้นมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้หาขึ้นมาเฝ้าบนตำหนักนั้น จึงตรัสถามเสี่ยงหยงว่า เราอยู่ถึงที่ข้างใน มิใช่ตำแหน่งขุนนางเคยเฝ้า เหตุใดท่านจึงล่วงเข้ามาในที่ห้ามฉะนี้ มีธุระร้อนประการใดหรือ เสี่ยงหยงจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ โต้ไทสือดูดาวเห็นรัศมีดาวของพระองค์มัวหมอง เพราะปิศาจคอยย่ำยีอยู่ โต้ไทสือทำเรื่องราวมาให้กราบทูล ครั้นจะคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้า พระองค์ก็มิได้เสด็จออก ข้าพเจ้าเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระองค์ จึงเข้ามาถึงที่ห้าม หวังจะกราบทูลเรื่องราวโต้ไทสือให้ทราบ เสี่ยงหยงจึงเอาเรื่องราวโต้ไทสือถวายต่อพระหัตถ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องรับหนังสือมาคลี่ออกอ่าน ใจความว่า ข้าพเจ้า โต้ไทสือ ผู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ขอกราบทูลให้ทราบ ด้วยคำโบราณกล่าวไว้สืบมาว่า บ้านเมืองใดจะอยู่เย็นเป็นสุข สิ่งซึ่งเป็นสิริมงคลก็บังเกิดในบ้านเมืองนั้น ถ้าเมืองใดจะเกิดอันตราย สิ่งอันมิได้เป็นมงคลก็เกิดมีมาต่าง ๆ เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าดูฤกษ์บน เห็นดาวของพระองค์เศร้าหมอง เพราะปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จอยู่ ณ ที่เสด็จออกขุนนาง หุนต๋งจู๊เอากระบี่ลงเลขยันต์เข้ามาขับปิศาจ พระองค์มิได้ชื่อฟัง ให้เผาเลขยันต์และกระบี่เสีย ปิศาจจึงกำเริบทวีขึ้นทุกวัน ตั้งแต่พระองค์ได้บุตรเชาฮูเข้ามาไว้ในวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการที่ข้างหน้า ขุนนางทั้งปวงซึ่งเคยเฝ้าตามตำแหน่งมิได้เฝ้า ต่างคนมีใจเศร้าหมองเหมือนดังเมฆหมอกอันบังแสงพระจันทร์ไว้ให้มือ พระเจ้าติวอ๋องทรงอ่านออกชื่อหุนต๋งจู๊ ขัดเคืองพระทัยว่า หุนต๋งจู๊มาทำให้นางขันกีป่วยแทบจะสิ้นชีวิต จนต้องเผาเลขยันต์และกระบี่ซึ่งหุนต๋งจู๊ทำไว้เสีย นางขันกีจึงรอดจากความตาย บัดนี้ โต้ไทสือเอาความหุนต๋งจู๊นั้นมาว่าอีกเล่า พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสปรึกษากับนางขันกีว่า โต้ไทสือทำเรื่องราวมาว่ากล่าวฉะนี้ เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีจึงคำนับแล้วทูลว่า วันวานนี้ หุนต๋งจู๊เป็นคนรู้ทำกฤตยาคม แกล้งนำความเท็จเข้ามากราบทูลว่า ปิศาจปลอมอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลืออื้ออึงไปทั้งเมือง ขุนนางทั้งปวงก็พลอยทุกข์ร้อนด้วยเกรงว่าพระองค์จะมีอันตรายครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ โต้ไทสือยังซ้ำนำเนื้อความหุนต๋งจู๊มากราบทูลอีกเล่า ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นพรรคพวกร่วมคิดกันกับหุนต๋งจู๊แกล้งยุยงให้พระองค์สงสัยว่า ข้าพเจ้าเป็นปิศาจ จะกำจัดเสียจากวัง หวังจะให้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ ขอให้เอาตัวโต้ไทสือไปฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธโต้ไทสือ จึงตรัสแก่เสี่ยงหยงว่า โต้ไทสือไม่ซื่อตรงต่อเรา แกล้งนำเอาความชั่วมาว่ากล่าวฉะนี้ เราเห็นว่า โต้ไทสือพรรคพวกหุนต๋งจู๊เป็นมั่นคง ชอบให้ตัดศีรษะเสียบประจาน อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางรับราชการในตำแหน่งพนักงานสำหรับดูฤกษ์บนมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว บัดนี้ โต้ไทสือเห็นดาวสำหรับพระองค์เศร้าหมอง จึงทำเรื่องราวให้ข้าพเจ้ากราบทูล พอรู้พระองค์ว่าดีและร้ายตามตำรับซึ่งได้เล่าเรียนมา หวังจะเอาความชอบ จะได้เป็นพวกหุนต๋งจู๊แกล้งมากราบทูลให้ขัดเคืองพระทัยหามิได้ ซึ่งพระองค์จะลงอาญาให้ฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า โต้ไทสือผิดแต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือเอาความมิดีมาว่ากล่าวให้กำเริบไปทั้งเมือง โทษถึงตาย ซึ่งจะให้มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนั้นมิได้ เสี่ยงหยงกราบทูลขอโทษโต้ไทสือเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็มิให้ จึงออกมาบอกโต้ไทสือตามเรื่องราวซึ่งได้กราบทูลทุกประการ แล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าท่านเสีย เราได้ทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้
ขณะเมื่อเสี่ยงหยงกับโต้ไทสือพูดกันยังมิทันสิ้นคำ พอมีผู้รับสั่งมาบอกโต้ไทสือว่า ท่านทำเรื่องราวให้เสี่ยงหยงกราบทูลให้ขัดเคืองนั้น มีรับสั่งให้เอาตัวท่านไปฆ่าเสีย ผู้รับสั่งก็ให้ถอดเสื้อหมวกสำหรับขุนนางออกเสีย แล้วมัดมือโต้ไทสือไปถึงสะพานมังกร พอพบขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ป่วยเป๊ก ป๋วยเป๊กเห็นโต้ไทสือจึงเข้าไปถาม เหตุใดท่านจึงต้องผูกมัดมาฉะนี้ โต้ไทสือจึงเล่าความให้ป๋วยเป๊กฟังแล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย ขอท่านให้กรุณาช่วยเพ็ดทูลขอโทษข้าพเจ้าไว้ด้วย ป่วยเป๊กได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่ผู้คุมว่า ท่านจงงดโต้ไทสือไว้ก่อน เราจะเข้าไปทูลขอโทษโต้ไทสือ ว่าแล้วก็รีบไป พอพบเสี่ยงหยงเดินมา ป่วยเป๊กจึงเข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วถามว่า โต้ไทสือผิดด้วยสิ่งใด เสี่ยงหยงจึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี นางขันกีจะทูลประการใดก็เชื่อฟัง สั่งให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย เราทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรด เราจนในความคิด มิรู้ที่จะทำประการใด ป่วยเป๊กจึงว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี จะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเสียดายโต้ไทสือนัก ขอท่านจงพาข้าพเจ้าไปเฝ้า จะทูลขอโทษโต้ไทสืออีกสักครั้งหนึ่งก่อน เสี่ยงหยงก็พาป่วยเป๊กเข้าไปถึงพระที่นั่งข้างใน เสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กจึงขึ้นไปเฝ้า ป่วยเป๊กทูลถามถึงโทษโต้ไทสือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือคบคิดกันกับหุนต๋งจู๊เอาความเท็จมาว่า ปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไป โต้ไทสือโทษถึงตาย เราจึงให้เอาไปฆ่าเสีย ป่วยเป๊กจึงทูลว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวฮองเต้นั้น พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดินได้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ซึ่งเป็นคนโกหกสอพลอ พระองค์กำจัดเสีย มิได้ใช้สอยเป็นขุนนาง ผู้ซึ่งมีสติปัญญาและมีใจเจ็บร้อนซื่อตรงด้วยการแผ่นดิน พระองค์ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางตามสมควร โต้ไทสือคนนี้เป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าพระองค์จะเชื่อฟังนางขันกีและจะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะกำเริบเดือดร้อน ข้าพเจ้าขอให้งดโทษโต้ไทสือไว้ครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตรัสว่า เสียแรงเราเลี้ยงท่านเป็นขุนนาง ไม่เจ็บร้อนด้วยเรา กลับไปเข้าด้วยคนผิด ด้านหน้าเข้ามาขอชีวิตโต้ไทสือ โทษท่านชอบตีด้วยกระบองจึงจะควร นางขันเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงทูลซ้ำเติมว่า ป่วยเป๊กมิได้เกรงพระราชอาญา ล่วงเกินเข้ามาเฝ้าพระองค์ถึงที่ข้างในเป็นที่ห้าม แล้วให้หน้ากระหยิบตาให้แก่ข้าพเจ้า โทษป่วยเป๊กถึงที่ตายแล้ว ขอให้เอาตัวไปจำไว้ ให้เจ้าพนักงานทำเสาทองแดงใหญ่ จึงเอาเพลิงเผาเสาทองแดงให้แดง แล้วเอาป่วยเป๊กมาผูกมัดโอบเสาทองแดงไว้จนกว่าจะตาย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย แล้วให้เอาตัวป่วยเป๊กไปจำไว้ เร่งทำเสาทองแดงขึ้นสำหรับจะทำทาป่วยเป๊กตามคำนางขันทีทุกประการ ทหารก็ทำตามรับสั่ง
ฝ่ายเสี่ยงหยงเห็นดังนั้นจึงคิดว่า พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าโต้ไทสือ และจับป่วยเป๊กไปทำโทษ จะว่ากล่าวทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง จะอยู่เป็นข้าเฝ้าสืบไป เห็นว่า นางขันกีจะทูลให้ฆ่าเสียเป็นมั่นคง จึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำราชการมาถึงสามแผ่นดินจนแก่ชรา ทั้งสติปัญญาก็เคลิ้มเขลา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ฟั่นเฟือนหลงลืม จะขอลาออกนอกราชการไปอยู่บ้านเก่าทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีวิตกว่าจะตาย พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ไป เสี่ยงหยงก็คำนับลาพระเจ้าติวอ๋องออกมาจากวัง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงรู้ว่า เสี่ยงหยงทูลลาออกจากที่ขุนนางผู้ใหญ่จะไปบ้านเก่า ต่างคนก็พากันไปตามส่ง ฝ่ายเสี่ยงหยง ครั้นมาถึงที่ขุนนางไปมาหยุดพัก จึงลงจากม้า แล้วลาปิกันกับขุนนางทั้งปวงว่า ท่านจงอุตส่าห์ทำราชการ ระวังตัวอย่าให้ระแวงความผิด ปิกันจึงว่า ตั้งแต่ท่านกับข้าพเจ้าทำราชการมาด้วยกันช้านาน ครั้งนี้ท่านจะหนีข้าพเจ้าไปหาที่สบายแล้วหรือ เสี่ยงหยงจึงว่า ข้าพเจ้ากับท่านทำราชการมาด้วยกัน ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ข้าพเจ้าจะเพ็ดทูลสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย เพราะพระทัยกรุณานับถือว่าเป็นผู้เฒ่า ตั้งแต่พระองค์ได้นางขันกีมาไว้ พระทัยลุ่มหลง พระจริตก็ผิดกว่าแต่ก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าก็แก่ชรา กำลังน้อย มีแต่เคลิ้มเขลาหลงลืม เพ็ดทูลสิ่งใดก็ฟั่นเฟือน เห็นว่า นานไปจะไม่พ้นความผิด จึงคิดเบี่ยงบ่ายเอาตัวออกนอกราชการ ซึ่งท่านกับขุนนางทั้งปวงมาส่งข้าพเจ้าถึงที่นี่ขอบคุณนัก เชิญกลับเข้าเมืองหลวงเถิด เสี่ยงหยงว่าแล้วก็ร้องไห้ลาขุนนางทั้งปวงขึ้นม้าไป ปิกันกับขุนนางทั้งปวงก็กลับมาเมืองหลวง
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งไปทำเสาทองแดง ครั้นสำเร็จแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้ยกเสาทองแดงเข้าไปให้นางขันกีดู แล้วตรัสแก่นางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ จะเอาตัวป่วยเป๊กไปทำโทษ ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกที่นั่งออกขุนนาง ให้ยกเสาทองแดงมาตั้งไว้ จึงให้ตีกลองสัญญาประชุมขุนนาง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงต่างคนเข้ามาพร้อมกัน แลเห็นเสาทองแดงตั้งอยู่ มิได้รู้ว่าจะทำประการใด ก็พากันนิ่งคิดสงสัยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นขุนนางมาพร้อมแล้ว จึงสั่งจิบเตียกั่วให้เอาตัวป่วยเป๊กมา จึงสั่งให้เอาถ่านเพลิงกองเผาเสาทองแดงให้ร้อน แล้วชี้พระหัตถ์ไปที่เสาทองแดง ตรัสแก่ป่วยเป๊กว่า ท่านรู้จักหรือหาไม่ ป่วยเป๊กทูลว่า ข้าพเจ้ามิได้รู้จัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เสาทองแดงนี้ชื่อ เผาหลก สำหรับทำโทษคนหยาบช้า จะได้เป็นกฎหมายสืบไป ป่วยเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นคนหลงด้วยสตรี ทำให้เสียประเพณีกษัตริย์ เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เห็นผิดจึงทัดทาน กลับโกรธจะฆ่าเสีย ถึงเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คิดวิตกอยู่ด้วยท่านจะทำให้เชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางสูญสิ้นครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังป่วยเป๊กกล่าวหยาบช้าก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารให้เอาโซ่ผูกเท้าและมือป่วยเป๊กโอบเสาทองแดง พัดถ่านเพลิงให้ร้อน ป่วยเป๊กร้องขึ้นคำเดียวก็ขาดใจตาย
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงเห็นพระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กดังนั้น ต่างคนกลัวอาญาท้อใจอยู่ ในขณะนั้น หาผู้จะเพ็ดทูลประการใดไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ฝ่ายปิกัน ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว จึงพูดกันกับอึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบูเสี้ยงอ๋อง และขุนนางทั้งปวง ว่า เหตุทั้งนี้เพราะบุนต๋งไท้สือไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ มิได้อยู่ นางขันกีไม่เกรงผู้ใด จึงทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กด้วยเผาหลกจนสิ้นชีวิต ผิดอย่างธรรมเนียม ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน อึ้งป่วยฮอได้ฟังปิกันว่าดังนั้นก็โกรธ เอามือลูบหนวดแล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำเผาหลกสำหรับฆ่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินมิให้ทูลทัดทานทั้งนี้ เหมือนดังจะทำลายพระองค์เสียเอง พระเจ้าติวอ๋องเห็นจะสูญเชื้อวงศ์กษัตริย์เสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ครั้นพูดกันแล้ว ต่างคนก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นไปถึงที่บรรทม พอนางขันกีออกมาคำนับรับเสด็จ จึงตรัสบอกว่า เผาหลกซึ่งเจ้าคิดให้ทำขึ้นไว้ครั้งนี้ขุนนางทั้งปวงกลัวเกรงนัก หาผู้ที่จะว่ากล่าวความสิ่งใดขึ้นไม่ แต่นี้ไป เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข ตรัสแล้วก็พานางขันกีเข้าที่ นางพนักงานข้างในก็พร้อมกันดีดกระจับปี่สีซอบำเรอพระเจ้าติวอ๋องแต่เวลาพลบค่ำจนถึงสองยามเศษ
ขณะนั้น เสียงมโหรีได้ยินไปถึงนางเกียงฮองเฮา มเหสีพระเจ้าติวอ๋อง นางถอนใจใหญ่แล้วบ่นว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังอีขันกี ให้ทำเผาหลกขึ้นฆ่าป่วยเป๊ก ขุนนางผู้ใหญ่ เสีย อีขันกีมันแกล้งทำเล่ห์กลมารยาให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลง นางเกียงฮองเฮาคิดเคืองใจ จึงลงจากตำหนักมาถึงที่บรรทม แล้วก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง นางขันกีก็คำนับเชิญพระมเหสีขึ้นนั่งตามตำแหน่งที่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้นางพนักงานบำเรอดีดกระจับปี่สีซอ แล้วตรัสสั่งนางขันกีให้ร้องรำทำเพลงให้พระมเหสีดู นางเกียงฮองเฮาก็เมินหน้าเสีย พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงตรัสแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีร้องเพลงรับกระจับปี่เสียงเพราะ รำก็งามเหมือนนางฟ้า เหตุใดเจ้าจึงมิได้ดูเล่า นางเกียงฮองเฮาได้ฟังพระเจ้าติวอ๋อง
ตรัสชมนางขันกีดังนั้นก็โกรธ จึงคำนับพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า นางขันกีฉลาดในการร้องรำทำกระบวนต่าง ๆ ฉะนี้ พระองค์ตรัสชมว่าดีนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ ในธรรมเนียมโบราณนับถือว่าดีมีห้าสิ่ง คือ พระมหากษัตริย์ตั้งอยู่ในยุติธรรม มิได้หลงด้วยสตรี หนึ่ง พระจันทร์พระอาทิตย์เป็นของวิเศษอยู่บนฟ้า หนึ่ง ข้าวโพดสาลี ถั่ว งา เป็นของดีในแผ่นดิน หนึ่ง เสนาบดีซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน หนึ่ง บุตรเหลนหลานอยู่ในบังคับบัญชาบิดามารดาปู่ย่าตายายสอนสั่ง หนึ่ง และซึ่งพระองค์จะลุ่มหลงมัวเมาด้วยการเล่น และประมาทหมิ่นฤษีผู้มีวิชาการ เพราะเชื่อฟังคำคนยุยงฉะนี้ ข้าพเจ้าหาเห็นชอบด้วยไม่ นางเกียงฮองเฮาทูลแล้วก็คำนับลาไปที่อยู่ พระเจ้าติวอ๋องได้ยินนางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวก็เคืองพระทัย จึงตรัสแก่นางขันกีว่า นางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวหยาบช้ามิยำเกรงเรา ตรัสแล้วเรียกสุรามาเสวยจนเวลาประมาณยามสาม จึงสั่งนางขันกีให้ทำมโหรีขับรำถวาย นางขันกีจึงทูลว่า เมื่อเวลาประมาณสองยาม ข้าพเจ้าร้องรำบำเรอถวาย พระมเหสีของพระองค์มาว่ากล่าวเปรียบเทียบข้าพเจ้าให้ได้ความอัปยศ ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าขับรำถวายอีก ข้าพเจ้าจะขอขัดรับสั่ง ตามแต่จะโปรด ทูลแล้วนางทำร้องไห้ด้วยมารยาปิศาจ หวังจะให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษนางเกียงฮองเฮา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสปลอบนางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ เราจะถอดเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาได้ว่ากล่าวบังคับนางฝ่ายในให้สิทธิ์ขาด นางขันกีได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ยินดีนัก ถวายบังคม แล้วเข้าไปรินสุราหยิบกับแกล้มถวายให้เสวย พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุรากับนางขันกีจนเวลารุ่งสว่าง พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราเมาก็เข้าที่บรรทม
ฝ่ายนางขันกีคิดริษยาจะคอยหาความผิดนางเกียงฮองเฮา มเหสีเอก ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับแล้ว จึงลงจากที่บรรทมไปถึงในตึกใหญ่สำหรับพระสนม เฝ้าพระมเหสีทั้งสาม พอเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย มเหสีทั้งสาม ออกมานั่งอยู่ นางขันกีก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับ นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย จึงแกล้งถามนางเกียงฮองเฮาเป็นเย้ยว่า นางคนนี้หรือชื่อ ขันกี นางเกียงฮองเฮาจึงบอกว่า คนนี้ชื่อ ขันกี พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงจนลืมเสด็จออกว่าราชการ นางเกียงฮองเฮาจึงว่าแก่นางขันกีว่า แต่นี้ไป เจ้าอย่าทำใจกำเริบ จงอยู่รับราชการแต่ตามที่ตำแหน่งผู้น้อย บำรุงเกียรติยศของพระเจ้าติวอ๋องไว้ อย่าให้ขุนนางและชาวเมืองทั้งปวงล่วงเข้ามานินทาพระมหากษัตริย์ นางขันกีได้ฟังพระมเหสีว่ากล่าวดังนั้นก็เคืองใจ แต่มิอาจออกปากว่า จึงคำนับลาลงจากตำหนักไปที่อยู่ นางคนใช้ทั้งสองก็ออกมารับ นางขันกีนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนใจใหญ่ คนใช้ทั้งสองเห็นดังนั้นจึงคำนับถามว่า วันนี้ ท่านไปเฝ้าพระมเหสีกลับมาไม่สบายขัดเคืองด้วยสิ่งใด นางขันกีฟังดังนั้นก็ขบฟันแล้วว่า ตัวเราพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยง เราคิดว่า เราเป็นผู้น้อย ถ่อมตัวไปอ่อนง้อ พระมเหสีกลับตัดพ้อว่ากล่าวให้ได้อับอายแก่นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย และนางสนมทั้งปวง เรามีความน้อยใจนัก จะขอแก้แค้นพระมเหสีให้จงได้ จึงจะนอนตาหลับ นางคนสนิททั้งสองจึงว่า เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าได้ยินรับสั่งว่า จะถอดนางเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งท่านขึ้นเป็นพระมเหสีเอก ท่านก็คงจะได้แก้แค้นสมความคิดเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า นางเกียงฮองเฮายังหาความผิดมิได้ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะสั่งให้ถอดเสียจากที่ เราเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะเข้ามาทูลทัดทานไว้ เราคิดไปยังมิตลอด ท่านทั้งสองเห็นอุบายประการใด จงช่วยแนะให้แก่เราบ้าง คนสนิททั้งสองจึงว่า สติปัญญาข้าพเจ้านี้น้อยนัก หาเห็นอุบายประการใดไม่ ขอท่านจงให้หาขุนนางคนสนิทเข้ามาคิดอ่านกลอุบายเอาความผิดใส่โทษนางเกียงฮองเฮา ข้าพเจ้าเห็นจะสำเร็จความคิดท่านเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า ขุนนางฝ่ายหน้าท่านจะเห็นผู้ใดที่จะวางใจไว้ความลับได้เล่า คนสนิทจึงว่า มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ฮุยต๋ง ฮุยต๋งคนนี้ได้ทูลเสนอท่านไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงมีรับสั่งให้บิดาท่านพาท่านมาถวาย ฮุยต๋งก็หมายจะฝากตัวอยู่ เห็นจะไว้ความลับได้ เวลาพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าได้ยินว่า พระเจ้าติวอ๋องจะเสด็จออกชมสวน ขอท่านจงแต่งหนังสือลับฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าจะซ่อนเร้นไปให้แก่ฮุยต๋ง นางขันกีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องครั้นเวลาเช้าก็เสด็จไปชมสวนดอกไม้ นางขันกีจึงเขียนหนังสือลับส่งให้คนสนิทไปคอยฮุยต๋งอยู่ ครั้นพระเจ้าติวอ๋องประพาสสวนแล้วเสด็จเข้าพระราชวัง พอฮุยต๋งเดินกลับออกมาพบคนใช้ คนใช้ก็ส่งหนังสือให้แล้วกระซิบบอกว่า นางขันกีผู้นายข้าพเจ้าให้หนังสือมาถึงท่าน เป็นความลับขำอยู่ ท่านอย่าให้แพร่งพราย ถ้าท่านช่วยทำนุบำรุงให้นายข้าพเจ้าได้สมความคิดแล้ว นายข้าพเจ้าจะช่วยเพ็ดทูลให้ท่านได้ที่ยศศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป ฮุยต๋งก็รับหนังสือซ่อนใส่ไว้ในกลีบเสื้อ แล้วกลับมาบ้าน ขึ้นไปบนหอหนังสือ จึงฉีกผนึกออกอ่าน แจ้งความในหนังสือลับนางขันกีว่า ให้คิดทำร้ายนางเกียงฮองเฮา ดังนั้น ฮุยจึงคิดว่า เกียงฮองเฮาเป็นลูกสาวเกียงฮวนฌ้อซึ่งเป็นเจ้าเมืองตังลู้ พี่ชายนางเกียงฮองเฮาชื่อ เกียงบุนฮวน กำลังและฝีมือกล้าแข็ง มีนายทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวถึงร้อยหมื่น ถ้าความทั้งนี้มิสมคิดผิดพลั้งลง เห็นเราจะถึงความฉิบหาย แม้นมิทำตามนางขันกี นางขันกีก็เป็นคนโปรดอยู่ในพระเจ้าติวอ๋อง เกรงเกลือกจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงอาญาฆ่าเสีย ฮุยต๋งคิดวิติก มิรู้จะไว้ตัวประการใด นั่งกอดเข่าทุกข์ใจอยู่ พอแลเห็นเกียงฮวนซึ่งเป็นทหารมานั่งแอบอยู่นอกประตูหอหนังสือ ฮุยต๋งจึงถามออกไปว่า ผู้ใดมานั่งอยู่ เกียงฮวนจึงเข้าไปคำนับแล้วว่า แต่ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่กับท่านถึงห้าปีแล้ว ยังหาได้ทำการสิ่งใดฉลองคุณท่านไม่ วันนี้ ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบาย จึงเข้ามาคอยให้ใช้อยู่ ถึงท่านจะใช้ให้ข้าพเจ้าดำดินลุยเพลิงประการใด ข้าพเจ้ามิได้คิดแก่ความลำบาก จะขออาสาท่านกว่าจะสิ้นชีวิต ฮุยต๋งเห็นกิริยาเกียงฮวนเป็นคนมีสติปัญญาและใจซื่อตรง จะไว้ความลับได้ จึงกระซิบบอกเกียงฮวนตามหนังสือลับซึ่งนางขันกีให้มานั้น แล้วว่า ท่านจะช่วยธุระเราแล้ว จงถือกระบี่แอบเข้าไปแฝงอยู่ ณ พระที่นั่งเย็น เราจะมีหนังสือลับเข้าไปบอกแก่นางขันกีให้เสด็จพระเจ้าติวอ๋องออกมาในเวลาพรุ่งนี้ ท่านจงออกขวางหน้าพระที่นั่ง แล้วแกว่งกระบี่ร้องว่า จะฆ่าพระเจ้าติวอ๋องเสีย ถ้าพระเจ้าติวอ๋องจะให้จับตัวมาไต่ถาม ท่านจงให้การว่า นางเกียงฮองเฮาใช้มาให้ฆ่าพระเจ้าติวอ๋องผู้มิได้อยู่ในยุติธรรมเสีย โทษที่ท่านทำนั้นอย่าวิตกเลย เรากับนางขันกีจะช่วยเพ็ดทูลแก้ไขมิให้เป็นอันตราย เกียงฮวนก็คำนับรับไปทำตามสั่ง พอคนสนิทของนางขันกีมาคำนับฟังความ ฮุยต๋งจึงเขีนหนังสือลับส่งให้ คนสนิทของนางขันกีคำนับลาเข้าไปในวัง จึงส่งหนังสือลับนั้นให้แก่นางขันกี นางขันกีคลี่หนังสือออกอ่าน แจ้งว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้ ให้เชิญเสด็จออกมาที่ข้างหน้า จะให้คนไปทำการให้สำเร็จ อย่าวิตกเลย ครั้นเวลาค่ำลง พระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาหานางขันกี นางขันกีจึงกราบทูลว่า พระองค์เสด็จอยู่ในพระราชวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะกระหายนินทาว่า พระองค์ลุ่มหลงด้วยข้าพเจ้า เวลาพรุ่งนี้เช้า ขอเชิญเสด็จออกตัดสินความราชการบ้านเมืองตามประเพณีกษัตริย์ จึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องตรัสชมนางขันกีว่า เจ้าว่านี้ชอบนัก ครั้นเวลาเช้า ก็เสด็จลงจากที่พระบรรทม จะไปออกขุนนางข้างหน้า
ฝ่ายฮองงีกั๋ว เจ้าพนักงานรักษาพระองค์ ก็ตามเสด็จไป ฝ่ายเกียงฮวนซึ่งฮุยต๋งใช้มาแอบซ่อนอยู่ที่มุมตำหนักที่ยั่งเย็นข้างตะวันออกนั้น ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมา จึงวิ่งออกไปถึงหน้าพระที่นั่ง แกว่งกระบี่ร้องว่า พระองค์ไม่อยู่ในสัตยธรรม เราจะฆ่าเสีย จะเอาสมบัติไว้ให้แก่เจ้านายเรา ฮองงีกั๋วเห็นดังนั้นก็วิ่งออกไปจับมัดเกียงฮวนเข้ามาถวาย พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จถึงพระที่นั่งที่ออกขุนนาง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมเฝ้าตามตำแหน่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกปิกัน อึ้งป่วยฮอ ว่า มีคนร้ายปลอมเข้ามาจะทำร้ายเรา บัดนี้ จับได้ตัวมา อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามเจ้าพนักงานรักษาพระตำหนักว่า เวลาวานนี้เป็นเวรของผู้ใดเข้าไปอยู่รักษา โลหยงจึงว่า วานนี้เวรข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าจะเข้าไปในพระราชวัง ก็ได้ตรวจตราตัวนายและไพร่เข้าไปรักษา หามีผู้ใดแปลกปลอมไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า คนร้ายจะปลอมเข้าไปเมื่อเวลาเช้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ให้เอาตัวอ้ายคนร้ายไปชำระ เอาผู้ร่วมคิดและพวกเพื่อนอ้ายกบฏมาฆ่าเสียให้สิ้น ฮุยต๋งจึงชิงทูลขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาตัวเกียงฮวนไปชำระเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดอ่านให้จงได้ อย่าทรงพระวิตกเลย ฮุยต๋งจึงเอาตัวเกียงฮวนออกไปถามโดยปรกติ เกียงฮวนก็ให้การตามที่ฮุยต๋งสอนไว้ ฮุยต๋งจึงให้จดหมายถ้อยคำเกียงฮวนเข้าไปกราบทูลว่า นางเกียงฮองเฮาใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้าย หมายจะเอาสมบัติของพระองค์ให้แก่บิดา พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธนัก จึงตรัสว่า นางเกียงฮองเฮานี้เราก็ตั้งแต่งเป็นผู้ใหญ่ ได้บังคับบัญชานางข้างในเป็นสิทธิ์ขาด เราเลี้ยงก็ถึงขนาดแล้ว หาควรที่จะให้เกียงฮวนมาทำร้ายเราไม่ หากว่าบุญเรายังไม่ถึงที่ตาย จึงจับตัวเกียงฮวนได้ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จมาข้างใน จึงสั่งให้นางอึ้งกุยหุยไปซักถามนางเกียงฮองเฮา พระมเหสีเอก ว่า บิดาของตัวพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยงเป็นถึงเจ้าเมืองตังลู้ ตัวมิได้ซื่อตรง แกล้งใช้เกียงฮวนปลอมเข้ามาทำร้ายพระมหากษัตริย์ฉะนี้ ตัวจะเอาสมบัติไว้ให้แก่บิดาของตัวหรือ นางเกียงฮองเฮาได้ยินกระทู้รับสั่งให้ถามดังนั้นก็ตกใจ ยกมือตบลงที่โต๊ะแล้วร้องไห้ จึงว่า เราได้ความสุข มียศถาศักดิ์ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยง เราก็ตั้งใจว่า จะฉลองพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิต และเกียงฮวนคนใดเราก็ไม่รู้จักหน้า เกียงฮวนแกล้งเอาความผิดข้อใหญ่มาใส่โทษเราฉะนี้ เราจะได้คบคิดกับเกียงฮวนให้ทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์หามิได้ เรากับท่านอยู่มาด้วยกันก็ช้านาน ท่านก็ย่อมรู้อยู่สิ้นว่าชั่วดี และความทั้งนี้ท่านช่วยกรุณาเพ็ดทูลให้พระองค์ดำริดูจงถ่องแท้ก่อน พอมีผู้รับสั่งมาเร่ง นางอึ้งกุยหุยก็ลานางเกียงฮองเฮาไปเฝ้าทูลความตามคำนางเกียงฮองเฮาทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรอง มิได้ตรัสประการใด นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังอาลัยในพระมเหสีอยู่ จึงแกล้งทำหัวเราะขึ้น พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสถามว่า เจ้าหัวเราะสิ่งใด นางขันกีจึงทูลว่า อึ้งกุยหุยกับเกียงฮองเฮาเป็นคนสนิทชอบกัน ซึ่งจะให้ชำระความเกียงฮองเฮานั้น หาได้ความจริงไม่ ซึ่งเกียงฮองเฮาไม่รับว่า มิได้ใช้เกียงฮวนนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นไม่ ขอให้ควักตาเกียงฮองเฮาเสียข้างหนึ่ง เห็นจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้ชอบ จึงสั่งฮองงีกั๋วให้ไปควักตานางเกียงฮองเฮาเสียตามนางขันกี นางอึ้งกุยหุยได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจ คำนับลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วรีบไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาท่านเสีย นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้แล้วจึงว่า เรากับนางขันกีก็มิได้มีข้อขัดเคืองแก่กัน นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษ ถึงจะฆ่าเราเสีย ก็จะขอยอมถวายชีวิตด้วยความสัตย์ จะได้คบคิดใช้สอยเกียงฮวนมาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องเหมือนดังคำเกียงฮวนนั้นหามิได้ พอฮองงีกั๋วเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ควักตาเสีย ฮองงีกั๋วก็เข้าไปควักตานางเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุยก็เอาถาดทองคำเข้ารองรับดวงตาและโลหิตของนายเกียงฮองเฮาขึ้นไปเฝ้าพร้อมกันกับฮองงีกั๋ว นางอึ้งกุยหุยจึงยกถาดโลหิตกับดวงตาตั้งไว้หน้าพระที่นั่งให้ทอดพระเนตร แล้วทูลตามคำนางเกียงฮองเฮาว่าทุกประการ
พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นดวงตาและโลหิตนางเกียงฮองเฮาดังนั้น จึงเหลียวไปตรัสถามนางขันกีว่า เจ้าว่า ให้ควักตานางเกียงฮองเฮาเสีย จึงจะได้ความจริง บัดนี้ นางเกียงฮองเฮาสู้เสียชีวิตว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายเรา เจ้าจะเห็นประการใดเล่า นางขันกีจึงคิดว่า การได้ทำเกินมาถึงเพียงนี้แล้วก็ยังหาสมความคิดไม่ จำจะคิดให้พระเจ้าติวอ๋องฆ่านางเกียงฮองเฮาเสียให้จงได้ จึงจะหายที่ความแค้น นางขันกีจึงทูลว่า นางเกียงฮองเฮาแกล้งอำพรางความผิดไว้ไม่ถวายความจริงนั้น ขอให้มัดมือโอบเข้ากับเสาทองแดง เอาถ่านเพลิงมาพัดให้เสาทองแดงนั้นร้อน นางเกียงฮองเฮาทนร้อนมิได้ ก็จะถวายความจริงเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องยังมิได้ตรัสประการใด นางอึ้งกุยหุยได้ยินนางขันกีทูลดังนั้นก็ตกใจ จึงกลับมาบอกความแก่นางเกียงฮองเฮาตามคำนางขันกีทุกประการ
นางเกียงฮองเฮา ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องให้ควักตาเสียแล้ว โลหิตไหลลงอาบเสื้อ ความเจ็บเป็นสาหัส นั่งหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงนางอึ้งกุยหุยบอกความดังนั้น จึงว่า เราจะได้คบคิดกันกับผู้ใดให้มาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์นั้นหามิได้ นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาเสียแล้ว บัดนี้ จะซ้ำให้โอบเสาทองแดงอีกเล่า หวังจะให้เรารับว่า ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์ ถึงมาตรว่าจะตาย ก็จะสู้เสียชีวิต นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็คิดสงสารนัก ร้องไห้พลางคำนับลากลับไปเฝ้าทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปไต่ถามไล่เลียงเกียงฮองเฮาเป็นหลายครั้ง จนถึงควักตาเสีย ได้ความเจ็บป่วยเป็นสาหัส แล้วจะให้ทำโทษด้วยเผาหลกตามรับสั่ง นางเกียงฮองเฮาจะสู้ถวายชีวิต จะได้คิดใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์หามิได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังจึงตรัสถามนางขันกีว่า เราให้ทำโทษเกียงฮองเฮาสาหัสถึงเพียงนี้แล้ว เกียงฮองเฮาก็หาให้
ความจริงไม่ เจ้าจะคิดให้ทำประการใด นางขันกีจึงทูลว่า เกียงฮองเฮาไม่รับ ว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์นั้น เกียงฮวนก็ให้การยืนคำอยู่ว่า เกียงฮองเฮาใช้ให้มาทำการทั้งนี้ ขอให้เอาตัวเกียงฮวนเข้าไปสอบกันกับเกียงฮองเฮา เห็นว่า เกียงฮองเฮาจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งอุยบู๊ ไต้เจียงกุ๋นขุนนางนายตำรวจ ให้เตียวฉาน เตียวหลุย คุมตัวเกียงฮวนเข้าไปถามสอบกันกับเกียงฮองเฮาเอาความจริงให้จงได้ อุยบู๊ ไต้เตียงกุ๋น รับสั่งแล้วรีบมาให้ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้าไป ณ ตึกที่ทำโทษเกียงฮองเฮา
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุย ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้ามาคำนับ จึงบอกนางเกียงฮองเฮาว่า โจทก์ของท่านมีรับสั่งให้คุมเข้ามา จะให้สอบกับท่านแล้ว นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธ ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นเห็นเกียงฮวน จึงด่าเกียงฮวนว่า อ้ายขโมย มึงรับสินบนของผู้ใด มึงจึงแกล้งเอาความเท็จมาใส่ให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษกูถึงเพียงนี้ ผีสางเทวดาก็หาเข้าชอบด้วยมึงไม่ เกียงฮวนจึงแกล้งว่า ท่านใช้ข้าพเจ้าให้ทำร้ายพระเจ้าติวอ๋อง ข้าพเจ้าทำการหาสำเร็จตามท่านสั่งไม่ มีผู้จับได้ โทษข้าพเจ้าถึงที่ตายอยู่แล้ว ขอท่านจงถวายความจริงเถิด อย่าพรางไว้ให้พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธมากไปเลย นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงด่าเกียงฮวนว่า มึงแกล้งใส่ความเกียงฮองเฮาจนพระมหากษัตริย์ให้ทำโทษถึงสาหัสฉะนี้ ผีสางเทวดาก็จะอาเพศให้มีผู้มาฆ่ามึงเสีย ถ้ามึงมิตาย ก็จะบันดาลให้มึงเป็นอันตรายต่าง ๆ
ฝ่ายอินเฮากับอินหอง พี่น้องสองคนซึ่งเป็นบุตรนางเกียงฮองเฮา อยู่ ณ ตำหนักตึกฝ่ายตะวันออก อินเฮาผู้พี่ชายอายุสิบสี่ขวบ อินหองผู้น้องอายุสิบสองขวบ ขณะเมื่อเกียงฮองเฮาผู้มารดาต้องโทษนั้น พี่น้องทั้งสองเล่นหมากรุกกันอยู่ มิได้แจ้งความ พอเอียวหยง ขันทีซึ่งเป็นคนใช้นางเกียงฮองเฮา ไปบอกว่า มารดาต้องโทษ รับสั่งให้ควักตาเสีย อินเฮา อินหอง แจ้งดังนั้นก็ตกใจ พากันลงจากตึกวิ่งมาถึงตำหนักข้างตะวันตก เห็นมารดาต้องควักตาเลือดไหลหยดย้อยอยู่ ก็เข้าไปคำนับ ร้องไห้ถามว่า โทษมารดาผิดเป็นประการใดจึงมาเป็นดังนี้ นางเกียงฮองเฮาได้ยินเสียงบุตรทั้งสอง จึงอุตส่าห์ลืมตาขึ้นบอกว่า อ้ายเกียงฮวนมันแกล้งมาใส่โทษว่า แม่คิดกบฏต่อบิดาเจ้า อีขันกีมันซ้ำทูลยุยง บิดาเจ้าโกรธ ให้ควักตาแม่เสีย ความเจ็บแม่ครั้งนี้เป็นสาหัส เห็นจะไม่รอดชีวิต เจ้าเป็นชายเชื้อกษัตริย์ อย่าให้เสียแรงแม่เลี้ยงมา จงคิดแก้แค้นให้จงได้ คำแม่สั่งเจ้าอย่าลืม นางเกียงฮองเฮาว่าพอขาดคำก็ขาดใจตาย อินเฮา อินหอง เห็นมารดาตายก็ร้องไห้ แล้วแลไปเห็นเกียงฮวนคุกเข่าอยู่ อินเฮาไม่รู้จัก จึงถามนางอึ้งกุยหุยผู้เป็นมารดาเลี้ยงว่า ผู้ใดชื่อ เกียงฮวน นางอึ้งกุยหุยจึงชี้มือบอกว่า อ้ายคนร้ายคนนี้แลชื่อ เกียงฮวน ซึ่งเป็นโจทก์ของมารดาเจ้า อินเฮาแจ้งดังนั้นก็โกรธ พอแลไปเห็นกระบี่แขวนอยู่ ณ ประตูตึกข้างตะวันตก อินเฮาจึงไปเอากระบี่มาฟันเกียงฮวนตัวขาดออกเป็นสองท่อน แล้วร้องว่า กูจะไปฆ่าอีขันกีแก้แค้นแม่กูเสียให้จงได้ แล้วถือกระบี่วิ่งออกไปจากตึก นางอึ้งกุยหุยเห็นอินเฮาร้องว่า จะไปฆ่าอีขันกี ก็ตกใจ จึงให้อินหองสิ่งตามไปเรียกอินเฮากลับมา แล้วว่า ซึ่งเจ้าทำโดยโมโหฆ่าเกียงฮวนเสียฉะนี้ผิดนัก ถ้าเกียงฮวนยังมิตาย แม่จะเอาตัวมันเข้าโอบเสาทองแดงนาบตัวมันถามเอาความจริง มันทนร้อนมิได้ก็จะบอกตัวผู้ซึ่งทำคิดให้การใส่โทษมารดาเจ้า แม่จะได้กราบทูลให้พระบิดาเจ้าทราบ มารดาเจ้าจึงจะพ้นที่ความชั่ว ยังมิทันจะได้ชำระความจริง เจ้าด่วนฆ่ามันตายตัดความเสียฉะนี้ คนทั้งปวงก็จะนินทาว่า มารดาเจ้าคิดให้ทำร้ายบิดาของเจ้าจริง และเจ้าไม่ตรึกตรองทำโดยโกรธจะไปฆ่านางขันกีเสียอีกเล่า ความผิดเป็นสองโทษ ถ้าเตียวฉาน เตียวหลุย นำเนื้อความทั้งนี้ไปกราบทูลขึ้น เห็นเจ้าจะเป็นโทษ
ขณะเมื่ออินเฮาฆ่าเกียงฮวนนั้น เตียวฉานกับเตียวหลุยตกใจวิ่งไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า อินเฮา อินหอง พระราชบุตรของพระองค์ ถือกระบี่เข้ามาฆ่าเกียงฮวน โจทก์เกียงฮองเฮา เสียแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ยินดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เกียงฮวน โจทก์ มันยืนเอาว่า เกียงฮองเฮาใช้มาทำร้ายกู เกียงฮองเฮาไม่รับ เนื้อความยังชำระสอบสวนกันอยู่ อินเฮาบังอาจเข้ามฆ่าเกียงฮวน โจทก์ เสีย หวังจะให้ความสูญ โทษมันถึงตายแล้ว พระเจ้าติวอ๋องหยิบกระบี่ชื่อ เหลงหองเกี้ยม ส่งให้เตียวฉาน แล้วสั่งว่า จงรีบไปตัดเอาศีรษะอ้ายสองคนมาให้จงได้ จึงชอบด้วยกฎหมาย เตียวฉาน เตียวหลุย รับสั่งแล้วถือกระบี่รีบมาถึงไซเก๋ง ที่อยู่นางอึ้งกุยหุย จึงให้ฮองงีกั๋วเข้าไปบอกแก่นางอึ้งกุยหุยตามรับสั่ง นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นจึงซ่อนอินเฮา อินหอง ไว้ในตึก แล้วลุกถลันออกไปถึงประตูตึก แลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมา จึงแกล้งถามว่า ท่านทั้งสองมาหาเรา จะว่าประการใดหรือ เตียวฉานจึงว่า มีรับสั่งให้เอากระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะอินเฮา อินหองพระราชบุตรทั้งสอง ไปถวาย ตามโทษที่องอาจถือกระบี่เข้ามาในพระราชวัง นางอึ้งกุยหุยจึงร้องตวาดว่า มีรับสั่งให้ตัวไปตามจับอินเฮา อินหอง เหตุใดจึงมิไปค้นหาที่อยู่อินเฮา อินหอง เล่า ตัวล่วงเกินเข้ามาถึงตึกเรา หาว่าตัวถือรับสั่งมา หาไม่จะให้ลงโทษ เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็กลัว คำนับลารีบไปค้นหาอินเฮา อินหอง ณ ตึกตะวันออก นางอึ้งกุยหุยเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว จึงกลับเข้ามาในตึก ร้องไห้บ่านว่า พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงเชื่อฟังขันกี ให้ฆ่าพระมเหสีเสียแล้ว จะฆ่าลูกทั้งสองเสียอีกเล่า นางอึ้งกุยหุยจึงสั่งอินเฮา อินหอง ว่า เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึกเอียวกุยหุยอยู่สักวันหนึ่งสองวันฟังความดูก่อน เกลือกว่าจะมีผู้ช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายให้ทุเลาโทษลงบ้าง อินเฮา อินหอง คำนับแล้วว่า ซึ่งท่านกรุณาข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แม้นข้าพเจ้ามิตาย จะขอมาสนองคุณท่าน ข้าพเจ้าคิดวิตกแต่ศพมารดาข้าพเจ้าซึ่งตายในโทษ ขอท่านจงกรุณาช่วยกราบทูลขอศพมารดาข้าพเจ้าฝังเสีย ข้าพเจ้าจึงจะวายความวิตก นางอึ้งกุยหุยจึงว่า เจ้าจงเร่งไปซ่อนเร้นเอาชีวิตรอดเถิด ศพมารดาเจ้านั้นแม่จะช่วยทูลให้ทำการฝังเสีย อย่าวิตกเลย อินเฮา อินหอง ก็คำนับลานางอึ้งกุยหุยไปยังตึกเอียวกุยหุย
ฝ่ายนางเอียวกุยหุยซึ่งเป็นมเหสีรองรู้ข้าวว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ลงโทษเกียงฮองเฮา นางเอียวกุยหุยยังไม่แจ้งว่า ความจะหนักเบาประการใด จึงออกมายืนฟังความอยู่ ณ ประตูตึก พอเห็นอินเฮา อินหอง วิ่งเข้ามาคำนับแล้วร้องไห้ นางเอียวกุยหุยยังไม่รู้ความจึงถามว่า พี่น้องทั้งสองมาหาเราแล้วร้องไห้ ผู้ใดทำให้ได้ความแค้นเคืองหรือ อินเฮา อินหอง จึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า บัดนี้ พระบิดาโกรธข้าพเจ้า สั่งให้เตียวฉาน เตียวหลุย มาเที่ยวค้นหา จะจับตัวข้าพเจ้าทั้งสองไปฆ่าเสีย นางเอียวกุยหุยได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้พี่น้องทั้งสองคนเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึก แล้วคิดว่า เตียวฉานจะเที่ยวหาพี่น้องทั้งสอง ณ ตึกเกียงฮองเฮาไม่พบแล้ว เห็นจะกลับมาตึกเราเป็นมั่นคง นางเอียวกุยหุยก็ยืนคอยอยู่ประตูตึก พอแลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย วิ่งเร็วมา นางเอียวกุยหุยจึงแกล้งร้องสั่งผู้เฝ้าตึกว่า อ้ายสองคนนี้มาแต่ไหน จึงล่วงเกินเข้ามาถึงที่ห้าม โทษถึงตาย ให้จับตัวไว้
ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย มาถึงหน้าตึก ได้ยินนางเอียวกุยหุยว่าดังนั้นก็ตกใจหยุดยืนอยู่ จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ เตียวฉาน เตียวหลุย เที่ยวหาตัวอินเฮา อินหอง เตียวฉานจึงเล่าความตามรับสั่งทุกประการ แล้วว่า ซึ่งข้ามิได้คำนับท่าน เพราะข้าพเจ้าถือรับสั่งอยู่ นางเอียวกุยหุยจึงร้องตวาดออกไปว่า อินเฮา อินหอง บุตรเกียงฮองเฮา อยู่ตึกข้างตะวันออก เหตุใดตัวมิไปค้นหา จึงล่วงเข้ามาถึงตึกเราฉะนี้ แม้นมิคิดว่าตัวถือรับสั่ง จะให้ลงโทษจงสาหัส เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ยินดังนั้นก็กลับถอยออกมาพากันไปค้นหาพระราชบุตรทั้งสอง ณ ตึกตะวันออก
ฝ่ายนางเอียวกุยหุย ครั้นเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว ก็กลับเข้ามาในตึก จึงว่าแก่อินเฮา อินหอง ผู้บุตรเลี้ยง ว่า เจ้าอยู่ในตึกนี้เราเห็นจะหาพ้นไม่ จงไปซ่อนตัวอยู่ ณ ที่เสด็จออกคอยขุนนางเชื้อวงศ์เคยมาเตรียมเฝ้า ให้ช่วยเพ็ดทูลขอโทษ ถึงพระบิดาของเจ้าจะโกรธประการใด ปิกันกับเชื้อวงศ์ก็จะช่วยทูลทัดทานไว้มิให้เป็นอันตราย นางเอียวกุยหุยก็ส่งอินเฮา อินหอง ออกไปอยู่ ณ ที่เสด็จออก จึงคิดวิตกว่า เกียงฮองเฮามีบุตรถึงสองคน พระเจ้าติวอ๋องมิได้มีกรุณาเพราะหลงด้วยนางขันกีทูลยุยงให้ทำโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วจะให้จับบุตรทั้งสองคนไปฆ่าเสียอีกเล่า แต่เรามาเป็นมเหสีรองก็ปลายปีแล้ว มิได้มีบุตรหญิงชาย ตัวผู้เดียวหาที่พึ่งมิได้ ถ้านางขันกีรู้ว่า เราส่งอินเฮา อินหอง ออกไปเสียฉะนี้ เห็นจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษเหมือนนางเกียงฮองเฮาเป็นมั่นคง คัร้นจะมีชีวิตอยู่สู้ทนอาญา ก็จะได้ความลำบากนัก นางเอียวกุยหุยก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง ประกอบยาพิษกินเข้าไปก็สิ้นชีวิต
ฝ่ายฮองงีกั๋ว พนักงานรักษาตึก รู้ว่า นางเอียวกุยหุยตาย ก็ไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ทำการฝังศพตามตำแหน่งมเหสีรอง ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย ครั้นเที่ยวค้นหาพระราชบุตรทั้งสองไม่พบ แล้วกลับมาเฝ้าทูลว่า ข้าพเจ้าไปค้นทุกตึกข้างตะวันตกตะวันออกแล้วหาพบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ไปค้นหาอ้ายสองคนเอาตัวให้จงได้ เตียวฉาน เตียวหลุย ก็คำนับลาไปค้นหาตามรับสั่ง
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยจึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า เกียงฮองเฮาซึ่งรับอาญาถึงสิ้นชีวิต เมื่อนางเกียงฮองเฮาจะตายนั้นร้องประกาศไว้ว่า แต่นางเกียงฮองเฮาเป็นมเหสีของพระองค์ถึงสิบหกปี มีบุตรสองคน เกียงฮองเฮาก็ตั้งใจจงรักภักดี มิได้คิดเป็นใจสอง ครั้งนี้ เกียงฮวนเอาความเท็จมาใส่โทษให้พระองค์ขัดเคือง ถึงจะมีบุตรก็หาเป็นที่พึ่งไม่เหมือนเมฆอันลอยเลื่อนไปในอากาศ ความซื่อตรงซึ่งได้ตั้งใจปฏิบัติพระองค์มาแต่ก่อนก็ละลายไหลไปเสียเหมือนดังน้ำ แล้วก็ตายลงในอาญาครั้งนี้ก็เวทนาเหมือนศพสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ควรจะเป็นถึงเพียงนี้ แล้วนางจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอศพนางเกียงฮองเฮาไปฝังไว้ ณ แปะเตี้ยนตามตำแหน่งที่ฝังศพพระมเหสี ขุนนางทั้งปวงจึงจะไม่มีความนินทา พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดพระราชทานศพนางเกียงฮองเฮาให้นางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็คำนับลามาทำการฝังศพตามรับสั่ง
ฝ่ายอินเฮา อินหอง ซึ่งมาอาศัยซ่อนเร้นอยู่ที่เสด็จออก เห็นขุนนางซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์มานั่งอยู่เป็นหลายคน ก็เข้าแฝงลับและคอยฟังความอยู่
ขณะนั้น อึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบู๊เสงอ๋องยืนอยู่ที่เชิงอัฒจันทร์ ได้ยินฝีเท้าคนเดินข้างหลังจึงเหลียวไปดู พอเห็นพระราชบุตรทั้งสอง อึ้งป่วยฮอก็เข้าไปรับ อินเฮา อินหอง ก็เข้ายึดชายเสื้ออึ้งป่วยฮอไว้ แล้วกระทืบเท้าร้องไห้เล่าความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระบิดาทำโทษมารดาข้าพเจ้าตาย บัดนี้ เตียวฉาน เตียวหลุย ตามจับตัวข้าพเจ้าจะเอาไปฆ่าเสีย ขอท่านจงกรุณาช่วยชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ให้รอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอกับขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงได้ฟังพระราชบุตรทั้งสองเล่าความดังนั้นต่างคนสงสารนัก กลั้นน้ำตามิได้ จึงปรึกษากันว่า พระเจ้าติวอ๋องทำโทษพระมเหสีจนตายแล้ว จะฆ่าพระราชบุตรซึ่งสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เสียด้วยเล่า ปรึกษากันยังมิทันจะขาดคำ พอมีขุนนางสองคนพี่น้องชื่อ ปึงเป๊ก น้องชายชื่อ ปึงเสี้ยง ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องพระสติฟั่นเฟือนเพราะเชื่อฟังนางขันกีจะให้จับพระราชบุตรทั้งสองฆ่าเสีย เห็นจะสิ้นเชื้อพระวงศ์ต้องกับคำทำนายหุนต๋งจู๊ ถึงจะทูลขอโทษก็เห็นจะไม่โปรดให้ ข้าพเจ้าจะพาพระราชบุตรไปซ่อนเร้นไว้ให้พ้นโทษ ปึงเป๊กก็เข้าอุ้มอินเฮา ปึงเสี้ยงอุ้มอินหอง พาวิ่งหนีออกจากประตูเมืองหลวงข้างทิศใต้
ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงว่ากับอึ้งป่วยฮอว่า ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง พาพระราชบุตรหนีไปฉะนี้ เหตุใดท่านมิว่ากล่าวห้ามปราม อึ้งป่วยฮอจึงว่า บรรดาขุนนางทั้งปวงนี้จะหาน้ำใจเหมือนปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง นั้นไม่ได้ ด้วยปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธพระราชบุตรทั้งสองงอยู่ จึงพาหนีไปเสียพอรอดชีวิต เพราะคิดว่า จะให้พระราชบุตรสืบเชื้อพระวงศ์ไปภายหน้า
ขณะนั้น พอเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่ออกมาจากวัง ถามขุนนางทั้งปวงว่า พระราชบุตรทั้งสองเข้ามาอยู่ที่เสด็จออกบ้างหรือ อึ้งป่วยฮอบอกว่า เมื่อกี้ พระราชบุตรทั้งสองมาร้องไห้อ้อนวอนให้เราช่วยทูลขอโทษ พอปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาพาหนีไปทางประตูทิศใต้แล้ว เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสสั่งเตียวฉานจงเอากระบี่เหลงหองเกี้ยมไปส่งให้อึ้งป่วยฮอเร่งตามไปตัดเอาศีรษะอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ เตียวฉานรับสั่งแล้วออกมาส่งกระบี่เหลงหองเกี้ยมให้แก่อึ้งป่วยฮอ แล้วแจ้งความตามรับสั่ง อึ่งป่วยฮอก็รับกระบี่อาญาสิทธิ์ออกจากวังขึ้นขี่โคห้าสีมีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้น อึ้งป่วยฮอก็รีบตามปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไป
ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แบกพระราชบุตรหนีออกจากเมืองหลวงไปทางไกลประมาณร้อยยี่สิบห้าเส้นเศษ ถึงต้นไม้ใหญ่ริมทาง จึงความพระราชบุตรทั้งสองลง พอแลไปข้างต้นทางเห็นอึ้งป่วยฮอตามาทัน ก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับ อึ้งป่วยฮอจึงลงจากหลังโค บอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า บัดนี้ พระบิดาของท่านให้ข้าพเจ้าถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะท่านไปถวาย อินเฮา อินหอง ได้ฟังดังนั้นก็คำนับแล้วร้องไห้วอนขอชีวิตว่า พระบิดาข้าพเจ้าเชื่อคำคนยุยงฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย แล้วจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเล่า ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านจะช่วยคิดอ่านให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารนัก จึงว่า พระเจ้าติวอ๋อง บิดาของท่าน หลงเชื่อฟังนางขันกีให้ฆ่าโต้ไทสือ ปวยเป๊ก ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แล้วให้ทำโทษมารดาท่านจนสิ้นชีวิต พระบิดาท่านทำการผิดประเพณีกษัตริย์ ขุนนางทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก ข้าพเจ้าเห็นว่า สมบัติในเมืองจิวโก๋จะเป็นอันตราย บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามจับตัวท่าน ข้าพเจ้าขัดมิได้จึงจำใจมา ขอท่านอย่าทุกข์ร้อนเลย ข้าพเจ้ามิได้ทำอันตรายท่าน ท่นจงไปหาเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ ผู้เป็นตาของท่าน เร่งคิดการมากำจัดขันกีเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอจึงเรียกปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาสั่งว่า ให้ปึงเป๊กเชิญอินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ ไปเมืองตังลู้ ให้ปึงเสี้ยงเชิญอินหอง พระราชบุตรผู้น้อง ไปหางกจงอู๊ เจ้าเมืองนำเป๊กเฮา ท่านทั้งสองช่วยทำนุบำรุงรักษาอย่าให้พระราชบุตรทั้งสองมีอันตราย ไปภายหน้าท่านจะมีความชอบเป็นอันมาก อึ้งป่วยฮอจึงแก้วงทองประดับด้วยแก้วเป็นเครื่องสำหรับขุนนางผู้ใหญ่ส่งให้ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แล้วว่า ท่านจงเอาไปขายจ่ายซื้อเลี้ยงพระราชบุตรทั้งสองไปกว่าจะถึงเมืองตังลู้เถิด อึ้งป่วยฮอจึงขับให้ขุนนางทั้งสองพาพระราชบุตรรีบหนีไป แล้วอึ้งป่วยฮอขึ้นขี่โคกลับมาเมืองหลวง จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองทางไกลแปดร้อยเส้นเศษ ถึงหนทางเป็นสามแพร่ง ถามผู้ซึ่งเดินไปมาบอกว่า มิได้พบ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เวลาก็ค่ำแล้ว จงกลับไปบ้านก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงเข้ามาคิดกันใหม่ ติดตามเอาตัวอ้ายสองคนมาฆ่าเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอก็คำนับลาไปบ้าน
ฝ่ายนางขันกีรู้ว่า อินเฮา อินหอง หนีไปได้ดังนั้น จึงทูลว่า อินเฮา อินหอง เป็นหลายเกียงฮวนฌ้อ เห็นว่า อินเฮา อินหอง จะไปเมืองตังลู้ ขอให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสักสามพันยกตามไปในเพลากลางคืน เห็นจะทันอินเฮา อินหอง กลางทางเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จออกให้หาอินโภ้ไป้กับหลุยไขเข้ามาสั่งว่า ท่านทั้งสองจงคุมทหารสามพันไปทางเมืองตังลู้ จับเอาตัวอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ นายทหารทั้งสองรับสั่งแล้วคำนับลาไปหาอึ้งป่วยฮอขอทหารสามพันยกไป
ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เชิญพระราชบุตรทั้งสองไปได้ถึงสองวัน ถึงต้นทางแยก ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง คิดกลัวทหารเมืองจิวโก๋จะตามมาจับตัว จึงบอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า ทางเหนือนี้เป็นทางจะไปเมืองตังลู้ ทางใต้ไปเมืองนำเป๊กเฮา ท่านจงไปเถิด ข้าพเจ้าจะลาเที่ยวอยู่ในซอกห้วยธารเขาคอยฟังข่าว ถ้าท่านได้ทแกล้วทหารจะยกมาถึงเมืองจิวโก๋เมื่อใด ข้าพเจ้าจึงจะมาช่วย ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ก็ทิ้งพระราชบุตรทั้งสองเสีย แล้วเข้าป่าไป
ฝ่ายอินเฮา อินหอง ครั้นปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไปแล้ว จึงว่ากับอินหองผู้น้องว่า พี่จะไปเมืองตังลู้ เจ้าจงไปเมืองนำเป๊กเฮาตามคำอึ้งป่วยฮอบอกมา ถ้าเราทั้งสองได้ทแกล้วทหารเป็นกำลังแล้ว จะได้ยกเป็นสองทัพมาจับขันกีฆ่าเสีย แก้แค้นแทนมารดาเราให้จงได้ อินเฮา อินหอง ให้สัญญากันแล้วต่างคนแยกกันไป
ฝ่ายอินหองเดินตามทางอดข้าวปลาอาหารได้ความลำบากมาหลายเวลา ถึงบ้านตำบลหนึ่ง ก็เข้าไปขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านป่าเห็นเด็กผู้นั้นนุ่งห่มแดง รูปร่างงามผ่องใส จึงเชิญให้นั่งที่สมควร แล้วแต่งสำรับกับข้าวมาให้กิน อินหองกินข้าวอิ่มแล้วจึงว่าแก่ชาวบ้านว่า ท่านให้อาหารเรากินเมื่ออดอยาก ขอบคุณท่านนัก ถ้าเรามิตาย จะกลับมาแทนคุณ ชาวบ้านได้ฟังเด็กนั้นพูดจาหลักแหลม จึงถามถึงแซ่และชื่อ อินหองจึงบอกว่า เราเป็นบุตรเจ้าเมืองจิวโก๋ จะไปหางกจงอู๊ และทางที่จะไปเมืองนำเป๊ก้เฮาจะใกล้ไกลประการใด ชาวบ้านรู้ว่า เป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ต่างคนตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า หนทางจะไปเมืองนำเป๊กเฮายังทางอีกวันหนึ่งจึงจะถึงเมืองนำเป๊กเฮา อินหองแจ้งความดังนั้นจึงลาชาวบ้านเดินตามทางใหญ่ไปประมาณสามสิบเจ็ดเส้น ถึงต้นสนใหญ่ มีศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นสน พอเพลาเย็นลง จึงแวะเข้าไปคำนับเทพารักษ์แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นหลานพระเจ้าเสี่ยงทาง เป็นลูกพระเจ้าติวอ๋อง จะขออาศัยสำนักนอนอยู่ที่นี้ ขออย่าให้มีภัยอันตราย สืบไปภายหน้า ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองหลวงแล้ว จะมาปลูกศาลให้ใหญ่กว้าง อินหองว่าแล้วก็นอนอยู่ในศาลเทพารักษ์นั้น
ฝ่ายอินเฮาเดินมาทางทิศตะวันออกจะไปเมืองตังลู้ เดินทางมาได้หกร้อยยี่สิบห้าเส้น ถึงบ้านตำบลหนึ่ง พอเพลาพลบค่ำ อินเฮาจึงแวะเข้าไปในบ้าน เห็นตึกใหญ่ก็เข้าไปในตึก มิได้เห็นผู้คน เงียบสงัดอยู่ อินเฮาก็เดินเข้าไปถึงหอหนังสือ เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งดูหนังสืออยู่ เป็นเวลาค่ำจำหน้ามิถนัด อินเฮาจึงร้องบอกเข้าไปว่า ข้าพเจ้าเดินทางไกลมา จะขออาศัยนอน พอรุ่งเช้าจึงจะลาไป
ฝ่ายเสี่ยงหยงนั่งตามตะเกียงดูหนังสืออยู่ ได้ยินเสียงร้องเข้ามาเป็นเสียงชาวเมืองจิวโก๋ จึงเหลียวไปดู อินเฮาเห็นหน้าก็รู้จักจำได้ว่าเสี่ยงหยง อินเฮาก็ตรงเข้าไปหาเสี่ยงหยง เสี่ยงหยงเห็นอินเฮาก็ตกใจ จึงคำนับเชิญเข้าไปในตึกหอหนังสือ ให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่า บ้านเมืองเกิดเหตุประการใด ท่านจึงมาแต่ผู้เดียวฉะนี้ อินเฮาจึงร้องไห้บอกความแต่หลังให้เสี่ยงหยงฟังทุกประการ เสี่ยงหยงจึงว่า เหตุการณ์เกิดถึงเพียงนี้ ขุนนางทั้งปวงไม่ช่วยกันทูลทัดทาน พากันนิ่งเสีย จนท่านได้ความทุกข์หนีซอกซอนมาถึงข้าพเจ้า เสี่ยงหยงจึงให้คนใช้ยกโต๊ะมาให้อินเฮากิน เสี่ยงหยงกับอินเฮานั่งกินโต๊ะพูดจากันอยู่
ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสามพันยกตามพระราชบุตรทั้งสองมาได้สามวัน ถึงต้นทางแยก หลุยไขจึงปรึกษากับอินโภ้ไป้ว่า เราทั้งสองเร่งรีบทหารให้เดินทางมาโดยด่วน ทหารป่วยเจ็บเมื่อยล้าเป็นอันมาก บัดนี้ ทางเป็นสองแพร่งอยู่ จำจะแยกกันไปติดตามพระราชบุตรทั้งสองกองละทาง ถ้าผู้ใดจับพระราชบุตรได้ ให้มาคอยกันให้พร้อม ณ ต้นทางนี้ก่อน ท่านจะเห็นประการใด อินโภ้ไป้ก็เห็นชอบด้วย จึงจัดทหารที่มีกำลังกองละห้าสิบคน ให้หลุยไขไปทางทิศใต้ อินโภ้ไป้ยกมาทางทิศตะวันออก
ฝ่ายหลุยไขเร่งรีบตามทางทิศใต้มาจนเพลาค่ำ จึงให้ทหารจุดคบเพลิงเดินทางไปจนเพลาสองยาม ถึงตำบลหนึ่งมีต้นสนใหญ่ ศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นไม่ หลุยไขจึงคิดว่า เวลานี้ก็ดึกแล้ว จำจะหยุดพักก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยไป หลุยไขก็แวะเข้าไปที่ต้นสนใหญ่ จึงลงจากม้า ให้ทหารเอาคบเพลิงขึ้นไปส่งดูบนศาลเทพารักษ์ แลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ก็รู้จักว่า อินหอง พระราชบุตร หลุยไขดีใจนัก จึงปลุกอินหองขึ้น แล้วบอกว่า พระบิดารับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามเชิญท่านกลับเมืองหลวง อินหองตื่นขึ้นเห็นหลุยไขกับทหารจุดคบเพลิงล้อมอยู่ก็ตกใจ จึงว่า พระบิดาให้ท่านมาตามเรา หวังจะเอาตัวเราไปฆ่าเสีย เราก้แจ้งอยู่แล้ว หลุยไขจึงเชิญอินหองขึ้นม้ากลับมาถึงต้นทาง ยังมิได้เห็นอิโภ้ไป้กลับมา จึงหยุดคอยอินโภ้ไป้อยู่ตามคำที่ได้สัญญากันไว้
ฝ่ายอินโภ้ไป้รีบเร่งทหารไปทางทิศตะวันออก เดินทางมาได้สามวันถึงตำบลฮ่องหุ้น แล้วเดินไปอีกทางประมาณร้อยยี่สิบเส้นเศษ ถึงบ้านเสี่ยงหยง พอเพลาค่ำลง อินโภ้ไป้จึงคิดว่า จำจะเข้าไปคำนับเยี่ยมเยียนเสี่ยงหยงผู้เป็นนายเก่า จะได้อาศัยนอนสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงจะตามพระราชบุตรสืบไป อินโภ้ไป้จึงลงจากม้าเดินเข้าไปในตึกที่เสี่ยงหยงอยู่ พอแลเห็นเสี่ยงหยงกับอินเฮาพระราชบุตรนั่งกินโต๊ะอยู่ก็ดีใจ เข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วว่า บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าตามมาเชิญพระราชบุตรกลับไปเมืองหลวง เสี่ยงหยงได้ยินอินโภ้ไป้บอกความดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ในเมืองจิวโก๋นั้น ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนประมาณสี่ร้อยคน หาผู้ใดจะกตัญญูช่วยเพ็ดทูลทัดทานไม่ พากันนิ่งเสียสิ้น จนพระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ท่านมาตามจับพระราชบุตรไปทำโทษ ฉะนี้ไม่ควรนัก อินเฮาจึงว่าแก่เสี่ยงหยงว่า พระบิดาให้มาตามจับข้าพเจ้าไปฆ่าเสีย ครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นหน้าผู้ใดที่จะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษให้รอดจากความตาย อินเฮาว่าแล้วก็ร้องไห้ เสี่ยงหยงจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วยทูลขอโทษท่าน เสี่ยงหยงจึงสั่งคนใช้ให้จัดแจงเสบียงอาหาร พรุ่งนี้จะเข้าไปเมืองจิวโก๋ อินโภ้ไป้จึงว่า รับสั่งใช้ข้าพเจ้ามาเป็นการเร็ว จะเชิญพระราชบุตรไปถวายก่อน เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่อินเฮาว่า ท่านจงไปกับอินโภ้ไป้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงจะตามไปภายหลัง อินโภ้ไป้ก็คำนับลาเสี่ยงหยง เชิญอินเฮา พระราชบุตร ขึ้นม้ากลับมาในเพลากลางคืน
ฝ่ายอินเฮามากับอินโภ้ไป้ คิดถึงอินหองผู้น้องว่า ถึงตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่วิตกอยู่แต่อินหองจะเป็นตายประการใดมิได้แจ้ง ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขณะนั้น อินโภ้ไป้เชิญพระราชบุตรขี่ม้ามาในเพลากลางคืนจนรุ่ง ถึงต้นทางสองแพร่ง เห็นหลุยไขได้อินหองมาคอยอยู่ จึงเข้าไปหาหลุยไข หลุยไขเห็นอินโภ้ไป้ได้อินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ มาถึงก็ดีใจ จึงว่า เดชบุญเราทั้งสองได้พระราชบุตรมาครั้งนี้สมความคิดแล้ว
ฝ่ายอินเฮาจึงยุดมืออินหองผู้น้องเข้าไว้ว่า เราทั้งสองกำพร้ามารดาแล้ว พระบิดาโกรธจะลงโทษถึงสิ้นชีวิต เราหาที่พึ่งมิได้ จะหนีไปพึ่งตาเล่า พระบิดาก็ให้ตามจับตัวเรามา เราทั้งสองจะตายด้วยอาญาครั้งนี้เป็นมั่นคง ว่าแล้วก็ร้องไห้รักกัน อิโภ้ไป้กับหลุยไขครั้นได้พระราชบุตรทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ก็เชิญขึ้นขี่ม้ากลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอ ครั้นรู้ว่า มีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขตามไปจับพระราชบุตรทั้งสองดังนั้น ก็คิดวิตกอยู่ พอมีผู้เข้ามาบอกว่า อิโภ้ไป้กับหลุยไขจับพระราชบุตรทั้งสองมาถึงแลว อึ้งป่วยฮอก็ถอนใจใหญ่ คิดว่า เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางเห็นจะสิ้นสูญเสียสมดังคำทำนายหุนต๋งจู๊ครั้งนี้แล้ว จำจะให้ประชุมขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงคอยเฝ้าทูลขอโทษพระราชบุตรทั้งสองไว้ จะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้า อึ้งป่วยฮอจึงสั่งทหารคนสนิทว่า เมื่อเราเข้าไปพร้อมอยู่กับขุนนางทั้งปวง ท่านทั้งสี่จงคอยดูท่วงที เราจะให้หน้ากระหยิบตาให้ทำประการใดจงทำตาม แล้วอึ้งป่วยฮอก็พาทหารทั้งสี่ลงจากตึกเข้าไปในวัง จึงให้คนใช้ไปหาขุนนางทั้งปวงให้เข้ามาเตรียมเฝ้า คนใช้ก็คำนับลาไปบอกอาเสี้ยงปิกัน หนึ่ง ปีจู๊ หนึ่ง กีจู๊ หนึ่ง ปีจู๊เค้ หนึ่ง ปิจู๊หิม หนึ่ง เป๊กหยี หนึ่ง ซกฉี หนึ่ง กาแกะ หนึ่ง เตียวคี หนึ่ง เอียวหยิม หนึ่ง ซุนอี๋น หนึ่ง บึงเทียนเจียก หนึ่ง หลีหัว หนึ่ง หลีซุย หนึ่ง ขุนนางสิบสี่คน เข้ามาพร้อมกัน ณ ที่เฝ้า อึ้งป่วยฮอเห็นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่มาพร้อมแล้ว จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขไปตามจับพระราชบุตรมาได้ เราเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะให้ประหารชีวิตเสีย ท่านทั้งปวงจงช่วยกันทูลทัดทานขอชีวิตไว้ให้จงได้ อึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงยังปรึกษากันอยู่ พอเห็นอินโภ้ไป้กับหลุยไขเชิญพระราชบุตรเข้ามาถึงประตูวัง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็เข้าไปคำนับพระราชบุตรทั้งสอง อินเฮากับอินหองจึงร้องไห้ ว่าแก่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงว่า จงช่วยทูลขอโทษเอาชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย ปิจู๊เค้จึงว่า ขอท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งปวงจะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษไว้ให้จงได้
ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงให้ผู้คุมคุมพระราชบุตรทั้งสองไว้ แล้วก็ไปเฝ้า ณ ตำหนักที่พระบรรทม พระเจ้าติวอ๋องเห็นทหารทั้งสองมา จึงตรัสถามว่า อ้ายสองคนได่มาหรือไม่ อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองมาแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งว่า ท่านอย่าเอามันมาให้เราเห็นหน้าเลย จงเอามันไปฆ่าเสียเถิด อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้น้อย จะขอรับพระราชทานหนังสือรับสั่งออกไปเป็นสำคัญ พระเจ้าติวอ๋องจึงทรงพระอักษรส่งให้ อินโภ้ไป้กับหลุยไขคำนับรับหนังสือรับสั่ง ออกมาถึงประตูหงอหมุ่ยที่เสด็จออก
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอยืนอยู่ริมประตู ขุนนางคนสนิททั้งสี่ก็ยืนคอยทีอึ้งป่วยฮออยู่ พออินโภ้ไป้กับหลุยไขชูหนังสือรับสั่งออกมา อึ้งป่วยฮอจึงว่ากับอินโภ้ไป้เป็นที่ประชดว่า ครั้งนี้ ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรมาถวาย ได้ความชอบนักหนา อึ้งป่วยฮอจึงพยักหน้าให้เตียวคี คนสนิท เตียวคีเห็นดังนั้นก็เข้าชิงฉวยได้หนังสือรับสั่งมาฉีกเสีย แล้วร้องว่า พระมหากษัตริย์ทรงพระโกรธจะให้ฆ่าพระราชบุตร ขุนนางทั้งปวงจงตีระฆังเชิญเสด็จออกมาช่วยกันทูลทัดทานไว้ก่อน จึงจะควร อึ้งป่วยฮอจึงสั่งเตียวคีกับคนสนิททั้งนั้นให้ไปอยู่กับพระราชบุตรอย่าให้ผู้ใดทำอันตราย แล้วจึงให้ตีระฆังเชิญเสด็จ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ่องเสด็จอยู่พระตำหนักที่บรรทมกับนางขันกี ครั้นได้ยินเสียงระฆัง จึงตรัสกับนางขันกีว่า ขุนนางทั้งปวงเข้ามาตีระฆังให้เราออกไป ครั้งนี้ เราเห็นว่า จะขอโทษอ้ายสองคนซึ่งให้ไปจับมา เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีทูลว่า ขอให้พระองค์มีหนังสือรับสั่งออกไปว่า เวลาวันนี้ จะให้ฆ่าอินเฮา อินหอง เสียก่อน ต่อรุ่งพรุ่งนี้จึงจะออกไปว่าราชการ พระเจ้าติวอ๋องก็เชื่อฟัง จึงมีหนังสือรับสั่งตามคำนางขันกี แล้วสั่งให้ฮองงีกั๋วออกไปบอกแก่ขุนนางทั้งปวง ขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็รู้ว่า ไม่เสด็จออก ก็พากันจนใจ มิรู้ที่จะทำประการใด
ขณะนั้น มีเทวดาสององค์ องค์หนึ่งชื่อ เซียเจ๋งจู๊ อยู่ถ้ำหุนเสี้ยวต๋ง องค์หนึ่งชื่อ ก๋งซึงจู๊ อยู่ถ้ำโถวังต๋งที่เชิงเขากิวเสียน และเทวดาสององค์นี้เทวดาผู้ใหญ่ให้ลงมาเป็นพนักงานสำหรับดูเหตุการณ์ทั้งแผ่นดิน วันนั้น พอเทวดาสององค์ออกจากถ้ำ ขี่เมฆเลื่อนลอยไปในกลางอากาศ หวังจะคอยช่วยผู้ซึ่งยังไม่ถึงตายให้รอดจากความตาย แลไปเป็นอินเฮา อินหอง บุตรพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจะฆ่าเสีย เทวดาสององค์พิจารณาดูก็รู้ว่า อินเฮา อินหอง ยังมีจะมีชีวิตสืบไปอยู่ จึงใช้เทวดาองค์หนึ่งชื่อ อึงกิมเลกซู ท่านจงบันดาลเป็นพายุใหญ่พัดผงคลีกรวดทรายให้ฟุ้งขึ้นเป็นมืดคลุ้มไปทั้งเมืองจิวโก๋ แล้วจงอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองมาให้แก่เรา อึงกิมเลกซูก็ทำตามสั่ง แล้วอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองไปให้เทวดาผู้ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ทั้งสององค์รับเอาพระราชบุตรองค์ละคนไปถ้ำที่อยู่
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงนั่งอยู่พร้อมกันในที่เตรียมเฝ้า ครั้นพายุสงบแล้ว มีผู้วิ่งเข้ามาบอกว่า พระราชบุตรทั้งสองซึ่งคุมไว้นั้นหายไปเมื่อขณะเกิดพายุแล้ว อึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ ต่างคนพูดกันว่า พระราชบุตรทั้งสองมีบุญ เทวดาจึงช่วยพาเอาไปให้พ้นจากความตาย อินโภ้ไป้ครั้นพระราชบุตรหายไปก็ตกใจ รีบเข้าไปทูลแก่พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็นึกตรึกตรองอยู่ มิได้ตรัสประการใด
ฝ่ายเสี่ยงหยง ครั้นอินโภ้โป้พาพระราชบุตรไปในเพลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้า ก็รีบตามอินโภ้โป้มาถึงเมืองหลวง ได้ยินชาวเมืองพูดกันว่า ลมพายุหอบพระราชบุตรทั้งสองไป เสี่ยงหยงตกใจ จึงรับเข้ามาถึงสะพานมังกร พอพบปิกันกับขุนนางทั้งปวงเดินออกมา เสี่ยงหยงก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกลับเข้าไปที่เตรียมเฝ้า เสี่ยงหยงจึงว่า บรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็แต่งตั้งชุบเลี้ยงให้กินเบี้ยหวัดตามสมควร บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทำผิดอย่างธรรมเนียม เหตุใดท่านจึงมิได้ทูลทัดทาน อึ้งป่วยฮอจึงว่า ตั้งแต่ท่านออกไปอยู่บ้านเก่า นางขันกีแกล้งยุยงให้ทำโทษพระมเหสีถึงสิ้นชีวิต พระราชบุตรทั้งสองหนีไป ก็สั่งให้อินโภ้โป้ตามจับเอามา จะให้ฆ่าเสีย พอเกิดพายุหอบพาพระราชบุตรทั้งสองไปได้พ้นจากความตาย ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงแต่พากันเข้ามาเตรียมเฝ้า ตีระฆังให้เสด็จออก จะได้ช่วยกันทูลทัดทาน ก็มิได้เสด็จออก เสี่ยงหยงจึงว่า เราไปอยู่บ้านเก่าหวังจะหาความสบาย ครั้นได้ยินข่าวออกไปว่า เมืองวุ่นวายนัก จึงเข้ามาหมายจะทูลทัดทานเตือนพระสติ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะลงโทษประการใดก็ตามเถิด ขณะเมื่อเสี่ยงหยงพูดกับอึ้งป่วยฮออยู่ริมประตูที่เสด็จออก พอเห็นอินโภ้โป้เดินออกจากประตูมาคำนับ เสี่ยงหยงโกรธ จึงประชดอินโภ้โป้ว่า ครั้งนี้ ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรทั้งสองมาถวาย เห็นท่านจะได้ความชอบมาก เรากับขุนนางทั้งปวงจะต้องฝากตัวท่านต่อไป อินโภ้โป้ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้านิ่งอยู่ เสี่ยงหยงก็ให้ตีระฆังเชิญเสด็จ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ ณ ที่บรรทม แจ้งว่า พายุพาอินเฮา อินหอง ไป พระทัยไม่สบาย พอได้ยินเสียงระฆังก็เสด็จออก เสี่ยงหยงกับขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าติวอ๋องเห็นเสี่ยงหยงเข้ามาเฝ้าจึงตรัสถามว่า ท่านลาเราออกไปอยู่บ้านเก่า เราก็ให้ไปแล้ว เรามิได้ให้หา เหตุใดจึงเข้ามา ท่านจะมาว่าความสิ่งใดหรือ เสี่ยงหยงก็คุกเข่าลงคำนับแล้วทูลว่า ซึ่งพระองค์กรุณาโปรดให้ไปอยู่บ้าน ข้าพเจ้าหาความสุขมิได้ ด้วยได้ยินลือออกไปว่า พระองค์ไม่สบายพระทัย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาเฝ้า หวังจะเตือนพระสติ แล้วเสี่ยงหยงจึงทูลเป็นธรรมเนียมว่า กษัตริย์ซึ่งบำรุงแผ่นดินเป็นสุขมาแต่ก่อนมีพระทัยโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ขุนนางและพระสนมจะเพ็ดทูลความสิ่งใด พระทัยหนักแน่นดังศิลา มิได้หวาดไหวด้วยลม คือ ถ้อยคำคนสอพลอทูลยุยง ตรึกตรองต้องตามประเพณีแล้วจึงตรัส ครั้งเมื่อพระองค์ครองราชสมบัติใหม่นั้น ฝนฟ้าก็ตกตามฤดู ข้าวปลาอาหารและผลไม้ก็บริบูรณ์ ขุนนางและราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม เลื่องลือพระเกียรติยศไปทั้งแผ่นดิน หัวเมืองต่างประเทศเข้ามาขอเป็นเมืองออกถวายเครื่องราชบรรณาการ ตั้งแต่พระองค์เชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่ที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเสีย ขุนนางและราษฎรได้ความเดือดร้อนเหมือนครั้งแผ่นดินพระเจ้าแฮเคียด ขอให้กำจัดนางขันกีเสียจากพระราชวัง แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข แม้นมิฟังข้าพเจ้ากราบทูลแล้ว จงเสวยสมบัติให้ทรงพระเจริญเถิด ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลาตาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเสี่ยงหยงกราบทูลว่า จะให้ฆ่านางขันกี ก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารซึ่งถือกระบองทองยืนรักษาพระองค์อยู่ซ้ายขวาให้ตีเสี่ยงหยงเสียให้ตาย เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกยืนขึ้น แล้วชี้มือร้องว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า เราเป็นขุนนางมาถึงสามแผ่นดิน พระบิดาท่านได้ฝากแก่เราไว้ว่า ถ้าเห็นท่านทำผิดให้ทัดทาน บัดนี้ เราเห็นว่า ท่านทำมิชอบ ให้ทำโทษนางเกียงฮองเฮาซึ่งเป็นที่คำนับแก่ราษฎรทั้งแผ่นดิน จนนางเกียงฮองเฮาสิ้นชีวิต แล้วจะฆ่าบุตรเสียด้วยเล่า เราจึงเข้ามาว่ากล่าวห้ามปราม กลับโกรธ จะเลี้ยงอีขันกีไว้ก็ตามเถิด เสี่ยงหยงก็เอาศีรษะโดนเสาศิลาตาย พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาศพเสี่ยงหยงไปทิ้งเสียนอกเมือง
ฝ่ายเตียวคีเห็นทหารหามศพเสี่ยงหยงไปทิ้งเสียดังนั้นก็โกรธ จึงเข้าไปทูลว่า เสี่ยงหยงเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เข้ามาทัดทานว่ากล่าว พระองค์กลับโกรธ เสี่ยงหยงน้อยใจฆ่าตัวเสียฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ราชสมบัติท่านเห็นจะเป็นของผู้อื่นแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเตียวคีว่ากล่าวหยาบช้าก็ขัดเคืองนัก จึงให้ทหารจับตัวเตียวคีไปนาบด้วยเสาทองแดงจนเนื้อไหม้เกรียมเหม็นเขียวตระหลบไปทั้งวัง เตียวตีก็ขาดใจตาย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จเข้าไปตำหนักตึกนางขันกี จึงตรัสบอกความซึ่งทำโทษเสี่ยงหยงกับเตียวคีให้นางขันกีฟัง แล้วปรึกษานางขันกีว่า นางเกียงฮองเฮาผู้ตายนั้นเป็นบุตรเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ เกียงฮวนฌ้อมีทแกล้วทหารมากกว่าร้อยหมื่น ถ้ารู้ว่า ทำโทษนางเกียงฮองเฮาถึงสิ้นชีวิต เห็นเกียงฮวนฌ้อจะคิดการกบฏ เราวิตกนัก เจ้าจะคิดประการใด นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นสตรี คิดไปมิถึง ขอให้หาฮุนต๋งเข้ามาเฝ้า ปรึกษากับฮุยต๋งจึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีว่าก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสชมว่า เจ้ามีสติปัญญา บรรดาหญิงทั้งแผ่นดินไม่มีเสมอสอง สมควรจะเป็นมเหสีเอก พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาฮุยต๋งเข้ามาเฝ้าที่ข้างใน จึงตรัสปรึกษาฮุยต๋งว่า บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ต้องโทษตายเสียเป็นหลายคน ขุนนางซึ่งมิได้ซื่อตรงต่อเราจะลอบลักให้หนังสือลับไปถึงเกียงฮวนฌ้อว่า ทำโทษเกียงฮองเฮาตาย เห็นเกียงฮวนฌ้อจะคิดการกบฏยกมากระทำแก่เมืองเรา บุนไทสือเล่าไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือยังไม่กลับมา หาผู้ใดจะสู้รบต้านทานกองทัพเมืองตังลู้ไม่ เราวิตกนัก ท่านจะคิดประการใด ฮุยต๋งจึงทูลว่า ตั้งแต่เกียงฮองเฮา โตไทสือ ป่วยเป๊ก เสี่ยงหยง เตียวคี รับอาสาตาย ขุนนางทั้งปวงก็ระส่ำระสายอยู่ ขอให้มีหนังสือรับสั่งไปหาทั้งสี่หัวมเองเอกเข้ามาเมืองหลวง แล้วจับฆ่าเสีย หัวเมืองน้อยทั้งปวงจะคิดการกบฏก็เห็นจะปราบปรามง่ายเหมือนหนึ่งเสือถอนเขี้ยวเสียแล้ว พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงให้ฮุยต๋งแต่งหนังสือสี่ฉบับข้อความต้องกัน ให้ม้าใช้แยกทางกันไปทั้งสี่หัวเมือง
ฝ่ายกีเซียง เจ้าเมืองไซรกี ครั้นเวลาเช้า ออกว่าราชการ ขุนนางพร้อมกัน พอนายประตูเข้าไปบอกว่า มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวง กีเซียงจึงให้ขุนนางออกไปเชิญหนังสือรับสั่งเข้ามา แล้วจุดธูปเทียนคำนับตามธรรมเนียม จึงฉีกผนึกออกอ่าน ในหนังสือรับสั่งนั้นว่า หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบนัก ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความเดือดร้อน บัดนี้ ให้บุนไทสือยกไปราบปรามยังมิกลับมา และในเมืองหลวงทุกวันนี้หาผู้ใดที่จะปรึกษาราชการไม่ ให้เจ้าเมืองเอกทั้งสี่ไปช่วยคิดราชการทำนุบำรุงแผ่นดินให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าผู้ใดช่วยปราบโจรผู้ร้ายในเมืองหลวงสงบลงเมื่อใด จะให้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป ให้เจ้าเมืองไซรกีเร่งเข้าไปาไปเมืองหลวงโดยเร็ว กีเซียงอ่านหนังสือรับสั่งแล้วจึงให้เลี้ยงโต๊ะผู้ถือหนังสือตามธรรมเนียม ผู้ถือหนังสือคำนับแล้วลากลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายกีเซียง ครั้นข้าหลวงไปแล้ว พิเคราะห์ดูชะตาก็รู้ว่า เคราะห์ร้ายนัก จะได้ความลำบาก แต่มิเป็นไร จึงคิดว่า รับสั่งให้หา ครั้นจะมิไปก็เป็นขัดรับสั่ง กีเซียงจึงให้หาซันงีเสง หลำจงกวด ขุนนางทั้งสอง กับเป๊กอิบโค้ผู้บุตรมา แล้วบอกว่า เราพิเคราะห์ดูชะตาเราเคราะห์ร้าย ซึ่งมีหนังสือรับสั่งให้หาเราเข้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะทำโทษ ถ้าเราไปเมืองหลวงแล้ว อยู่ภายหลังผู้ใดอย่าเราไปเลย จงรักษาบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเหมือนดังเราอยู่ ถ้าราษฎรชายหญิงจะขัดสนเงินทองและข้าวปลาอาหารสิ่งใด ให้ซันงีเสงกับเป๊กอิบโค้จัดแจงแจกจ่ายให้ตามสมควร อย่าให้ราษฎรในเมืองได้ความเดือดร้อน แม้นเกิดโจรผู้ร้ายนอกเมือง ให้หลำจงกวดปราบปรามจงราบคาบ เป๊กอิบโค้ได้ฟังดังนั้นจึงคำนับแล้วว่า บิดาเคราะห์ร้าย จงอยู่รักษาเมืองเถิด ข้าพเจ้าจะไปเมืองหลวงแทน กีเซียงจึงว่า มีรับสั่งเฉพาะมาให้หาบิดา ครั้นจะให้เจ้าไปแทนตัวก็ผิดด้วยรับสั่ง พระเจ้าติวอ๋องจะทรงพระโกรธ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองเถิด อย่าวิตกถึงบิดาเลย กีเซียงจึงเข้าไปข้างใน คำนับนางไทเกียงผู้มารดา แล้วเล่าความให้มารดากับนางไทกียิมผู้ภรรยาทั้งสองฟังทุกประการ แล้วกีเซียง เจ้าเมืองไซรกีคนนี้ มีเมียยี่สิบสี่คน มีลูกเก้าสิบเก้าคน และนางไทกี เมียหลวง เป็นมารดาเป๊กอิบโค้ นางไทยิม เมียรอง เป็นมารดากีฮวด ฝ่ายนางไทเกียงผู้มารดาได้ยินกีเซียงว่าดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ชะตาเจ้าถึงที่ร้ายแจ้งอยู่แล้ว ซึ่งจะเข้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ แม่คิดวิตกนัก เกลือกจะมีอันตราย เจ้าไปเร่งระมัดระวังตัวให้จงดี อย่าให้มีความผิด นางไทเกียงจึงคำนับบวงสรวงเทพยดาทั้งปวงว่า จงช่วยพิทักษ์รักษาบุตรข้าพเจ้าให้ได้กลับมาครองเมืองเถิด กีเซียงจึงฝากบุตรภรรยาแก่มารดาแล้วคำนับลาออกมา จัดทหารและคนสนิทที่มีสติปัญญา ฝีมือกล้าแข็ง ได้สิบห้าคน กับสิ่งของเครื่องบรรณาการ เสร็จแล้วก็ขึ้นม้ายกออกจากเมืองไซรกี
ฝ่ายเป๊กอิบโค้ กีฮวด บุตรใหญ่ทั้งสอง กับซันงีเสง หนึ่ง หลำจงกวด หนึ่ง มอก๋งซุย หนึ่ง จิวก๋งต้าน หนึ่ง เตียวก๋งเซ็ก หนึ่ง ปิดก๋ง หนึ่ง เองก๋ง หนึ่ง ซินกะ หนึ่ง ซินเปียน หนึ่ง ไทเตี๋ยน หนึ่ง บ๊อเถียน หนึ่ง ขุนนาทั้งปวง ต่างคนตามส่งกีเซียงทางไกลเมืองไซรกีสี่ร้อยเส้น ถึงศาลาที่สำนัก เป๊กอิบโค้ กับกีฮวด ขุนนางทั้งปวง พร้อมกันคำนับส่งจอกสุราให้กีเซียงเป็นธรรมเนียมคำนับลา กีเซียงรับจอกสุราแล้วสั่งเป๊กอิบโค้และขุนนางทั้งปวงให้กลับไปรักษาบ้านเมือง กีเซียงก็ขึ้นม้าเดินทางประมาณแปดร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น ถึงเขาเอียนซัว เห็นเมฆตั้งขึ้นมา ฟ้าร้องครืน ๆ จึงบอกแก่ทหารและคนใช้ว่า ฝนห่าใหญ่จะตก กีเซียงก็พาทหารเข้าอาศัยใต้ร่มไม้ริมเชิงเขาเอียนซัว พอเกิดพายุใหญ่ ฝนตก ฟ้าผ่าลงมายอดเขาทลาย ครั้นฝนขาดเม็ดแล้ว กีเซียงแลไปเห็นสว่างอยู่ริมเชิงเขาเหมือนแสงดาว ก็รู้ว่า ดาวทหารตกลงมา จึงสั่งคนใช้ว่า จงชวนกันไปหาดาวมาให้จงได้ คนทั้งปวงมิได้รู้ว่า ดาวอยู่แห่งใด ขัดคำสั่งมิได้ ต่างคนก็ไปเที่ยวหาดาวตามเชิงเขามาพบกุฏิฝังศพโบราณ เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ ไม่มีพ่อแม่ คนใช้ก็อุ้มเด็กนั้นมาส่งให้กีเซียง กีเซียงก็ดูลักษณะรูปร่างเด็กคนนั้นก็รู้ว่า นานไปจะมีวาสนา ฝีมือกล้าแข็งในการรบ และเด็กคนนี้หาบิดามารดามิได้ ควรจะเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ให้บรรจบกับบุตรเป็นร้อยหนึ่ง กีเซียงก็ให้คนใช้อุ้มเด็กนั้นตามกีเซียงออกจากที่สำนักนี้เดินมาตามทาง พอมีผู้เฒ่าคนหนึ่งสวนทางมา กีเซียงเห็นผู้เฒ่าคนนั้นรูปร่างสมบูรณ์อ้วนพี ผิวเนื้อเหลือง เห็นจะเป็นผู้วิเศษ จึงลงจากม้า คำนับผู้เฒ่า แล้วถามว่า ท่านอาศัยอยู่เขาไหน ท่านมาพบข้าพเจ้าเวลานี้จะไปแห่งใด หุนต๋งจู๊รู้จัดหน้าว่า เป็นเจ้าเมืองไซรกี จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ หุนต๋งจู๊ อาศัยอยู่ถ้ำยกเทียวต๋ง คำไทยว่า ถ้ำศิลาแก้ว อยู่แทบเชิงเขาจงลำซัว ขณะเมื่อฝนตกห่าใหญ่ ดาวทหารตก ข้าพเจ้าจึงมาเที่ยวหา พอพบท่าน ท่านจะไปแห่งใดจึงมาทางนี้
กีเซียงรู้ว่า หุนต๋งจู๊เป็นฤษี คำนับขออภัย จึงแจ้งความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วบอกว่า เมื่อฝนตกขาดเม็ด ข้าพเจ้าได้เด็กคนหนึ่ง กีเซียงจึงอุ้มเด็กนั้นมาให้ดู หุนต๋งจู๊ก็รู้ว่า เด็กนั้นคือดาวเกียงแซตกลงมาเกิด หุนต๋งจู๊จึงว่า ท่านจะไปเมืองจิวโก๋ครั้งนี้ กว่าจะได้กลับมาช้าหลายปีอยู่ อย่าพาเด็กน้อยไปให้เป็นห่วงเลย ข้าพเจ้าจะขอรับเลี้ยงไว้ เมื่อท่านกลับมาจากเมืองหลวง จึงส่งให้ท่านไปเมื่อไซรกี กีเซียงจึงว่า ซึ่งท่านจะขอบุตรข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ก็ตามเถิด แต่เด็กคนนี้ยังไม่มีชื่อ ขอท่านจงขนานชื่อให้แก่บุตรข้าพเจ้าด้วย หุนต๋งจู๊จึงให้ชื่อว่า หลุยจินจู๊ หุนต๋งจู๊ก็รับหลุยจินจู๊กลับไปถ้ำที่อาศัย กีเซียงก็ขึ้นม้าพาทหารเดินทางไปหลายวัน ใกล้ถึงเมืองจิวโก๋
ฝ่ายเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ งกจงฮู เจ้าเมืองนำเป๊กเฮา ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้าเมืองปักเป๊กเฮ้า ครั้นแจ้งว่า มีรับสั่งให้หา ก็รีบมาถึงเมืองจิวโก๋พร้อมกันทั้งสามหัวเมือง เข้าอาศัยอยู่กงก๋วน ยังมิได้เฝ้า คอยกีเซียงเจ้าเมืองไซรกีอยู่ พอกีเซียงมาถึง ก็ออกไปรับเข้ามาที่กงก๋วน ต่างคนคำนับกันตามธรรมเนียม พอเพลาค่ำลง ทั้งสามหัวเมืองก็ให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงกีเซียง เกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู ซ่องเฮ่าเฮ้า ทั้งสี่คนนั่งกินโต๊ะอยู่พร้อมกัน เกียงฮวนฌ้อจึงถามกีเซียงว่า เหตุใดท่านจึงมาช้า กีเซียงจึงบอกว่า เมืองข้าพเจ้าอยู่ไกล จึงมามิทันท่าน เกียงฮวนฌ้อก็รินสุราคำนับส่งให้กีเซียง กับซ่องเฮ่าเฮ้า งกจงฮู ทั้งสี่คนเสพสุราพูดจากัน งกจงฮูรู้ว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าเป็นคนสอพลอ จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า มิได้กรุณาแก่ราษฎร คบคิดกันกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง กราบทูลพระเจ้าติวอ๋องให้เกณฑ์คนหัวเมืองใหญ่น้อยเข้ามาปลูกพระที่นั่งชมดาว ผู้ซึ่งมีทรัพย์เอาเงินทองมาให้ก็ปล่อยเสีย ผู้ซึ่งยากไร้หาเงินจะให้มิได้ก็เร่งรัดเอาตัวมาตรากตรำทำการจนตายและหนีไปเป็นอันมาก ราษฎรหัวเมืองทุกวันนี้ได้ความเดือดร้อนเพราะท่าน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ยินดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นผลักเอางกจงฮู แล้วว่า ตัวกล่าวหยาบช้าเหลือเกิน มิได้เกรงใจเรา งกจงฮูก็โกรธ ฉวยจอกสุราขว้างเอาซ่องเฮ่าเฮ้า ทั้งสองทุ่มเถียงกันอื้ออึง กีเซียงห้ามงกจงฮูกับซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ท่านทั้งสองอย่าวิวาทกันเลย ซึ่งงกจงฮูกล่าวทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ท่านกับงกจงฮูก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ด้วยกัน จะวิวาทกันเหมือนเด็กน้อยฉะนี้ไม่ควร เวลานี้ก็ดึกแล้ว ไปหลับนอนเสียเถิด พอได้ยินเสียงคนนอกกงก๋วนร้องเข้ามาว่า ท่านทั้งสี่คนพากันกินสุราสบายอยู่แต่วันนี้เถิด รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ เลือดจะไหลอยู่ที่ตะแลงแกง กีเซียงได้ยินจึงถามคนว่า ผู้ใดร้องเข้ามา ให้สืบเอาตัวจงได้ คนใช้จึงพาเอาตัวเอียวฮกเข้ามาคำนับกีเซียง กีเซียงจึงถามว่า ท่านรู้ความประการใดหรือ เอียวฮกบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใช้สำหรับรักษากงก๋วน สืบรู้ความว่า พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำนางขันกีให้ฆ่าเกียงฮองเฮาเสีย ยังแต่พระราชบุตรทั้งสองก็สั่งให้ฆ่าเสีย พอเกิดพายุหอบพาพระราชบุตรไป ซึ่งมีหนังสือรับสั่งให้หาท่านทั้งสี่คนเข้ามาครั้งนี้หมายจะจับฆ่าเสีย เกียงฮวนฌ้อได้ยินว่า เกียงฮองเฮาตาย ก็ร้องไห้ล้มลงจนสลบไป กีเซียง กับงกจงฮู ซ่องเฮ่าเฮ้า ช่วยกันแก้ไขเกียงฮวนฌ้อฟื้นขึ้นมา กีเซียงจึงว่าแก่เกียงฮวนฌ้อว่า บุตรท่านก็ตายแล้ว ถึงท่านจะต้องไห้รักจนน้ำตาเป็นโลหิตออกมา บุตรก็หาเป็นคืนมาไม่ จงระงับความโศกเสียเถิด เราทั้งสี่คนควรจะเข้าชื่อกันทำเรื่องราวกราบทูลถามถึงผิดนางเกียงฮองเฮาถวายเพลาเช้าพรุ่งนี้ เกียงฮวนฌ้อเห็นชอบ จึงอดกลั้นความโศกไว้ ทั้งสี่คนก็ทำเรื่องราวในเวลากลางคืน
ฝ่ายฮุยต๋งกับฮิวฮุน ขณะเมื่อสี่หัวเมืองใหญ่มาพร้อมกันแล้ว จึงเข้าไปที่ข้างในกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า หัวเมืองทั้งสี่มาถึงพร้อมกันสมดังพระองค์ดำริไว้แต่ก่อนแล้ว เวลาพรุ่งนี้ หัวเมืองเข้ามาเฝ้า เห็นจะทำเรื่องราวเข้ามาถวายด้วย พระองค์อย่าทรงฟังเรื่องราวนั้นเลย จะเสียท่วงทีไป ขอให้มีรับสั่งให้จับไปฆ่าเสียเถิด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราจะให้จับสี่หัวเมืองฆ่าเสียในเวลาพรุ่งนี้ ขณะเมื่อฮิวฮุน ฮุยต๋ง เฝ้าพระเจ้าติวอ๋องนั้นเป็นเวลาเย็น ครั้นเพลาค่ำ ก็บังคมลาไปบ้าน
ฝ่ายทั้งสี่หัวเมือง ครั้นเวลาเช้า ก็พากันไปเตรียมเฝ้าพร้อมกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ต่างคนคุกเข่าลงคำนับเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง เกียงฮวนฌ้อจึงส่งเรื่องราวให้ปิกันถวยต่อพระหัตถ์ พระเจ้าติวอ๋องจึงรับมาวางไว้ แล้วตรัสถามเกียงฮวนฌ้อว่า ตัวมีโทษผิดเป็นข้อใหญ่อยู่ รู้ตัวแล้วหรือ เกียงฮวนฌ้อจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองตังลู้ รู้ว่า มีรับสั่งให้หา จึงมาเฝ้า แต่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือไปว่า พระองค์เชื่อคำคนยุยง ผู้หาผิดมิได้ให้เป็นผิด แล้วหลงเชื่อแต่นางขันกีจนฆ่าพระมเหสีเสีย ทำการทั้งนี้เหมือนดังจะแกล้งทำลายพระองค์ให้เสื่อมเกียรติยศ ซึ่งตรัสว่า ข้าพเจ้ามีโทษผิดข้อใหญ่นั้นยังไม่แจ้ง
พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่า ลูกสาวของตัวแกล้งใช้เกียงฮวนมาทำร้ายเรา เราก็ฆ่าเสีย จึงให้หาตัวท่านเข้ามาจะบอกความ กลับว่ากล่าวหยาบช้าอีกเล่า ตัวเป็นกบฏต่อเรา พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้บูซูจะให้เอาตัวเกียงฮวนฌ้อไปฆ่าเสีย กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า กับงกจงฮู จึงกราบทูลทัดทานว่า เกียงฮวนฌ้อเป็นคนสัตย์ซื่อ เห็นจะหาเป็นกบฏประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ ขอให้ทรงอ่านดูเรื่องราวซึ่งเกียงฮวนฌ้อถวายนั้นก่อน พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงหยิบเรื่องราวเกียงฮวนฌ้อมาคลี่ออกจำใจอ่าน ในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้า กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทำเรื่องราวกราบทูล ด้วยอย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์แต่ก่อนนั้นย่อมเอาพระทัยใส่กิจราชการบ้านเมือง แล้วเลี้ยงคนมีความสัตย์กตัญญู มิได้เลี้ยงคนพาล แผ่นดินจึงเป็นสุขสืบมา บัดนี้พระองค์มาเชื่อฟังนางขันกี กับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลยุยงให้ฆ่าพระมเหสีและพระราชบุตรเสีย ขุนนางซึ่งมีกตัญญูเพ็ดทูลทัดทานก็กลับเอาโทษ แล้วซ้ำมีกฎหมายไว้ว่า ถ้าผู้ใดเอาถ้อยความมากราบทูล ก็จะเอาตัวผู้นั้นใส่ประทัดใหญ่จุดเผาเสียให้กระดูกละเอียด ซึ่งฮุยต๋ง ฮินฮุน ทูลให้ทำดังนี้เหมือนจะปิดปากผู้ซึ่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินเสียทั้งนั้น ขุนนางและราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก ดุจอยู่ในที่มืดมิได้เห็นแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ถ้าพระองค์ฆ่านางขันกี กับฮุยต๋ง ฮิวฮุน เสีย เหมือนทำลายเมฆอันปิดดวงพระอาทิตย์ให้สว่าง และผู้ซึ่งจะรับพระราชอาญาตายไปแต่ก่อนนั้นพระองค์ก็จะเห็นว่า มีผิดหรือหาผิดมิได้ แล้วกลับพระทัยเสียใหม่ แผ่นดินก็จะเป็นสุขเหมือนครั้งพระเจ้าเงียวซุน ซึ่งข้าพเจ้ากราบทูลนี้เพราะมีกตัญญู ถึงจะลงพระราชอาญาตามกฎหมายก็มิได้อาลัยแก่ชีวิต พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรแล้วทรงพระโกรธ ฉีกหนังสือทิ้งเสีย จึงตรัสว่า อ้ายเหล่านี้บังอาจหยาบช้าให้กูได้ความอัปยศ แล้วสั่งบูซูให้เอาขุนนางทั้งสามคนไปฆ่าเสีย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ฮินฮุน ฮุยต๋ง จึงกราบทูลว่า เกียงฮวนฌ้อนั้นคิดจะทำร้ายพระองค์มานานแล้ว หากบารมีพระองค์มากอยู่ ไม่ทำได้ งกจงฮูก็เป็นคนหยาบช้า มิได้เกรงพระราชอาญา คนทั้งสองนี้โปรดให้ฆ่าเสียควรแล้ว แต่ซ่องเฮ่าเฮ้านั้นคนสัตย์ซื่อ แล้วอุตส่าห์พากเพียรทำพระที่นั่งชมดาว พระที่นั่งบรรทมนั้น เป็นความชอบอยู่ จะขอพระราชทานโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ ปิกัน บ๋วยจือ มุยจี๋วคี มุยจิวเอี๋ยน ปกฮี ซกซี ทั้งเจ็ดคน จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะฆ่าขุนนางผู้ใหญ่เสียนั้น จงทรงพระดำริดูก่อน ด้วยโบราณว่าไว้ว่า เสนาบดีผู้ใหญ่เหมือนพระบาทพระมหากษัตริย์ทั้งสองข้าง แล้วเกียงฮวนฌ้อก็เป็นหัวเมืองใหญ่อยู่ฝ่ายตะวันออก ได้รบพุ่งข้าศึกปราบปรามหัวเมืองให้ราบคาบ ราษฎรฝ่ายตะวันออกก็อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งจะเป็นกบฏ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย กีเซียงก็เป็นหัวเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันตก แล้วมีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักษาราษฎรเหมือนบิดารักษาบุตร หัวเมืองฝ่ายตะวันตกมิได้มีโจรผู้ร้าย เพลากลางคืน ราษฎรก็มิได้ต้องปิดประตูเรือน และผู้ซึ่งทำผิดกีเซียงก็มิได้กระทำโทษดุจอาญาหัวเมืองทั้งปวง เป็นแต่เขียนวงให้ยืนทรมานตัวอยู่พอสมควร แล้วก็สั่งสอนให้ทิ้งความชั่วเสีย ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงรักใคร่สรรเสริญกีเซียงเป็นอันมาก ซึ่งจะให้ฆ่ากีเซียงเสียนั้น ราษฎรทั้งปวงก็จะระส่ำระสายเสียใจนัก งกจงฮูเล่าก็เป็นหัวเมืองใหญ่ ทำราชการโดยสุจริต มิได้เบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าจะขอชีวิตขุนนางทั้งสามคนนี้ไว้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เกียงฮวนฌ้อนั้นเห็นจะเป็นกบฏจริง กีเซียง งกจงฮูนั้นว่ากล่าวหยาบช้านัก ครั้นจะมิฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง อึ้งปวยฮอ ขุนนางผู้ใหญ่ จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู สองคนนี้ก็ทำราชการมานานแล้ว ยังหามีความผิดไม่ กีเซียงเล่าน้ำใจก็สัตย์ซื่อ แล้วประมาณการไปได้ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วกีเซียง งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทั้งสามคนนี้มีทหารและหัวเมืองขึ้นเป็นอันมาก ถ้าจะให้ฆ่าเสียบัดนี้ ทหารและหัวเมืองทั้งปวงแจ้งว่า เจ้านายตายแล้ว ก็จะมีใจเจ็บแค้น ยกมาทำแก่เมืองหลวงทั้งสามทาง ก็เห็นจะป้องกันยาก บุนไทสือซึ่งไปตีเมืองปักไฮก็ยังหามาไม่ ซึ่งจะฆ่าขุนนางทั้งสามคนเสีย จงทรงพระดำริดูก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า กีเซียงนั้นเราแจ้งอยู่ว่า มีสติปัญญา ซึ่งทำทั้งนี้เห็นกีเซียงจะเป็นพลอยเข้าชื่อด้วย หาได้ลงใจไม่ ท่านจะขอชีวิตไว้ก็ตามเถิด สืบไปเมื่อหน้า กีเซียงประทุษร้ายต่อเรา จะเอาโทษท่านด้วย แต่งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อนั้น จำจะให้ฆ่าเสีย กาแก๋ ฮุยหยิน กับขุนนางสี่คนเข้าชื่อกันทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ทำพระที่นั่งชมดาวและพระที่นั่งบรรทมเป็นความชอบ กีเซียงนั้นมีสติปัญญาแล้วสัตย์ซื่อนัก ซึ่งยกโทษให้ก็ควรแล้ว แต่งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทั้งสองนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความชอบก็มีอยู่เป็นอันมาก ด้วยกฎหมายแต่ก่อนว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ว่าราชการผิดขนบธรรมเนียมไป ขุนนางซึ่งพลอยเห็นชอบด้วยก็เป็นหากตัญญูไม่ ผู้ซึ่งเห็นผิดแล้วทูลทัดทาน ผู้นั้นก็เป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวงว่า มีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทำเรื่องราวถวายนั้นโดยกตัญญู แล้วก็ต้องตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นความชอบ หาควรจะฆ่าเสียไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ จึงสั่งหูหยงให้เอาตัวงกจงฮูกับเกียงฮวนฌ้อไปฆ่าเสีย แล้วประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดบังอาจหยาบช้าต่อเราเหมือนงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ เราจะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น หูหยงก็ไปลงอาญางกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ตามรับสั่ง ขุนนางทั้งปวงก็คิดสงสาร แต่กีเซียงนั้นร้องไห้รักงกจงฮูกับเกียงฮวนฌ้อเป็นอันมาก ทหารของเกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู เห็นนายตายแล้ว ก็ลอบหนีไปในเพลากลางคืน
ครั้นเวลารุ่งเช้า ปิกันจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า จะขอศพงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ไปฝังตามธรรมเนียม และกีเซียงนั้นมาอยู่นานแล้ว หัวเมืองตะวันตกนั้นก็ว่างเปล่าอยู่ เกลือกราษฎรจะกำเริบ ขอให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงค่อยกระซิบทูลว่า ซึ่งจะปล่อยกีเซียงไปครั้งนี้เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยมังกรลงน้ำ ข้าพเจ้าเห็นจะไปร่วมคิดกับงกซุยเอ๋ง บุตรงกจงฮูซึ่งอยู่เมืองนำเป๊กเฮ้า เกียงฮุนขวัน บุตรเกียงฮวนฌ้อซึ่งอยู่เมืองตังลู้ ยกมากระทำกับเมืองหลวง เห็นจะเคืองพระทัยนัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งท่านว่าก็ชอบอยู่ แต่เราเป็นกษัตริย์ ได้ออกวาจาให้เขาไปแล้ว จะคืนคำเสียก็มิควร ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ขณะเมื่อกีเซียงจะไปนั้น เห็นขุนนางในเมืองจะตามส่งเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะลอบไปดูกิริยากีเซียง ถ้าเห็นสุจริตอยู่ก็จะปล่อยไป ถ้าเห็นไม่สุจรติจึงค่อยมีรับสั่งให้หากลับมา พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็กลับมา ณ บ้าน ให้คนใช้คอยดูอยู่ว่า กีเซียงจะไปเวลาใด
ฝ่ายปอกัน ครั้นออกจากเฝ้า ก็แวะไปหากีเซียง ณ บ้าน กีเซียงก็ออกมารับคำนับตามประเพณี เชิญให้นั่งที่สมควร ปิกันจึงว่า เวลานี้ ข้าพเจ้ากราบทูลให้ท่านกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ แต่ข้าพเจ้าวิตกอยู่ว่า เกลือกจะมีผู้พูดขัดขวาง ท่านจะมิได้ไปโดยสะดวก ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาเตือนสติท่านให้ท่านเร่งทูลลาไปในวันพรุ่งนี้ กีเซียงได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับปิกันแล้วว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณหาที่สุดมิได้ สืบไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน ปิกันจึงยุดเอามือกีเซียงไว้แล้วกระซิบว่า ในเมืองหลวงทุกวันนี้ กฎหมายขนบธรรมเนียมก็ฟั่นเฟือนไป เพราะพระมหากษัตริย์เชื่อฟังแค่คำคนพาล เราพิเคราะห์ดูเห็นจะไม่มีความสุข กีเซียงก็มิได้ตอบประการใด เป็นแต่ถอนใจใหญ่ ปิกันก็ลาไป ครั้นเวลารุ่งเช้า กีเซียงก็เข้าไปกราบทูลถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็มาจัดแจงทหารและบ่าวไพร่ของตัวยกออกจากเมืองหลวงไปทางประตูตะวันตก ปิกัน บูเซียงอ๋อง มุยจื้อ กิจื้อ กับขุนนางทั้งปวงรู้ว่า กีเซียงจะกลับไปเมือง ก็ชวนกันออกไปตามส่ง และขณะเมื่อกีเซียงออกจากเมืองหลวงไปทางประมาณพันเส้น เหลือบมาเห็นขุนนางตามมาส่งเป็นอันมาก จึงลงจากม้าแวะเข้าหยุดอยู่ที่กงก๋วน ขุนนางทั้งปวงก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย บูจือจึงว่ากับกีเซียงว่า ข้าพเจ้าจะเตือนสติท่านสิ่งหนึ่ง ถ้าท่านรับคำข้าพเจ้าได้ คุณท่านจะอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ถึงข้าพเจ้าจะตายก็ไม่ลืมคุณท่าน กีเซียงจึงว่า ท่านจะสั่งสอนข้าพเจ้าประการใดก็ตามเถิด บูจือจึงว่า ครั้งนี้ ท่านหามีความผิดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจะให้ฆ่าเสีย หากขุนนางทั้งปวงทูลขอท่าน ท่านจึงได้รอดชีวิต ซึ่งท่านจะกลับไปเมืองไซรกีครั้งนี้ ท่านอย่าได้มีใจแค้นพระเจ้าติวอ๋องเลย จงคิดถึงคุณพระมหากษัตริย์ซึ่งผ่านสมบัติมาแต่ก่อนนั้นเถิด กีเซียงจึงว่า ความข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็จะไม่ละความกตัญญูเสีย ขณะเมื่อกีเซียงกับขุนนางทั้งปวงพูดกันอยู่นั้น พอแลเห็นฮิวฮุน ฮุยต๋ง ควบม้ามาตาม ขุนนางทั้งปวงรังเกียจฮิวฮุน ฮุยต๋ง นัก ต่างคนคำนับลากีเซียงกลับไป ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกีเซียง กีเซียงก็รับคำนับแล้วว่า เรามิได้มีคุณสิ่งไรแก่ท่าน ซึ่งท่านอุตส่าห์มาส่งเราถึงนอกเมือง เราขอบใจนัก ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงตอบว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย จำมาส่งตามธรรมเนียม ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็รินสุราคำนับส่งให้กีเซียงเป็นหลายที ครั้นเห็นกีเซียงเมาสุราตึงตัวอยู่แล้ว ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือว่า ท่านรู้การในอากาศว่าดีและร้าย การแผ่นดินเล่าท่านก็รู้ในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กีเซียงจึงแกล้งถ่อมตัวว่า ตำราทั้งปวงเราก็ได้เรียนอยู่บ้าง แต่หาเหมือนคำคนสรรเสริญไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงถามว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ละอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนเสีย ผู้ใดจะทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่หาความผิดมิได้เสียเป็นอันมาก สืบไปเมื่อหน้า ท่านจะเป็นประการใด กีเซียงได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า ซึ่งเราจะทำนายนั้นไม่ควร จงกำหนดแต่ปีมะเมียจนถึงปีชวด ก็จะเห็นประจักษ์ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า เมื่อพระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นพระชนม์นั้นด้วยเหตุประการใด กีเซียงกำลังเมาสุรา ไม่ทันคิด จึงว่า พระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นบุญนั้นหาสู้ดีไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ก็วิตกอยู่ว่า เมื่อตายนั้นจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงพิเคราะห์ดูลักษณะฮิวฮุน ฮุยต๋ง แล้วคิดแต่ในใจว่า คนทั้งสองนี้ลักษณะร้ายนัก ลูกเห็บจะตกถูกตาย แล้วเกียงจูแหยจะเอาศพไปเซ่นเทพยดาที่เขากิซัว ครั้นจะบอกตามจริง บัดนี้ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จะเสียใจนัก กีเซียงจึงแกล้งว่า เมื่อท่านทั้งสองจะตายนั้นประหลาด หาเหมือนคนทั้งปวงไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นคนแล้วก็ย่อมตายด้วยป่วยไข้ ประการหนึ่ง ก็ตายด้วยเชือกและอาวุธต่าง ๆ ซึ่งท่านว่า ข้าพเจ้าจะตายประหลาดกว่าคนทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ กีเซียงจึงว่า เราจะทำนายต่อไปนั้นเหลือรู้เรานัก ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงอ้อนวอนว่า ท่านได้เมตตาข้าพเจ้าแล้ว อย่าคิดรังเกียจเลย จงทำนายให้ประจักษ์เถิด กีเซียงขัดมิได้ จึงว่า ท่านทั้งสองนี้จะต้องลูกเห็บตาย ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ท่านว่า ต้องลูกเห็บแล้ว ตัวท่านจะตายด้วยเหตุประการใดเล่า กีเซียงจึงว่า ตัวเรานี้จะตายโดยปรกติดุจหนึ่งนอนหลับอยู่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงแกล้งสรรเสริญว่า ท่านได้เรียนวิชาชำนิชำนาญนัก หาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้าคิดจะใคร่สนทนาด้วยท่านให้ได้คติไว้ วิตกด้วยราชการในพระราชวัง แล้วฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็คำนับลากีเซียงขึ้นม้ากลับมา ฮิวฮุนจึงว่ากับฮุยต๋งว่า กีเซียงนั้นมันเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ตัวมันจะตายวันนี้พรุ่งนี้หารู้ไม่ กลับมาทำนายเราเสียอีกเล่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง พูดกันแล้วก็รีบเข้าไปในวังทูลพระเจ้าติวอ๋องตามซึ่งได้พูดกับกีเซียงทุกประการ แล้วว่า กีเซียงนั้นหยาบช้าต่อพระองค์นัก พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงว่า กีเซียงนั้นโทษถึงตายแล้ว เรายกโทษเสียให้กลับไปเมืองไซรกี ยังหารู้คุณไม่ จำจะให้เอาตัวมาตัดศีรษะแขวนไว้ที่ประตูเมือง
จึงจะหายความแค้น แล้วสั่งเตียวฉาน นายทหารเอก ให้รีบตามไปจับตัวกีเซียงมาให้จงได้ เตียวฉายรับสั่งแล้วออกมาขึ้นม้าพาทหารทั้งปวงรีบตามไป
ฝ่ายกีเซียง ครั้นเห็นฮิวฮุน ฮุยต๋งกลับไปแล้ว ก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากกงก๋วนเดินไปทางตะวันตก แล้วคิดถึงคำที่พูดกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็สะดุ้งใจ เห็นว่า จะมีเหตุแล้ว พอได้ยินเสียงทหารเรียกมาว่า ให้กีเซียงหยุดอยู่ก่อน กีเซียงเหลียวไปเห็นเตียวฉาน จึงว่า รู้ตัวอยู่แล้ว เตียวฉานเข้ามาใกล้จึงบอกว่า มีรับสั่งให้หาท่านกลับไปก่อน กีเซียงจึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่า ท่านจงพากันกลับไปเมืองไซรกีก่อนเถิด แล้วบอกแก่บุตรทั้งสองให้บำรุงรักษามารดาจงดี กิจการบ้านเมืองทั้งปวงก็ให้ว่าตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ทหารทั้งปวงได้ยินกีเซียงว่าดังนั้นก็ร้องไห้ กีเซียงจึงว่า ท่านอย่าเศร้าโศกนักเลย จงฟังข่าวเราในเจ็ดปีเถิด ทหารทั้งปวงก็คำนับลาไป เตียวฉานก็พากีเซียงเข้ามาถึงพระราชวัง ผู้ซึ่งเฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็รีบเอาเนื้อความไปบอกอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอก็ตกใจ จึงคิดว่า มีรับสั่งโปรดให้กีเซียงไปเมืองไซรกีแล้ว เหตุไรจึงหาตัวกลับมาเล่า ชะรอยอ้ายฮิวฮุน ฮุยต๋ง จะทูลขัดขวาง อึ้งปวยฮอก็ให้จิวจือไปบอกขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงให้เข้าไปเตรียมคอยเฝ้า อึ้งปวยฮอก็เข้าไปในพระราชวัง เห็นเตียวฉานคุมตัวกีเซียงอยู่ อึ้งปวยฮอจึงถามกีเซียงว่า มีรับสั่งโปรดท่านให้กลับไปเมืองแล้ว เหตุไรท่านจึงกลับมาเล่า กีเซียงจึงว่า จะมีเหตุสิ่งไรข้าพเจ้ามิได้รู้ พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก เตียวฉานก็พาตัวกีเซียงเข้าไปในที่เฝ้า พระเจ้าติวอ๋องเห็นกีเซียง ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า ตัวทำผิด เรายกโทษเสียแล้ว และตัวยังหยาบช้าหามีกตัญญูต่อเราไม่ กีเซียงจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามีกตัญญูอยู่ถึงห้าประการ ประการหนึ่ง รู้จักคุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ซึ่งสั่งสอนข้าพเจ้า แล้วรู้จักคุณฟ้า คุณดิน คุณพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าคิดจะสนองอยู่มิได้ขาด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งมึงว่า มีกตัญญูต่อท่านผู้มีคุณนั้น จะพูดแก้ตัวหรือ ถ้ามึงมีกตัญญูรู้จักคุณกูแล้ว ทำไมมึงหยาบช้าว่ากูไม่ดีเล่า กีเซียงจึงทูล ซึ่งข้าพเจ้าจะได้ทรยศหยาช้าหามำด้ ข้าพเจ้าว่านั้นตามตำราสินหลงฮวดยีซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ตัวสิฮวดว่า ได้เรียนตำราดูแม่นยำแล้ว จะทำนายชะตาเมืองเราจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงจึงทูลว่า ซึ่งการแผ่นดินทั้งปวง ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับฮิวฮุน ฮุยต๋ง แล้ว แต่จะได้หยาบช้าสิ่งใดหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งตัวว่า เราจะตายไม่ดีนั้น หาเป็นข้อหยาบช้าไม่หรือ ส่วนตัวสิยกย่องว่า จะตายโดยปรกติเล่า ซึ่งตัวพูดจาทั้งนี้หวังจะให้คนทั้งปวงลุ่มหลง ตัวสิทำนายไว้ว่า จะตายดีแล้วก็ เราจะให้ฆ่าเสียบัดนี้ ตัวจะทำนายถูกหรือ หรือเราจะทำนายถูก แล้วสั่งบูซูให้เอาตัวกีเซียงไปฆ่าเสีย บูซูก็ฉุดตัวกีเซียงออกไป อึ้งปวยฮอจึงร้องห้ามบูซูว่า อย่าเพ่อวุ่นวายก่อน แล้วเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งโปรดให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี ขุนนางและราษฎรก็มีความยินดีนัก ซึ่งกีเซียงกระทำให้ขัดเคืองพระทัยนี้ เพราะเป็นคนซื่อ ว่าตามตำรา ใช่จะแกล้งหยาบช้าต่อพระองค์หามิได้ จะขอพระราชทานโทษกีเซียงไว้ก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรดให้ ปิกันจึงทูลว่า กีเซียงเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วมีใจเจ็บร้อนต่อแผ่นดิน ขุนนางและราษฎรนับถือ ซึ่งจะฆ่ากีเซียงเสียนั้น ขุนนางซึ่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินก็จะเสียใจ การซึ่งจะรักษาแผ่นดินสืบไปเมื่อหน้าเป็นการใหญ่ และกีเซียงทำนายการทั้งปวงนั้นตำราก็ยังมีเป็นพยานอยู่ ขอให้กีเซียงทายในวันหนึ่งสองวันในเมืองจิวโก๋จะมีเหตุประการใดบ้าง ถ้ากีเซียงทายถูก จะขอให้พ้นโทษ ถ้าไม่สมเหมือนคำกีเซียง จึงลงพระราชอาญา พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงหากีเซียงเข้ามาเฝ้า ให้ทำตามคำปิกันว่า กีเซียงก็ให้เอาอีแปะมาสามอันใส่เข้าในเตา ตามสังเกตดูตามตำรา รู้ว่าเหตุร้ายก็ตกใจนัก จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า พรุ่งนี้เพลาเที่ยง จะบังเกิดเพลิงไหม้ ณ พระตำหนักไทเบียซึ่งไว้รูปพระมหากษัตริย์แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้นก็มีรับสั่งให้งดโทษกีเซียงไว้ก่อน กีเซียงกับขุนนางทั้งปวงออกมาจากที่เฝ้า
พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ว่า ครั้งนี้ จะได้ดูเท็จจริงกีเซียง ฮิวฮุนจึงว่า ซึ่งกีเซียงดูว่า จะเกิดเพลิงไหม้พระราชวังนั้น ข้าพเจ้าจะให้ไปสั่งผู้ซึ่งรักษาพระตำหนักไทเบียให้ดับธูปและตะเกียงเสียให้สิ้น ก็เห็นว่า จะหาเกิดเพลิงเหมือนคำกีเซียงไม่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย ก็ให้ไปสั่งตามคำฮิวฮุนว่า อึ้งปวยฮอครั้นกลับมา ณ บ้านจึงสั่งบุตรเจ็ดคนให้คุมบ่าวไพร่ไปเตรียมอยู่ริมพระราชวังคอยจะดับเพลิง แล้วสั่งอีเหมียง ผู้รักษาตำหนักไทเบีย ว่า ถ้าเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ก็ให้มาบอกโดยเร็ว ครั้นเพลาเที่ยง ขุนนางทั้งปวงต่างคนคิดว่า ซึ่งกีเซียงทำนายไว้เห็นจะผิดเสียแล้ว
ขณะนั้น อสนีบาตผ่าลงที่พระตำหนักไทเบียเป็นเพลิงติดขึ้น ขุนนางทั้งปวงได้ยินเสียงฟ้าก็ตกใจ พออีเหมียงวิ่งร้องออกมาว่า เพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปจะดับเพลิง และเปลวเพลิงร้อนนัก ต่างคนเข้าใกล้ไม่ได้ ก็จนใจยืนตะลึงอยู่ ปิกันคิดถึงคำกีเซียงทำนายไว้ก็ถอนใจใหญ่ ว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งไฟไหม้พระตำหนักไทเบียนี้เหมือนจะบอกเหตุว่า วงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว ขณะเมื่อเพลิงไหม้ขึ้นนั้น พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่พระที่นั่งออกขุนนาง ฮ่องยี่กั๋วเข้าไปกราบทูลว่า ไฟไหม้พระตำหนักไทเบีย พระเจ้าติวฮ่องก็ตกพระทัยนัก จึงให้ไปกำชับขุนนางทั้งปวงให้คอยรักษาอย่าให้เพลิงไหม้ลามไปได้ แล้วตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ว่า เมื่อกีเซียงทายถูกดังนี้ ท่านทั้งสองจะคิดประการใด ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงทูลว่า ซึ่งจะปล่อยตัวกีเซียงกลับไปเมืองไซรกีนั้นไม่ได้ ขอให้เอาตัวคุมไว้ในเมืองหลวงก่อน แผ่นดินจึงจะเป็นสุข ข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงจะได้พึ่งพระบารมีสืบไป
พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย ปิกัน มุยจือ อึ้งปวยฮอ ทั้งสามคนจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งเพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียนั้นต้องคำกีเซียงที่ทำนายไว้ ข้าพเจ้าจะขอพระราชทานให้กีเซียงพ้นโทษ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งโทษถึงตายนั้นเรายกเสีย แต่ซึ่งจะให้กลับไปเมืองไซรกีนั้นยังไม่ได้ เราจะให้อยู่ที่จำสงัดก่อน ถ้าบ้านเมืองสงบอยู่ จึงจะให้กลับไป ปิกันก็ไปบอกกีเซียงตามรับสั่ง แล้วว่า ท่านทรมานอยู่ก่อนเถิด ถ้าพระเจ้าติวอ๋องค่อยสบายพระทัยแล้ว เราจึงจะกราบทูลให้ท่านไปเมืองไซรกีจงได้ กีเซียงจึงว่า ถึงข้าพเจ้าจะได้ความลำบากประการใด ก็มิลืมคุณพระมหากษัตริย์ บูซูก็พาตัวกีเซียงไว้จำไว้ที่สงัด ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงรู้ก็จัดของมาเยือนกีเซียงเป็นอันมาก เสียงอื้ออึงนัก ขณะเมื่อกีเซียงอยู่ในที่สงัด ก็สั่งสอนราษฎรให้รู้จักขนบธรรมเนียมทุกประการ ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญา ก็ให้เรียนฤกษ์บนตำราปวยกั้วนั้น แต่ก่อนผู้จะเล่าเรียนยากนัก กีเซียงก็แก้ไขให้จะแจ้งออก ผู้มีสติปัญญาน้อยก็รู้ง่าย ชาวเมืองทั้งปวงก็ไปมาหากีเซียงมิได้ขาด
ขณะนั้น ม้าใช้มาบอกอึ้งปวยฮอว่า งกซุยเอ๋ง บุตรงกจกฮูอยู่ ณ เมืองนำเป๊กเฮ้า คุมทหารยี่สิบหมื่นเศษมาติดด่านลำสัวก๋วน เกียงฮุนขวัน บุตรเกียงฮวนฌ้อ เมืองตังลู้ คุมทหารสี่สิบหมื่นมาติดด่านฮิวฮุนก๋วน อึ้งปวยฮอแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า แผ่นดินเป็นจลาจลดังนี้ เห็นราษฎรจะไม่มีความสุข จึงเกณฑ์ทหารเติมไปให้ช่วยรักษาด่านทั้งสองตำบลไว้
ฝ่ายไทอิดจินหยินซึ่งเป็นเทพารักษ์อยู่ในถ้ำกี๋มกวางตั้ง ณ เขาเขียนงวนซัว คิดว่า บัดนี้ ศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว เทพยดาซึ่งลงไปเกิดในแผ่นดินจะบังเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน เกียงจูแหยจะต้องลงไปปราบปราม แซ่เสี่ยงทางกำหนดจะสูญแล้ว แซ่บูอ๋องจะจำเริญรุ่งเรืองขึ้น และเขาคุนหลุนซัวนั้นมีเทพยดาอยู่องค์หนึ่ง ครั้นศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้แปะเฮาะทองจือเอาไปให้เทพยดาไทอิดจินหยิน ณ เขาเขียนงวนซัว ไทอิดจินหยินคำนับแล้วคลี่หนังสือออกอ่านได้ความว่า ศักราชครบพันห้าร้อยแล้ว เราจะให้เกียงจูแหยลงไปปราบปรามแผ่นดิน ท่านจงให้เลงจู๊จือซึ่งเป็นศิษย์ท่านลงไปช่วยเกียงจูแหยด้วย ไทอิดจินหยินจึงว่า เราแจ้งแล้ว แปะเฮาะทองจือคำนับลากลับมา
ฝ่ายลิเจ้งซึ่งรักษาด่านตันตึงก๋วน แดนเมืองจิวโก๋ เมื่อยังเด็กอยู่นั้น ลิเจ้งไปเที่ยวเรียนวิชากับผู้วิเศษริมเขาคุนหลุนซัวข้างทิศใต้ อาจารย์บอกวิชาให้ถึงห้าประการ เรียกว่า กี๋ม หนึ่ง ปัก หนึ่ง จุย หนึ่ง หวย หนึ่ง เทา หนึ่ง ลิเจ้งเรียนได้เท่านั้น ภาษาไทยว่า วิชาดำดินได้ ครั้นนานมา ลิเจ้งมีภรรยาคนหนึ่งชื่อ นางฮึนสี นางฮึนสีเกิดบุตรชายสองคน ผู้พี่ชื่อ กิมเฉีย ผู้น้อง
ชื่อ บกเฉีย และนางฮึนสีนั้นยังมีครรภ์อยู่อีก กำหนดสามปีหกเดือนแล้วยังหาคลอดบุตรไม่ ลิเจ้งเป็นทุกข์นัก จึงเอามือชี้เข้าที่ท้องภรรยาว่า ท้องนี้นานนักหนาแล้วยังหาคลอดไม่ ถ้าคลอดออกมา เห็นจะเป็นปิศาจ นางฮึนสีได้ยินสามีว่าดังนั้นก็ทุกข์นัก ในเพลากลางคืนวันนั้น นอนมิใครจะหลับ ครั้นเพลาสามยามเศษ นางฮึนสีม่อยหลับไป จึงฝันว่า มีฤษีองค์หนึ่งเดินเข้าไปในห้องที่นอน นางฮึนสีจึงว่า ท่านมาแต่ไหน จึงบังอาจเข้ามาในห้องเรานี้ ฤษีจึงว่า เจ้าจงมารับเอาบุตรของเจ้าเถิด นางฮึนสียังมิทันจะตอบประการใด ฤษีก็เอาวางลงที่อกนางฮึนสี นางฮึนสีมิได้ว่าสิ่งอันใด ก็ตกใจตื่น แล้วปลุกสามีขึ้นเล่าความฝันให้ฟัง ยังมิทันสิ้นความ นางฮึนสีก็เจ็บท้อง ลิเจ้งลุกออกไปข้างนอก ให้หญิงคนใช้พยาบาลอยู่
ครั้นเพลาใกล้รุ่ง นางฮึนสีก็คลอดบุตรออกมา หญิงคนใช้จึงเข้าไปบอกลิเจ้งว่า ภรรยาท่านคลอดบุตรแล้ว แต่หาเป็นรูปคนไม่ ลิเจ้งได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ จึงถอดกระบี่เดินเข้ามา แลเห็นในห้องนั้นเป็นรัศมีสว่าง แล้วมีกลิ่นหอมประหลาด เห็นบุตรซึ่งคลอดออกมานั้นเป็นก้อนเนื้อกลิ้งอยู่ ลิเจ้งจึงเอากระบี่ฟันก้อนเนื้อนั้นลง พอได้ยินเสียงทารกร้องไห้ ลิเจ้งก็เอากระบี่แหวะออก เห็นทารกรูปงาม ผิวเนื้อขาวเป็นนวล มีกำไลใส่มืออยู่ข้างหนึ่ง แพรหลินพาดอกอยู่พับหนึ่ง แพรและกำไลนั้นรัศมีนัก ทารกนั้นลุกขึ้นเดินได้ ลิเจ้งมีความยินดี จึงเข้าอุ้มเอาบุตร แล้วว่า บุตรของเรานี้ชะรอยจะมาแต่สวรรค์ เมื่อแรกเราสงสัยว่า ปิศาจ แทบจะฆ่าเสีย ลิเจ้งก็อุ้มเอาบุตรไปให้ภรรยาดู นางฮึนสีก็มีความรักใคร่นัก
ครั้นเวลาเช้า นายทหารทั้งปวงก็ชวนกันไปเยือนลิเจ้งเป็นอันมาก คนใช้เข้าไปบอกลิเจ้งว่า หลวงจีนคนหนึ่งจะเข้ามาหาท่าน ลิเจ้งก็ออกไปคำนับ เชิญให้นั่งที่สมควร จึงถามว่า ท่านชื่อไร มาแต่ไหน หลวงจีนจึงบอกว่า เราชื่อ ไทอิดจินหยิน อยู่ถ้ำกี๋มกวางตั้ง ณ เขาเขียนงวนซัว ซึ่งมานี้แจ้งว่า ภรรยาท่านคลอดบุตร จะขอชมบุตรท่านสักหน่อยหนึ่ง ลิเจ้งได้ฟังดังนั้นก็ใช้ให้คนไปอุ้มเอาบุตรมาให้ไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินรับเอาแล้วจึงถามว่า บุตรท่านนี้คลอดเพลาไร ลิเจ้งจึงบอกว่า คลอดเมื่อเพลาใกล้รุ่ง ไทอิดจินหยินจึงว่า บุตรท่านคนนี้คลอดเวลาหาดีไม่ ลิเจ้งสงสัยนัก จึงว่า บุตรข้าพเจ้าคนนี้เลี้ยงไม่รอดหรือ ไทอิดจินหยินจึงว่า หาเป็นดังนั้นไม่ เราเห็นว่า บุตรท่านคนนี้นานไปเบื้องหน้าจะต้องรบศึกถึงพันเจ็ดร้อยครั้ง แล้วไทอิดจินหยินว่า ท่านให้ชื่อบุตรแล้วหรือยัง ลิเจ้งก็บอกว่า ยังหาได้ให้ชื่อไม่ ไทอิดจินหยินจึงว่า ถ้าท่านให้เป็นศิษย์เรา เราจะให้ชื่อ ลิเจ้งก็ยอมให้ ไทอิดจินหยินจึงถามว่า บุตรท่านมีกี่คน ลิเจ้งบอกว่า บุตรข้าพเจ้ามีสามคน คนหัวปีนั้นนชื่อ กิมเฉีย ข้าพเจ้าให้เป็นศิษย์ฮวดเทียนจุ๋น อยู่ในถ้ำหันเซียวตัง ณ เขางวนเลงซัว บุตรคนหนึ่งชื่อ บกเฉีย ให้เป็นศิษย์เผาเหียนจินหยิน อยู่ในถ้ำแปะเฮาะตั้ง ณ เขากิวเกงซัว แต่บุตรคนนี้ข้าพเจ้าจะให้เป็นศิษย์ท่าน ตามแต่ท่านจะให้ชื่อเถิด ไทอิดจินหยินจึงให้ชื่อบุตรลิเจ้งว่า โลเฉีย ลิเจ้งก็มีความยินดีนัก จึงแต่งโต๊ะเชิญไทอิดจินหยินกิน ไทอิดจินหยินจึงว่า ของอย่างนี้เรากินไม่ได้ แล้วไทอิดจินหยินก็ลาไป
พอมีผู้มาบอกลิเจ้งว่า แดนเมืองหลวงเกิดศึก ลิเจ้งก็ให้ทหารทั้งปวงซ้อมหัดเพลงอาวุธให้ชำนาญ ลิเจ้งก็ไปดูตรวจตราทุกวันมิได้ขาด แต่ลิเจ้งฝึกหัดทหารอยู่ถึงเจ็ดปี จนอายุโลเฉียได้เจ็ดขวบ โลเฉียนั้นสูงหกเซียะ คิดข้างไทยได้สามศอกคืบแปดนิ้ว พอเดือนเจ็ดข้างจีน เป็นฤดูร้อน โลเฉียไม่สบาย จึงเข้าไปคำนับมารดาว่า ข้าพเจ้าจะลาไปเที่ยวเล่นสักหน่อยหนึ่ง นางฮึนสีมีความรักใคร่โลเฉียนัก ครั้นจะห้ามก็กลัวจะน้อยใจ จึงว่า เจ้าจะไปก็ตามเถิด แต่อย่าอยู่ช้านัก บิดากลับมาไม่เห็นเจ้า จะติโทษมารดาได้ โลเฉียจึงว่า ข้อนั้นอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว โลเฉียก็ชวนบ่าวสี่ห้าคนออกจากบ้าน ครั้นถึงประตูด่าน โลเฉียเห็นแดดร้อนกล้านัก จึงให้บ่าวไปดูว่า ทางข้างหน้าจะมีร่มไม้หรือไม่ บ่าวกลับมาบอกโลเฉียว่า ทางข้างหน้านั้นมีต้นไม้เป็นอันมาก โลเฉียก็ให้บ่าวนำทางไปถึงต้นไม้ แล้วโลเฉียเปลื้องเสื้อเสีย นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ลมพัดเย็นสบาย โลเฉียจึงว่ากับบ่าวทั้งปวงว่า เมื่อเราฝ่าแดดมานั้นร้อนนัก บัดนี้ สบายดังได้อาบน้ำ พอได้ยินเสียงน้ำไหลลงมาจากซอกเขา โลเฉียเดินไปดูเห็นธารน้ำใหญ่กว้าง น้ำก็ใสไหลไปในชเล มีก้อนศิลาอยู่กลางธารน่านั่งอาบน้ำเล่น โลเฉียจึงว่ากับบ่าวว่า เราจะลงไปอาบน้ำเล่นที่ก้อนศิลาอันนี้ บ่าวก็ว่า จะลงไปอาบน้ำก็ตามเถิด แต่อย่าเล่นให้ช้านัก โลเฉียก็โดดลงไปนั่งที่ก้อนศิลา แล้วเอาแพรปูลงในน้ำ แพรก็ลอยอยู่ โลเฉียก็ลงนั่งบนแพร วักน้ำอาบเล่นตามสบาย รัศมีแพรนั้นจับแสงน้ำแดงไปสิ้น แล้วโลเฉียเอาแพรนั้นซักฟาดเล่นตามประสาเด็ก ก็เป็นคลื่นใหญ่กระเทือนไปถึงที่อยู่พระยานาค พระยานาคก็คิดสงสัยนัก จึงให้แหมแฉไปเที่ยวดูว่า เหตุสิ่งใดจึงเป็นดังนี้ แหมแฉขึ้นมาถึงปากอ่าวชเล เห็นเด็กคนหนึ่งเล่นน้ำอยู่ จึงถามโลเฉียว่า ตัวทำประการใด จึงกระเทือนไปถึงที่อยู่พระยานาค โลเฉียได้ยินดังนั้นเหลียวไปดู เห็นแหมแฉหน้าเขียวดังสีเมฆ ผมและหนวดแดง เขี้ยวออกนอกปาก โลเฉียสงสัยนัก จึงถามว่า เอ็งนี้เป็นสัตว์อะไร แหมแฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เราเป็นทหารพระยานาคสำหรับตรวจตราในท้องชเล ซึ่งตัวบังอาจหยาบช้าต่อเรานั้น เราจะประหารชีวิตเสีย แล้วโลดขึ้นไปเอาขวานฟันโลเฉีย โลเฉียหลบทัน จึงถอดเอากำไลที่ข้อมือขว้างไปถูกแหมแฉศีรษะแตกตาย โลเฉียหัวเราะแล้วว่า กูคิดว่ามีฤทธิ์เดชประการใดเล่า ให้กำไลของกูเปื้อนโลหิตเสียเปล่า ๆ โลเฉียก็หยิบเอากำไลมาส่ายน้ำล้างโลหิต น้ำนั้นก็เป็นคลื่นใหญ่กระเทือนถึงที่อยู่พระยานาคดังจะทำลายลง พระยานาคก็ยิ่งสงสัยนัก พอมีผู้มาบอกพระยานาคว่า แหมแฉซึ่งขึ้นไปตรวจปากอ่าวชเลนั้น ลูกเล็กคนหนึ่งมันตีตายเสียแล้ว พระยานาคแจ้งดังนั้นก็ตกใจนัก จึงว่า แหมแฉคนนี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับตรวจท้องชเล ผู้ใดบังอาจฆ่าเสียได้ แล้วจัดแจงทหารจะยกไปจับตัวผู้ซึ่งฆ่าแหมแฉ
ขณะนั้น เงาเปงซึ่งเป็นบุตรพระยานาคที่สามเห็นบิดาจัดแจงบ่าวไพร่วุ่นวายอยู่ จึงถามบิดาว่า จะไปรบผู้ใด พระยานาคก็เล่าความในบุตรฟังทุกประการ เงาเปงจึงว่า การแต่เพียงนี้หาควรบิดาจะไปไม่ ข้าพเจ้าจะอาสาไปจับตัวคนร้ายมาให้ได้ แล้วถือทวนขึ้นหลังนาครีบมาปากอ่าวชเล โลเฉียเห็นระลอกใหญ่นัก แลไปดูเห็นคนถือทวนขี่นาคร้องขึ้นมาว่า ผู้ใดซึ่งฆ่าแหมแฉเสีย โลเฉียจึงตอบว่า เราฆ่าเอง เงาเปงก็โกรธ จึงถามว่า ตัวชื่อไร เป็นบุตรผู้ใด จึงบังอาจนัก โลเฉียจึงตอบว่า เราชื่อ โลเฉีย เป็รบุตรที่สามลิเจ้งซึ่งเป็นนายด่านตันตึงก๋วน เรามาอาบน้ำเล่นตามสบาย แหมแฉทำหยาบช้าต่อเรา เราก็ฆ่าเสีย จะผิดชอบกระไรนักหนา เงาเปงก็โกรธ ด่าโลเฉียเป็นข้อหยาบช้า จึงว่า แหมแฉคนนี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับตรวจท้องชเล ตัวฆ่าเสียแล้ว ยังว่าไม่ผิดเล่า แล้วเงาเปงเอาทวนแทงโลเฉีย โลเฉียหลบได้ เงื้อกำไลขึ้นจะตีเงาเปง แล้วคิดว่า จะฆ่าคนมิได้มีชื่อเสียงนั้นหาเป็นเกียรติยศไม่ ร้องถามว่า ท่านชื่อไร เงาเปงจึงบอกว่า เราชื่อ เงาเปง เป็นบุตรพระยานาคที่สามอยู่ชเลตะวันออก โลเฉียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งตัวถือว่า เป็นบุตรพระยานาค จะมาสู้กับเรานั้น เราจะขอดเกล็ดเสียให้จงได้ เงาเปงก็โกรธ จึงเอาทวนแทงโลเฉีย โลเฉียหลบได้ แล้วเอาแพรหลินโยนขึ้นไปบนอากาศ สีแดงดังเปลวเพลิงตกลงมามัดคองาเปง โลเฉียโจนขึ้นเหยียบบ่าไว้ แล้วถอดกำไลออกต่อยหน้าผากเงาเปงศีรษะแตกตาย รูปเงาเปงกลับกลายเป็นนาค โลเฉียจึงชักเอาเอ็นมาจากตัวนาค จะเอาไปให้บิดาสำหรับรัดเสื้อเกราะ แล้วโลเฉียก็ขึ้นมาบนตลิ่ง บ่าวซึ่งไปด้วยเห็นโลเฉียถือเอ็นนาคขึ้นมาก็ตกใจ แล้วพาโลเฉียกลับมาบ้าน โลเฉียก็เข้าไปคำนับนางฮึนสีซึ่งเป็นมารดา นางฮึนสีจึงถามว่า เจ้าไปข้างไหนมา จึงมาต่อเย็นอย่างนี้ โลเฉียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไปถึงนอกด่าน แดดร้อนนัก จึงกลับมาต่อเย็น โลเฉียบอกแล้วก็เดินเข้าไปในเรือน ลิเจ้งดูซ้อมหัดทหารแล้วก็กลับมาบ้าน จึงว่า พระมหากษัตริย์ทุกวันนี้มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรได้ความเดือดร้อน และหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นกบฏขึ้น ลิเจ้งคิดแล้วก็เป็นทุกข์อยู่มิได้ขาด
ฝ่ายเงาก๋อง พระยานาค แจ้งว่า โลเฉีย บุตรลิเจ้ง ฆ่าเงาเปงผู้บุตรเสีย ก็มีความสงสารนัก จึงคิดว่า ลิเจ้งคนนี้เป็นศิษย์ไซรกุนหลุน เป็นเพื่อนรักกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งบุตรลิเจ้งฆ่าบุตรเราเสียนั้น จำจะบอกลิเจ้งเสียให้รู้ คิดแล้วเงาก๋องก็จำแลงเป็นมนุษย์รีบมา ณ ด่านตันตึงก๋วน แล้วบอกนายด่านว่า เราชื่อ เงาก๋อง เป็นเพื่อนรักของลิเจ้ง จะเข้าไปสนทนาด้วย นายด่านก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งกับลิเจ้ง ลิเจ้งก็ออกมารับคำนับกัน แล้วพามานั่งที่สมควร ลิเจ้งจึงว่า พี่ท่านกับข้าพเจ้าจากกันไปนานแล้ว พึ่งได้เห็นหน้ากันวันนี้ ข้าพเจ้ายินดีนัก ลิเจ้งเห็นหน้าเงาก๋องตึงเป็นทีโกรธ ลิเจ้งก็คิดสงสัยอยู่ เงาก๋องจึงว่า บุตรท่านดีนัก ลิเจ้งมิได้รู้เหตุ พาซื่อไป จึงว่า พี่กับข้าพเจ้ามิได้พบกันนานแล้ว ทำไมจึงรู้ว่า บุตรข้าพเจ้าดีเล่า และบุตรข้าพเจ้านั้นมีสามคน บุตรที่หนึ่งชื่อ กิมเฉีย ที่สองนั้นชื่อ บกเฉีย ที่สามชื่อ โลเฉีย เป็นศิษย์อาจารย์ทั้งสาม แล้วจะดีประการใดก็ยังมิได้ปรากฏ เงาก๋องจึงว่า ซึ่งท่านว่า ยังมิได้เห็นดีของบุตรท่านนั้น เราสงสัยนัก แล้วเงาก๋องก็เล่าความซึ่งโลเฉียไปเล่นน้ำแล้วฆ่าแหมแฉกับเงาเปงเสียนั้นให้ลิเจ้งฟังทุกประการ แล้วถามว่า บุตรท่านถืออาวุธสิ่งใด มีฤทธิ์เดชนัก เงาก๋องเล่าความพลางคิดอาลัยถึงบุตร ก็ร้องไห้ ลิเจ้งจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้เห็นจะมิใช่บุตรข้าพเจ้าดอก ด้วยกิมเฉีย บุตรที่หนึ่งข้าพเจ้า ไปอยู่กับอาจารย์ ณ เขากิวเลงซัว บกเฉีย บุตรที่สอง ก็ไปอยู่กับอาจารย์ ณ เขากิวเกงซัว ยังแต่โลเฉียผู้บุตรน้อยอายุได้เจ็ดขวบ แต่เกิดมาประตูก็ยังมิได้ออกไป เงาก๋องจึงว่า บุตรที่สามชื่อ โลเฉีย นั้นแหละ ฆ่าบุตรเราเสีย ลิเจ้งจึงว่า ท่านอย่าเพิ่งโกรธ บุตรข้าพเจ้าซึ่งชื่อ โลเฉีย นั้นเด็กนัก ข้าพเจ้าจะไปเรียกมาให้ท่านดู แล้วลิเจ้งก็เดินเข้าไปที่ข้างใน นางฮึนสีจึงถามว่า ผู้ใดมาหาท่าน ลิเจ้งจึงบอกว่า เงาก๋อง เป็นเพื่อนเก่าของเรา มากล่าวโทษโลเฉียว่า ฆ่าเงาเปง บุตรเขา เสีย เราว่า โลเฉีย บุตรเรา เด็กนัก แล้วยังหาเคยไปไหนไม่ เราจะให้เงาก๋องดูตัว บัดนี้ โลเฉียอยู่ไหนเล่า นางฮึนสีได้ยินดังนั้นก็กริ่งใจ คิดว่า วานนี้ โลเฉียไปเที่ยวเล่นประหลาด แล้วนางฮึนสีจึงบอกว่า โลเฉียเล่นอยู่ข้างหลังบ้าน ลิเจ้งก็เดินไปเรียกหา เห็นที่ดูหนังสือนั้นประตุปิดอยู่ ลิเจ้งก็เปิดเข้าไปพบโลเฉีย จึงว่า ทำไมเข้ามาอยู่ในนี้ โลเฉียพลั้งปากบอกออกมาว่า วานนี้ ข้าพเจ้าร้อนนัก ไปอาบน้ำเล่นหน่อยหนึ่ง ลิเจ้งคิดประหลาด จึงถามว่า เมื่อไปอาบน้ำเล่นนั้นมีเหตุประการใดบ้าง โลเฉียก็เล่าความซึ่งรบกับแหมแฉกับเงาเปงให้บิดาฟัง แล้วว่า เงาเปงเมื่อตายนั้นตัวกลับเป็นนาค ข้าพเจ้าคิดว่า นาคนั้นเป็นของวิเศษ จึงเอาเอ็นมา หวังจะให้บิดาผูกเสื้อเกราะ ลิเจ้งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ซึ่งเจ้าทำทั้งนี้จะเกิดความใหญ่แล้ว จงไปหาเงาก๋องเถิด โลเฉียจึงว่า บิดาอย่าวิตกเลย เอ็นนาคซึ่งข้าพเจ้าเอามาก็ยังอยู่ดอก แล้วโลเฉียก็หยิบเอ็นนาคถือออกมาด้วย ลิเจ้งก็ให้โลเฉียคำนับเงาก๋อง โลเฉียก็เข้าไปคุกเข่าคำนับเงาก๋องแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าฆ่าบุตรท่านเสียนั้น อย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย แล้วเอาเอ็นนาควางให้เงาก๋อง เงาก๋องเห็นเอ็นเงาเปงผู้บุตรก็ร้องไห้ แล้วว่ากับลิเจ้งว่า บุตรท่านฆ่าบุตรเราเสีย จนเห็นประจักษ์สำคัญอยู่ฉะนี้ ท่านยังว่า หารู้ไม่ บุตรเราผู้นี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับบันดาลฝนและน้ำค้างให้ตกต้องตามฤดู แหมแฉเล่าเทพยดาก็ตั้งไว้สำหรับตรวจปากอ่าวชเล เมื่อบุตรท่านฆ่าเงาเปง แหมแฉ เสียฉะนี้ เราจะไปทูลพระอิศวรให้ทราบ แล้วเงาก๋องก็ลาไป ลิเจ้งลุกขึ้นกระทืบเท้าแล้วก็ร้องไห้ นางฮึนสีได้ยินเสียงลิเจ้งร้องไห้ จึงให้หญิงคนใช้ออกไปฟังดู หญิงคนใช้กลับมาบอกนางฮึนสีว่า ได้ยินว่า โลเฉีย บุตรที่สามท่าน ไปฆ่าเงาเปง บุตรเงาก๋อง เสีย เงาก๋อง บิดาเงาเปง จะไปทูลพระอิศวร นางฮึนสีก็ตกใจ จึงออกมาจะฟังให้แน่ ลิเจ้งเห็นนางฮึนสีผู้เป็นภรรยา ลิเจ้งเช็ดน้ำตาพลางว่าแก่นางฮึนสีว่า เมื่อเราไปเที่ยวเรียนวิชาอยู่นั้น หมายว่า จะเป็นฤษีอาศัยอยู่ภูเขาและถ้ำที่สงัด มิได้คิดว่า จะมีภรรยาและบุตร หากบุญเราน้อย สละไปมิได้ จึงมาได้เจ้าเป็นภรรยาจนมีบุตรถึงสามคนแล้ว เราก็มิได้คิดจะกระทำบาปกรรมเลย เมื่อและบุตรเราร้ายกาจฆ่าเงาเปงซึ่งสำหรับบันดาลฝนและน้ำค้างให้ตกมีคุณแก่แผ่นดินเสียดังนี้ เรากับเจ้าและญาติพี่น้องก็จะพลอยฉิบหายเสียสิ้น นางฮึนสีได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ เอามือชี้เข้าที่โลเฉียผู้บุตร แล้วว่า เสียแรงอุ้มท้องเจ้ามาถึงสามปีหกเดือน ก็มิได้คิดแก่ความลำบาก หวังว่า จะได้พึ่งเจ้าผู้บุตร เมื่อเจ้ามาทำการหยาบช้าฉะนี้ มารดาก็จะพลอยตายด้วย แล้วนางฮึนสีก็ร้องไห้ร่ำไรเป็นอันมาก โลเฉียได้ยินมารดาว่าดังนั้นก็ร้องไห้แล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าเกิดมานี้ไม่เหมือนคนทั้งปวง ไทอิดจินหยินอยู่ถ้ำกิมกังตั๋งให้ข้าพเจ้ามาเกิด กำไลกับแพรนี้ก็เป็นของไทอิดจินหยิน ซึ่งเงาก๋องโกรธว่า ฆ่าเงาเปงผู้บุตรเสียนั้น หาวิตกไม่ ข้าพเจ้าจะไปหาครูให้ช่วยแก้ไขได้อยู่ บิดามารดาอย่าเป็นทุกข์เลย แล้วโลเฉียคำนับลาบิดามารดาลงมากลางบ้าน โลเฉียไหว้เทพยดา แล้วเอาธาตุดินเป็นกำลังลอยไปถึงปากถ้ำกิมกังตั๋ง ยืนคอยไทอิดจินหยินอยู่ กิมแหทองจือซึ่งเป็นเพื่อนศิษย์กันแต่ก่อนเห็นโลเฉียมา ก็เข้าไปบอกไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินก็ให้กิมแหทองจือมาพาโลเฉียเข้าไปในถ้ำ โลเฉียก็คุกเข่าลงคำนับไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินจึงถามโลเฉียว่า เราให้ไปอยู่ด่านตันตึงก๋วนแล้ว ตัวกลับมาทำไมเล่า โลเฉียจึงว่า ท่านให้ข้าพเจ้าไปอยู่ด่านตันตึงก๋วนได้เจ็ดปีแล้ว แล้วโลเฉียก็เล่าความทั้งปวงให้ไทอิดจินหยินฟังทุกประการ แล้วโลเฉียว่า เงาก๋อง บิดาเงาเปงซึ่งข้าพเจ้าฆ่าเสียนั้น จะไปทูลพระอิศวรเพลาเช้าวันนี้ ไทอิดจินหยินได้ฟังดังนั้น นิ่งรำพึงอยู่ช้านาน แล้วว่า เงาก๋องเป็นถึงพระยานาค รู้แต่จะบันดาลได้ให้ฝนและน้ำค้างตก หาเห็นเหตุว่า โลเฉีย กับเงาเปง แหมแฉ สามคนนี้เป็นเวรกันไม่ ความแต่เพียงนี้ไม่ควรจะเคืองถึงพระอิศวร ไทอิดจินหยินจึงเรียกโลเฉียเข้าไปใกล้ แก้แพรหลินที่พันตัวออกเสีย เขียนยันต์ลงที่หน้าผาก แล้วไทอิดจินหยินก็บอกอุบายให้โลเฉียต่าง ๆ โลเฉียก็คำนับลาไทอิดจินหยินไป ณ โก๋เต๊กหมึง ภาษาไทยว่า ประตูไกรลาส
ขณะเมื่อโลเฉียไปถึงนั้นเพลาเช้าตรู่ โก๋เต๊กหมึงยังไม่เปิด โลเฉียก็แอบชะง่อนเขาคอยอยู่
พอเงาก๋องมาถึง มิได้เห็นโลเฉีย ก็เข้าไปยืนอยู่ที่โก๋เต๊กหมึง โลเฉียก็เอากำไลตีเงาก๋องเซไป โลเฉียได้ที ก็ตามตีซ้ำเติมไป จนเงาก๋องล้มลง โลเฉียก็โจนขึ้นเหยียบอกไว้ เงาก๋องจึงว่า อ้ายลูกเล็กฟันน้ำนมยังไม่หมด บังอาจฆ่าเงาเปงแหมแฉเสีย แล้วยังตามมาทำร้ายกูอีกเล่า แล้วด่าโลเฉียเป็นข้อหน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/183หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/184หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/185หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/186หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/187หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/188หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/189หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/190หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/191หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/192หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/193หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/194หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/195หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/196หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/197หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/198หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/199หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/200หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/201หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/202หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/203หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/204หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/205หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/206หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/207หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/208หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/209
หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/211หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/212หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/213หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/214หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/215หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/216หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/217หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/218มาเสพย์สุราเล่นให้สบายใจเถิด แล้วซงอิหยินก็ยุดมือเกียงจูแหยพาไปเสพย์สุราที่สวนดอกไม้ข้างหลังตึก เกียงจูแหยกับซงอิหยินกินสุราแล้วพากันไปชมสวน เกียงกูแหยเห็นที่แห่งหนึ่งกว้างเปล่าอยู่ จึงว่ากับซงอิหยินว่า ที่นี่กว้างขวางควรที่จะปลูกเหงาเก๋งเหาห้าห้อง ซงอิหยินจึงว่า ท่านมาว่าให้เราปลูกเหงาเก๋งเหลา ท่านรู้จักแผนที่ดีและร้ายหรือ ที่นี้เราปลูกลงไปไหม้เสียถึงสี่ห้าครั้งแล้ว เกียงจูแหยจึงว่า เรารู้จักแผนที่และฤกษ์ยามอยู่ เมื่อท่านจะปลูก เราจะช่วยให้ฤกษ์
ครั้นถึงวันจะปลูก เกียงจูแหยก็นั่งอยู่กับซงอิหยิน ให้จัดแจงที่จะปลูกเหงาเก๋งเหลา พอเกิดพายุใหญ่หอบเอาศิลาและกรวดทรายปลิวไป แล้วเกิดเป็นเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากแผ่นดิน มีปิศาจห้าตนเกิดขึ้นกลางกองไฟ เกียงจูแหยจึงร่ายมนตร์เสกน้ำสาดไป แล้วถอดกระบี่ออกจากฝักเงื้อขึ้นจะฟันปิศาจ ปิศาจกลัว นั่งลงยกมือไหว้ร้องขอโทษตัว เกียงจูแหยจึงเขียนยันต์ปิดลงกลางศีรษะปิศาจทั้งห้าตนแล้วว่า เอ็งอย่าอยู่ที่นี่ จงไปอยู่เขาซายจีซัวเถิด ปิศาจก็ลาไป ซงอิหยินก็ให้ปลูกเหงาเก๋งเหลาจนแล้ว เกียงจูแหยจึงว่า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจะหาที่อยู่มิได้ ท่านช่วยหาให้สักแห่งหนึ่ง จะได้อาศัยเป็นหมอดูอยู่ทำมาหากิน ซงอิหยินจึงว่า ที่ของเรามีอยู่แห่งหนึ่งที่ในเมือง ท่านจงไปอยู่เถิด แล้วซงอิหยินก็ให้ผู้คนไปช่วยปลูกโรงให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยไปอยู่ได้ประมาณสี่เดือนห้าเดือน หามีผู้ใดมาจ้างดูไม่
ขณะนั้น มีเล่าเขียนผู้หนึ่งหน้าตาคมสัน สูงหกศอกเศษ เป็นคนจน เที่ยวหาบฟืนขาย พอมาถึงหน้าร้านจึงแวะเข้ามาหาให้เกียงจูแหยดูจะมีลาภบ้างหรือไม่ เกียงจูแหยจึงทายว่า วันนี้ ท่านไปข้างทิศใต้เถิด จะพบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ จะซื้อฟืนท่านเป็นเบี้ยร้อยยี่สิบอีแปะ แล้วจะได้กินเหล้าสองชามกับของหวาน เล่าเขียนก็ลาไป พบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ เรียกเข้าซื้อฟืนแล้วให้เหล้ากับของหวาน แล้วเล่าเขียนก็กลับมาบอกเกียงจูแหยว่า ท่านดูแม่นดังเทวดา ข้าพเจ้าไปขายฟืนได้ลาภสมดังคำท่าน เกียงจูแหยจึงว่า เอาค่าจ้างดูมาให้เราบ้าง เล่าเขียนรับปากว่าจะให้ แต่มือไม่หยิบ ครั้นเกียงจูแหยซ้ำเตือน จึงนับอีแปะให้ยี่สิบแล้วก็ลาไป กิตติศัพท์อันนั้นก็เลื่องลือว่า เกียงจูแหยดูแน่ หญิงชายชาวเมืองมาหามิได้ขาด เกียงจูแหยได้ค่าจ้างดู ค่อยมีอันจะกิน
ฝ่ายปีแป๋ ปิศาจซึ่งหนึงวาสีให้มาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องนั้น เข้าอาศัยอยู่ในกุฏิศพเก่าแก่แห่งหนึ่งข้างประตูทิศใต้ แล้วเข้าไปหานางขันกีในวังอยู่ด้วยกันหลายวัน เวลาค่ำวันหนึ่ง พากันไปกินนางสาวใช้ ทิ้งกระดูกไว้ริมสระสวนดอกไม้ อยู่มาวันหนึ่ง ปีแป๋ปิศาจลานางขันกีออกจากวังจะไปที่อาศัย มาถึงกลางทาง เห็นหญิงชายชาวเมืองชักชวนกันจะไปให้หมอดู ปีแป๋ปิศาจได้ยินก็ตกใจ กลัวหมอจะรู้ว่า เป็นปิศาจมาอาศัยอยู่ในกุฏิ จะมาทำอันตราย จำกูจะไปทดลองลวงให้ดู จะแน่จริงหรือไม่แน่ ปีแป๋ปิศาจจึงจำแลงเป็นหญิงสาวน้อยเดินปนไปกับหญิงชายชาวเมือง ครั้นมาถึงที่เกียงจูแหย ปีแป๋ปิศาจจึงว่ากับคนทั้งปวงว่า ข้าพเจ้ามีธุระร้อนจะด่วนไป จะขอให้ท่านดูก่อน เกียงจูแหยเห็นหญิงสาวนั้นตาแดงดุจแสงไฟ ก็รู้ว่า เป็นปิศาจจะแกล้งมาลองความรู้ตัว เกียงจูแหยจึงคิดว่า จำกูจะฆ่าปิศาจเสียให้ตาย พอปีแป๋ยื่นมือมาให้ดู เกียงจูแหยเห็นก็ฉวยเอาข้อมือไว้ ปีแป๋ก็แสร้งทำมารยาร้องว่า ตัวเราเป็นหญิง ท่านดูแล้วเหตุใดยังหาปล่อยมือเราไม่ คนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ว่า จีนแสเป็นคนสูงอายุ เราท่านนับถือ มาทำดังนี้ไม่ชอบ เกียงจูแหยจึงว่า หญิงคนนี้เป็นปิศาจ มิใช่มนุษย์ ว่าแล้วก็เอาหินฝนหมึกต่อยศีรษะปีแป๋ปิศาจล้มลงกับที่ พอปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ จะเข้าไปในวัง มาถึงได้ยินหญิงชายร้องว่า เกียงจูแหย หมอดู ฆ่าคนตาย จึงแวะเข้าดู เห็นหญิงศีรษะแตกล้มลงอยู่กับหน้าร้านเกียงจูแหย เกียงจูแหยยังยุดข้อมือไว้ ปิกันจึงถามว่า เหตุใดตัวจึงฆ่าคนเสีย เกียงจูแหยจึงว่า หญิงผู้นี้มิใช่มนุษย์ เป็นปิศาจ ปิกันจึงว่า ตัวว่า เป็นปิศาจ ทำไมจะเห็นจริงเล่า เกียงจูแหยจึงว่า ถ้าท่านจะใคร่รู้ จงให้ไปเอาฟืนมาสุมไฟเผาหญิงผู้นี้ ก็จะได้เห็นดีและร้าย ปิกันจึงว่า ความข้อนี้ใหญ่อยู่ เราจะไปกราบทูลให้ทราบก่อน ปิกันก็ให้คนคุมเกียงจูแหยไว้ ปิกันก็รีบเข้าไปในวัง
พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกเสวยสุราอยู่กับนางขันกี ณ พระที่นั่งชมดาว ปิกันก็ขึ้นไปเฝ้าทูลความตามถ้อยคำเกียงจูแหยให้ทราบทุกประการ ฝ่ายนางขันกีนั่งริมสุราถวายอยู่ ได้ยินปิกันกราบทูลก็รู้ว่า ปีแป๋ พรรคพวกของตัว ก็ตกใจ จึงคิดว่า ปีแป๋ออกไปที่อยู่ ไม่พอที่จะซุกซนไปให้หมอดูเขาจับได้
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้หาตัวหมอกับปิศาจเข้ามาหน้าที่นั่ง ให้เอาฟืนมากองไว้ เกียงจูแหยจึงจับสายสิญจน์ลงเลขยันต์วงรอบกองฟืน แล้วเอาตัวปีแป๋ปิศาจวางลง เอาฟืนทับ จึงจุดไฟไหม้ฟืนโทรม ตัวปีแป๋ปิศาจหาไหม้ไม่ ลุกยืนขึ้นกลางกองไฟชี้หน้าว่ากับเกียงจูแหยว่า ตัวท่านกับเราแต่ชาติก่อนชาตินี้ก็หามีข้อพยาบาทกันไม่ เหตุไรจึงมาทำกับเราดังนี้ พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้น ผันพระพักตร์มาตรัสถามนางขันกีว่า มันเป็นปิศาจจริง จนเอาไฟเผาก็ยังไม่ไหม้ กลับลุกยืนขึ้นตัดพ้อหมออีก เกียงจูแหยเห็นปิศาจกล้าฆ่ามิตาย จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เชิญเสด็จถอยไปให้ห่าง แล้วร่ายมนตร์บันดาลเป็นพายุฝนตกฟ้าผ่าลงตรงกองไฟ ครั้นฝนหาย แลดูหาเห็นหญิงปิศาจไม่ เห็นแต่รูปกระจับปี่ปีแป๋อยู่กลางกองเถ้า นางขันกีเห็นดังนั้นก็ขัดใจ คิดว่า หมอนี้จำจะคิดฆ่าเสียให้ได้เร็ว ๆ ถ้าละไว้นานไปจะเป็นศัตรู แล้วแสร้งทำมารยาดีใจหัวเราะว่า หมอคนนี้มีความรู้ดีนัก ควรที่จะเลี้ยงให้เป็นขุนนางทำราชการ และกระจับปี่นี้เป็นของเกิดขึ้นชอบกลอยู่ ข้าพเจ้าจะขอเอาไว้ดีดเล่น พระเจ้าติวอ๋องก็เรียกเอากระจับปี่มาให้นางขันกี แล้วตั้งเกียงจูแหยให้เป็นแหไต้หูสีเทียมก้าม ขุนนางผู้ใหญ่ ประทานเสื้อหมวกเครื่องสำหรับยศให้ตามบรรดาศักดิ์ ฝ่ายนางขันกีก็เอาปีแป๋ไปไว้บนที่เตียะแซเหลา วางไว้ให้ถูกแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ บูชาทุกเช้าเย็น ไปข้างหน้าอีกห้าปี ปีแป๋ก็จะได้เกิดเป็นคนชื่อ นางอึงกุยหยิน จะได้เป็นมเหสีที่สามพระเจ้าติวอ๋อง
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกพระที่นั่งเตียะแซเหลากับนางขันกี เสวยสุราอยู่ จึงสั่งให้พวกพนักงานทำมโหรีขึ้น แล้วให้นางขันกีขึ้นรำร้อง นางนักสนมทั้งปสงก็นั่งฟังพร้อมกันอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสชมว่า นางขันกีทำเพลงขับรับมโหรีเพราะนักหนา นางสนมทั้งปวงใครฟังเพราะหรือไม่ นางสนมพวกหนึ่งก็กราบทูลสรรเสริญว่า ขับเพราะ แต่นางสนามพวกหนึ่งเจ็ดสิบห้าคนเป็นพวกเจียงเหนียวที่ตาย ต่างคนคิดถึงนาย หน้าตาโศกเศร้า นิ่งเสีย หาได้กราบทูลว่าเพราะไม่ นางขันกีจึงว่า อีเหล่านี้มึงชังกู มึงยังจะคิดถึงนายมึงซึ่งทำผิดโทษถึงตายให้ฆ่าเสียนั้นหรือ ว่าแล้วก็กราบทูลว่า อีพวกเหล่านี้จะเลี้ยงไว้ในพระราชวังเห็นจะไม่ได้ นานไปก็จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้เอาพวกสนมเจ็ดสิบห้าคนไปประหารชีวิตเสีย นางขันกีจึงกราบทูลว่า อย่าประหารชีวิตด้วยหอกดาบเลย ขอให้ขุดหลุมให้ลึกสักยี่สิบยา กว้างสี่สิบแปดวา ที่ตรงหน้าเตียะแซเหลา แล้วป่าวร้องให้ราษฎรจับงูมาบ้านละสี่ตัวห้าตัวปล่อยลงไว้ในหลุดมขุด จึงเอาอีเจ็ดสิบห้าคนทิ้งลงไปให้งูกินเสียให้หมด เบื้องหน้าไปจะไม่ได้ดูเยี่ยงอย่างกัน พระเจ้าติวอ๋องกำลังรักนางขัน ก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ขุดเหวและป่าวร้องราษฎรจับงูมาใส่
ขณะนั้น ชาวเมืองทั้งปวงก็ไปเที่ยวคล้องงูได้ใส่ข้องเดินมาตามทาง พอเสี้ยงไต้หู เกาเก๊ก ขุนนางผู้หนึ่ง เห็นจึงร้องเรียกเข้ามาถามว่า เอ็งทั้งปวงพากันจับงูใส่ข้องใส่ตะกร้ามาทำไม ชาวเมืองบอกว่า มีรับสั่งให้เอาไปปล่อยส่งในวัง จะทำประการใดข้าพเจ้ามิได้รู้ เสี้ยงไต้หูได้ฟังก็สงสัย จึงรับเข้าไปในวัง สืบดูรู้ความชัด จึงกลับมาบ้าน ไม่มีความสบาย นอนเป็นทุกข์ถอนใจใหญ่อยู่
ฝ่ายชาวเมืองจับงูไปปล่อยในเหวสิ้นทุกบ้านแล้ว พระเจ้าติวอ๋องก็ให้เอานางสนมเจ็ดสิบห้าคนไปทิ้งลงในเหวให้งูกิน พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จนั่งทอดพระเนตรดูเล่นอยู่กับนางขันกี ณ ตำหนักเตียะแซเหลา ฝ่ายเสี้ยงไต้หูก็คิดทำเรื่องราวเข้าไปเฝ้า ณ ข้างใน พระเจ้าติวอ๋องกำลังทอดพระเนตรดูงูกินนางสนามอยู่กับนางขันกี พอแลเห็นเสี้ยงไต้หูเข้ามาเฝ้า ก็ทรงพระโกรธ ตรัสว่า เรามิได้ให้หา และตัวบังอาจเข้ามาผิดตำแหน่งดังนี้ จะว่าประการใด เสี้ยงไต้หูร้องไห้พลางกราบทูลว่า ข้าพเจ้าทำล่วงเกินทั้งนี้โทษถึงสิ้นชีวิต แต่น้ำใจข้าพเจ้าสัตย์ซื่อต่อพระองค์ พระองค์เอานางสนมทิ้งลงในเหวให้งูกินเล่น แล้วก็ไม่เสด็จออกว่าราชการบ้านเมือง ทำให้ผิดประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า อีคนเหล่านี้จะเฆี่ยนตีทำอย่างไรมันก็ไม่ฟัง จึงเอาใส่เหวให้งูกิน ความทั้งนี้มันเกิดขึ้นริมตีนมือเรา กงการอะไรของมึง อ้ายนี่ใจใหญ่บังอาจเข้ามาเซ้าซี้สั่งสอนกูอีกเล่า แล้วสั่งบูซูให้ถอดเสื้อหมวกเสี้ยงไต้หูออกเสีย เอาตัวไปทิ้งลงในเหวให้งูกิน เสี้ยงไต้หู เกาเก๊ก ก็ขัดใจ ลุกขึ้นยืนชี้หน้าว่า ติวอ๋องเป็นคนใจบาปหยาบช้า กลับจะให้ฆ่าเราเสียอีกเล่า บูซูก็เข้าคร่าเอาตัวเสี้ยงไต้หู เกาเก๊ก ไปทิ้งลงในเหว เสี้ยงไต้หูก็ด่าพระเจ้าติวอ๋องจนบูซูทิ้งลงในเหวขาดใจตาย พระเจ้าติวอ๋องจึงยื่นพระหัตถ์ไปลูบหลังนางขันกี ตรัสชมว่า เจ้าคิดทำเหวใส่งูไว้สำหรับทำโทษคนผิดดีนัก ตั้งแต่นั้นมา นางสนมทั้งปวงต่างคนระวังตัวกลัวนางขันกีจะเอาผิด เวลาวันหนึ่ง นางขันกีทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ขอให้ขุดสระสองข้างเหวซึ่งปล่อยงูนั้น สระข้างซ้ายให้ก่ออิฐโบกปูน แล้วตวงน้ำสุราใส่ให้เต็มสระ สระข้างขวาให้ก่อภูเขาปลูกต้นไม้ แล้วเอาเนื้อสุกร กวาง ทราย มาแขวนไว้ที่กิ่งไม้ให้ทานแร้งกากิน จะได้เป็นกุศลแก่พระองค์ พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้ทำตามคำนางขันกี ครั้นเวลาค่ำดึกสงัดคน นางขันกีก็หายตัวไปตามลมเที่ยวบอกปิศาจพวกพ้องว่า เวลาพรุ่งนี้ จงพากันแปลงกายเป็นเป็นแร้งกาเข้าไปกินสุราและเนื้อในเมืองจิวโก๋จงทุกวัน แล้วนางขันกีก็กลับเข้าวัง ครั้นเช้า ปิศาจทั้งปวงก็พากันแปลงตัวเป็นกา เหยี่ยว แร้ง นกตะกรุม รุมกันมากินเนื้อและสุราเป็นผาสุกทุกวันไป นางขันกีก็พาพระเจ้าติวอ๋องมาทอดพระเนตรเล่น
อยู่มาวันหนึ่ง นางขันกีคิดจะฆ่าเกียงจูแหยซึ่งเป็นที่แหไต้หูสีเทียนก้าม จึงเขียนแผนที่พระที่นั่งลกไต๋เข้าไปถวายให้ทอดพระเนตร แล้วทูลว่า พระที่นั่งลกไต๋นี้เสาทำด้วยแก้ว บานพระแกลฝาผนังทำด้วยมรกต และไพฑูรย์ ศิลา ทอง แก้วต่าง ๆ ถ้าพระองค์สร้างขึ้นไว้ จะได้ลือชาปรากฏแก่ราษฎรหัวเมืองทั้งปวง ถึงวันดีคืนดีจะได้ขึ้นไปทำสักการบูชาแก่เทพยดา เทพยดาก็จะมาเที่ยวเล่นชมปราสาทและให้พรพระองค์ พระองค์ก็จะจำเริญมีพระชันษาได้พันปี พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เจ้าคิดนี้ดีนัก จะได้ผู้ใดเป็นนายช่างตกแต่งทำลกไต๋ดี นางขันกีจึงทูลว่า ซึ่งผู้จะทำได้นั้นเห็นแต่เกียงจูแหยซึ่งโปรดให้เป็นที่แหไต้หูสีเทียนก้ามผู้เดียวจะทำได้ จึงรับสั่งให้หาเกียงจูแหย ผู้รับสั่งไปพบเกียงจูแหยอยู่ ณ บ้านปิกัน จึงเข้าไปคำนับบอกว่า มีรับสั่งให้หาท่านแหไต้หูสีเทียนก้าม ปิกันได้ฟังคิดสงสัยว่า จะให้หาเกียงจูแหยเข้าไปด้วยราชการสิ่งใด เกียงจูแหยจึงว่า วันนี้ กรรมมาถึงข้าพเจ้าแล้ว จะขอลาท่านไป บุญคุณท่านมีอยู่กับข้าพเจ้ามากนักหนา เมื่อใดจะได้กลับมาแทนคุณท่าน ตั้งแต่นี้ นานจะได้พบกัน ปิกันจึงว่า ท่านรู้ความอย่างนั้น จงอย่าเพ่อเข้าไปเฝ้า จงยับยั้งฟังดีร้ายอยู่สักเวลาก่อนจะเป็นไร เกียงจูแหยจึงว่า ถึงจะยับยั้งอยู่ก็เห็นไม่พ้นภัย เมื่อกรรมชาติก่อนได้ทำมา ก็จะก้มหน้าไปตามกรรม เกียงจูแหยจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง เอาหินฝนหมึกทับไว้บนโต๊ะที่ไว้พระ แล้วว่ากับปิกันว่า ถ้าท่านมีกิจสุขทุกข์ไปเมื่อหน้า จงเปิดดูทำตามหนังสือเถิด ว่าแล้วก็คำนับลาไป ปิกันก็ยุดมืดไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะไปด้วย ถ้าขัดข้องสิ่งใดจะได้แก้ไขกัน เกียงจูแหยจึงว่า ท่านอย่าเป็นกังวลกับข้าพเจ้าเลย จงอยู่รักษาบุตรภรรยาเถิด ว่าแล้วเกียงจูแหยก็เข้าไปเฝ้ากับผู้รับสั่ง ณ พระที่นั่งเตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องก็ให้ดูแผนที่อย่างที่นั่งลกไต๋ จึงตรัสว่า เราจะให้ท่านเป็นนายช่างทำลกไต๋นี้ สักกี่เดือนจึงจะแล้ว เกียงจูแหยจึงคิดว่า บ้านเมืองนี้นานไปเบื้องหน้าก็จะเป็นจลาจล ที่ไหนกูจะได้อยู่ในเมืองนี้ จะรับทำหาต้องการไม่ คิดแล้วจึงแกล้งทูลว่า อันอย่างพระที่นั่งลกไต๋นี้ยากนัก ทำสามสิบห้าปีจึงจะแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังจึงผินพระพักตร์มาตรัสกับนางขันกีว่า เจ้าได้ยินหรือไม่ เกียงจูแหยเขาว่า ทำลกไต๋กว่าจะแล้วถึงสามสิบห้าปี คนเราทุกวันนี้อายุจะยืนไปสักกี่มากน้อย กว่าพระที่นั่งลกไต๋จะแล้ว เราก็จะตายเสีย ปลูกขึ้นไว้ทำไม ไม่ต้องการ นางขันกีจึงทูลว่า เกียงจูแหยแกล้งบิดพลิ้ว หาสามิภักดิ์ต่อพระองค์ไม่ พูดจาขัดรับสั่งดูถูกพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้ลงพระราชอาญาตามโทษเถิด พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า ชอบแล้ว จึงให้บูซูจับตัวเกียงจูแหยไว้ เกียงจูแหยจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอกราบทูลที่ขัดข้องเสียให้ทราบก่อน ซึ่งพระองค์จะให้สร้างพระที่นั่งลกไต๋นี้เป็นการใหญ่โตนัก ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความยากแค้นหามีความสุขไม่ ข้าพเจ้าจึงได้ทูลขัด และพระองค์จะมาหลงด้วยสตรี เสวยแต่สุรา มิได้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ที่สัตย์ซื่อจะเพ็ดทูลเตือนพระสติ พระองค์ก็มิได้เชื่อฟัง หลงเชื่อแต่คนพาลพูดสอพลอคอยยุยง พระองค์หารู้ว่าจะมีอันตรายต่อพระองค์ไม่ ใช่จะเป็นกษัตริย์ได้แต่พระองค์เดียว ผู้อื่นที่มีบุญก็จะเป็นกษัตริย์ได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าสงสารแต่พระองค์ เห็นว่า จะครองราชสมบัติไปไม่ยืดยาวแล้ว
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ด่าว่า อ้ายคนนี้พูดจาหยาบช้านัก บูซูจงจับตัวเอามีดแหวะปากเชือดลิ้นเสียให้ลำบาก บูซูก็พากันเข้าจับตัวเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็สะบัดมือบูซูหลุดหนีลงจากที่เตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องก็ร้องสั่งให้เร่งจับตัวให้ได้ เกียงจูแหยวิ่งหนีมาถึงคลองน้ำสะพานข้ามแห่งหนึ่ง พอบูซูตามมาทันจะเข้าจับตัว เกียงจูแหยจึงว่า มึงอย่ามาจับกูเลย กูหากลัวไม่ ว่าแล้วก็ร่ายมนตร์โดดลงในน้ำประดาน้ำดำดินหนีไป บูซูก็เอาเนื้อความเข้ามากราบทูลว่า เกียงจูแหยโดดน้ำหนีไป จะเป็นตายประการใดหาทราบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า มันมีความรู้โดดน้ำหนีไปได้ก็ช่างมัน แล้วผันมาตรัสแก่นางขันกีว่า เราจะได้ผู้ใดทำลกไต๋เล่า นางขันกีจึงกราบทูลว่า ขอให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำเถิด เห็นจะได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ซินฮองถือหนังสือไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ขุนนางฝ่ายทหาร ซิงฮองก็รับสั่งออกมาจากที่เฝ้า พอพบเอียวหยิมจึงบอกว่า บัดนี้ มีรับสั่งจะให้เราไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำพระที่นั่งลกไต๋ เอียวหยิมจึงว่า เพราะจะทำที่นั่งลกไต๋ เกียงจูแหยทูลทัดทานก็เป็นโทษจนต้องโจนน้ำตาย บัดนี้ จะให้หาซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำอีกเล่า ท่านจงงดไว้ก่อน เราจะเข้าไปทูลห้ามไว้ ว่าแล้วเอียวหยิมก็เข้าไปในวัง ให้เจ้าพนักงานทูลว่า เอียวหยิมจะเข้าไปเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เอียวหยิมเข้าไปเฝ้า ณ พระตำหนักเตียะแซเหลา เอียวหยิมจึงกราบทูลว่า ทุกวันนี้ พระองค์เชื่อถือนางขันกี ขุนนางผู้สัตย์ซื่อทูลเตือนพระสติจะให้ดี ก็กลับได้ความผิด ซึ่งจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋นั้น ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความเหน็จเหนื่อยลำบากนัก ถ้าพระองค์มิเชื่อข้าพเจ้า ขืนจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ เห็นว่า พระองค์จะหาทันได้เสด็จอยู่ไม่ อนึ่ง พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังและข้าวเปลือกในเมืองหลวงก็จะบกพร่องเบาบางหาเพิ่มเติมไม่ บุนไท้สือซึ่งเป็นแม่ทัพไปเมืองปักไฮนั้นกว่าสิบปีแล้วก็ยังไม่กลับมา จะดีร้ายประการใดก็มิได้รู้ พระองค์ยังคิดบ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่กษัตริย์เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ได้หกร้อยปีเศษบ้านเมืองก็หาเป็นดังนี้ไม่ เห็นราชสมบัติจะเป็นของผู้อื่นไม่ช้าแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ จึงลุกขึ้นยืนร้องด่าว่า อ้ายเอียวหยิม มึงพูดจาหยาบช้าต่อกู แล้วสั่งบูซูให้ควักลูกตาเอียวหยิมเสีย ครั้นจะฆ่าให้มันตาย ก็คิดถึงความชอบซึ่งได้ทำไว้แต่ก่อน เอียวหยิมจึงทูลว่า ซึ่งจะให้ควักตาข้าพเจ้านั้น ถึงจะได้ลำบากอย่างไรก็ไม่คิด คิดกลัวแต่ว่า ขุนนางทั้งปวงจะติเตียนพระองค์ได้ บูซูก็เข้าควักตาเอียวหยิมเสียทั้งสองข้าง เอียวหยิมมิได้ย่อท้อ จึงร้องประกาศแก่เทวดาว่า ข้าพเจ้าเพ็ดทูลทั้งนี้โดยความสัตย์กตัญญู เดชบุญความสัตย์ของข้าพเจ้า เทวดาจงช่วยด้วย
ขณะนั้น ร้อนไปถึงโตเต๊กจินกุ๋น เทวดาซึ่งอยู่ ณ ภูเขาแซฮองซัว จึงใช้ฮุยกิ๋มเล็กซู เทวดาผู้น้อย ให้ทำเป็นลมพายุพัดผงคลีตระหลบมืดมนไป แล้วหอบเอาตัวเอียวหยิมไปยังภูเขาแซฮองซัว ครั้นเหือดพายุแล้ว บูซูหาเห็นเอียวหยิมไม่ จึงเข้าไปกราบทูลว่า เกิดลมพายุใหญ่พัดมาหอบเอาตัวเอียวหยิมหายไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็นิ่งตะลึงอยู่
ฝ่ายเอียวหยิม เมื่อลมหบอไปแซฮองซัว โตเต๊กจินกุ๋นจึงสั่งฮุนต๋องหยี เทวดาผู้น้อย เอายาสองเม็ดมาใส่ตาเอียวหยิมข้างละเม็ด แล้วเสกมนตร์เป่า ก็บังเกิดเป็นมือออกมาจากกระบอกตาชูยื่นขึ้นไปพ้นศีรษะ ลูกตานั้นอยู่ในฝ่ามือทั้งสองข้าง ข้างขวานั้นแลตลอดถึงสวรรค์ ข้างซ้ายนั้นเห็นตลอดถึงนรก เอียวหยิมแลไปเห็นโตเต๊กจินกุ๋นยืนอยู่หน้าถ้ำ เอียวหยิมจึงถามว่า ที่นี่เป็นเมืองนรกหรือสวรรค์ โตเต๊กจินกุ๋นจึงว่า เรามิใช่มนุษย์ เรเป็นเทวดา เห็นท่านสัตย์ซื่อมั่นคงและมีใจเมตตาแก่คนทั้งปวง เราเวทนา จึงให้ไปเอาตัวท่านมาให้ลูกตาใหม่ ไปเบื้องหน้าจะได้ช่วยจิวบุนอ๋องปราบศัตรูแผ่นดิน เอียวหยิมก็คำนับกราบเทวดาแล้วว่า ท่านโปรดข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณหาที่สุดมิได้ จะขอเอาท่านเป็นครูเป็นที่พึ่งไปภายหน้า แต่นั้นมา เอียวหยิมก็อาศัยอยู่กับเทวดา ณ ถ้ำนั้น
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นมาถึงก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตรัสสั่งให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ ซ่องเฮ่าเฮ้าก็รับทำถวาย แล้วกราบทูลว่า จะทำพระที่นั่งลกไต๋ครั้งนี้การโตใหญ่นัก จะขอให้มีรับสั่งเกณฑ์ราษฎรชาวเมืองและหัวเมืองใหญ่ เอาตั้งแต่อายุสิบแปดปี มีผู้ชายอยู่เรือนหนึ่งสามคน เกณฑ์เอาสองคน ถ้ามีสองคน เกณฑ์เอาคนหนึ่ง ถ้าแต่ตัวคนเดียว ก็จะเกณฑ์เอามาใช้ให้ทำการ ที่เป็นผู้ดีมีเงินทอง ทำมิได้ ให้จ้างคนแทนตัว พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ดีแล้ว ซ่องเฮ่าเฮ้าก็เขียนหมายรับสั่งให้เกณฑ์คนในเมือง นอกเมือง และหัวเมือง มิให้ผู้ใดว่างเปล่าได้ ขณะนั้น อาณาประชาราษฎรทั้งปวงไม่เป็นอันที่จะทำไร่นาหากิน บ้างพากันอพยพครอบครัวทิ้งบ้านเรือนหนีไป ที่ยากไร้ต้องตรากตรำทำการมิได้ขาด
ฝ่ายเกียงจูแหย เมื่อประดาน้ำหนีไป ครั้นลับตาคนแล้ว ก็ผุดขึ้นเดินมาบ้างซงอิหยิน นางแปสี ภรรยา ก็ออกมารับผัว เกียงจูแหยจึงบอกว่า บัดนี้ มีรับสั่งถอดเราออกจากที่ขุนนาง แล้วเล่าความให้ภรรยาฟัง อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มิใช่เจ้านายของเรา เราพากันหนีไปอยู่เมืองไซรกีเถิด เดชบุญเราเป็นขุนนางมั่งมีไปเมื่อหน้า เจ้าก็จะได้ความสุขด้วย นางแปสีจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องตั้งให้ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีรับสั่งให้ท่านทำพระที่ลกไต๋ได้ใช้คนทั้งเมือง ถึงจะเสียเงินทองก็เงินหลวง มิใช่ของเรา จะทุกข์ร้อนทำไม ไม่พอที่จะทูลทัดทานให้เคืองพระทัย อายุท่านก็ถึงเจ็ดสิบเศษแล้ว จะมีวาสนาเมื่อไรอีกเล่า จะเป็นได้ก็แต่หมอดูจ้างเขาเลี้ยงชีวิต ซึ่งท่านจะไปนั้น เราหายอมไปด้วยไม่ ท่านจงให้หนังสือหย่าเราเสียเถิด เราจะอยู่ตามบุญตามกรรมของเรา เกียงจูแหยจึงว่า เจ้าเป็นหญิง จะรู้อะไร ชวนให้ไปได้ดีสิไม่ไปเล่า ทั้งนี้ เพราะบุญเจ้าหามีไม่ นางแปสีจึงว่า ท่านไปหาเมียที่เขามีบุญเถิด เกียงจูแหยจึงว่า เจ้าเป็นภรรยาของเรา จะไม่จามใจเราจะได้หรือ เราหาฟังไม่ นางแปสีจึงว่า ถ้าท่านขืนน้ำใจเรา เราก็จะเข้าไปฟ้องกล่าวโทษท่านให้ทราบถึงพระเจ้าติวอ๋อง
ฝ่ายซงอิหยิน กับนางซุยสี ภรรยา นั่งอยู่ในเรือน ได้ยินผัวเมียเถียงทะเลากัน ก็ออกมาห้ามว่ากับเกียงจูแหยว่า เขาขอหนังสือหย่า ก็เขียนให้เขาเสีย หาเมียใหม่ ไม่ได้หรือ เกียงจูแหยจึงว่ากับภรรยาว่า เรายังรักเจ้า เจ้าไม่รักเราแล้วก็ตามเถิด ว่าแล้วก็เขียนหนังสือหย่าให้นางแปสี นางแปสีก็รับเอา เกียงจูแหยจึงว่า เรายังมีอาลัยรักเจ้าอยู่มาก อย่ามีผัวเลย ถ้ายังไม่ตาย ไปได้ดี จะกลับมาหาเจ้า นางแปสีมิได้ว่าประการใด ได้หนังสือหย่าแล้วก็เก็บข้าวของไปอาศัยอยู่กับพี่น้อง เกียงจูแหยก็ลาซงอิหยินรีบไปเมืองไซรกี ครั้นมาถึงด่านตงก๋วน พบหญิงชายชาวเมืองจิวโก๋พาบุตรภรรยาอพยพหนีเดินร้องไห้มาตามทาง เกียงจูแหยจึงถามว่า ท่านทั้งปวงจะพากันไปไหน ชาวเมืองบอกว่า มีรับสั่งให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำพระที่นั่งลกไต๋ เกณฑ์ให้ทำการ ข้าพเจ้าทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก จึงพากันหนีออกจากเมืองมาพ้นด่านได้ห้าตำบล แล้วมาถึงด่านตงก๋วนนี้ นายด่านกักไว้จะจับส่งไปเมืองหลวง ก็จะต้องโทษตายสิ้น ข้าพเจ้าคิดถึงตัวและบุตรภรรยา จึงพากันร้องไห้ เกียงจูแหยจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าเป็นทุกข์เลย เราจะไปว่ากับนายด่านเอง แล้วเกียงจูแหยก็ใส่หมวกทำอย่างชาวบ้านเข้าไปหาเตียวฮอง นายด่าน นายด่านจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน เกียงจูแหยก็เล่าความของตัวแต่ต้นจนปลายให้เตียวฮองฟัง แล้วว่า ท่านจะส่งคนเหล่านี้เข้าไปในเมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องก็จะเอาไปทิ้งลงในเหวให้งูกินเสีย ท่านจงได้เอ็นดู อย่ากักขังไว้ ปล่อยให้เขาไปเอาบุญเถิด เตียวฮองได้ฟังก็โกรธ จึงว่า ตัวเป็นแต่หมอดู ได้เป็นขุนนาง หาคิดกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ไม่ กลับจะพูดให้เราปล่อยคนทั้งปวงให้ออกจากด่านอีกเล่า ถึงตัวท่านก็จะจับไว้อีก แต่เห็นว่า เป็นคนแก่ เวทนา ก็จะปล่อยให้ไปเอาบุญ ว่าแล้วก็ขับเกียงจูแหยออกไปเสีย เกียงจูแหยจึงออกมาบอกกับคนทั้งปวงว่า เราไปพูดกับนายด่านไม่ได้การ แต่ตัวเราเขาก็จะจับส่งเข้าไปด้วย คนทั้งปวงได้ฟังก็ร้องไห้ชวนกันยุดเกียงจูแหยไว้ อ้อนวอนว่า ท่านจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เกียงจูแหยจึงว่า ถ้าจะให้เราช่วยก็ฟังเรา เวลาค่ำวันนี้ ยามเศษ จงหลับตานิ่งอยู่ทุกคน ถ้าได้ยินเสียงลมพัดหนัก ใครตกใจลืมตาขึ้น อกจะแตกตาย เราไม่รู้ด้วย ครั้นถึงเวลายามเศษ เกียงจูแหยร่ายมนตร์เป็นลมพายุใหญ่พัดทั้งสี่ทิศ เตียวฮอง นายด่าน และผู้รักษาด่านทั้งปวง ต้องมนตร์ก็ง่วงหลับสิ้นทุกคน เกียงจูแหยจึงขับให้พวกหญิงชายทั้งปวงรีบออกจากด่านหนีไปจนถึงด่านกิจุยก๋วนชั้นนอก เป็นด่านน้อย ก็หามีผู้ใดห้ามปรามไม่ ก็ตรงไปเมืองไซรกี เห็นภูมิฐานบ้านเมืองสนุกสบาย และมีที่ไร่นาเรือกสวนที่ทำกินเป็นอันมาก ก็มีความยินดี จึงสืบถามว่า ท่านผู้ใดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นได้รู้แน่ว่า ซันงีเสงเป็นผู้สำเร็จราชการ ต่างคนก็เข้าหาคำนับ แล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงหนีร้อนมาพึ่งเย็น จะขออาศัยอยู่ด้วย ซันงีเสงก็ไปบอกความแก่กองจู๊เปกอิบโค้ผู้รักษาเมืองซึ่งเป็นบุตรชายใหญ่กีเซียง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้จัดแจงที่ทางให้อยู่ทำมาหากินเป็นสุขทุกคน ที่ตัวเปล่าไม่มีภรรยาก็หาให้ แล้วแจกเงินข้าวให้ทุกเดือน
อยู่มาวันหนึ่ง กองจู๊เปกอิบโค้รำลึกถึงกีเซียงผู้บิดา จึงเรียกซันงีเสงมาปรึกษาว่า ตั้งแต่บิดาเราไปเป็นโทษติดตรุลำบากอยู่ในเมืองหลวงถึงเจ็ดปีแล้ว เรามิได้ปฏิบัติบิดาเลย เราคิดว่า จะไปเมืองจิวโก๋ จะเข้าอยู่ในตรุรับโทษแทนบิดาเรา ท่านจะเห็นประการใด ซันงีเสงจึงว่า เมื่อบิดาท่านจะไปเมืองหลวง สั่งไว้ว่า ถ้าครบเจ็ดปีแล้วจึงจะพ้นเคราะห์ได้คืนมาเมือง บัดนี้ จวนจะครบกำหนดอยู่แล้ว ท่านอย่าไปเลย ถ้าขืนไปก็จะผิดกับคำกีเซียงสั่ง ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ลุ่มหลงเชื่อถ้อยคำนางขันกี ถ้าท่านไป เห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง ขอท่านแต่งคนสนิทให้ไปสอดแนมฟังดูก่อน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า บิดเรามีบุตรชายถึงเก้าสิบเก้าคน เลี้ยงมาจนโตใหญ่ บัดนี้ บิดาได้ความทุกข์ยาก เราผู้เป็นบุตรที่หนึ่งจะนิ่งเสียไม่ได้ไปติดตาม เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูไม่ ท่านอย่าห้ามเราเลย คงจะตามไปให้ได้ เรามีของดีอยู่สามสิ่ง จะเอาไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ทูลขอบิดาเราให้พ้นโทษที่ผิด กองจู๊เปกอิบโค้ก็เข้าไปลานางไทกีผู้เป็นมารดา บอกว่า จะไปตามบิดา ณ เมืองจิวโก๋ นางไทกีจึงว่า เจ้าจะไป แล้วใครจะว่าราชการเมืองแทนเล่า กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า ข้าพเจ้าจะให้กีฮวดผู้น้องว่าแทน และการข้างนอกนั้นไว้กับเสี้ยงไต้หูซันงีเสง ถ้าการศึกไว้กับหลำจงกวด นายทหารเอก มารดาอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขอลาไป นางไทกีเห็นจะห้ามมิฟังก็ยอมให้ไป แล้วว่า เจ้าจงไปดีมาดี ระวังตัวอย่าให้มีอันตรายได้ กองจู๊เปกอิบโค้ก้คำนับลามารดา แล้วสั่งกีฮวดผู้น้องว่า เจ้าจงอยู่ว่าราชการบ้านเมือง อย่าถือแก่งแย่งกันกับพี่น้องและขุนนางทั้งปวง พี่ไปไม่ช้านัก ในสองสามเดือนจะกลับมา กองจู๊เปกอิบโค้ก็จัดแจงข้าวของผู้คนพร้อม ถึงวันดีก็ออกจากเมือง กีฮวดผู้น้องกับขุนนางทั้งปวงก็ตามไปส่งประมาณหนทางสิบโยชน์แล้วกลับมาเมือง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้ทหารถือธงทวนแห่เดินประทับรอนแรมมาตามทาง ชาวด่านออกมาคำนับรับทุกตำบลจนถึงเมืองจิวโก๋ หยุดประทับอยู่ ณ กงก๋วนห้าวัน ก็เข้าหาไจเสียงปิกัน ปิกันจึงถามว่า เจ้ามาแต่ไหน กองจู๊เปกอิบโค้คำนับแล้วก็เล่าความทั้งปวงให้ปิกันฟัง ปิกันครั้นได้ฟังก็ลุกออกมาจูงมือกองจู๊เปกอิบโค้ให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า บิดาข้าพเจ้ามาต้องโทษจำอยู่ในตรุช้านาน ข้าพเจ้าขอบุญท่านเป็นที่พึ่ง ช่วยนำเฝ้าถวายของข้าพเจ้าได้มาสามสิ่งดีนัก จะขอไถ่โทษบิดากลับไปเมือง ครั้งนี้ ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียว จงสงเคราะห์ช่วยกราบทูลแก้ไขด้วย ถ้าสืบไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้ามิตาย จะแทนคุณท่าน ปิกันจึงถามว่า เจ้าได้ของดีมาสามสิ่งนั้นคือสิ่งใด กองจู๊เปกอิบโค้จึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ซิกฮงกี คือ เจียมดีผืนหนึ่ง ลิงเผือกตัวหนึ่ง หญิงรูปงามสิบคน ปิกันจึงว่า เจียมปูนั่งถมไป เจ้าว่าเป็นของดีอย่างไร ไม่เห็นด้วย กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า เจียมผืนนี้วิเศษ เป็นของพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน ถ้าปูไว้บนรถ จะไปทิศใด รถก็ไปได้โดยไม่ต้องมีคนมีม้าชัก ถ้าคนเสพสุราเหลือขนาด เมาไม่รู้ตัว เอาเจียมผืนนี้ปูนั่งนอนแล้ว ก็สร่างหายโดยเร็ว ลิงเผือกตัวนี้ก็พูดภาษาคนรู้ ขับรำทำเพลงได้ ปิกันจึงว่า ของถวายเจ้าจัดมาดีชอบกลอยู่ เห็นจะพอพระทัยพระมหากษัตริย์ แต่ทุกวันนี้ พระองค์มิได้ออกว่าราชการ หลงใหลไปแต่เล่น ถ้าของถวายของเจ้าเข้าไป ก็จะยิ่งเพลิดเพลินสนุกหนักขึ้น แต่ตัวเจ้ามีกตัญญูจะช่วยบิดาให้พ้นโทษ เราคิดสงสาร จะพาเข้าไปกราบทูลถวายของให้ แล้วปิกันก็พากองจู๊เปกอิบโค้เข้าไปในวัง ให้ขันทีทูลเบิกเข้าไปเฝ้า กราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้ บุตรกีเซียง เอาเจียมวิเศษ ลิงเผือก หญิงรูปงามสิบคน มาถวาย จะขอรับประทานโทษบิดา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า บิดาของตัวโทษถึงสิ้นชีวิต หากเราเอ็นดู จึงมิให้ตาย แต่จำไว้ จะมาขออีกเล่า กองจู๊เปกอิบโค้ทูลว่า ถึงพระองค์มิให้บิดาข้าพระองค์พ้นโทษก็ตาม แต่ขอให้ข้าพระองค์เข้ารับโทษแทนบิดาเถิด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ตัวมิได้มีโทษ จะรับโทษแทนกันได้หรือ นางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่ ได้ยินพระเจ้าติวอ๋องตรัสอึ้งอยู่ จึงเผยมู่ลี่มองดู เห็นกองจู๊เปกอิบโค้รูปร่างงดงาม ก็คิดรัก แกล้งทำลับ ๆ ล่อ ๆ แลดูให้สบตากองจู๊เปกอิบโค้ แล้วก็เข้าไปส่งกระจกผัดหน้าแต่งตัวออกมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกนางขันกีว่า กองจู๊เปกอิบโค้มาขอโทษกีเซียงผู้บิดา นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพระองค์เมื่อยังอยู่กับบิดามารดานั้น เขาเลื่องลือกันว่า กองจู๊เปกอิบโค้คนนี้ดีดขิมดีหามีผู้ใดเสมอไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้เอาขิมมาให้กองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงกราบทูลว่า บิดาข้าพระองค์อยู่ในโทษ ข้าพระองค์เป็นทุกข์อยู่ จะมาดีดขีมขับร้องหาควรไม่ พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เราใช้ตัว จะมีใครนินทาเล่า จงดีดขิมขับไปเถิด ถ้าเพราะจริง เราจะยกโทษกีเซียงให้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ดีใจ จึงหยิบขิมมาดีดแล้วขับร้องขับย้ายลำนำถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟัง เพลินพระทัยไป สั่งให้ยกโต๊ะกับสุรามาเสวยด้วยนางขันกี นางขันกีริมสุราพลางชม้อยดูกองจู๊เปกอิบโค้เนือง ๆ แล้วก็คิดว่า พระเจ้าติวอ๋องอายุก็เข้าเรือนห้าสิบแล้ว เนื้อหนังหน้าตาก็เหี่ยวแห้ง ดีแต่มีบุญมากเป็นกษัตริย์เท่านั้น ตัวกูก็กำลังเป็นสาว กองจู๊เปกอิบโค้ก็หนุ่ม ถ้าได้เป็นผัวเมียกันจึงจะสมควร คิดแล้วแสร้งอุบายทูลว่า พระองค์จะปล่อยกีเซียงให้พ้นโทษ พ่อลูกก็จะพากันไปบ้านเมือง ข้าพระองค์เสียดาย กีเซียงเป็นนักปราชญ์สารพัดรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ก็ดีดขิมขับร้องดี คนอย่างนี้หายากนัก ถ้าปล่อยไปเสียแล้วจะได้คนที่ไหนมาใช้อีกเล่า ขอกองจู๊เปกอิบโค้ไว้ให้ฝึกสอนข้าพระองค์ให้ดีดขิมเถิด ถ้ารู้ดีแล้วจะได้ดีดถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า ตามใจเจ้าเถิด แล้วก็ตรัสสั่งให้กองจู๊เปกอิบโค้สอนให้นางขันกีดีดขิม
ฝ่ายนางขันกีครั้นได้ทีก็แกล้งรินสุราถวายให้เสวยเจ็ดจอกแปดจอก พระเจ้าติวอ๋องก็เมาจนลืมสติหาสมประดีไม่ พอเวลาค่ำ นางขันกีก็เรียกนางสนมให้ช่วยประคองเสด็จเข้าที่บรรทม แล้วนางก็เอาขิมมาสองอัน ส่งให้กองจู๊เปกอิบโค้อันหนึ่ง นางดีดอันหนึ่ง นางขันกีดีดพลาง พลางแลดูกองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า การดีดขิมนี้ยากนัก ถ้าจะเรียนให้รู้จริง ๆ จงมีความเพียรตั้งจิตเป็นใจเดียว อย่าคิดการอื่นเป็นสองใจ นัยน์ตาให้ก้มดูขิมกับสายขิม อย่าเหลียวแลไปที่อื่น คนเสพสุราเมาก็ดีดขิมไม่ได้ นางขันกีก็รับว่าจะทำ ครั้นเห็นคนว่าง คิดจะใคร่ชวนกองจู๊เปกอิบโค้ร่วมรัก แต่ทำผุดลุกผุดนั่งขยับตัวให้ท่วงทีกองจู๊เปกอิบโค้ ครั้นเห็นไม่สมคิด จึงเรียกให้ยกโต๊ะกับสุรามา แล้วเรียกกองจู๊เปกอิบโค้ว่า มากินด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้ก็คุกเข่าคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโทษ จะโปรดให้ข้าพเจ้าไปนั่งที่สูงกินโต๊ะร่วมนั้นหาควรไม่ นางขันกีจึงว่า เจ้าเป็นครู เราเป็นศิษย์ จะกินร่วมโต๊ะกันก็ได้ ไม่พอที่จะ แล้วดีดขิมก็นั่งห่างกันนัก เราดีดตามไม่ทัน จำเพลงไม่ได้ ขอขึ้นนั่งบนตักเจ้า เจ้าอุ้มเราจับมือสอน สักประเดี๋ยวก็จะรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ตกใจจนตัวสั่นแล้วว่า ถึงจะนั่งห่างกัน ถ้าตาดูหูฟังสังเกตอยู่แล้วก็จำได้ ซึ่งจะขึ้นนั่งบนตักให้จับมือสอนนั้น ข้าพเจ้ากลัวพระราชอาญานัก นางขันกีเห็นกองจู๊เปกอิบโค้สัตย์ซื่อมั่นคง ครั้นจะดับไฟเสีย ก็กลัวกองจู๊เปกอิบโค้จะไม่ตามใจ ไม่เป็นอันดีดขิม ทำแต่มารยายิ้มแย้มให้ท่วงทีอยู่ กองจู๊เปกอิบโค้เห็นนางขันกีทำดังนั้นก็คิดว่า วันนี้เป็นกรรมของเราจะถึงที่ตายเหมือนปลาเข้าอยู่ในแหแล้ว จึงว่ากับนางขันกีว่า ทุกวันนี้ ขุนนางและราษฎรทั้งปวงย่อมคำนับกราบไหว้ท่านเป็นที่พึ่งที่นับถือ สรรเสริญว่า นางเทพธิดา จะจงใจให้ข้าพเจ้าทำดังนี้หาสมควรไม่ นางขันกีได้ฟังก็มีความอายยิ่งนัก จึงสั่งสาวใช้ให้บอกกองจู๊เปกอิบโค้ว่า ถอยออกไปเสียให้ห่าง แล้วแสร้งร้องว่า ไม่พอที่พระจันทร์จะมาส่องแสง ต้องน้ำตมน้ำครำ ทำให้คนดูถูกเล่น ว่าแล้วก็เข้าไปในที่บรรทมพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องครั้นสร่างเมาสุราตื่นบรรทมเห็นนางขันกี จึงถามว่า เจ้าเรียนดีดขิมได้บ้างแล้วหรือ นางขันกีกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้หาได้ตั้งใจสอนข้าพระองค์ไม่ มีแต่พูดเกี้ยวพาน ข้าพระองค์ได้ความเจ็บอายนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ครั้นเวลาเช้า เสด็จออก ให้หากองจู๊เปกอิบโค้เข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่า เราสั่งให้สอนนางขันกีดีดขิม เหตุใดมิสั่งสอนโดยสุจริต คิดจะพูดเกี้ยวพานเล่น กองจู๊เปกอิบโค้จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะได้พูดจาเกี้ยวนางหามิได้ ถ้ามีจริงดังนั้น ขอให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต และการดีดขิมนี้ยากที่จะรู้ได้โดยเร็ว ค่อยเรียนเพียรไปจึงจะรู้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็คิดเห็นว่า กองจู๊เปกอิบโค้เป็นคนสัตย์ซื่อ มาขอโทษบิดา จะทำดังนั้นยังสงสัยอยู่ นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังไม่เอาโทษกองจู๊เปกอิบโค้ จึงกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้ได้ลิงเผือกมาถวายว่า ขับรำทำเพลงได้ ขอให้เอามาดู พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้เอาลิงเผือกเข้ามาขับรำถวาย นางขันกีเมื่อฟังลิงขับรำอยู่นั้นเคลิ้มสติม่อยหลับไป เฮาหลีปิศาจซึ่งสิงอยู่ก็กลายเป็นเสือปลา คนทั้งปวงหาเห็นไม่ แต่ลิงเผือกแลเห็น ก็วิ่งขึ้นไปจะจับตัวเฮาหลี นางขันกีตกใจ หลบเข้าแอบหลังพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นก็เอาไม้กระบองตีลิงเผือกตาย
นางขันกีได้ทีจึงทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้แกล้งเอาลิงเผือกมาจะให้ฆ่าข้าพระองค์ หากพระองค์ช่วยทัน ข้าพระองค์จึงรอดจากความตาย พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ ตรัสถามกองจู๊เปกอิบโค้ว่า เหตุใดตัวแกล้งปล่อยลิงขึ้นมาให้ทำร้ายนางขันกี กองจู๊เป๊กอิบโค้จึงทูลว่า ลิงเป็นชาติเดียรัจฉาน เห็นพระองค์เสวยผลไม้อยู่บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าต่ำสูงก็เข้าไปหยิบกินเพราะความอยาก อนึ่ง มือลิงก็หามีอาวุธถือไม่ จะว่าฆ่าคนกระไรได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ ตรัสว่า อ้ายเจ้าสำนวน เมื่อสอนให้นางขันกีดีดขิมก็พูดจาหยิกหยอก กูนิ่งเสียครั้งหนึ่งแล้ว กลับปล่อยลิงขึ้นมาจนกูเห็นแก่ตายังไม่รับ แต่แรกกูคิดว่า ดีมีกตัญญู มิรู้ ก็หาดีไม่ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังดังนั้นคิดว่า วันนี้ ที่ไหนกูจะรอดชีวิต คิดแล้วจึงด่านางขันกี อีคนพยาบาทน้ำใจพาล ไม่พอที่จะมาใส่โทษกู ว่าแล้วก็ฉวยขิมขว้างเอานางขันกี ขิมนั้นไปตกถูกโต๊ะที่เสวย ถ้วยจานแตกกระจายสิ้น พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธยิ่งนัก ตรัสสั่งบูซูให้จับกองจู๊เปกอิบโค้ไปทิ้งลงในเหวให้งูกิน นางขันกีทูลว่า โทษของกองจู๊เปกอิบโค้ทำดังนี้ อย่าทิ้งลงในเหวเลย ให้เอาตะปูตอกตรึงมือตรึงเท้า แล้วเชือดเนื้อทำไส้ขนมเปี๊ยะไปให้กีเซียงกิน ถ้ากีเซียงเป็นนักปราชญ์เหมือนคำคนเลื่องลือก็จะรู้ว่า เนื้อกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร หากินไม่ จึงให้ฆ่ากีเซียงเสียด้วย ถ้ากีเซียงกินเนื้อลูก ก็เห็นว่า เป็นคนโง่ หาต้องการที่จะฆ่าไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้เหมือนข้าคิดดีนัก จึงสั่งให้ทำตามคำนางขันกีว่า แล้วสั่งให้ขุนนางกับบูซูกำกับกันเอาขนมเปี๊ยะไปให้กีเซียงกิน
ฝ่ายกีเซียงวันนั้นเอาขิมมาดีดเล่น เสียงไม่เพราะเหมือนแต่ก่อน ก็รู้ว่า กองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตรถึงแก่ความตาย จึงว่า เพราะลูกเราไม่ฟังคำเรา ขืนมาให้เขาฆ่าตายลำบาก บัดนี้ นางขันกีจะเอาเนื้อลูกมาให้เรากิน ถ้าเราไม่กินก็จะฆ่าเสีย กีเซียงคิดแล้วก็ร้องไห้ พวกพ้องบ่าวไพร่เห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านนั่งดีดขิมอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงร้องไห้ กีเซียงก็มิได้บอกประการใด พอบูซูเอาขนมเปี๊ยะมาให้ บอกว่า เสด็จไปเล่นป่าได้เนื้อกวางเนื้อหมีมาทำขนมเปี๊ยะ รับสั่งให้เราเอามาประทาน กีเซียงกราบลงแล้วแลดูรู้ว่า เนื้อกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร จึงทำเป็นว่า รับสั่งเอาของมาพระราชทานเรานี้ หาพระคุณที่สุดมิได้ แล้วหยิบเอาขนมเปี๊ยะมากินสิ้นทั้งสามอัน กินแล้วกีเซียงก็หัวเราะ แล้วว่ากับบูซูว่า ท่านช่วยพิดทูลให้ดีด้วย ถ้ามิตายจะแทนคุณท่าน ครั้นขุนนางบูซูไปแล้ว กีเซียงก็ร้องไห้ทุกข์ร้อนถึงกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร หาเป็นกินเป็นนอนไม่
ขณะนั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ที่เหียนเก๋งเกียนตำหนักในพระราชวัง รับสั่งให้เสี้ยงไต้หูฮุยเล่นหมากรุกกันอยู่หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/247หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/248หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/249หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/250หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/251หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/252หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/253หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/254หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/255หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/256หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/257หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/258หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/259หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/260หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/261หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/262หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/263หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/264หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/265หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/266หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/267หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/268หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/269หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/270หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/271หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/272หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/273หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/274หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/275ฝ่ายฮั่นเอ๋งซึ่งเป็นนายด่านฮำจุยก๋วนแจ้งกิตติศัพท์ว่า บุนอ๋องได้เกียงจูแหยไปไว้ ก็มีหนังสือบอกไปถึงปิกัน ปิกันก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องตามหนังสือฮันเอ๋งทุกประการ แล้วว่า เกียงจูแหยเป็นคนมีปัญญา ใจกล้าหาญ เห็นจะคิดกบฏทำศึกใหญ่ ซ่องเฮกเฮ้าก็คิดกบฏอยู่เมืองตังลู้ งกจกฮูก็ยกทหารมารบอยู่ที่ด่านลำสาน ครั้งนี้ เห็นบ้านเมืองจะวุ่นวายมาก ทั้งฝนฟ้าก็ไม่ตก ไพร่บ้านพลเมืองขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ได้ความยากแค้น เงินทองในท้องพระคลังก็เบาบาง บุนไท้สือซึ่งยกไปปราบข้าศึกฝ่ายเหนือนั้นการศึกก็ยังติดพันกันอยู่ ขอให้ทรงคิดตรึกตรองจงหนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังแล้วตรัสว่า เราจะปรึกษาด้วยขุนนางผู้ใหญ่ดูก่อน
ขณะนั้น ซ่องเฮ่าเฮ้าซึ่งทำการลกไต๋ พระที่นั่งเย็น เร่งทำทั้งกลางคืนกลางวัน สองปีกับสี่เดือน การลกไต๋นั้นแล้วเสร็จ จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ดีพระทัย แล้วตรัสสรรเสริญซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ผิดจากท่านแล้ว ไม่เห็นใครจะทำการลกไต๋ให้แล้วเร็วเหมือนท่านได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงเอาความในหนังสือบอกฮั่นเอ๋งนั้นปรึกษาซ่องเฮ่าเฮ้าว่า เกียงจูแหยหนีไปอยู่เมืองไซรกี บุนอ๋องชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงทูลว่า บุนอ๋องกับเกียงจูแหยอุปมาเหมือนหิ่งห้อย จะรัศมีสว่างสักเท่าใด ไม่ช้านานก็จะมืดหายแสง ถ้าจะให้ยกกองทัพใหญ่ไปจับบุนอ๋องครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นชาวเมืองเขาจะหัวเราะเล่น อย่าได้ทรงคิดวิตกเป็นพระราชธุระอยู่เลย ขอเชิญเสด็จไปชมพระที่นั่งเย็นให้สบายพระทัยเถิด พระเจ้าติวอ๋องทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เราจะพานางขันกีออกไปด้วย จึงสั่งให้เตรียมรถพร้อมด้วยขุนนางแห่แหนเป็นอันมาก พระเจ้าติวอ๋องกับนางขันกีขึ้นนั่งในรถเดียวกัน พระสนมทั้งปวงก็ตามเสด็จไปทอดพระเนตรพระที่นั่งเย็นงามประหนึ่งวิมานฟ้า แล้วเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งเย็น พระเจ้าติวอ๋องพระราชทานสุราให้ ปิกันกับซ่องเฮ่าเฮ้ากินสุราสนุกสบาย แล้วขุนนางทั้งสองก็กราบถวายบังคมลาลงจากลกไต๋ไปบ้าน
ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุรากับนางขันกี พลางถามว่า แต่ก่อนเจ้าบอกว่า ลกไต๋นี้จะมีเทพยดานางฟ้ามาเที่ยวเล่นนั้น จะมาจริงหรือ นางขันกีจึงทูลว่า วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เทพยดาจะพานางฟ้ามาชมพระที่นั่งลกไต๋ และซึ่งนางขันกีทูลไว้แต่ก่อนนั้นหวังจะแก้แค้นแทนนางปีแป๋ จึงเขียนพระที่นั่งลกไต๋ถวาย แกล้งจะฆ่าเกียงจูแหยเสีย พระเจ้าติวอ๋องมิได้รู้กลนางขันกีก็เชื่อ จึงให้ทำลกไต๋เพื่อจะใคร่ชมนางฟ้า แต่วันนั้นมา พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้นเสวยสุราบนพระที่นั่งลกไต๋ทุกวัน ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบสามค่ำ เวลาสามยาม นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับสนิท จึงแปลงเพศเป็นปิศาจเสือปลาออกนอกกำแพงเมืองจิวก็ไปเที่ยวหาเพื่อนกัน พบฮิบี๋ ปิศาจไก่เก้าหัว ก็ดีใจ ฮิบี๋ปิศาจถามว่า พี่ไปอยู่ในพระราชวังสบายอยู่หรือ น้องอยู่ที่นี้หนาวเย็นลำบากนัก ปิศาจเสือปลาจึงว่า แต่พี่จากน้องไปอยู่ในวังกับพระเจ้าติวอ๋องก็เป็นสุขสบายอยู่ แต่คิดถึงน้องมิได้ขาด บัดนี้ พี่ทูลไว้กับพระเจ้าติวอ๋องว่า เทพยดาจะพานางฟ้าลงมาชมพระที่นั่งเย็น เจ้าจงพาพวกพ้องแปลงเป็นเทพยดาและนางฟ้าไปยังลกไต๋ จะได้กินเหล้ากับพระเจ้าติวอ๋องเล่นสนุกสบาย ปิศาจไก่เก้าหัวก็รับคำ จึงว่า ข้าจะชักชวนเพื่อนเข้าไปสามสิบเก้าคน ปิศาจเสือปลาสั่งกำชับแล้วก็กลับไปในพระราชวัง แปลงเป็นนางขันกีนอนแอบข้างพระเจ้าติวอ๋องอยู่จนสว่าง
ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องตรัสกับนางขันกีว่า พรุ่งนี้เป็นวันสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวง เห็นเทวดาจะพานางฟ้งลงมาหรือไม่ นางขันกีจึงทูลว่า เห็นจะมา ขอให้แต่งโต๊ะไว้เลี้ยงเทวดาสามสิบเก้าโต๊ะ พระองค์จะได้เสวยสุรากับเทวดา พระชันษาก็จะยืนนาน พระเจ้าติวอ๋องดีพระทัยนัก จึงถามว่า ถ้าเทวดาลงมา จะให้ขุนนางมากินโต๊ะด้วยหรือไม่ นางขันกีทูลว่า จะกินโต๊ะกับเทวดาได้แต่ขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาปิกันไปที่นั่งลกไต๋แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ เชิญอามากินเหล้ากับพวกเทวดา ปิกันได้ฟังดังนั้นจึงคิดในใจว่า เหตุไรมนุษย์จะได้มากินเหล้ากับเทวดา ผิดนัก พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงไปดังนี้ ก็ถอนใจใหญ่ แหงนหน้าดูฟ้า แล้วรำพึงว่า เห็นแผ่นดินจะไม่เป็นสุขแล้ว ปิกันก็กลับไปบ้าน
ครั้นรุ่งขึ้น วันสิบห้าค่ำ พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้แต่งโต๊ะสามสิบเก้าตั้งไว้เป็นแถว แล้วรำพึงว่า เมื่อไรจะค่ำ จะได้ดูเทวดาเล่น ครั้นพลบค่ำ ปิกันก็แต่งตัวใส่เสื้อตามยศ เข้าไปคอยอยู่ใต้พระที่นั่ง พระเจ้าติวอ๋องเห็นพระจันทร์ขึ้นสว่าง ก็ดีพระทัยดังได้แก้วสารพัดนึก จูงมือนางขันกีเสด็จเที่ยวดูเครื่องโต๊ะ แล้วทรงนั่งคอยท่าเทวดาอยู่ นางขันกีจึงทูลว่า ถ้าเทวดาพานางฟ้าลงมาแล้ว อย่าไปเสด็จทอดพระเนตรให้ใกล้ เกลือกว่า เทวดาจะตกใจไม่มาอีก
ฝ่ายฮิบี๋กับพวกปิศาจเสือปลาก็ชวนกันแปลงเพศเป็นเทวดาและนางฟ้าพากันไปยังลกไต๋ บังเกิดเสียงดังลมพัด นางขันกีจึงกราบทูลว่า เทวดามาแล้ว พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเทวดานางฟ้าใส่เสื้อหมวกสีต่าง ๆ งามดังฤษี ชอบพระทัยนัก แล้วได้ยินพูดกันว่า พวกเราลงวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องพระราชทานโต๊ะให้เรากินบนพระที่นั่งเย็นสบาย บ้านเมืองของพระองค์จงอยู่เย็นเป็นสุข ให้พระชนมายุยืนนานได้หมื่นปีเถิด
ฝ่ายนางขันกีจึงร้องสั่งให้ปิกันกินโต๊ะด้วยเทวดา ปิกันเห็นรูปโฉมเทวดาดูงาม ก็เข้าใจว่า เป็นเทวดานางฟ้าจริง จึงกระทำคำนับ ปิศาจเทวดาก็ถามปิกันว่า ท่านนี้เป็นขุนนางตำแหน่งไหน ปิกันก็บอกว่า เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน รับสั่งให้มากินโต๊ะกับท่าน เทวดาปิศาจจึงว่า เราจะให้พรแก่ท่านให้อายุยืนพันหนึ่ง ปิกันยังมิทันตอบประการใด พอได้ยินเสียงข้างในร้องเตือนออกมาว่า ให้กินโต๊ะเลี้ยงกันเถิด ปิกันก็รินสุราเชิญเทวดาสามสิบเก้าโต๊ะ พอปิกันได้กลิ่นสาบเสือปลา จึงคิดว่า เทวดาจริงแล้วก็จะมีกลิ่นหอม นี่เหม็นสาบอยู่ เห็นจะมิใช่เทวดา ปิกันคิดแล้วถอนใจใหญ่ พอนางขันกีให้เอาสุรามาเติมลงเชิญให้กินอีก ปิกันก็เชิญเทวดากินสุราจนเมา ครั้นปิศาจเมาสุราแล้ว เพศก็กลับเป็นเสือปลา ปรากฏเห็นหางออกมาจากเสื้อ ปิกันเห็นหางเสือปลาก็รู้ว่า ปิศาจแปลงเพศมา คิดละอายใจนัก ตัวเราเสียแรงเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ หารู้เท่าปิศาจไม่ จะใคร่ตายเสีย นางขันกีแอบอยู่ในมู่ลี่ เห็นปิกันยังไม่เมาสุรา พวกปิศาจเมาก่อน เกรงจะลืมตัวจะกลายเพศเป็นเสือปลาไป จึงสั่งให้ปิกันลงไปเสียจากพระที่นั่ง พวกปิศาจสามสิบเก้าครั้นกินอิ่มแล้วก็ไปสิ้น ส่วนว่าปิกันลงจากพระที่นั่งลกไต๋เดินมาพ้นกำแพงห้าชั้น ก็ขึ้นม้ามีโคมคู่หนึ่งนำหน้าม้ากลับไปบ้าน พอพบอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอเห็นปิกันลงจากม้า เข้าไปคำนับแล้วถามว่า ท่านไปไหนมาป่านนี้ ปิกันถอนใจใหญ่แล้วว่า ในเมืองเรานี้ ผีปิศาจเข้ามาอยู่มากนัก แล้วเล่าความซึ่งไปกินโต๊ะบนลกไต๋กับด้วยปิศาจให้อึ้งปวยฮอฟังทุกประการ อึ้งปวยฮอจึงว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะแก้ไขเอง เชิญท่านกลับไปบ้านเถิด อึ้งปวยฮอจึงเรียกฮุยเบ๋ง อิวกี๋ เลงหวน เหงาเขียน มา แล้วให้คุมทหารยี่สิบคนไปเที่ยวลาดตระเวนดูทั้งสี่ทิศ อิวกี๋ไปพบพวกปิศาจเมาสุราเดินโซเซออกไปเวลากลางคืน บ้างเป็นรูปคนครึ่งหนึ่ง เป็นเสือปลาครึ่งหนึ่ง ไปลงที่หลุมฝังผีนอกเมือง นายทหารทั้งสี่คนก็มาบอกอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอจึงจัดแจงคนอีกสามร้อยให้เอาฟืนและฟางไปเผาหลุมซึ่งปิศาจอาศัยนั้นเสีย
ครั้นเวลารุ่งเช้า อึ้งปวยฮอจึงมาเชิญปิกันให้ออกไปดูที่หลุมฝังผี ปิกันก็เห็นเพลิงยังติดกรุ่นอยู่ แล้วให้เขี่ยซากปิศาจ เห็นเป็นเสือปลา ยังไม่ไหม้ก็เหม็นกลิ่น ที่ไหม้เป็นเถ้าแล้วก็ไม่มีกลิ่น ที่หนังยังดีอยู่นั้นปิกันก็ให้ลอกเอามาทำเสื้อไว้จะถวายตัวหนึ่ง ครั้นฤดูหนาว พระเจ้าติวอ๋องเสวยโต๊ะอยู่กับนางขันกีบนพระที่นั่งลกไต๋ พอบังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืด ลูกเห็บตก พระเจ้าติวอ๋องชี้พระหัตถ์บอกให้นางขันกีดู ปิกันเข้าไปในวัง ให้ขันทีทูลว่า จะขอเข้าเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เข้ามา ปิกันก็เข้าไปเฝ้า นางขันกีก็ลุกไปในมู่ลี่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า วันนี้มืดมัวนัก ท่านมาด้วยราชการร้อนเป็นอย่างไรหรือ ปิกันจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์เสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ที่สูงต้องลมหนาวนัก ข้าพเจ้าเอาเสื้อขนอย่างดีมาถวาย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เป็นเทศกาลหนาว ท่านก็ชราแล้ว มีเสื้อดีไม่เอาไว้ใส่ เอามาให้เรา ขอบใจนัก ปิกันก็คลี่เสื้อออกคลุมพระองค์ให้ พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดี จึงตรัสว่า ตั้งแต่ครองสมบัติมา เสื้ออย่างนี้ยังไม่เคยใส่เลย ความชอบของอาครั้งนี้ไม่มีใครเปรียบได้ แล้วชวนปิกันเสพสุราด้วยพระองค์
ฝ่ายนางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่เห็นปิกันเอาหนังเฮาหลีปิศาจพวกพ้องทำเสื้อมาถวาย ก็มีความแค้นเคืองนัก จึงคิดว่า กูจะอุบายฆ่าปิกันเสียให้จงได้ ถ้าฆ่ามันมิได้ กูไม่ขออยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋องสืบไปเลย พระเจ้าติวอ๋องเสวยกับปิกัน ครั้นปิกันถวายบังคมลาไปแล้ว เสด็จเข้าในมู่ลี่ จึงตรัสบอกแก่นางขันกีว่า วันนี้หนาวนัก ปิกันเอาเสื้อขนมาให้ ขอบใจนักหนา นางขันกีจึงทูลว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ หาควรจะมาทรงเสื้อของขุนนางไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นด้วย จึงถอดให้เอาไว้ที่คลัง
อยู่มาวันหนึ่ง นางขันกีกินสุรากับพระเจ้าติวอ๋องบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีจึงสำแดงเพศทำมารยารื่นเริงหน้าชื่อดังดอกโบตั๋นอันบาน ทำจริตกิริยาแสดงกายให้งามขึ้นกว่าแต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราพลางเขม้นดู นางขันกีจึงทูลว่า เหตุไรพระองค์จึงเขม้นดูข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า วันนี้ ข้าดูเจ้างามขึ้นกว่าแต่ก่อนนักหนา นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้ไม่งามนัก ยังมีน้องข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อ นางฮิบี๋ บวชเรียนความรู้อยู่ที่วัดจี่เสี้ยวเก๋ง รูปร่างงามกว่าข้าพเจ้าสักร้อยส่วน พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดีนัก จึงตรัสว่า ทำไมเราจะได้เห็น นางขันกีจึงทูลว่า น้องข้าพเจ้าคนนี้มีวิชาการมาก เมื่อจะจากกันไปนั้นได้สั่งว่า ถ้าคิดถึงให้จุดธูปเทียนขึ้น แล้วก็จะเหาะมาโดยเร็ว พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย แล้วตรัสสั่งพนักงานให้แต่งโต๊ะไว้คอยท่าในค่ำวันนี้ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับเป็นเวลาสงัด นางขันกีก็กลายรูปเป็นเฮาหลี แปลว่า เสือปลา เที่ยวไปพบนางฮิบี๋ปิศาจ จึงอ้อนวอนว่า น้องอย่าอยู่ที่ซอกห้วยธารเขานี้เลย อดอยากนัก มาไปอยู่ในวังพระเจ้าติวอ๋องด้วยกันเถิด สารพัดจะบริบูรณ์ทุกประการ แล้วจะได้ช่วยกันคิดแก้แค้นปิกัน นางฮิบี๋ก็รับคำว่า ไปก่อนเถิด เวลาค่ำพรุ่งนี้เราจึงจะไป นางขันกีสั่งเสียทุกปรพการแล้วกลับมา ครั้นถึงในวัง ก็แปลงตัวเป็นคนเข้าไปนอนอยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋อง
ครั้นเวลารุ่งขึ้น พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสถามนางขันกีว่า น้องสาวเจ้านั้นมาหรือยัง นางขันกีจึงทูลว่า น้องข้าพเจ้าเป็นสาวเด็ก จะมากลางวันก็อายอยู่ ต่อเวลาค่ำจึงจะมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้น ตั้งพระทัยคอยรำพึงอยู่แต่เช้าจนเวลาเย็น แล้วตรัสบ่นว่า พระอาทิตย์เป็นไร มิรีบตกลงไปเลย พระจันทร์ขึ้นมา จะได้เห็นหน้านางฮิบี๋สำราญใจ ครั้นเวลาค่ำ ก็พานางขันกีเสด็จไปนั่งชมแสงเดือนเล่นบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีก็จุดธูปเทียนขึ้นตามคำที่ทูลไว้ ครั้นเวลาสามยามเศษ บังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืดไปทั้งอากาศ เสียงดังประหลาด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เหตุไรจึงเป็นดังนี้เล่า นางขันกีจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้เห็นว่า นางฮิบี๋ น้องข้าพเจ้า จะแผลงฤทธิ์ขี่เมฆมาทางอากาศ นางทูลยังมิทันจะขาดคำ ก็ดห็นนางฮิบี๋มาทางอากาศ จึงเชิญพระเจ้าติวอ๋องให้เสด็จเข้าในมู่ลี่ เมฆหมอกที่มืดมัวในอากาศก็หายไป แสงเพลิงในพระตำหนักก็สว่างเป็นปรกติ
ฝ่ายฮิบี๋ ครั้นมาถึงพระที่นั่งลกไต๋ ก็เข้าไปหานางขันกี นางขันกีก็ต้อนรับคำนับกัน แล้วนั่งรินน้ำชาสู่กันกิน ต่างพูดจาแย้มยิ้มโดยมารยา นางขันกีจึงว่า ข้าจะให้เจ้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องในมู่ลี่ นางฮิบี๋ทำอายแล้วจึงว่า ข้าเป็นหญิง ทั้งรักษาศีลอยู่ จะให้ไปหาผู้ชายนั้นกลัวนัก ไปไม่ได้ นางขันกีจึงว่า เจ้าอย่ากลัวเลย พระเจ้าติวอ๋องเป็นผัวข้าก็เหมือนเป็นพี่ของเจ้า ซึ่งจะถือว่าเป็นหญิงไปหาชายนั้นไม่ชอบ นางฮิบี๋แสร้งทำนั่งก้มหน้ายิ้มอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ในมู่ลี่ ทอดพระเนตรเห็นนางฮิบี๋ใส่เสื้อแดงดูงาม ดวงหน้าเป็นนวลดังดอกโบตั๋นอันบาน ลักษณะนางแต่ละสิ่งงามกว่าสตรีทั้งปวง แต่พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรชมพลางแล้วนึกว่า แม้นเราได้นางฮิบี๋เป็นเมียสมความคิดแล้ว ถึงจะเป็นไพร่ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ก็ตามเถิด นางขันกีชายตาดูเห็นพระเจ้าติวอ๋องแลตะลึงหลงรักรูปนางฮิบี๋สมคิดแล้ว จึงว่ากับนางฮิบี๋ว่า เจ้าจงนั่งอยู่ที่นี่ ข้าพจะไปผลัดเสื้อเสียสักประเดี๋ยวหนึ่งก่อน ว่าแล้วก็ลุกไป พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกมาจากมู่ลี่ นั่งลงใกล้นางฮิบี๋ รินสุราส่งให้ นางฮิบี๋รับสุรามากินแล้วจึงว่า พระองค์พระราชทานสุราให้ข้าพเจ้านี้ พระคุณหาที่สุดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสัพยอกยึดเอาข้อมือนางฮิบี๋ นางฮิบี๋ทำมารยาโดยเพศสตรี แต่มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมแสงเดือนเล่นข้างนอกด้วยกัน จะไปหรือไม่ นางฮิบี๋ก็รับว่าจะไป พระเจ้าติวอ๋องก็ยึดบ่านางฮิบี๋พาเดินเที่ยวชมแสงเดือนเล่นตามสบาย แล้วตรัสปราศรัยว่า เจ้ารักษาศีลทรมานกายอยู่ที่จี่เสี้ยวเก๋งทำไม จงมาอยู่ในวังกับนางขันกีเถิด ข้าจะเลี้ยงเจ้าเป็นมเหสีให้เป็นสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสัพยอกต่าง ๆ นางฮิบี๋ก็มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องก็พานางฮิบี่เข้าที่บรรทม ฝ่ายนางขันกีทำเป็นโกรธ แกล้งเดินเข้าไปถึงในที่ แล้วว่ากับนางฮิบี๋ว่า เจ้ามาทำการดังนี้เห็นชอบแล้วหรือ นางฮิบี๋ก็ก้มหน้านิ่งอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าอย่าโกรธอื้ออึงไปเลย นางฮิบี๋เป็นน้องของเจ้า ข้าจะทำนุบำรุงเลี้ยงไว้อยู่เป็นเพื่อนกันกับเจ้าให้มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสั่งให้ยกโต๊ะมาเสวย แล้วชวนนางขันกีกับนางฮิบี๋เข้ากินด้วยกัน แล้วก็บรรทมด้วย แต่พระเจ้าติวอ๋องมิได้เสด็จออกหลายวัน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยถึงเวลามาเตรียมเฝ้าตามเคย ไม่เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ต่างคนจึงพูดกันว่า บัดนี้ เจ้านายก็หลงไปด้วยนางขันกี นางฮิบี๋ ไม่เสด็จออกว่าราชการเลย เราจะทำประการใดดี แต่เรามาเตรียมอยู่ทุกวันก็มิได้เฝ้า ราชการถ้อยความก็ค้างเกินเป็นอันมาก ปรึกษากันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายบูเสงอ๋องผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่า พระเจ้าติวอ๋องหลงอยู่ด้วยนางขันกี นางฮิบี๋ ปิศาจ ไม่ออกว่าราชการบ้านเมือง นานไปเห็นแผ่นดินจะไม่เป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน ก็มีความวิตกนัก จึงคุมทหารสี่สิบแปดหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ก็ไปรักษาอยู่ ณ เมืองโตเสีย เป็นเมืองด่านใกล้เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ข่าวเกียงบุนฮวน เจ้าเมืองตะวันออก ยกทหารมาตั้งอยู่ ณ เขาแอหมาเนีย จะเข้าตีเอาตินตงก๋วน ด่านเมืองจิวโก๋ จึงสั่งอึ้งจงเบ๋งกับฬ่อหยงให้คุมทหารสิบหมื่นไปป้องกันรักษาอยู่ ณ ด่านตินตงก๋วน แล้วบูเสงอ๋องก็กลับมาเมืองจิวโก๋
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องสาละวนแต่ชมเชยนางขันกี นางฮิบี๋ ทั้งกลางวันกลางคืน ลุ่มหลงไป มิได้เสด็จออกว่าราชการ วันหนึ่ง นางขันกีนั่งบอยู่กับพระเจ้าติวอ๋อง จึงแสร้งทำอุบายล้มลงแล้วนิ่งไป พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นก็ตกพระทัย พระเสโทไหลลงโซมองค์ พระพักตร์ซีดเผือดไป แล้วเสด็จนั่งริมตัวนางขันกี เห็นนางขันกีรากโลหิตออกมาก้อนหนึ่ง จึงตรัสว่า แต่นางขันกีอยู่กับเราก็นานแล้ว ไม่เคยเห็นเป็นโรคดังนี้เลย จะคิดอ่านรักษาประการใดดี นางฮิบี๋จึงทูลว่า แต่ก่อนนางขันกีเมื่ออยู่บ้านเมือง โรคเช่นนี้ก็เคยเป็น แต่ได้เตียวห้วน หมอซึ่งอยู่เมืองกีจิว มารักษา เอาตับมังกรต้มให้รับพระราชทาน จึงหายโรค พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เราจะให้ไปเอาตัวเตียวห้วนมารักษา นางฮิบี๋จึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ไปหาหมอถึงเมืองกีจิวนั้นเห็นไกลนัก ทางทั้งไปทั้งมาสักเดือนหนึ่งจึงจะได้รักษา ข้าพเจ้าเห็นว่า นางขันกีจะตายเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่า หมอที่นี่ก็มีอยู่ ขอให้เอามารักษาก็เห็นจะได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า หมอที่เมืองนี้มีใครดี เจ้ารู้จักตัวหรือ นางฮิบี๋จึงว่า ข้าพเจ้ามีความรู้จะดูให้รู้จัก ถ้าเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระองค์จะให้หาเข้ามารักษาได้หรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ถึงจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอย่างไร ก็อยู่ในบังคับเราสิ้น จะเอาตัวมาให้ได้ นางฮิบี๋จึงแสร้งทำเป็นนับนิ้วมือดู แล้วทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า หมอที่เมืองนี้ชื่อ ปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ มีตับมังกรอยู่ในท้อง พระองค์จะให้หาเข้ามาที่ไหนได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เราจะหาตัวมาเอาตับมังกรในท้องต้มให้นางขันกีกินจงได้ แล้วพระองค์ก็เขียนหนังสือให้ขันทีไปหาตัวปิกันเข้ามาเป็นการเร็ว
ฝ่ายปิกันนั่งอยู่ในตึก คิดวิตกถึงการบ้านเมืองอยู่ พอขันทีเอาหนังสือไปแจ้งว่า รับสั่งให้หาในทันใดนั้น แต่ขันทีถือหนังสือวิ่งซ้ำกันออกไปถึงหกคนบอกว่า รับสั่งเร่งนัก ปิกันเห็นผิดประหลาด จึงถามขันทีว่า ราชการร้อนรนอย่างไรหรือ จึงซ้ำกันมาถึงห้าคนหกคนดังนี้ จงบอกความแก่เราให้รู้ก่อน จึงจะไป ขันทีจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่า นางขันกีป่วยรากโลหิต จะเอาตับมังกรที่ในท้องของท่านต้มให้กิน ปิกันรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ครั้นจะว่าไม่ไป ก็เกรงอาญาพระเจ้าติวอ๋อง จึงว่ากับตำรวจให้นั่งอยู่ท่าสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกเข้าไปในห้อง จึงเรียกนางเบ๋ง ภรรยา มา แล้วบอกความว่า ข้าจะจากไปเดี๋ยวนี้ เห็นจะตาย จะไม่ได้กลับคืนมาเห็นหน้ากันต่อไปแล้ว เจ้าจงอยู่รักษาบุตร ผู้คน บ้านเรือนต่อไปจงดีเถิด นางเบ๋งได้ฟังผัวว่าดังนั้นก็ร้องไหแล้วว่า แต่ท่านทำราชการมาโดยสัตย์กตัญญูก็ช้านานแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าดังนี้เลย ขอท่านจงหยุดอยู่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน ปิกันจึงว่า บัดนี้ มีรับสั่งเร่งเป็นการเร็ว ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ปิจู๊ซึ่งเป็นบุตรชายจึงว่าแก่ปิกันผู้บิดาว่า เมื่ออาจารย์เกียงจูแหยมาพิเคราะห์ดูราศีท่านครั้งก่อนนั้น ทายไว้ว่า เคราะห์ร้าย แล้วเขียนหนังสือบอกความรู้ไว้ว่า ถ้ามีเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างไร ก็ให้ดูแก้ไขตามหนังสือนั้น ปิกันก็คิดขึ้นได้ มีความยินดี หยิบเอาหนังสือมาดู แล้วเขียนยันต์ลงที่กระดาษใส่น้ำกินเข้าไป แล้วก็ลุกเดินออกมาขึ้นขี่ม้าไปในวังด้วยขันที ครั้นมาถึงประตูพระราชวัง ก็ลงจากม้าจะเข้าไปเฝ้า บูเสงอ๋องวิ่งเข้ามาคำนับแล้วถามว่า ท่านจะเข้าไปเฝ้าด้วยราชการสิ่งไร ปิกันจึงบอกว่า ขันทีไปหาเรามา บอกว่า นางขันกีป่วย จะเอาตับมังกรในท้องเราทำยาให้นางขันกีกิน แล้วก็เดินไป บูเสงอ๋องได้ฟังปิกันบอกดังนั้นก็สงสัยนัก ก็เดินตามเข้ามาแอบฟังอยู่ริมพระที่นั่ง ปิกันเข้ามาถึงประตูชั้นห้า เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ ก็เข้าไปเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า บัดนี้ นางขันกีป่วยรากโลหิต จะต้องการตับมังกรต้มให้กิน จึงจะหายโรค จะให้ไปหาตับมังกรที่ไหนก็ไม่มี เขาว่า จำเพาะมีอยู่แต่ที่ในท้องท่าน ท่านจงทำคุณแก่เรา จงให้ตับมังกรที่อยู่ในท้องของท่านนั้นแก่เราเถิด ปิกันจึงทูลว่า ตับมังกรจะได้มีในท้องข้าพเจ้าหามิได้ แต่ปิศาจมันแกล้งทูลจะให้ข้าพเจ้าตาย พระองค์หลงเชื่อ ไม่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน เสียแรงข้าพเจ้ามีความกตัญญูต่อพระองค์ ตั้งใจทำราชการโดยสัตย์ ช่วยรักษาแผ่นดินให้เป็นสุขมาช้านาน บัดนี้ ตัวข้าพเจ้าก็มิได้มีความผิด ก็เหมือนพระองค์จะแกล้งฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะรู้ที่ไปพึ่งผู้ใดเล่า พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่า เสียแรงเราทำนุบำรุงเลี้ยงท่านมาจนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่มีความรักเรา แต่จะต้องการของเท่านี้ยังขัดไม่ให้ ท่านนี้หาควรเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ไม่ ปิกันโกรธ ทูลว่า เมื่อพระองค์รักเมียมากกว่าชีวิตข้าพเจ้าแล้ว จะทำกระไรได้ พระองค์จงอยู่ให้เป็นสุขเถิด ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลาตายในวันนี้แล้ว ปิกันก็ไปเอากระบี่ที่ทหารมาแหวะท้องของตัวออก ตัดตับและหัวใจออกโยนให้ แล้วเอาเสื้อปิดท้องเข้าไว้ เดชะด้วยคุณยันต์ของเกียงจูแหยที่กินเข้าไปไว้นั้น จึงยังไม่ตาย ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกมาพบขุนนาง และผู้ใดจะทักถามอย่างไรก็มิได้พูด ขึ้นขี่ม้ารีบจะไปบ้าน พอมาถึงกลางทางที่สะพานมังกร พอพวกนางขันกีแปลงตัวเป็นผู้หญิงหิ้วตะกร้ายืนสกัดหน้าม้าไว้ แล้วถามว่า จะซื้อผักไม่มีหัวใจบ้างหรือ ปิกันได้ยินว่า เป็นคำตลาด จึงหยุดม้าไว้ แล้วถามว่า ผักไม่มีหัวใจนั้นเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก หญิงนั้นจึงบอกว่า ผักไม่มีหัวใจนั้นก็เหมือนกันกับคนที่ไม่มีหัวใจ ปิกันจึงถามว่า คนไม่มีหัวใจนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า หญิงนั้นก็บอกว่า ถ้าคนไม่มีหัวใจแล้วก็ตาย ปิกันได้ฟังดังนั้นก็ตัวสั่น พลัดจากหลังม้าลง โลหิตและไส้ไหลออกมา ปิกันตายในที่นั้น
ฝ่ายเซอึง ฮวนส้วย ซึ่งอยู่ในวัง รู้ว่า ปิกันตัดหัวใจถวายพระเจ้าติวอ๋อง แล้วหาตายไม่ ขึ้นม้าขี่ไป ก็คิดสงสัยนัก จึงใช้อึ้งเบ๋ง จิวกี๋ ตามไปดูว่า ปิกันจะไปถึงบ้านแล้วหรือจะเป็นประการใด ครั้นอึ้งเบ๋ง จิวกี๋ มาเห็นปิกันตายอยู่ที่กลางทาง จึงกลับไปบอกความแก่เซอึง ฮวนส้วย ขุนนางบรรดานั่งอยู่ในที่นั้นก็มีความสังเวช ชวนกันร้องไห้รักปิกัน แฮเจียว ขุนนางนายทหารคนหนึ่ง มีความโกรธแค้นพระเจ้าติวอ๋องว่า แกล้งให้ปิกันตาย จึงเอากระบี่ซ่อนในเสื้อ วิ่งตรงไปบนพระที่นั่งที่พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงถามว่า ท่านขึ้นมาทำไม แฮเจียวจึงว่า เราขึ้นมานี้จะฆ่าท่านเสีย ด้วยท่านเป็นคนหาดีไม่ หลงรักเฮาหลีปิศาจยุยงจนปิกันซึ่งเป็นอาของตัวนั้นตาย พระเจ้าติวอ๋องทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เอ็งเป็นแต่ข้า มาเจรจาจองหองหยาบคายดังนี้ กูเป็นกษัตริย์ มีบุญมาก ที่ไหนมึงจะฆ่ากูได้ แฮเจียวก็ชักกระบี่ออกจากเสื้อ วิ่งตรงเข้าไปฟัน เดชบารมีพระเจ้าติวอ๋องยังมิถึงที่ตาย ก็เผอิญให้ฟันผิดพระองค์ไป พระเจ้าติวอ๋องจึงร้องบอกขุนนางให้ทหารจับแฮเจียวไปฆ่าเสีย ทหารวิ่งเข้ามาจับตัวแฮเจียว แฮเจียวจึงว่า อย่าจับเราวุ่นวายเลย เราผิดแล้วก็จะยอมตาย แล้วว่ากับพระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นกษัตริย์ หาตั้งอยู่ในยุติธรรมประเพณีรักษาแผ่นดินโดยสุจริตไม่ หลงรักนางขันกี นางฮิบี๋ ยุยงฆ่าปิกันขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีสัตย์กตัญญูรักษาแผ่นดินมาช้านาน ท่านเป็นคนหาดีไม่ ว่าเท่านั้นแฮเจียวก็โดดลงมาจากพระที่นั่งลกไต๋อันสูง จนกระดูกนั้นหักตาย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบรรดาอยู่ที่นั้นก็มีความอาลัยด้วยแฮเจียวว่า เป็นคนซื่อสัตย์ สู้เสียชีวิตด้วยความซื่อรักปิกัน
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เอาศพแฮเจียวไปที่สะพานปักหนึง ปลูกโรงให้มิดชิด ให้เอาศพปิกันมาในที่นั้นด้วยกันทั้งสองศพ
ฝ่ายอึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสงอ๋อง กับปิจู๊ผู้เป็นบุตรปิกัน นุ่งขาวห่มขาวมาที่ศพ แล้วจัดแจงการตามสมควร ให้หามศพปิกันกับแฮเจียวไปทำที่ฝังไว้ ณ ริมประตูเมืองข้างทิศเหนือ ขณะนั้น พวกรักษาประตูเมืองเห็นบุนไท้สือ ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งไปปราบศัตรู ณ เมืองปักไฮ ขี่กิเลนมา จึงเข้าไป ณ ที่ว่าราชการ บอกกับขุนนางซึ่งอยู่ในที่นั้นว่า บุนไท้สือมา ขุนนางบรรดาอยู่ที่นั้นรู้แล้วก็ชวนกันออกไปคำนับรับที่ประตูอ้อนหนึง บุนไท้สือจึงว่ากับขุนนางที่ไปรับว่า ท่านจงพาไปคอยท่าเราอยู่ที่ประตูเหงาหมึงก่อนเถิด แล้วบุนไท้สือก็มาตามทางที่ฝังศพปิกัน แฮเจียว พอถึงที่ศพอยู่ ก็ได้ยินเสียงโห่อื้ออึงขึ้น บุนไท้สือจึงใช้คนเข้าไปดูที่นั้นว่า เป็นศพผู้ใด ปิศาจจึงคะนองโห่ร้องหลอนเราดังนี้ และคนซึ่งเข้าไปดูนั้นกลับมาบอกว่า เป็นศพปิกันกับแฮเจียว บุนไท้สือจึงทำเป็นตกใจแล้วก็หัวเราะขึ้นมา ครั้นถึงประตูเหงาหมึง เห็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาคอยรับอยู่เป็นอันมาก ก็ลงจากกิเลนคำนับกันตามธรรมเนียม บุนไท้สือแลเห็นพระที่นั่งลกไต๋และพระตำหนักใหญ่น้อยทำขึ้นเป็นอันมาก จึงว่า เราไปอยู่เมืองปักไฮหลายปีเพิ่งมา ได้เห็นพระที่นั่งและบ้านเมืองซึ่งขึ้นประหลาดนักหนา บูเสงอ๋องจึงว่า ของทั้งปวงทำใหม่นั้นประหลาดจริงอยู่ แต่ทว่า บ้านเมืองทุกวันนี้หามีความสุขไม่ คนคิดกบฏต่อแผ่นดิน บุนไท้สือจึงว่า ตัวเราอยู่เมืองปักไฮก็จริง แต่ใจเราคิดถึงพระเจ้าติวอ๋องมิได้เว้นวันเว้นเดือน ด้วยใจเราสามิภักดิ์ต่อแผ่นดิน คิดจะทำราชการสนองพระเดชพระคุณโดยสัตย์กตัญญู แตทว่าเป็นทางไกลจึงช้า แม้นมีปีกบินได้ก็จะมาเฝ้ามิให้ขาด แล้วพากันเข้าไปที่พระที่นั่งกิวเตงเตียน บุนไท้สือจึงเห็นเผาหลกเสาทองแดงซึ่งมีไฟอยู่ในนั้น มีพวกทหารเฝ้าประจำอยู่ จึงถามว่า นี่ทำไว้จะประสงค์สิ่งใด บูเสงอ๋องจึงบอกว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำไว้สำหรับผู้ใดขัดรับสั่งแล้วให้เอาตัวกระหนาบเข้าที่เสาให้ไฟไหม้ตาย แลดูที่เสานั้นซากศพผู้ตายติดอยู่เป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็นเป็นที่โสโครก บุนไท้สือดูแล้วคิดสังเวชนัก จึงอ่านหนังสือรับสั่งที่จารึกไว้ แจ้งความแล้วก็โกรธพระเจ้าติวอ๋องเป็นอันมาก ขุนนางทั้งนั้นก็ดีใจ ชวนกันหัวเราะ บุนไท้สือจึงตีกลองใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ริมพระที่นั่งขึ้น
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องได้ยินเสียงกลองก็เสด็จออกมา เห็นบุนไท้สือก็ดีพระทัยนัก จึงตรัสปราศรัยว่า ท่านไปปราบศัตรูครั้งนี้เป็นทางไกลกันดาร เดินป่าขึ้นเขาโดยอุตส่าห์ ลำบากนัก เกิดอันตรายป่วยไข้เป็นอย่างไรบ้าง เราเห็นกายท่านซูบผอมแก่ลงกว่าแต่ก่อน เรามีความวิตกถึงท่านนัก และหัวเมืองฝ่ายเหนือราบคาบลงทั้งนี้ก็เพราะท่านเห็นแก่แผ่นดิน ความชอบของท่านมีเป็นอันมาก บุนไท้สือจึงทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้าไปทำราชการสำเร็จมาทั้งนี้ ใช่จะด้วยวิชาความรู้และสติปัญญาข้าพเจ้านั้นหาไม่ ได้ด้วยพระบารมีของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะมายกความชอบข้าพเจ้านั้นหาควรไม่ ด้วยข้าพเจ้าเป็นข้ามาแต่พระบิดา เมื่อพระบิดาสวรรคต ก็ได้สั่งให้ข้าพเจ้าช่วยทำนุบำรุงพระองค์สืบมา และการเกิดขึ้นในแผ่นดินก็เป็นพนักงานของข้าพเจ้าจะต้องทำ อย่ายกความชอบข้าพเจ้าเลย แต่ขอให้พระองค์รักษาแผ่นดินโดยสัตยธรรม ขุนนางและราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อข้าพเจ้าไปทำศึกอยู่ข้างหัวเมืองเหนือนั้น ได้ยินข่าวขึ้นไปว่า หัวเมืองทั้งปวงที่จะคิดประทุษร้ายต่อพระองค์นั้นก็มี และรบพุ่งฆ่าฟันกันเองนั้นก็มี ในเมืองหลวงนั้นก็ระส่ำระสาย ข้าพเจ้ามีความร้อนใจนัก ครั้นจะมาก็เป็นห่วงด้วยการศึก ครั้นจะมิมาก็วิตกถึงพระองค์ ถ้าข้าพเจ้ามีปีกบินได้ จะบินมาให้รู้ความแล้วจะบินกลับไป บัดนี้ ข้าพเจ้ามาถึงพระองค์ และการทั้งปวงซึ่งทำไว้เห็นจะจริงเหมือนกิตติศัพท์ที่เขาเล่าลือ พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า หาเป็นดังนั้นไม่ แต่เกียงฮวนฌ้อนั้นคิดจะฆ่าเรา งกจงฮูคิดกบฏต่อแผ่นดินปล้นบ้านเมือง ซีเหงียยก ผู้บุตรเรานั้น ไม่อยู่ในคำสั่งสอน เที่ยวไปคบคนพาลทำทุจริตต่าง ๆ เราจึงให้ริบแล้วจึงฆ่าเสีย บุนไท้สือจึงว่า ซึ่งคนสามคนนี้พระองค์ได้สืบสาวได้สักขีพยานแน่แล้วหรือ พระเจ้าติวอ๋องก็นิ่งอยู่ บุนไท้สือจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปปราบศัตรู ณ เมืองฝ่ายเหนือ ก็เหนื่อยยากถึงสิบห้าปี จึงสำเร็จราชการ และพระองค์อยู่ในพระราชวัง หลงไปด้วยผู้หญิง แล้วเสวยสุราเล่นสบายพระทัย มิได้เอาใจใส่กิจราชการบ้านเมือง จนขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงคิดกบฏเป็นอันมาก และข้อซึ่งให้ทำเผาหลกเสาทองแดงกับที่แห่งหนึ่งใหญ่สูงกว่าที่ทั้งปวง ของสองสิ่งนี้จะประสงค์สิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เผาหลกนั้นเราทำไว้สำหรับเอาโทษผู้ซึ่งกระทำผิด ไม่อยู่ในบังคับ จึงให้เอาตัวกระหนาบเข้ากับเสาไฟให้ไหม้ตาย อันที่ลกไต๋อันใหญ่สูงนั้นทำไว้สำหรับฤดูร้อนจะได้ขึ้นไปนั่งเล่น แล้วจะได้ดูไกลและใกล้ แล้วจะมิให้ได้ยินเสียงคนพูดจาหยาบช้าอันไม่ชอบใจ บุนไท้สือได้ฟังดังนั้นจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า พระมหากษัตริย์ทำให้ผิดอย่างธรรมเนียม ไม่เชื่อขุนนางที่สัตย์ซื่อ ฟังแต่คนสอพลอยุยง แล้วทำลกไต๋อันสูงใหญ่ให้เสียไม้ คนทำลำบาก แต่เสบียงก็ไม่มีกิน ไพร่บ้านพลเมืองจึงคิดเอาใจออกหากหลบหนีไป อันทหารพลเรือนอุปมาเหมือนมือเหมือนเท้าของพระองค์ เมื่อพระองค์ไม่รักขุนนางอันเป็นมือเป็นเท้าแล้ว ก็เหมือนยังอยู่แต่พระองค์เปล่า บัดนี้ ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงเป็นกบฏ พระองค์จะคิดเป็นประการใดจึงจะได้ทหารปราบศัตรูเล่า และเมื่อครั้งพระบิดาของพระองค์เสวยราชสมบัติอยู่นั้นย่อมเลี้ยงข้าราชการที่มีสติปัญญากตัญญูสัตย์ซื่อ หัวเมืองทั้งปวงแปดทิศก็มีความรักใคร่กลัวเกรง มาถวายเครื่องบรรณาการ แผ่นดินก็อยู่เย็นเป็นสุข ตั้งแต่พระองค์ได้เสวยราชย์มานี้ สักกี่ปีนักหนา ทำใหบ้านเมืองเกิดจลาจลต่าง ๆ จนข้าพเจ้าต้องไปปราบปรามข้าศึกปิ้มว่าจะเสียชีวิต หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงสงบไป บัดนี้ มาเกิดเป็นศึกขึ้นทั่วทุกทิศ จะทำประการใด พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งอยู่ มิได้ตรัสตอบ บุนไท้สือจึงว่า การทั้งนี้เป็นธุระข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านกับขุนนางทั้งปวงชำระปราบปรามให้แผ่นดินราบคาบจงได้ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเถิด
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เสด็จไป บุนไท้สือออกมายืนอยู่ที่ประตูวัง แล้วร้องประกาศขุนนางทั้งปวงว่า วันนี้ ให้ไปพร้อมกันที่บ้านเรา จะคิดราชการ แล้วบุนไท้สือก็ออกไปบ้าน ขุนนางทั้งปวงตามไปพร้อมกัน บุนไท้สือจึงว่า เราไปปราบศัตรูหัวเมืองฝ่ายเหนือช้าถึงสิบห้าปีจึงได้กลับมา ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบรรดาอยู่ที่นี่ใครรู้เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องและผู้ใดทำประการใดบ้าง ให้ว่าไปตามจริง เสียงไต้หูสุ้ยและขุนนางคนหนึ่งยอบตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้เป็นผู้น้อย รู้การไม่ทั่วถึง จะเอาเนื้อความกราบเรียนท่านนั้น รู้ไม่ตลอด ขอท่านจงให้หาบูเสงอ๋องมาถามเถิด จะได้เนื้อความทั้งข้างหน้าข้างในสิ้น บุนไท้สือจึงให้ไปหาบูเสงอ๋องมาถาม บูเสงอ๋องคำนับบุนไท้สือ แล้วจึงเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบบอกความว่า ตั้งแต่ท่านไม่อยู่นั้น พระเจ้าติวอ๋องได้นางขันกี ลูกเชาฮู มาไว้เป็นมเหสี รักหลงไป ว่าไรก็เชื่อฟังทุกสิ่ง แล้วให้ฆ่านางเกียงฮองเฮาซึ่งเป็นมเหสีเก่ากับพระราชบุตรชายคนหนึ่งเสีย แล้วฆ่าสูเทียนก้ำกับหมุยเปกเสียง และนางขันกีให้ฆ่าโตฮวนเสีย ปลูกพระที่นั่งลกไต๋ เกณฑ์คนมาทำ ที่มีเงินเสียให้ปล่อยไป ที่ไม่มีเงินจะเสียก็ให้ตรากตรำอดอยากจนตายเสียนับร้อย ที่หลบหนีไปก็เป็นอันมาก แล้วเสียเหล็ก เสียไม้ และของทั้งปวงก็นักหนา แล้วทำเผาหลกเสาทองแดงใส่ไฟข้างในไว้สำหรับฆ่าคนทูลความและขัดรับสั่ง และให้จำบุนอ๋อง ณ คุกไว้ถึงเจ็ดปี แล้วทำพระที่นั่งเตียะแซเหลาอันกว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ข้างล่างนั้นตั้งกระทะใหญ่ต้มส่าเหล้าใส่เหล็กแหลมไว้ในนั้น ถ้าใครไม่อยู่ในบังคับแล้ว ทิ้งลงในกระทะเสียให้ตาย นางขันกีให้เอานางจงหอ นางเลือยซือ ทิ้งลงไปตาย แล้วท่านเตียวเคทูลห้ามมิให้ปลูกพระตำหนักเตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องไม่ฟัง เตียวเคน้อยใจกระโดดลงมาจากที่สูงตาย เมื่อก่อนท่านมาถึงหน่อยหนึ่ง นางขันกีกับพวกนางขันกีกินเหล้าอยู่กับพระเจ้าติวอ๋อง แล้วทำล้มลงรากเลือด และพวกนางขันกีจึงทูลว่า ตับมังกรอยู่ในท้องปิกัน ให้เอามาต้มให้นางขันกีกิน จึงจะหายโรค พระเจ้าติวอ๋องให้ไปเอาตัวปิกันมาเอาตับมังกรในท้อง จนปิกันต้องผ่าท้องออกตาย บัดนี้ ยังฝังศพไว้ประตูทิศเหนือ แล้วว่า ทุกวันนี้ พวกเฮาหลีปิศาจเข้ามาอยู่ในพระราชวังเป็นอันมาก ถ้านิ่งไว้นานไป เห็นบ้านเมืองเราจะไม่มีสุขสืบไป บุนไท้สือได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า จะทำเรื่องราวถวายพระเจ้าติวอ๋อง แล้วสั่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า อีกสามวันให้เข้าไปพร้อมกันในพระราชวัง เราจะทำเรื่องราวเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นถึงกำหนดสามวัน ก็เข้าไปในวัง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ณ พระที่นั่งลกไต๋ ก็พาขุนนางเข้าไปเฝ้าถวายเรื่องราวมีเนื้อความสิบประการแก่พระเจ้าติวอ๋อง แล้วบุนไท้สือก็เข้าไปยืมริมพระองค์ ฝนหมึกเอาพู่กันถวาย แล้วว่า พระองค์จะโปรดประการใดก็ให้ทรงเขียนเถิด พระเจ้าติวอ๋องจึงคลี่เรื่องราวออกดูเป็นใจความว่า บุนไท้สือขอพระราชทานให้รื้อพระที่นั่งลกไต๋กับเผาหลกซึ่งทำไว้สำหรับฆ่าคน กับให้รื้อเตากระทะใหญ่ซึ่งต้มส่าเหล้า แล้วให้ขับนางขันกีปิศาจและพวกนางขันกีเสีย แล้วขอให้ฆ่าฮุยต๋งกับฮิวฮุน และให้ลบอักษรซึ่งจารึกห้ามมิให้ขุนนางเอาความทูล แล้วให้แต่งขุนนางไป ณ เมืองตังลู้ พูดจาให้ดีอย่าให้มีศึกต่อไป แล้วให้ปล่อยคนโทษซึ่งจำไว้ ณ คุก ขอให้เขียนหนังสือไปปิดไว้ประตูเมือง ให้ผู้ซึ่งมีสติปัญญาสัตย์ซื่อเข้ามาทำราชการ ครั้นทรงอ่านแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงทรงพู่กันลบเสียเจ็ดประการ แต่สามประการนั้น พระเจ้าติวอ๋องทรงจารึกพระอักษรสั่งให้ว่า พระที่นั่งลกไต๋ทำยาก ต้องเสียข้าวของนักหนา จะได้เป็นที่นั่งเล่นสบาย จะของดไว้ กับฮุยต๋ง ฮิวฮุน นั้นก็หาได้ทำความผิดสิ่งใดไม่ และนางขันกี นางฮิบี๋ เล่าก็ได้เลี้ยงไว้เป็นเมียช้านาน ยังหามีความชั่วสิ่งใดไม่ ซึ่งจะให้ฆ่าคนสองคน และขับนางขันกี นางฮิบี๋ เสียนั้น ขอคิดดูก่อน บุนไท้สือก็ทูลว่า เสียแรงข้าพเจ้ามีความสัตย์ซื่อรักษาพระองค์ อุตส่าห์เหนื่อยยากทำราชการรักษาแผ่นดินมาช้านาน เห็นผิดจึงทูลข้อความแต่สิบประการเท่านี้ พระองค์ยังไม่ทรงพระเมตตาโปรดให้ ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการช่วยรักษาแผ่นดินของพระองค์สืบไปนั้น เห็นเหลือสติปัญญา แล้วแลไปเห็นฮุยต๋ง บุนไท้สือจึงถามว่า ตัวเป็นขุนนางชื่อไร ฮุยต๋งจึงว่า ข้าพเจ้าชื่อ ฮุยต๋ง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และมาบังคับพระเจ้าติวอ๋องจะให้รื้อพระตำหนักลกไต๋และขับนางขันกีเสียนั้น ท่านเห็นสมควรแล้วหรือ บุนไท้สือก็โกรธ จึงเอามือตบฮุยต๋งพลัดตกลงมาหน้าฟก ฮิวฮุนจึงขึ้นไปว่า ซึ่งท่านบังอาจตีขุนนางต่อหน้าพระที่นั่ง ก็เหมือนตีพระเจ้าติวอ๋อง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ลืมขนบธรรมเนียมเสียหรือ บุนไท้สือโกรธนัก จึงว่า เพราะมึงทั้งสองสอพลอ กฎหมายสำหรับแผ่นดินจึงฟั่นเฟือน แล้วเอาเท้าถีบฮิวฮุนกระเด็นไปประมาณสามวา แล้วสั่งให้ทหารซ้ายขวาจับเอาตัวฮิวฮุน ฮุยต๋ง ไปฆ่าเสีย พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้ตรัสประการใด บุนไท้สือจึงทูลว่า อ้ายสองคนนี้ให้ฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ความสามประการนั้นเราค่อยคิดกัน บุนไท้สือเห็นพระพักตร์พระเจ้าติวอ๋องไม่สบาย จึงกราบทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำการทั้งนี้หวังจะให้แผ่นดินเป็นสุข จะได้ทรยศนั้นหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง นั้นจงจำใส่คุกไว้ก่อน แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ขุนนางทั้งปวงก็ออกจากที่เฝ้า บุนไท้สือครั้นกลับมา ณ บ้านจึงคิดว่า จะเร่งชำระความในพระราชวังเสียให้สำเร็จ เกลือกเชียงเสียงอ๋อง เมืองปักไฮ จะยกมา จะได้ทำการแต่หน้าเดียว
ขณะนั้น มีผู้มาบอกบูเสงอ๋องว่า กองทัพเมืองปักไฮยกมา บูเสงอ๋องก็ถอนใจใหญ่แล้วนึกว่า ถ้าศึกมีมาแต่ทางเดียวก็จะยังชั่ว ถ้ามีมาทั้งสี่ทางจะทำกระไร คิดแล้วจึงสั่งให้พาผู้ถือหนังสือไปแจ้งความแก่บุนไท้สือ ผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายผู้ถือหนังสือก็มา ณ บ้านบุนไท้สือ ให้ทนายเข้าไปกราบเรียน บุนไท้สือดูหนังสือแจ้งความแล้วก็เข้ามาในที่ว่าราชการ พาบูเสงอ๋องเข้าไปเฝ้าถวายหนังสือแจ้งเรื่องความ พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรหนังสือแล้วก็ถอนใจใหญ่ จึงตรัสว่า ท่านจะคิดประการใด บุนไท้สือจึงทูลว่า ศึกเมืองปักไฮครั้งนี้เห็นหนักแน่น จะให้บูเสงอ๋องไปก็ยังไม่เคยการศึก ข้าพเจ้าจะขอทหารยี่สิบหมื่นยกไป จะให้บูเสงอ๋องอยู่ ซึ่งเนื้อความสามประการที่พระองค์ขอไว้นั้น เมื่อสำเร็จการศึกแล้วกลับมา จึงคิดอ่านชำระต่อไป พระเจ้าติวอ๋องดีพระทัย ด้วยจะหามีผู้ใดว่ากล่าวให้ขัดเคืองใจไม่ จึงมอบธงอาญาสิทธิ์ให้ แล้วพระราชทานสุราถ้วยหนึ่ง บุนไท้สือรับถ้วยสุรามาแล้วก็ส่งให้บูเสงอ๋อง บูเสงอ๋องจึงว่า ท่านเป็นคนผู้ใหญ่จะไปการศึก ของพระราชทานเชิญท่านกินให้สบายเถิด บุนไท้สือจึงตอบว่า เราไปครั้งนี้ไม่ช้านัก สักปีหนึ่งครึ่งปีจะกลับมา แต่วิตกด้วยพระเจ้าติวอ๋องและราชการบ้านเมืองยิ่งนัก ถ้าท่านมีใจสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าติวอ๋อง ช่วยทำนุบำรุงให้เป็นสุขก็ดีกว่าที่เราไปการศึกอีก ท่านจงกินเถิด บูเสงอ๋องคำนับแล้วก็รับจอกสุรามากิน พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงพระราชทานให้อีกถ้วยหนึ่ง บุนไท้สือจึงรับพระราชทาน แล้วถวายบังคมลาออกมาจัดแจงทหาร ครั้นวันดีได้ฤกษ์ ให้จุดประทัดใหญ่เป็นสำคัญ ก็ยกทัพ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จไปส่งบุนไท้สือจนออกนอกประตูเมือง
ครั้นอยู่มาภายหลัง พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ถอดฮุยต๋ง ฮิวฮุน ออกจากโทษ ฝ่ายปิจู๊ซึ่งเป็นบุตรปิกันผู้ตายจึงทูลว่า ฮุยต๋ง ฮิวฮุนนี้ บุนไท้สือให้จำไว้ สำเร็จการศึกแล้วจะกลับมาชำระต่อไป เมื่อยกทัพไปได้วันหนึ่ง เหตุไรพระองค์จึงทำดังนี้เล่า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า อ้ายรู้กว่าเจ้า บุนไท้สือโกรธฮุยต๋ง ฮิวฮุน เปล่า ๆ เราหาเห็นมีความผิดไม่ จึงให้ถอดเสีย แล้วเรียกฮุยต๋ง ฮิวฮุน เข้ามาใช้เหมือนแต่ก่อน ตั้งแต่บุนไท้สือไปแล้ว พระเจ้าติวอ๋องสบายพระทัย จึงสั่งให้ขุนนางเข้ามากินโต๊ะในสวนดอกไม้ บูเสงอ๋องจึงกระซิบว่าแก่ปิจู๊ว่า บ้านเมืองเกิดศึกวุ่นวายทั้งสี่ทิศ และจะให้ขุนนางไปเล่นสนุกกินโต๊ะกินเหล้า จะมีความสบายมาแต่ไหน ปิจู๊ก็ก้มศีรษะลงคำนับ แล้วก็ชวนขุนนางทั้งปวงเข้าไปกินโต๊ะในสวนดอกไม้ตามรับสั่ง แต่พระเจ้าติวอ๋องเสวยอยู่บนพระที่นั่ง เรียกให้นางขันกี นางฮิบี๋ มากินด้วย ครั้นเวลาบ่าย ขุนนางทั้งปวงรับพระราชทานแล้ว ต่างคนจะถวายบังคมลาไป พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เทศกาลนี้เป็นฤดูน้ำค้าง ดอกไม้ในสวนต่าง ๆ ก็บานส่งกลิ่นเป็นที่สบาย ท่านทั้งปวงอย่าเพ่อไปก่อน ครั้นค่ำ สั่งให้เจ้าพนักงานแต่งโต๊ะมาพระราชทานขุนนางอีก แล้วให้หญิงมาขับรำบำเรอด้วยมโหรีพิณพาทย์ต่าง ๆ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จมาเสวยด้วยจนเวลายามสาม
ฝ่ายนางขันกี นางฮิบี๋ กินเหล้าด้วยกันข้างในจนเมาซบลงกับโต๊ะ ปิศาจก็สำแดงฤทธิ์ให้บังเกิดมืดมัวเป็นลมพายุพัดต้องต้นไม้ในสวนหวั่นไหวไป ปิศาจก็กลายเป็นรูปเสือปลาออกเที่ยวเดินเล่นในสวน ขุนนางทั้งปวงครั้นบังเกิดพายุแล้วแลเห็นเสือปลาเดินมา ต่างคนก็ตกใจบอกกันอื้ออึง บูเสงอ๋องครั้นเห็นจึงหักเอากิ่งไม้ไล่ตีเสือปลา เสือปลาก็วิ่งหลบหนีไป บูเสงอ๋องขัดใจ จึงให้ไปเอานกที่บ้านซึ่งได้มาแต่เมืองปักไฮ ตัวเท่าเหยี่ยว ปากและเล็บคมนัก ตาแดงดังดวงเทียน ครั้นได้มาจึงปล่อยนกนั้นให้ไปไล่จิกเฉี่ยวเฮาหลีปิศาจจนหน้าขาดยับ เฮาหลีปิศาจกลัวก็หนีแทรกลงไปใต้ดิน พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็น จึงสั่งให้ขุนนางขุดตามเอาตัวให้ได้ ครั้นขุดลงไปลึกสักสองศอก ก็ไม่ได้ตัว เห็นแต่กระดูกผีหนักหนา พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรดูแล้วจึงตรัสว่า คำเขาเล่าลือว่า ปิศาจอยู่ในวังเรานี้ เห็นจะจริง แล้วเสด็จเข้าที่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันไป เฮาหลีปิศาจจึงกลับกลายเพศเป็นคนไปนอนอยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นรุ่งขึ้น พระเจ้าติวอ๋องเห็นหน้านางขันกีเป็นริ้วรอย จึงตรัสถามว่า เจ้าเป็นไร นางขันกีจึงทูลเป็นอุบายว่า เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าเที่ยวในสวย เหนี่ยวกิ่งไม้ลงมาจะเด็ดดอก กิ่งไม้หักลง หนามเกี่ยวเอา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ทีนี้เจ้าอย่าไปเที่ยวเล่นในสวนเลย จะต้องการดอกไม้ก็ให้คนอื่นไปเก็บเถิด แล้วเล่าความซึ่งบูเสงอ๋องไล่เฮาหลีให้นางฟังทุกประการ นางก็คิดแค้นพยาบาทบูเสงอ๋องว่า จะไปไหนพ้นกัน จะแก้แค้นให้ได้
ฝ่ายเกียงจูแหยซึ่งอยู่ ณ เมืองไซรกีทิศตะวันตก จึงคิดกับบุนอ๋องว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเสพสุรา หลงด้วยผู้หญิง ไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้าเมืองทิศเหนือนั้น ไปคบกับฮิวฮุนในเมืองจิวโก๋ชวนกันคิดการไม่ตรงต่อแผ่นดิน บุนไท้สือก็ยกทัพไปเมืองปักไฮ ขุนนางบรรดาอยู่ในเมืองหลวงก็ว่าการงานไม่สิทธิ์ขาด คนทั้งปวงก็ได้ความเดือดดังอยู่ในกองไฟ ควรเราจะยกทหารไปฆ่าซ่องเฮ่าเฮ้าเสียเถิด บุนอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่า ท่านจะไปแต่ผู้เดียว หรือจะให้เราไปด้วย เกียงจูแหยจึงว่า เชิญท่านไปด้วย จะได้ช่วยคิดอ่าน ครั้นปรึกษากันแล้ว ก็จัดแจงทหารได้สิบหมื่น ยกทัพไปถึงเมืองปักเป๊กเฮ้า แล้วจึงให้ตั้งค่ายมั่นอยู่
ฝ่ายชาวด่าน ครั้นรู้ว่า กองทัพยกมา ก็เข้าไปแจ้งราชการ ขณะนั้น ซ่องเฮ่าเฮ้าไปเมืองจิวโก๋ ให้ซ่องเอ๋งปิวผู้บุตรอยู่รักษาเมือง แจ้งความว่า กองทัพยกมา จึงให้อึ้งวันเจ้ ตั๋นเกงจง หมุยเต๊ก กิมเสง คุมทหารออกไปรบกับเกียงจูแหย บุนอ๋องจึงให้หลำจงกวดคุมทหารออกรบ ครั้นหลำจงกวดออกไปนอกประตูค่าย แล้วจึงร้องว่า อ้ายเหล่านี้ไม่รักชีวิตหรือ จึงมาสู้กับเรา แล้วก็เข้ารบกับทหารสี่คนได้สามสิบสองเพลง หลำจงกวดตัดศีรษะอึ้งวันเจ้ได้ หิ้วเข้าไปให้เกียงจูแหย นายทหารทั้งสามเสียที ก็พาบ่าวไพร่แตกหนีกลับเข้ามาบอกซ่องเอ๋งปิวว่า อึ้งวันเจ้ตาย ซ่องเอ๋งปิวโกรธ เอามือตบโต๊ะลง แล้วร้องว่า อ้ายเกียงจูแหยกับบุนอ๋องคิดกบฏต่อพระเจ้าติวอ๋อง กูจะยกออกไปวันนี้ ถ้าฆ่าอ้ายสองคนไม่ได้ กูจะไม่กลับเข้ามาเลย แล้วก็จัดแจงทหารออกไป เกียงจูแหยกับบุนอ๋องครั้นเห็นกองทัพยกมา ก็ขึ้นม้าพาทหารออกยืนอยู่หน้าค่าย แล้วให้โบกธงสำคัญ ซ่องเอ๋งปิวแลไปดูไม่รู้จัก จึงร้องถามว่า ท่านนี้ชื่อไร จึงองอาจยกทัพมา เกียงจูแหยจึงบอกว่า เราชื่อ เกียงจูแหย พาบุนอ๋องมาจะฆ่าซ่องเฮ่าเฮ้า ด้วยทำผิดไปคบฮิวฮุนยุยงพระเจ้าติวอ๋อง ทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน ซ่องเอ๋งปิวจึงตอบว่า ซึ่งท่านกล่าวถ้อยคำนั้นเกินนัก ด้วยท่านเป็นคนประมาทเหมือนไม้ผุ อย่าพูดจาจองหองไปเลย แล้วสั่งให้ตันแกเจ๋งคุมทหารออกรบกับเกียงจูแหย เกียงกูแหยก็ให้สินกะคุมทหารออกต่อสู้ได้ยี่สิบเพลง ตันแกเจ๋งเสียที ทานกำลังมิได้ ซ่องเอ๋งปิวเห็นดังนั้นจึงให้กิมเสง หมุยเต๊ก ออกช่วย เกียงจูแหยก็ให้เตียวก๋งเซ็ก จิวก๋งต้าน ลือก๋งบ๋ง หลำจงกวด บอก๋งซุย ออกไปอีก สู้กันอยู่ช้านาน ลือก๋งบ๋งได้ทีเอาทวนแทงถูกหมุยเต๊กตาย สินกะนั้นเอาขวานฟันถูกกิมเสงตาย ซ่องเอ๋งปิวเห็นก็เสียใจ พาทหารหนีไป เกียงจูแหยจึงบอกกับบุนอ๋องว่า ครั้งนี้ได้ทีแล้ว เราจะตามไปเอาเมืองเถิด บุนอ๋องจึงว่า เราทำการทั้งนี้หวังจะปราบปรามแต่คนชั่ว จะบุกรุกเข้าไปเอาบ้านเมืองนั้น จะมิเป็นกบฏต่อแผ่นดินหรือ เกียงจูแหยก็เห็นด้วย แล้วจึงลอบเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ให้หลำจงกวดถือไปถึงซ่องเฮกเฮ้าผู้เป็นน้องซ่องเฮ่าเฮ้า ณ เมืองเชาจิว เป็นใจความว่า ซ่องเฮ่าเฮ้า พี่ท่าน ทำผิด ไปคบกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ให้แผ่นดินไม่เป็นสุข เราจึงพาบุนอ๋องยกทัพมา หวังจะฆ่าซ่องเฮ่าเฮ้าเสีย บัดนี้ ไม่ได้ตัวซ่องเฮ่าเฮ้า เราเห็นว่า ท่านเป็นคนสัตย์ซื่อ จึงบอกมาให้รู้ ให้ท่านเร่งคิดอ่าน อย่าเอาคนชั่วไว้ จะพาตัวตาย ซ่องเฮ่าเฮ้าพิเคราะห์ดูหนังสือแล้วคิดว่า จะนิ่งอยู่ฉะนี้ไม่ควร ด้วยเป็นการแผ่นดิน ว่าจะไปบอกกับบิดามารดาให้แจ้ง จึงจะจับตัวซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ซึ่งทำผิดส่งไปให้บุนอ๋องฆ่าเสียตามโทษ แล้วรินสุราให้หลำจงกวดกิน จึงว่า ท่านกลับไปบอกกับเกียงจูแหยว่า เราไม่เข้าด้วยผู้กระทำผิดดอก อย่าให้ท่านทั้งสองวิตกเลย แล้วสั่งซ่องเฮ่งหลวนผู้บุตรให้อยู่รักษาเมือง ให้โฮเต๋ง ซมก๋ง จัดไพร่สามพัน พร้อมแล้วซ่องเฮกเฮ้าก็ยกไปเมืองปักเป๊กเฮ้า
ฝ่ายซ่องเอ๋งปิวซึ่งอยู่รักษาเมืองรู้ว่า อามาถึง ดีใจนัก ก็ออกไปคำนับถึงนอกเมือง ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า เรารู้ว่า ศึกมาติดเมือง จึงรีบมาช่วย ซ่องเอ๋งปิวบอกว่า เกียงจูแหยกับบุนอ๋องยกทัพมา ฆ่าหมุยเต๊ก กับกิมเสง นายทหาร ตาย ซ่องเฮกเฮ้าก็ทำเป็นโกรธแล้วว่า พรุ่งนี้ เราจะออกไปรบ ซ่องเอ๋งปิวก็ดีใจ พาเข้ามาในเมือง แต่งโต๊ะเลี้ยงกันทั้งนายและไพร่
ครั้นรุ่งเช้า ซ่องเฮกเฮ้าก็พาซ่องเอ๋งปิวคุมทหารออกไป เกียงจูแหยเห็นทัพยกมา จึงให้หลำจงกวดคุมทหารออกไป หลำจงกวดแลเห็นทหารซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องว่า พี่ชายท่านทำผิดยังเห็นดีด้วย ยกทหารมาจะรบกับเราหรือ แล้วขับม้ารำดาบเข้าไป ซ่องเฮกเฮ้าก็แกล้งชักม้าเข้าต่อสู้ให้ซ่องเอ๋งปิวเห็น ได้ยี่สิบเพลงแล้วบอกกับหลำจงกวดว่า เราจะเช้าด้วยซ่องเฮ่าเฮ้าหามิได้ เราสู้ท่านพอคนทั้งปวงเห็นมือ มิให้มีความสงสัย แล้วจึงจะลวงจับพี่เราผู้ทำผิดส่งให้บุนอ๋อง หลำจงกวดได้ยินดังนั้นก็ทำเป็นชักม้าพาทหารหนีเข้าค่ายบอกความแก่เกียงจูแหยและบุนอ๋องทุกประการ ซ่องเอ๋งปิวครั้นเห็นหลำจงกวดหนีไป จึงว่าแก่อาว่า ข้าพเจ้าดูเห็นหลำจงกวดเสียทีท่านแล้ว เหตุไรจึงมิติดตามฆ่าเสียเล่า ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า หลำจงกวดเป็นศิษย์เกียงจูแหย มีความรู้มาก ที่จะหักหาญเอาโดยเร็วไม่ได้ จำจะคิดอ่านให้ดีก่อน แล้วก็พาซ่องเอ๋งปิวและทหารกลับมาเมือง จึงว่ากับซ่องเอ๋งปิวว่า อันการทั้งนี้หนักแน่นอยู่ จะทำแต่กำลังเราเห็นไม่ได้ จำจะบอกไปถึงบิดาท่านให้เร่งออกมาช่วยกัน ซ่องเอ๋งปิวก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือบอกข้อความ ให้ซุนเอ๋งถือหนังสือรีบไป ณ เมืองจิวโก๋
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแจ้งความแล้วก็โกรธนัก จึงเอาหนังสือบอกเข้าไปในวัง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ก็เข้าไปเฝ้าถวายหนังสือแล้วทูลว่า เกียงจูแหยกับบุนอ๋องซึ่งหนีไป บัดนี้ คิดกบฏ คุมกองทัพมาตีเมืองข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า จะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ ท่านจงเร่งรีบไปรักษาเมืองไว้ก่อน แล้วเราจะแต่งกองทัพตามไปช่วย ซ่องเฮ่าเฮ้าก็ถวายบังคมลาออกมาจัดทหารได้สามพันยกไป
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นมีหนังสือไปแล้ว ภายหลังจึงให้เกาเต๋งคุมทหารมีฝีมือยี่สิบคนไปอยู่ที่ประตู ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้ามาถึงแล้ว ได้ยินเสียงเราร้องขึ้น จงชักกระบี่ออกไล่ฟัน แล้วจงช่วยกันจับเอาตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรให้ได้ ครั้นสั่งทหารแล้วก็รักษาเมืองมั่นอยู่ ครั้นรู้ว่า ซ่องเฮ่าเฮ้า พี่ชาย มาถึง จึงพาซ่องเอ๋งปิวกับซิมกั๋งออกไปรับนอกเมือง ทางไกลร้อยห้าสิบหกเส้น ซ่องเฮ่าเฮ้าครั้นเห็นน้องชายกับบุตรออกมารับก็มีความยินดี หยุดคำนับกัน ซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องสั่งทหารทั้งปวงบรรดามาด้วยซ่องเฮ่าเฮ้าให้หยุดอยู่ที่นี้ เราจะเข้าไปปรึกษาคิดราชการกันในเมือง แล้วก็พากันเดินมา ครั้นถึงประตูเมืองที่ให้ทหารยี่สิบคนอยู่นั้น ซ่องเฮกเฮ้าจึงชักกระบี่ออกแล้วร้องให้จับ เกาเต๋งกับทหารก็จับได้ตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวมัดไว้ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงถามซ่องเฮกเฮ้าว่า เหตุไรเจ้าจึงคิดการกระทำกับพี่ดังนี้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ท่านทำการไม่ชอบ ไปคบคิดกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลยุยงพระเจ้าติวอ๋องให้ทำลกไต๋ให้คนได้ความแค้น แล้วให้ฆ่าผู้มีความสัตย์ซื่อเสียเป็นอันมาก แผ่นดินเดือดร้อน จะพลอยให้เขาฆ่าพวกพ้องตายเสียด้วย ซ่องเฮ่าเฮ้ารู้ตัวว่าผิดก็นิ่งถอนใจใหญ่อยู่ มิได้ตอบประการใด ซ่องเฮกเฮ้าก็นำทหารคุมตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรรีบลัดไปโดยเร็ว
ฝ่ายบ่าวซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นเห็นเขาจับนายมัดไป วิ่งมาบอกความที่บ้านนาย ภรรยาลูกหลานซ่องเฮ่าเฮ้าครั้นรู้เหตุต่างคนตกใจ ชวนกันวิ่งมาที่ประตูก็ไม่เห็น จะตามไปก็ไม่ทัน ต่างคนต่างร้องไห้อยู่ที่นั้น ซ่องเฮกเฮ้าครั้นพาพี่ชายกับหลานมาถึงค่ายก็เข้าไปหาเกียงจูแหย เกียงจูแหยเห็นก็มีความยินดี ออกมาต้อนรับคำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย แล้วว่ากับซ่องเฮกเฮ้าว่า ท่านนี้เป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน พี่ชายและหลานทำผิดก็ไม่เข้าด้วย อุตส่าห์จับเอาตัวมาให้ เราขอบใจนัก แล้วก็พาซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว มาที่บุนอ๋องอยู่ บุนอ๋องเห็นเกียงจูแหยเดินหน้าแล้วมัดคนทั้งสองมาด้วย จึงถามว่า ท่านมัดใครมา เกียงจูแหยจึงว่า คนนี้ชื่อ ซ่องเฮ่าเฮ้า เป็นคนกระทำผิด ไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ซ่องเฮกเฮ้าผู้น้องเห็นมิชอบจึงจับตัวมา แต่คนน้องนี้เป็นบุตรที่คุมทหารออกมารบเรา บุนอ๋องมีความสงสารคนทั้งสองจึงว่า ข้าขอโทษแก้มัดปล่อยเสียเถิด เกียงจูแหยจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ปล่อยเสียไม่ได้ การข้างหน้ายังมากอยู่ คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างต่อไป จะให้ฆ่าเสีย บุนอ๋องครั้นจะขัดนักก็เกรงอาจารย์ จึงนิ่งอยู่ เกียงจูแหยจึงให้ทหารคุมตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว ไปฆ่าเสีย เอาศีรษะเข้ามาเสียบประจานไว้หน้าค่ายที่ทางคนเดิน บุนอ๋องเห็นทหารหิ้วศีรษะออกมาก็ตกใจ เอาเสื้อปิดหน้าเสีย มิได้ว่าประการใด ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปจับภรรยาซ่องเฮ่าเฮ้ากับพวกพ้องซึ่งอยู่ ณ เมืองมาให้ท่านทำโทษ แล้วขอให้ไปตรวจเอาทรัพย์สิ่งของด้วย เกียงจูแหยจึงว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าคิดมิชอบ ซ่องเอ๋งปิวนั้นทำองอาจ จึงตายด้วยกัน อันภรรยาและพวกพ้องมิได้รู้เห็น เราไม่เอาโทษแล้ว และบ้านเมืองของทั้งปวงของซ่องเฮ่าเฮ้านั้นจงเป็นธุระของท่านไปรักษาดูแลเถิด บุนอ๋องตั้งแต่เห็นศีรษะซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว มาก็ไม่สบายใจ บังเกิดป่วยไข้ หมอให้กินยาเป็นหลายขนานก็ไม่หาย โรคนั้นก็กำเริบหนักขึ้น บางทีนอนอยู่ก็เคลิ้มเห็นหน้าซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว เนือง ๆ บุนอ๋องมีความวิตก จึงปรึกษาอาจารย์ว่า เราจะอยู่ที่นี่เห็นไม่ได้ จำจะกลับไปเมืองก่อนเถิด เกียงจูแหยเห็นด้วย จึงนัดกันพร้อมแล้วก็เลิกทัพมาเมืองไซรกี
ฝ่ายขุนนางซึ่งอยู่ ณ เมืองปักเป๊กเฮ้า ครั้นซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรตายแล้ว ก็ทำหนังสือบอกแจ้งข้อความไป ณ เมืองจิวโก๋ เตียวอ๋อง บูจู๋ ซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นผู้ถือหนังสือมาถึง แจ้งความแล้ว ก็เอาหนังสือเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรหนังสือแล้วทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า บุนอ๋องเป็นคนโทษปล่อยไป ไม่คิดถึงคุณเรา กลับอกตัญญูไปคบเกียงจูแหยยกทัพมาตีบ้านเมือง ฆ่าซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวซึ่งเป็นขุนนางของเราเสียดังนี้ โทษบุนอ๋องกับเกียงจูแหยผิดล่วงเกินนัก จึงตรัสปรึกษาขุนนางว่า เราจะให้กองทัพยกไปจับตัวมาฆ่าเสีย เอียวจอง ไต้หูสิหยิน จึงกราบทูลว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าทำราชการมีความชอบก็จริงอยู่ แต่น้ำใจหาตรงต่อแผ่นดินไม่ เป็นคนโลภ เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน ซึ่งบุนอ๋องฆ่าเสียก็ควรแล้ว พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ซึ่งจะให้แต่งกองทัพไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นบุนไท้สือก็ไม่อยู่ แล้วข่าวการศึกก็กำเริบทั้งสี่ทิศ ขอให้งดจัดแจงรักษาเมืองหลวงไว้ก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นด้วย
ฝ่ายบุนอ๋อง ครั้นกลับมาถึงเมืองไซรกี ตั้งแต่ไม่สบาย ข้าวปลาก็กินไม่ได้ ซูบผอมนัก ครั้นรู้ว่า อาจารย์เกียงจูแหยมาเยี่ยม จึงเชิญให้เข้าไปนั่งข้างใน เล่าอาการโรคให้ฟัง แล้วถอนใจใหญ่ เกียงจูแหยจึงว่า ท่านอย่าเพ่อเสียใจ อุตส่าห์กินยากินข้าวรักษากายไว้ก่อน ข้าพเจ้าเห็นยังจะไม่เป็นไรดอก บุนอ๋องจึงว่า โรคเราครั้งนี้เหลือกำลังที่จะรักษาให้รอดชีวิตสืบไปได้ แต่เราคิดว่า ถึงตัวเราจะตายไป เดชะผลความสัตย์ซึ่งได้ทำมา ก็จะไปสวรรค์เป็นสุข แต่คิดวิตกถึงการภายหลังยิ่งนัก ด้วยพระเจ้าติวอ๋องก็ไม่เป็นสัตยธรรม แผ่นดินก็หาเป็นปรกติไม่ และเมืองเราก็มีเมืองขึ้นถึงสองร้อย บุตรเราซึ่งจะรักษาสืบไปก็ยังเด็กนัก เราขอฝากธุระทั้งปวงไว้แก่ท่าน ท่านได้เอ็นดูคิดว่า กีฮวดนี้เป็นบุตรของท่าน ท่านช่วยสั่งสอนสืบไป เหมือนรักเรามาแต่หลังนั้นเถิด แล้วบุนอ๋องจึงเรียกกีฮวดเข้ามา ให้คำนับเกียงจูแหย แล้วสั่งว่า หาบุญบิดาไม่แล้ว จงฝากตัวอาจารย์ให้จงดี คิดว่า เป็นบิดา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ให้ฟังถ้อยคำ จึงจะเป็นสุขสืบไป แล้วซ้ำสั่งอีกสามประการว่า สิ่งใดที่ชั่วอย่าทำ แล้วอย่าได้ประมาทคนดี แม้นมีแขกมาหาให้ต้อนรับ สั่งสิ้นเท่านั้นแล้ว บุนอ๋องก็ร้องไห้ โรคที่บังเกิดในกายก็กำเริบหนักขึ้น จึงร้องว่า เราจะอยู่รักษาแผ่นดินสืบไปไม่ได้แล้ว ก็ขาดใจตาย เกียงจูแหยจึงคิดอ่านแก่กีฮวดผู้บุตรจัดแจงทำตามบรรดาศักดิ์ แล้วเชิญศพไปฝังไว้ที่แปะเหาเตียน เมื่อบุนอ๋องตายอายุได้เก้าสิบเจ็ดปี
ขณะนั้น เกียงจูแหยจึงให้บรรดาหัวเมืองขึ้นมาพร้อม แล้วปรึกษาว่า บัดนี้ บุนอ๋องก็ถึงแก่กรรม พระเจ้าติวอ๋องก็หาเอาใจใส่ราชการบ้านเมืองไม่ อาณาประชาราษฎรก็เดือดร้อน แผ่นดินไม่เป็นสุข เราเห็นว่า กีฮวดผู้บุตรบุนอ๋องนั้นสติปัญญารอบคอบพอจะรักษาเมืองไซรกีและคนทั้งปวงได้ จะยกกีฮวดเป็นพระเจ้าบูอ๋องรักษาแผ่นดินต่อไป เราจะช่วยทำนุบำรุง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงว่า ซึ่งท่านจัดแจงทั้งนี้ข้าพเจ้าก็เห็นดีด้วย เกียงจูแหยก็ทำการตั้งกีฮวดเป็นบูอ๋อง กีฮวดครั้นเป็นบูอ๋องแล้วก็คิดอ่านจัดแจงว่าราชการตามขนบธรรมเนียมแผ่นดินสืบมาอย่างบิดา
ฝ่ายเอียวจอง ไต้หูสีหยิน ซึ่งอยู่ ณ เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่า บุนอ๋องตาย เกียงจูแหยและหัวเมืองทั้งปวงคิดกันตั้งกีฮวดเป็นบูอ๋องแทนบิดา จึงไปแจ้งความกับเตียวอ๋อง บูจู๋ ซึ่งเป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็พากันเข้าไปเฝ้ากราบทูลให้แจ้งเรื่องความทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า กีฮวดนั้นมันเป็นลูกเล็ก ถึงจะทำประการใดก็จะสู้บุญเราที่ไหนได้ ท่านอย่าวิตกเลย เอียวจอง ไต้หูสีหยิน จึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะไว้พระทัยว่า เป็นเด็ก จะสู้บารมีไม่ได้นั้น ไม่ควร ด้วยเกียงจูแหยเป็นคนมีสติปัญญาความรู้มาก หลำจงกวดเล่าก็เป็นทหารมีฝีมือกล้าแข็งนัก จะละไว้ไม่ได้ ขอให้คิดอ่านปราบปรามเสีย พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้ตรัสตอบประการใด เอียวจอง ไต้หูสีหยิน มีความโกรธ ถวายบังคมลาลุกเดินมาแล้วบ่นว่า ทีนี้วงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว กีฮวดจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป จึงเผอิญให้เป็นดังนี้
ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็ต่างไปบ้าน จะได้คิดราชการสิ่งไรหามิได้ ครั้นอยู่วันหนึ่งเป็นปีใหม่ พระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ขุนนางและภรรยาเข้าไปกินโต๊ะในวัง พวกผู้ชายนั้นนั่งรับพระราชทานอยู่นอกมู่ลี่ที่พระเจ้าติวอ๋องเสวย บรรดาพวกผู้หญิงรับพระราชทานข้างในกับพระมเหสีและนางนักสนมทั้งปวง
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุย ผู้น้องบูเสงอ๋อง ที่เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายนั้น ก็มาด้วย ครั้นเห็นนางกาสี พี่สะใภ้ ก็มีความยินดี มานั่งใกล้ ต่างคนก็ต่างคำนับปราศรัยกัน นางขันกีแลเห็นก็รู้ว่า คนนี้เป็นภรรยาบูเสงอ๋อง ก็บังเกิดความแค้นคิดพยาบาทบูเสงอ๋องเมื่อครั้งเอานกมาไล่จิกนางเมื่อกลายเพศเป็นเสือปลาที่ในสวน วันนี้ จะคิดแก้แค้นฆ่าเมียมันเสีย แล้วก็ทำอุบายไปนั่งลงริมนางกาสี นางกาสีก็ตกใจ ยอบตัวลงคำนับ นางขันกีก็รับคำนับแล้วปราศรัยถามว่า อายุเจ้าได้เท่าไร นางกาสีจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าสี่สิบเก้าปี นางขันกีว่า ท่านแก่กว่าเราแปดปี จงเป็นพี่เราเถิด เราจะยอมเป็นน้องท่าน นางกาสีตอบว่า ท่านเป็นพระอัครมเหสี ข้าพเจ้าเป็นแต่เมียขุนนาง อย่าว่าดังนั้น ไม่ควร นางขันกีตอบว่า ถึงเราเป็นมเหสี ก็เป็นลูกไพร่ ท่านเป็นภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราทั้งสองก็พอสมควรจะรักกัน จึงให้ยกโต๊ะมาตั้งที่นั้น จึงรินสุราให้นางกาสี นางกาสีก็รับ แล้วชวนกันกิน พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นนางกาสี นางกาสีตกใจ วิ่งไปแอบอยู่ริมฉาก พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสถามนางขันกีว่า ผู้ใดมานั่งกินโต๊ะอยู่กับเจ้าแล้ววิ่งไป นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าชวนนางกาสีซึ่งเป็นภรรยาบูเสงอ๋องมากินด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสว่า ดีแล้ว นางขันกีก็กระซิบทูลว่า นางกาสีรูปงาม พระองค์จะทอดพระเนตรหรือ ข้าพเจ้าจะเรียกตัวมา พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า คนรูปงามเราก็จะใคร่เห็นอยู่ แต่ว่าเขาเป็นเมียบูเสงอ๋อง จะเรียกมานั้นผิดด้วยอย่างธรรมเนียม เขาจะนินทาได้ นางขันกีจึงว่า นางอึ้งกุยหุยผู้น้องบูเสงอ๋องก็เป็นเมียของพระองค์ พระองค์กับบูเสงอ๋องก็เหมือนพี่น้องกัน การแต่เพียงนี้ก็เห็นหาผิดอย่างธรรมเนียมไม่ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเสียก่อน แล้วข้าพเจ้าจะพานางกาสีไปอยู่บนเตียะแซเหลา พระองค์จึงเสด็จตามไปทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จไป นางขันกีจึงจูงข้อมือนางกาสีขึ้นไปเที่ยวเล่นบนพระที่นั่งเตียะแซเหลาอันสูง ครั้นขึ้นไปถึงชั้นเก้า นางกาสีแลลงมาเห็นที่กองกระดูกคนไว้เป็นอันมาก แล้วเห็นสระใส่สุรา และกระทะตั้งต้มส่าเหล้า กับหลาวเหล็กปักไว้ มีศพเก่าใหม่เน่าเป็นหนองเหม็นเป็นที่โสโครก จึงถามนางขันกีว่า เหตุไรจึงทำไว้ดังนี้ นางขันกีบอกว่า รับสั่งให้ทำไว้สำหรับผู้โทษผิดแล้วมัดทิ้งลงไป นางกาสีก็ตกใจตัวสั่นไม่สบาย นางขันกีเห็นดังนั้นจึงว่า พี่ไม่สบายใจแล้ว เชิญขึ้นไปกินเหล้าด้วยกันบนไซร้เก๋งเถิด นางกาสีก็ไป
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยเห็นพี่สะใภ้ไปกับนางขันกีช้านาน จึงให้คนไปตามดู คนใช้กลับมาบอกว่า นางขันกีกับนางกาสีนั่งเสพสุราอยู่บนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางอึ้งกุยหุยก็คิดกริ่งใจ จึงให้กลับคอยแอบดู ถ้าเห็นเหตุผลประการใด ให้กลับมาบอกจงเร็ว หญิงคนใช้ก็กลับไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องมานั่งเสพสุราอยู่ด้วยขุนนางสักหน่อยหนึ่ง แล้วมีพระทัยผูกพันถึงนางกาสี จึงเสด็จขึ้นไปบนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางกาสีเห็นก็ตกใจ ลุกลงมาแอบอยู่ใต้โต๊ะ พระเจ้าติวอ๋องจึงทอดพระเนตรดูนางกาสี เห็นรูปทรงงามต้องพระทัย จึงตรัสว่า เจ้านั่งแอบอยู่ที่นั่นไยเล่า จงมานั่งด้วยกัน นางกาสีลุกขึ้นคำนับแล้วทูลว่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จะเรียกข้าพเจ้าผู้เป็นข้าไปนั่งด้วยนั้นไม่สมควร นางขันกีจึงว่า พี่อย่าพูดดังนั้นเลย พระเจ้าติวอ๋องทรงพระเมตตา จึงตรัสเรียก เชิญมานั่งกินด้วยกันให้สบายเถิด แล้วพระเจ้าติวอ๋องจึงรินสุราส่งให้นางกาสี นางกาสีจึงทูลว่า บูเสงอ๋องก็เป็นข้าของพระองค์ ได้ทำราชการโดยสัตย์สุจริตมานานแล้ว เหตุไรพระองค์มากระทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้เล่า แล้วนางก็ทูลลาเดินหลีกออกไป พระเจ้าติวอ๋องก็ลุกขึ้นกั้นหน้าไว้พลางส่งสุราให้ นางกาสีโกรธ ปัดถ้วยกระเด็นไป แล้วว่า พระองค์มาทำดังนี้ ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายนัก เหมือนแกล้งตัดศีรษะเสีย แล้วตัดพ้อนางขันกีว่า เป็นเพราะเจ้าจึงเกิดการทั้งนี้ แต่นางกาสีทูลลาพระเจ้าติวอ๋องเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้ไป นางกาสีก็จนใจ จึงวิ่งออกไปหน้าชานข้างนอก นางคิดสงสารถึงสามีกับบุตร ก็ร้องไห้ ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาตาม ก็ร้องว่า เป็นกรรมแต่ก่อนได้ทำไว้มาทันแล้ว จึงเกิดการทั้งนี้ เป็นที่เจ็บอาย จำจะไว้ความสัตย์ในแผ่นดินให้เทวดามนุษย์เห็นเถิดว่า ซื่อตรงต่อสามี นางกาสีก็โจนลงมาตาย
ฝ่ายคนสนิทนางอึ้งกุยหุยซึ่งแอบฟังอยู่นั้น ก็วิ่งมาบอกนางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็รีบขึ้นไปบนพระที่นั่ง เห็นแต่พระเจ้าติวอ๋องกับนางขันกีอยู่ที่นั้น รู้ว่า นางกาสี พี่สะใภ้ ตายแน่แล้ว จึงทูลว่า พระองค์มาคิดการกับนางขันกีดังนี้ จนนางกาสีตายนี้ ชอบอยู่แล้วหรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ใครจะได้ทำอะไรก็หาไม่ นางกาสีเห็นเรามาก็ตกใจวิ่งหนีพลัดตกลงไปตายเอง นางอึ้งกุยหุยจึงว่า อย่าตรัสแก้ไปเลย ข้าพเจ้ารู้อยู่สิ้นแล้ว นางจึงด่านางขันกีว่า เกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะมึงพยาบาทพี่กูครั้งเอานกมาจิกเมื่อมึงเป็นเสือปลา จึงแกล้งยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องหลงเชื่อทำการทั้งนี้ จนพี่สะใภ้กูตาย แล้วนางก็เข้าตบตีนางขันกี นางขันกีสู้หลบหลีกด้วยคิดว่า จะสู้รบด้วยกำลังฤทธิ์ บัดนี้เล่าก็กลัวว่า พระเจ้าติวอ๋องจะรู้ว่า เป็นปิศาจ จึงสู้ทนความเจ็บ ร้องว่า พระองค์ช่วยข้าพเจ้าด้วย พระเจ้าติวอ๋องจึงผลักนางอึ้งกุยหึยออกไป แล้วว่า นางขันกีเขาได้ทำไม โกรธเขาเปล่า ๆ ตัวเป็นแต่มเหสีฝ่ายซ้าย ว่าล่วงเกินดังนี้ผิดหนักหนา นางอึ้งกุยหุยโกรธ วิ่งเข้าตีเอาพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องถีบเอานางอึ้งกุยหุยตกเตียะแซเหลาลงไปตาย แล้วพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมานั่งนิ่งคิดถึงการที่ตัวทำผิดให้รำคาญพระทัย
ฝ่ายพวกผู้หญิงบ่าวนางกาสีซึ่งตามมา นั่งคอยอยู่ที่ประตูช้านาน ไม่เห็นนายกลับออกไป ก็ประหลาดใจ จึงเดินมาพบหญิงในวังคนหนึ่ง ถามว่า เห็นนางกาสี ภรรยาบูเสงอ๋อง หรือ หญิงนั้นจึงบอกตามจริงว่า นางกาสี นางอึ้งกุยหุย ทำผิด ตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลาทั้งสองคนแล้ว หญิงที่เป็นบ่าวนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งกลับไปบ้าน พอบูเสงอ๋องนั่งเสพสุราอยู่กับอึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋ง น้องชาย กับอึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียง ผู้บุตรชาย กับเจียวกี๋ เหลียวหวน งอเกียม ทหาร จึงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วบอกว่า นางกาสีกับนางอึ้งกุยหุยนั้นเป็นโทษ ตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลา บูเสงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนิ่งตรึกตรองอยู่ อึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียง ผู้เป็นบุตร ครั้นได้ยินว่า มารดาตาย ก็พากันร้องไห้ อึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋ง ผู้น้องบูเสงอ๋อง มีความสงสาร แล้วคิดโกรธ จึงว่า ซึ่งนางกาสี นางอึ้งกุยหุย ตายนั้นเหตุด้วยจะไว้สัตย์ต่อพี่ท่าน จึงสู้เสียชีวิต อันพระเจ้าติวอ๋องมาทำการครั้งนี้ผิดมนุษย์ในแผ่นดินนัก ไม่ควรเราจะให้อยู่สืบไป จำจะฆ่าเสีย ก็ชวนกันจัดแจงหาอาวุธวุ่นวายอยุ่ บูเสงอ๋องเห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายใจโจร จะพากันทำการกบฏให้กูตายด้วย อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มีพระคุณกับเราทั้งโคตรจึงเจ็ดชั่วคนได้สองร้อยปีแล้ว สมบัติพัสถานและเครื่องแต่งตัวทั้งปวงก็ได้เพราะบุญบารมีท่าน เมื่อเมียกับน้องของกูผิด ท่านฆ่าเสีย ก็ตามทีเถิด อย่าเป็นธุระเอ็งทั้งปวงเลย น้องทั้งสามคนได้ฟังดังนั้นก็กลัวพี่ชาย เอาอาวุธไปไว้เสีย แล้วมานั่งที่โต๊ะรินสุราสู่กันกิน แล้วชวนกันหัวเราะ บูเสงอ๋องเห็นบุตรร้องไห้คร่ำครวญถึงมารดา ก็คิดรำคาญใจ โกรธน้อง ชักกระบี่ออก แล้วจึงว่า เจ้าเหล่านี้หัวเราะอะไร หัวเราะเยาะเราหรือ แล้วเงื้อกระบี่จะฟัน อึ้งฮุยปิวจึงห้ามน้องให้นิ่งอยู่ แล้วว่า ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องมีพระคุณ ทรงพระเมตตาทำนุบำรุงเลี้ยงท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ไส้เผ้าและหมวกอันมียศนั้น ก็พระเดชพระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า คนทั้งปวงจะนินทาท่านว่า หลงรักยศและสมบัติยิ่งกว่าชีวิตน้องและภรรยา จนพระเจ้าติวอ๋องทำหยาบช้าถึงเพียงนี้ ก็ยังสู้ทน หามีความโกรธและเจ็บอายไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูให้ดีก่อน เห็นจะอยู่เป็นข้าราชการสืบไปจะเป็นสุขแล้วก็ตามเถิด บูเสงอ๋องแต่นิ่งตรึกตรองอยู่ช้านาน แล้วหวนคิดว่า เสียแรงเรารักท่าน ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินโดยความสัตย์ ควรหรือมาเชื่อคำปิศาจ ทำกับภรรยาและน้องเราจนเสียชีวิต คุณกับโทษก็ลบล้างกัน ซึ่งจะอยู่ทำราชการด้วยสืบไป มันก็จะยุยงด้วยกลอุบายต่าง ๆ ก็จะฆ่าเราเสียสักวันหนึ่ง แล้วว่า ซึ่งเจ้าว่านั้น พี่เห็นด้วยแล้ว แต่จะทำหุนหันโดยด่วนนั้นไม่ได้ จำจะคิดให้ดี ด้วยเป็นการใหญ่อยู่ อึ้งเบ๋งจึงว่า บูอ๋องซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองไซรกีก็คิดกระทำการตีเมืองและเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรเข้าด้วยสักสองส่วนแล้ว เห็นจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินเป็นมั่นคง ถ้าเราหนีไปเข้าด้วยทำการก็จะมีความชอบ บูเสงอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่า ใจของพี่คิดแค้นพระเจ้าติวอ๋องนัก เมื่อใดได้กระทำทดแทนเสียให้สาแก่ใจก่อนจึงจะไป แล้วสั่งทหารให้หาบรรดาบ่าวไพร่ซึ่งอยู่ในบ้านมีบัญชีพันคนนั้นจัดแจงอาวุธไว้ให้พร้อมในวันนี้ จึงเอาเกวียนสี่ร้อยเล่มมาบรรทุกสิ่งของและพรรคพวก ผู้หญิงที่จะได้ล่วงหน้าไปก่อนนั้นให้มีทหารกำกับป้องกันไปด้วย ครั้นเวลาคนนอนหลับ ให้เกวียนและพรรคพวกทั้งปวงไปคอยอยู่ตรงประตูไซรหมึงนอกเมือง แต่ตัวบูเสงอ๋อง กับอึ้งเบ๋ง ผู้น้อง กับจิวกี ทหารเอก ต่างคนถืออาวุธเข้าไปที่ประตูวัง จิวกีจึงร้องว่า มีการร้อน ให้เชิญเสด็จออกมาเร็ว ๆ ทหารที่รักษาประตูอยู่นั้นก็บอกกันต่อ ๆ เข้าไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องบรรทมอยู่ในที่ หาหลับไม่ ด้วยมีความวิตกถึงการที่นางกาสีและนางอึ้งกุยหุยตายนั้น ไม่มีความสบายพระทัย พอมีผู้มากราบทูลว่า คนมาร้องว่า มีราชการร้อน ให้เสด็จออกไปโดยเร็ว พระเจ้าติวอ๋องก็ตกพระทัย ด้วยมิได้รู้ว่า จะมีเหตุ คิดว่า ขุนนางมาแจ้งราชการ จึงทรงพระแสงง้าวเสด็จออกมาข้างหน้า จิวกีเห็นก็ร้องว่า ท่านเป็นกษัตริย์ ทำการมิชอบ ข่มเหงภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผิดอย่างธรรมเนียม หาควรไม่ แล้วรำง้าวเข้าไปจะฟันพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ต่อสู้ด้วยพระแสงง้าว อึ้งเบ๋งจึงเข้าช่วย ขณะเมื่อจิวกี อึ้งเบ๋ง สู้กับพระเจ้าติวอ๋องอยู่นั้น บูเสงอ๋องร้องห้ามว่า อย่าเพ่อทำวุ่นวาย เราจะพูดกับพระเจ้าติวอ๋องก่อน คนทั้งสองก็ไม่ฟัง ยิ่งทำการบุกรุกเข้าไป พระเจ้าติวอ๋องต่อสู้ได้สามสิบเพลง สิ้นกำลัง ถอยกลับเข้าวัง อึ้งเบ๋งขยับจะไล่ตาม บูเสงอ๋องก็วิ่งเข้ายุดมือไว้ ห้ามว่า อย่าทำให้ถึงชีวิตเลย ไม่ควร แล้วก็พากันมาขึ้นม้ารีบไปทางประตูด่านตะวันตก พาสมัครพรรคพวกซึ่งคอยอยู่นั้นอพยพหนีไป ในเวลานั้น ราษฎรชาวเมืองรู้เหตุ ต่างคนตกใจกลัว ต่างปิดประตูบ้านประตูตึก ไม่มีคนเดินไปมาตามถนนหนทาง
ครั้นเวลาเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ขุนนางก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลแจ้งราชการว่า บัดนี้ บูเสงอ๋องอพยพหนีไป พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสเล่าความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ในขณะนั้น ทหารซึ่งรักษาประตูเหงาหมึงเห็นบุนไท้สือยกกองทัพกลับมา จึงเข้าไปบอกขุนนางให้กราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นทราบว่า บุนไท้สือมาก็ดีพระทัยนัก จึงให้ขุนนางทั้งปวงออกไปรับ ให้หามาเฝ้า เสด็จคอยท่าอยู่
ฝ่ายบุนไท้สือ ครั้นขุนนางออกไปบอกว่า รับสั่งให้หา ก็ลงจากหลังกิเลน รีบเข้ามาเฝ้าแจ้งความซึ่งไปปราบข้าศึกให้ทราบทุกประการ แล้วทูลถามถึงบูเสงอ๋องว่า ไปไหน จึงตรัสบอกว่า บูเสงอ๋องหนีไปในเวลาคืนนี้ ท่านจงคิดอ่านไปจับให้ได้ บุนไท้สือจึงทูลว่า ซึ่งบูเสงอ๋องหนีไปนั้นด้วยมีเหตุประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เมื่อขึ้นปีใหม่นี้ ขุนนางและภรรยามากินโต๊ะในวัง นางขันกีกับนางกาสีพากันขึ้นไปเล่นบนเตียะแซเหลา นางกาสีพลัดตกลงไปตาย แล้วนางอึ้งกุยหุยรู้ พาโลว่า เรากับนางขันกีแกล้งฆ่าพี่สะใภ้ แล้วกล่าวคำหยาบช้า เข้าตีเอาเรา เราก็ผลักออกไป ด้วยโทษที่นางทำผิด ก็เผอิญให้ตกลงไปตาย ผู้ใดจะเอาความไปยุยงบูสงอ๋องประการใดก็ไม่รู้ ครั้นเวลาดึก มาเรียกเราให้ออกไปที่ประตู แล้บูเสงอ๋อง อึ้งเบ๋ง จิวกี ชวนกันเข้าฟันแทงเอาเรา แล้วก็พากันหนีไป บุนไท้สือจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นน้ำใจบุนเสนอ๋องสัตย์ซื่อต่อพระองค์นัก แล้วก็เป็นข้าทำราชการมาถึงเจ็ดชั่วคนแล้ว ถ้าพระองค์มิทำให้ได้ความแค้นเคืองเหลือที่จะอดได้ อันที่จะมาทำล่วงเกินต่อพระองค์ดังนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ฝ่ายไต้หูฉือหยงจึงเรียนแก่บุนไท้สือว่า ซึ่งท่านสรรเสริญบูเสงอ๋องนั้นก็จริงอยู่ แต่ทว่า โทษบูเสงอ๋องซึ่งคบกันล่วงเกินมาทำอันตรายแก่พระเจ้าติวอ๋องจนถึงประตูวังนั้นผิดนัก ถึงมาตรว่าพระเจ้าติวอ๋องจะทำผิดประการใด ชอบจะอดออมไว้กว่าท่านจะกลับมา จึงจะควร บุนไท้สือจึงว่า ซึ่งถ้อยคำท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่เราแจ้งความแต่ก่อนว่า คนทั้งปวงติเตียนพระเจ้าติวอ๋องว่า กระทำผิดต่าง ๆ จะได้มีผู้ใดกล่าวโทษบูเสงอ๋องแต่สักสิ่งหนึ่งก็หาไม่ มีแต่คำสรรเสริญทั้งแผ่นดิน ว่าแล้วก็ให้เขียนหนังสือให้ซือเค่งถือรีบไปถึงด่านหลิมตองก๋วน แซเหลงก๋วน ให้จัดทหารออกก้าวสกัดบูเสงอ๋องไว้ แล้วเราจะยกตามไป
ฝ่ายบุนไท้สือจัดแจงพลทหารสรรพไปด้วยเครื่องศัตราวุธ พร้อมแล้วก็ยกออกทางประตูทิศตะวันตกรีบตามอึ้งปวยฮอไป ขณะเมื่ออึ้งปวยฮอพาบุตรและพี่น้องพรรคพวกทหารหนีมาทางเบ๋งจี๋นข้ามแม่น้ำฮองโหขึ้นไป ณ หาดใหญ่แดนเมืองจี๋นตีก๋วน อึ้งปวยฮอจึงคิดว่า เตียวกุยซึ่งรักษาเมืองจี๋นตีก๋วนอยู่นี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก จะไปตามทางนั้นมิได้ จึงพาพรรคพวกหนีอ้อมไปทางหลังเมือง รีบตัดไปด่านหลิมตองก๋วน แล้วค่อยเดินเป็นปรกติไป ถึงป่าแปะเอ๋งหลิม พอได้ยินเสียงทหารและม้าล่อฆ้องกลองเอิกเกริกตามมาข้างหลังเป็นอันมาก อึ้งปวยฮอตกใจ เหลียวไปดูเห็นธงสำหรับทัพมีอักษร ก็รู้ว่า บุนไท้สือตามมา จึงคิดแต่ในใจว่า บุนไท้สือยกมาครั้งนี้รี้พลมากนัก เสียงทหารและเท้าม้าดังแผ่นดินจะถล่ม ผงคลีตระหลบไปทั้งอากาศ เหลือกำลังที่จะสู้รบ ก็ขับทหารพรรคพวกรีบหนีไป แล้วเหลียวไปเห็นอึ้งเทียนเสียง บุตรที่สามอายุเจ็ดขวบ ขี่ม้าตามมา อึ้งปวยฮอถอนใจใหญ่แล้วว่า แต่ชาติก่อนเจ้าทำกรรมไว้อย่างไร จึงมาพลอยได้ความทุกข์ด้วยแต่เด็กฉะนี้ พอว่าขาดคำลง ทหารเข้ามาบอกว่า ข้างขวามือมีคนและม้ายกมาพวกหนึ่ง แล้วทหารคนหนึ่งมาบอกว่า ทางข้างซ้ายมีทหารยกมาอีกกองหนึ่ง อึ้งปวยฮอแลไปดูก็รู้ว่า เตียวกุ๋ยบอง นายด่านแซเหลงก๋วน ยกมาข้างขวามือ มอแก สี่นายด่านแกบ๋องก๋วน ยกมาข้างซ้ายมือ แล้วแลไปเห็นเตียวฮอง นายด่านหลิมตองก๋วน ยกสกัดหน้ามา ก็ตกใจ จึงว่า ข้างหน้าก็มีกองทัพสกัดอยู่ ข้างหลังบุนไท้สือก็ตามใกล้เข้ามา เห็นจะหนีไม่พ้น มีความทุกข์เหลือทีคิด แหงนหน้าขึ้นบนอากาศร้องว่า เทพยดาจะแกล้งสังหารชีวิตเราในที่นี้หรือ
ฝ่ายโต๊ะเต๊กจินกุ๋นซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำเขาเซิงฮองซัวนั้นรู้ว่า แผ่นดินเมืองจิวโก๋เกิดวิปริต นานไปฤษีทั้งปวงก็จะไม่มีความสุข จึงสำแดงฤทธิ์ขี่เมฆเที่ยวดูมาในอากาศ พอมาถึงด่านหลิมตองก๋วน พออึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสงอ๋องถอนใจใหญ่เกิดมาเป็นลมร้อนขึ้นไปถึงโต๊ะเต๊กจินกุ๋น โต๊ะเต๊กจินกุ๋นรู้ว่า มีเหตุอยู่ในที่นี้ ก็แหวกเมฆดูลงมา เห็นอึ้งปวยฮอเข้าอยู่ในที่ล้อม จึงว่า อึ้งปวยฮอเป็นคนสัตย์ซื่อ มีความชอบต่อแผ่นดิน จะทิ้งเสียให้เป็นอันตรายหาควรไม่ จึงหยิบเอาผ้าที่มีฤทธิ์โยนลงไป แล้วอ่านมนตร์ขึ้น ผ้านั้นก็ไปหอบเอาอึ้งปวยฮอกับพรรคพวกไปไว้ในหุบเขาที่ลับ
ฝ่ายบุนไท้สือยกตามอึ้งปวยฮอมาถึงกลางทาง พบคนสอดแนมเข้ามาบอกว่า เตียวกุ๋ยบอง นายด่านแซเหลงก๋วน มอแกทั้งสี่นาย นายด่านแกบ๋องก๋วน เตียวฮอง นายด่านหลิมตองก๋วน จะขอเข้าคำนับท่าน บุนไท้สือสั่งให้หานายด่านทั้งหกคนเข้ามา แล้วถามว่า อึ้งปวยฮอซึ่งเป็นกบฏหนีมาทางนี้ ท่านพบหรือไม่ นายด่านทั้งหกคนคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าหาพบไม่ บุนไท้สือจึงสั่งว่า ท่านทั้งปวงกลับไปรักษาด่านของตัว กำชับกันให้ลาดตระเวนจงกวดขัน อย่าให้อึ้งปวยฮอกับพรรคพวกหนีเล็ดลอดไปได้ นายด่านทั้งสามตำบลก็คำนับลาบุนไท้สือไปรักษาด่านตามสั่ง
ฝ่ายบุนไท้สือนั่งอยู่บนหลังกิเลน คิดแต่ในใจว่า อึ้งปวยฮอหนีมาทางตะวันตกข้ามแม่น้ำฮองโหมา เหตุไรด่านทั้งสามตำบลหาพบไม่ เป็นอัศจรรย์ใจนัก จึงสั่งทหารให้จัดแจงตั้งค่ายปิดทางหลวงไว้ให้มั่นคง จะดูให้สิ้นสงสัยว่า อึ้งปวยฮอหนีมานั้นจะไปทางไหน ทหารทั้งปวงก็จัดแจงตั้งค่ายตามบุนไท้สือสั่ง
ฝ่ายโต๊ะเต๊กจินกุ๋นอยู่กลางอากาศ แลเห็นบุนไท้สือตั้งค่ายใหญ่ปิดทางหลวงไว้มั่นคงนัก จึงคิดว่า จำจะอุบายให้บุนไท้สือยกกองทัพไปเสียจากทางหลวง อึ้งปวงฮอจึงจะออกด่านได้ คิดเทเอาทรายในน้ำเต้าซึ่งปลุกเสกไว้ออกปรายไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ บันดาลให้เห็นเป็นคนพวกอึ้งปวยฮอกลับย้อนเข้าไปตามทางหลวง คนสอดแนมก็เข้ามาแจ้งกับบุนไท้สือว่า อึ้งปวยฮอหนีเข้าไปในเมืองแล้ว บุนไท้สือแจ้งดังนั้นก็ยกทหารออกจากค่าย ก็กลับตามอึ้งปวยฮอไปโดยเร็ว ตัดเอาไปจีนตี๋เป็นทางตรง บุนไท้สือแลไปข้างหน้าเห็นเป็นนกตกใจกลัววิ่งระส่ำระสายตามทางจะไปเมืองหลวง ก็สำคัญว่า อึ้งปวยฮอหนีกลับเข้าไปในเมือง เร่งขับทหารรีบตามจนพ้นเปงจิ๋นไป
ขณะนั้น โต๊ะเต๊กจินกุ๋นอ่านมนตร์ขึ้น ผ้านั้นก็พาอึ้งปวยฮอไว้ในทางหลวงดังเก่า ฝ่ายอึ้งฮวยฮอกับพรรคพวก ครั้นผ้าออกจากกายแล้ว เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้น แลไปดูทหารซึ่งล้อมไว้ทั้งสี่ด้านหายไปสิ้น มีความยินดีนัก จึงว่า บุญของเรายังไม่ถึงที่ตาย อึ้งเบ๋ง ทหาร จึงว่า อันคนไม่ถึงที่แล้ว จะทำประการใดก็หาเป็นอันตรายไม่ ด้วยเทพยดารักษาอยู่ อึ้งปวยฮอก็พาทหารรับไปถึงด่านหลิมตองก๋วน แลไปข้างหน้าเห็นคนและม้าแล้วมีทหารคอยตั้งสกัดทางอยู่ อึ้งปวยฮอจึงห้ามเกวียนเสบียงให้หยุดอยู่ก่อน เราจะขึ้นไปดู พอได้ยินเสียงประทัดและเสียงคนอื้ออึงใกล้เข้ามา อึ้งปวยฮอแลไปเห็นจ๋องเบ๋ง เตียวฮอง แต่งตัวใส่เกราะ ถือทวน ขี่ม้าขาว ขับออกมาหน้าทหาร แล้วร้องว่า ให้บูเสงอ๋องออกมาพูดกัน อึ้งปวยฮอได้ยินก็ขับโคออกไป ยอบตัวลงคำนับ แล้วร้องทักไปว่า ท่านอาผู้เฒ่า หลานนี้เป็นคนลำบากมา ซึ่งมิได้ลงจากหลังโคคำนับท่านโดยปรกตินั้น โทษมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ขอท่านอย่าได้ถือเลย เตียวฮองจึงว่า บิดาของท่านนั้นก็ได้สบถเป็นพี่น้องกับเรา แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตัวของท่านเล่าพระเจ้าติวอ๋องก็รักใคร่ดุจเชื้อพระวงศ์อันสนิท ชอบแต่จะมีใจสามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ ช่วยทำนุบำรุงอย่าให้มีสิ่งขัดเคืองพระทัย จึงจะชอบ นี่ท่านมาเห็นกับหญิงผู้เดียว สิ้นความกตัญญูต่อเจ้าข้าวแดง ไม่ทำตามประเพณีปู่และบิดาของตัวซึ่งมีคุณต่อแผ่นดิน ได้เป็นขุนนางช้านานแล้ว ท่านมาคิดกบฏล้างความชอบของท่านเสียเอง เราเป็นผู้ใหญ่ พลอยได้ความอัปยศด้วย ซึ่งท่านหนีมาทั้งนี้ อย่าว่าแต่เดินมาเลย ถึงมีปีกบินได้ในอากาศ ก็คงไม่พ้นมือเรา ท่านจงฟังเราว่า เร่งลงจากหลังโคให้เรามัดส่งไปโดยดีเถิด ซึ่งโทษของท่านนั้น ไว้เป็นธุระเรา เมื่อเข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว จะช่วยทูลขอโทษไว้สักครั้งหนึ่ง เห็นพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดอยู่ ด้วยท่านมีความชอบมาแต่หลังเป็นอันมาก ซึ่งเราเป็นผู้ใหญ่ว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านจงตรึกตรองดูเถิด ถ้าจะขืนดื้อดึงไป มิฟังคำเรา ต่อภายหลังท่านจึงจะรู้จักสำนึก อึ้งปวยฮอจึงว่า ท่านผู้เฒ่ารักษาสัตยธรรมอยู่ ข้าพเจ้าผู้น้อยนี้แต่ก่อนมาจะเป็นประการใดก็รู้อยู่กับท่าน แต่ครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องหลงไปด้วยสตรี ทั้งเมาสุรา แล้วเชื่อคำคนพาล เห็นผิดเป็นชอบ แผ่นดินเมืองแปรปรวนไป อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาช้านานแล้ว ข้อซึ่งกระทำกับภรรยาข้าพเจ้านั้น อย่าว่าเลย แต่พระมเหสีของท่านหาความผิดมิได้ ก็ประหารชีวิตเสียได้ ข้าพเจ้าทำราชการเล่า ก็ตั้งใจสามิภักดิ์โดยสุจริต ได้สั่งสอนขุนนางและข้าราชการทั้งปวงให้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะว่ากล่าวข้อความสิ่งใดก็โดยสัตยธรรม มิได้ลำเอียง ตั้งใจทำนุบำรุงเจ้าของตัว อาณาประชาราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุขทั้งแผ่นดิน ครั้งเมื่อหัวเมืองฝ่ายตะวันออกกระด้างกระเดื่อง มิได้อ่อนน้อมแก่พระเจ้าติวอ๋อง ข้าพเจ้าก็รับอาสาสู้ทรมานกายยกไปปราบปรามถึงสองร้อยเอ็ดครั้ง จึงราบคาบเป็นปรกติมาจนทุกวันนี้ ความชอบความดีของข้าพเจ้าทำไว้แต่ก่อนสูญไปแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้น เห็นจะรักษาตัวไปมิได้ ท่านได้เอ็นดูแล้วจงปล่อยให้ข้าพเจ้าไปโดยดีเถิด ถ้าเดชบุญของข้าพเจ้าไปหาที่พึ่งอื่นได้สมคิด ก็คงจะกลับมาแทนคุณท่านให้ถึงขนาด เตียวฮองได้ยินอึ้งปวยฮอว่า ให้เกิดโทโสเป็นกำลัง จึงด่าว่า อ้ายโจร ถ้อยคำสำนวนว่ากล่าวไม่ปรานีผู้ใหญ่ ดูหมิ่นเห็นว่า เราเป็นคนชรา แล้วเตียวฮองก็ขับม้าเข้าไปฟันด้วยง้าว อึ้งปวยฮอเอาทวนรับไว้ทัน จึงว่า ท่านผู้เฒ่าอย่าเพ่อโทโส ท่านก็เป็นขุนนาง ข้าพเจ้าก็เป็นขุนนาง ทำราชการอยู่ด้วยกัน อย่าเพ่อถือว่า ตัวดี ถ้ามีทุกข์มาบ้าง ก็จะเหมือนหัวอกข้าพเจ้าฉะนี้ เตียวฮองร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายกบฏต่อแผ่นดิน ลมปากแข็งนัก แล้วเอาง้าวฟันซ้ำไปอีก อึ้งปวยฮอหลบทัน มีความโกรธเป็นอันมาก ก็ขับโคเข้ารบกับเตียวฮอง รบกันได้สามสิบเพลง เตียวฮองกำลังน้อย ชักม้าหนี อึ้งปวยฮอได้ทีไล่ตามไป เตียวฮองได้ยินเสียงกระดึงที่คอโคตามมาข้างหลัง ก็รู้ว่า อึ้งปวยฮอไล่มา จึงเอาง้าวแอบข้างม้าไว้ แล้วชักกระบองทองเหลืองออกจากเสื้อ เอาไหมพู่สำหรับกระบอกพันมือให้มั่น มือหนึ่งชักม้าให้เดินถอยหลังสวนทางลงมา ขณะเมื่อเตียวฮองชักม้าหนีไปนั้น อึ้งปวยฮอตามไป พอเห็นเตียวฮองเอาง้าวแอบข้างม้า ก็มีความสงสัยว่า เตียวฮองจะทำอุบายประการใด ก็รีบขับโคตามมา ม้ากับโคก็จวนกันเข้า เตียวฮองเห็นได้ทีก็ขว้างด้วยกระบอง อึ้งปวยฮอก็รับด้วยกระบี่ชื่อ โปเกี๋ยม เชือกซึ่งผูกกระบองขาด กระบองตกลง มิได้ถูกอึ้งปวยฮอ เตียวฮองเห็นดังนั้นก็เสียใจ ขับม้าหนี
ฝ่ายอึ้งปวยฮอ ครั้นเตียวฮองหนีไปแล้วก็มิได้ตามไป เก็บเอากระบองไว้ แล้วสั่งพวกทหารให้เร่งเกวียนเสบียงขึ้นมาพร้อมกัน ตั้งค่ายอยู่ในที่นั้น
ขณะเมื่อเตียวฮองหนีอึ้งปวยฮอไปนั้น เข้าอยู่ในกำแพงด่าน จึงคิดแต่ในใจว่า อึ้งปวยฮอคนนี้มีกำลังมาก แต่ผู้เดียวอาจสามารถจะทำลายค่ายได้ถึงสามด่าน ตัวเราก็เป็นคนชรา ไหนจะทานกำลังได้ ถ้าอึ้งปวยฮอหนีไปได้ พระเจ้าติวอ๋องจะเอาโทษแก่เรา จึงเรียกเสียวหงิน ปลัดด่าน เข้ามา แล้วว่า อึ้งปวยฮอมีกำลังสู้คนได้ถึงหมื่นหนึ่ง แล้วเก็บเอากระบองกายสิทธิ์ของเราไว้ได้ ซึ่งจะสู้ด้วยกำลังและฝีมือนั้นเห็นจะหาชนะไม่ จำจะคิดอุบาย ในค่ำวันนี้ ท่านไปเกณฑ์ทหารเกาทัณฑ์ไว้สามพัน เวลาสามยาม ออกไปลอบยิงอึ้งปวยฮอกับพรรคพวกเสียให้ตาย ตัดศีรษะส่งไปเมืองจิวโก๋ โทษจึงจะไม่มีแก่เรา เสียวหงินรับคำเตียวฮองแล้วเดินออกมา จึงคิดว่า อึ้งปวยฮอคนนี้ เมื่อเราตกเข้าไปเป็นบ่าวอยู่นั้น มีความเอ็นดูแก่เรานัก ตั้งเราให้ออกมาเป็นปลัดด่านหลิมตองก๋วน ได้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ ก็ยังหาได้แทนคุณสิ่งไรไม่ อันเราจะคิดฆ่าท่านผู้มีคุณเสียนั้น ที่ไหนเราจะเป็นคนสืบไปได้ เสียวหงินคิดดังนั้นแล้ว ก็ลอบออกไปถึงหน้าค่ายอึ้งปวยฮอ ร้องเข้าไปว่า มีกองตระเวนหรือไม่ พวกอึ้งปวยฮอจึงถามออกมาว่า ใครมาแต่ไหน เสียวหงินตอบไปว่า เราชื่อ เสียวหงิน เป็นบ่าวเก่าของบูเสงอ๋อง จะมาบอกความลับแก่ท่าน ทหารก็เข้าไปแจ้งความแก่อึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอสั่งให้รับเสียวหงินเข้าไปในค่าย เสียวหงินเข้ามาคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า เตียวฮองสั่งให้ข้าพเจ้าคุมทหารเกาทัณฑ์สามพันมายิงท่านเสียในเวลาสองยามนี้ ข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายแก่ท่านผู้มีคุณได้ ข้าพเจ้าจึงออกมาบอกกับท่านให้แจ้ง อึ้งปวยฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ขอบคุณท่านนัก หาไม่ตัวเรากับพรรคพวกก็จะตายอยู่ในที่นี้สิ้น เหมือนให้เราเกิดใหม่ เรามีความยินดีนัก แม้นมิตายจะแทนคุณท่าน และการครั้งนี้เป็นการร้อน อุปมาเหมือนไฟไหม้ขนคิ้ว ท่านจะเมตตาช่วยเราอย่างไรจึงจะพ้นภัย เสียวหงินจึงว่า เชิญท่าขึ้นม้าพาพรรคพวกครอบครัวรีบไปโดยเร็ว ข้าพเจ้าจะเปิดประตูด่านให้ และการทั้งนี้อย่าช้าเลย ความจะแพร่งพรายไป อึ้งปวยฮอกับพรรคพวกก็มีความยินดี ต่างคนต่างถืออาวุธขึ้นม้ารีบออกมา พอเวลายามหนึ่งเป็นหัวค่ำอยู่ ชาวด่านทั้งปวงก็หาทันสังเกตไม่ เสียวหงินไขประแจประตูส่งอึ้งปวยฮอออกจากด่าน
ขณะเมื่อเตียวฮองสั่งเสียวหงินไปแล้ว ก็จัดแจงตัวคอยเวลาอยู่ พอได้ยินเสียงคนร้องขึ้นอื้ออึงว่า อึ้งปวยฮอแหกด่านออกไปได้ เตียวฮองตกใจ จึงร้องว่า เราใช้คนผิดแล้ว หาทันคิดว่าเสียวหงินเป็นข้าเก่าของอึ้งปวยฮอไม่ มีความโกรธเป็นกำลัง ขึ้นม้าถือง้าวรีบตามอึ้งปวยฮอไป เสียวหงินแอบประตูด่านอยู่ พอเตียวฮองออกจากประตู เสียวหงินเอาทวนแทงเตียวฮองตกม้าตาย ครั้นเสียวหงินฆ่าเตียวฮองตายแล้ว ก็ควบม้ามาตามอึ้งปวยฮอ จึงร้องไปว่า ให้ท่านรออยู่ก่อน อึ้งปวยฮอได้ยินเสียงหวินร้องมาก็รอโคอยู่ เสียวหงินมาถึงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าฆ่าเตียวฮองตายแล้ว ท่านไปให้สบายเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปจัดแจงด่าน เกลือกกองทัพจะตามท่านมาภายหลัง ข้าพเจ้าจะได้ต้านทานไว้ให้ท่านไปสบาย แล้วเสียงหงินจึงว่า ท่านกับข้าพเจ้าจะจากกันไปวันนี้ เมื่อไรจะได้พบกับท่านอีกเล่า อึ้งปวยฮอจึงตอบว่า เราขอบใจท่านนัก ท่านได้มีคุณช่วยชีวิตเราครั้งนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อไรจะได้กลับมาแทนคุณท่าน ว่าแล้วอึ้งปวยฮอก็ขับโคพาพรรคพวกรีบไป เสียงหวินก็กลับมาด่านหลิมตองก๋วน
ขณะเมื่ออึ้งปวยฮอออกจากด่านหลิมตองก๋วนไปทางประมาณแปดร้อยเส้น ถึงด่านตองก๋วน สั่งให้ทหารตั้งค่ายอยู่ริมด่าน ฝ่ายกองตระเวนด่านตองก๋วนเห็นดังนั้น จึงเข้าไปแจ้งความกับตันต๋องผู้เป็นนายด่านว่า อึ้งปวยฮอพาพรรคพวกทหารหนีบุนไท้สือมาตั้งค่ายอยู่ริมด่านเรา ตันต๋องแจ้งดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า บูเสงอ๋องทำราชการได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวง สำคัญใจว่า พระเจ้าติวอ๋องจะเสวยราชย์อยู่ได้สักพันปี ตัวจะมาตกต่ำแล้วมิรู้ ก็มีความผิดอยู่เหมือนกัน คงจะได้เห็นกันวันนี้ แล้วสั่งให้ทหารไปตั้งค่ายลงขวากหนามสกัดทางไว้ แล้วตันต๋องแต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้า ถือทวน มีลูกทิ้งเป็นอาวุธ แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้รีบออกไปจับอึ้งปวยฮอ
ฝ่ายอึ้งปวยฮอเมื่อมาตั้งอยู่ริมด่าน จึงถามทหารทั้งปวงว่า ด่านตองก๋วนนี้ผู้ใดมารักษาอยู่ จิวกี ทหารเอก จึงบอกว่า ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า ด่านนี้ตันต๋องเป็นนายด่าน อึ้งปวยฮอได้ยินออกชื่อตันต๋อง ก็นิ่งไป แล้วถอนใจใหญ่ เล่าความให้ทหารฟังว่า ตันต๋องคนนี้เดิมเป็นขุนนางทำราชการอยู่ในเรา กระทำความผิดโทษถึงตาย เราจะให้เอาตัวไปฆ่าเสียตามกฎหมาย ขุนนางทั้งปวงชวนกันขอโทษไว้ให้ทำราชการแก้ตัวครั้งหนึ่ง เรามีใจเมตตา จึงงดโทษให้ บัดนี้ ได้มาเป็นนายด่าน เห็นตันต๋องจะเอาความหลังมาผูกใจเจ็บเราเป็นมั่นคง เราจะคิดประการใด ว่ายังมิทันขาดคำ ได้ยินอื้ออึงมาเป็นอันมาก อึ้งปวยฮอขึ้นหลังโคถือทวนออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ตันต๋องเห็นดังนั้น จึงทำเป็นองอาจ ขับม้าออกมาหน้าทหาร รำทวนเย้ย แล้วชี้เอาอึ้งปวยฮอว่า ท่านอยู่ในเมืองหลวงทำราชการจนได้เป็นเจ้า เหตุไรวันนี้จึงลอบหนีออกมานอกด่าน บุนไท้สือให้เรามาคอยอยู่นานแล้ว เร่งลงจากหลังโค เราจะพาเข้าไปส่งเมืองหลวงเป็นความชอบของเรา อึ้งปวยฮอได้ฟังดังนั้น จึงตอบว่า อันความเท็จจริงชั่วดีนั้นก็ย่อมมีอยู่ด้วยกันทุกคน ตัวท่านเล่าแต่แรกเป็นขุนนางอยู่ในเรา เราก็หามีใจลำเอียงไม่ เลี้ยงท่านเหมือนหนึ่งน้อง เมื่อท่านเป็นโทษนั้นเล่า ท่านกระทำใส่ตัวท่านเอง ถึงกระนั้น เราก็มีใจเมตตาท่าน ฟังคำคนทั้งปวงห้าม ให้ทำราชการแก้ตัว มิใช่เราจะไม่มีคุณแก่ท่าน ท่านมาเยาะเย้ยเราดังนี้ หมายจะแก้แค้นความหลังหรือ ถ้าดังนั้นก็รีบมารบกันเถิด ถ้าชนะเราถึงสามเพลงแล้ว เราจะให้ท่านมัดไปโดยง่าย ว่าดังนั้นแล้วก็ขับโคเข้ารบกันตันต๋องได้ยี่สิบเพลง ตันต๋องเห็นอึ้งปวยฮอมีฝีมือและกำลังนัก จะเอาชัยชนะโดยซึ่งหน้านั้นมิได้ ก็ชักม้าหนี อึ้งปวยฮอร้องตวาดว่า กูจะจับอ้ายคนนี้แก้แค้นให้จงได้ แล้วก็ขับโคตามไป ตันต๋องเห็นอึ้งปวยฮอตามมาข้างหลัง จึงเอาทวนพาดตัก แล้วหยิบเอาลูกทิ้งขว้างไป อึ้งปวยฮอหลบไม่ทัน ถูกสีข้าง ตกลงจากหลังโค จิวกี ทหารเอก เห็นดังนั้น จึงควบม้าขวางเข้าไปร้องว่า เอ็งอย่าทำอันตรายกู ตันต๋องได้ยินจิวกีว่าเป็นคำหยาบก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับจิวกี จิวกีฟันด้วยขวาน ตันต๋อนเอาทวนขึ้นรับ ขณะเมื่อจิวกีกับตันต๋องรบกันอยู่นั้น อึ้งฮุยปิวเห็นอึ้งปวยฮอผู้พี่ตกลงจากหลังโค จึงวิ่งเข้าไปอุ้มเอาม เห็นอึ้งปวยฮอตาย อึ้งฮุยปิวโกรธ มีความแค้น จะใคร่ขยี้ตันต๋องเสียให้ละเอียด แล้วขับม้าเข้าไปรบช่วยจิวกี ตันต๋องเห็นดังนั้นก็ชักม้าหนี จิวกี อึ้งฮุยปิว ก็ขับม้าไล่ตามไป ตันต๋องจึงเอาลูกทิ้งทิ้งเอาจิวกีถูกคอตลอดตกม้าตาย ตันต๋องกลับม้ามาจะเข้าตัดศีรษะ พออึ้งเบ๋งควบม้าสวนเข้ามารบสกัดตันต๋องไว้ ตันต๋องเห็นว่า ชนะทหารสองคนแล้ว พอเวลาเย็น ก็ชักม้ากลับเข้าค่าย
ฝ่ายอึ้งฮุยปิวและทหารทั้งปวงจึงเอาศพอึ้งปวยฮอกับจิวกีเข้าไปไว้ในที่สมควร บุตรและทหารก็ร้องไห้รักแซ่ไปสิ้นทั้งค่าย อึ้งเบ๋ง อึ้งฮุยปิว ยิ่งมีความโกรธเป็นกำลัง คิดจะใคร่ไปแก้แค้นตันต๋อง แต่จนใจด้วยเวลาค่ำ มิรู้ที่จะทำประการใด ก็สั่งทหารให้จัดแจงรักษาค่ายมั่นอยู่
๑๘๐๑
ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๑–๗๕)
ในบรรดาหนังสือที่เป็นประโยชน์สำหรับค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของไทยแล้ว หนังสือชุด ประชุมพงศาวดาร เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะได้รวบรวมเรื่องเก่า ๆ ที่มีสาระและคำอธิบายของผู้มีความรู้ในวิชาดังกล่าวไว้โดยละเอียด นอกจากเรื่องพงศาวดารแล้ว ยังมีตำนานและลัทธิธรรมเนียมที่ควรรู้และน่าสนใจรวมอยู่ด้วยเป็นอันมาก หนังสือชุดนี้เริ่มพิมพ์เป็นภาคแรก เรียกว่า ภาคที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ และได้พิมพ์ต่อมาจนถึงภาคที่ ๗๓ ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นระยะเวลาถึงสามสิบปีเศษ และในขณะนี้ก็ยังมีพิมพ์ภาคอื่น ๆ ต่อมาอีกหลายภาค เนื่องด้วยหนังสือชุด ประชุมพงศาวดาร นี้เป็นหนังสือที่ดี และพิมพ์มาแล้วเป็นเวลาช้านาน ทำให้กระจัดกระจาย หาอ่านได้ยากในยามที่ต้องการ ทั้งหาผู้ที่จะลงทุนพิมพ์รวมเป็นชุดได้ยาก ราคาของหนังสือชุดนี้ในท้องตลาดจึงสูงขึ้นจนทุกวันนี้ ชุดหนึ่งถึงหนึ่งหมื่นบาท คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือของคุรุสภามีความประสงค์จะรวบรวมพิมพ์หนังสือ ราคาพอสมควร สำหรับให้นักศึกษาและผู้สนใจในวิชาการได้หาซื้ออ่านได้สะดวก จึงได้จัดพิมพ์ขึ้น หนังสือชุดนี้ได้พิมพ์ออกมาสองภาคแล้ว และกำลังจัดพิมพ์ภาคต่อ ๆ ไปตามลำดับ ผู้สนใจโปรดอย่าลืมหาไว้เป็นสมบัติประดับห้องสมุดของท่าน
๘๑๔–๘๒๐
พระราชพงศาวดารพม่า
พม่าเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรา มีประวัติศาสตร์พัวพันกับไทยตลอดมา ทั้งด้านการเป็นมิตรและการสงคราม ไม่มีชาติใดที่มีประวัติศาสตร์การสงครามกับชาติไทยเรามากเท่ากับพม่า ในประวัติศาสตร์ของเราสมัยกรุงศรีอยุธยามีเรื่องที่เกี่ยวพันกับพม่าในการสงครามมากมาย อันประกอบเป็นเรื่องราวส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย หนังสือเกี่ยวกับพงศาวดารของพม่าที่เป็นภาษาไทยหาอ่านศึกษาได้ยาก ทางคุรุสภาจึงได้จัดพิมพ์หนังสือชุดนี้ขึ้นในชุดภาษาไทยของคุรุสภา มีเรื่องติดต่อกันจากเลขที่ ๘๑๔–๘๒๐ รวมเป็นหนังสือเจ็ดเล่ม บรรยายพงศาวดารพม่าโดยละเอียด ตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงยุคสิ้นราชวงศ์ในพม่า หนังสือชุดนี้ได้พิมพ์ออกมาครบชุดแล้ว ผู้ทรงนิพนธ์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้สนใจในประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดที่จะมีหนังสือชุดนี้ไว้ในห้องสมุด
ห้องสิน |
เล่ม ๑ |