ข้ามไปเนื้อหา

อัลกุรอานภาษาไทย

จาก วิกิซอร์ซ
(เปลี่ยนทางจาก Abu Israfil)
โครงสร้างเนื้อหา
  1. ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ (อารัมภบท)
  2. ซูเราะฮฺอัลบะก็อเราะฮฺ (บท โค)
  3. ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน (บท วงศ์วานแห่งอิมรอน)
  4. ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี)
  5. ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ (บท สำรับอาหาร)
  6. ซูเราะฮฺอัลอันอาม (บท ปศุสัตว์)
  7. ซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ (บท ยอดกำแพง)
  8. ซูเราะฮฺอัลอันฟาล (บท สินเชลย)
  9. ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ (บท การสำนึกผิด)
  10. ซูเราะฮฺยูนุส (บท นบียูนุส)
  11. ซูเราะฮฺฮูด (บท นบีฮูด)
  12. ซูเราะฮฺยูสุฟ (บท นบียูสุฟ)
  13. ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ (บท ฟ้าลั่น)
  14. ซูเราะฮฺอิบรอฮีม (บท นบีอิบรอฮีม)
  15. ซูเราะฮฺอัลหิจญ์รุ (บท นครหิจญ์รุ)
  16. ซูเราะฮฺอันนะหฺลิ (บท ผึ้ง)
  17. ซูเราะฮฺอัลอิสรออ์ (บท การเดินทางยามราตรี)
  18. ซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ (บท ถ้ำ)
  19. ซูเราะฮฺมัรยัม (บท นางมัรยัม)
  20. ซูเราะฮฺฏอฮา (บท ฏอฮา)
  21. ซูเราะฮฺอัลอันบิยาอ์ (บท เหล่าศาสดา)
  22. ซูเราะฮฺอัลหัจญ์ (บท พิธีฮัจญ์)
  23. ซูเราะฮฺอัลมุอ์มินูน (บท ศรัทธาชน)
  24. ซูเราะฮฺอันนูร (บท รัศมี)
  25. ซูเราะฮฺอัลฟุรกอน (บท มาตรการจำแนกข้อเท็จจริง)
  26. ซูเราะฮฺอัชชุอะรออ์ (บท เหล่ากวี)
  27. ซูเราะฮฺอันนัมลฺ (บท มด)
  28. ซูเราะฮฺอัลก็อศ็อศ (บท พงศาวดาร)
  29. ซูเราะฮฺอัลอันกะบูต (บท แมงมุม)
  30. ซูเราะฮฺอัรรูม (บท โรมัน)
  31. ซูเราะฮฺลุกมาน (บท ลุกมาน)
  32. ซูเราะฮฺอัสสัจญ์ดะฮฺ (บท การก้มกราบ)
  33. ซูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ (บท แนวร่วม)
  34. ซูเราะฮฺสะบะอ์ (บท เผ่าสะบะอ์)
  35. ซูเราะฮฺฟาฏิร (บท พระผู้ทรงสร้าง)
  36. ซูเราะฮฺยาซีน (บท ยาซีน)
  37. ซูเราะฮฺอัศศอฟฟาต (บท บรรดาผู้เรียงแถวตามลําดับ)
  38. ซูเราะฮฺศอด (บท ศอด)
  39. ซูเราะฮฺอัซซุมัร (บท กลุ่ม)
  40. ซูเราะฮฺฆอฟิร (บท พระผู้ทรงอภัยในบาป)
  41. ซูเราะฮฺฟุศศิลัต (บท ได้รับการอธิบายอย่างละเอียด)
  42. ซูเราะฮฺอัชชูรอ (บท การปรึกษาหารือ)
  43. ซูเราะฮฺอัซซุครุฟ (บท เครื่องประดับทองคำ)
  44. ซูเราะฮฺอัดดุคอน (บท ควัน)
  45. ซูเราะฮฺอัลญาษิยะฮฺ (บท ผู้คุกเข่า)
  46. ซูเราะฮฺอัลอะหฺกอฟ (บท เมืองอะหฺกอฟ)
  47. ซูเราะฮฺมุหัมมัด (บท นบีมุหัมมัด)
  48. ซูเราะฮฺอัลฟัตหฺ (บท ชัยชนะ)
  49. ซูเราะฮฺอัลหุญุรอต (บท ห้องหับ)
  50. ซูเราะฮฺกอฟ (บท กอฟ)
  51. ซูเราะฮฺอัซซาริยาต (บท สายลมปลิวพัด)
  52. ซูเราะฮฺอัฏฏูรฺ (บท ภูเขาตูรฺ)
  53. ซูเราะฮฺอันนัจญ์มฺ (บท ดวงดาว)
  54. ซูเราะฮฺอัลก็อมัร (บท ดวงจันทร์)
  55. ซูเราะฮฺอัรเราะหฺมาน (บท พระผู้ทรงเมตตายิ่ง)
  56. ซูเราะฮฺอัลวากิอะฮฺ (บท เหตุการณ์)
  57. ซูเราะฮฺอัลหะดีด (บท เหล็ก)
  58. ซูเราะฮฺอัลมุญาดิละฮฺ (บท สตรีผู้โต้แย้ง)
  59. ซูเราะฮฺอัลหัชรฺ (บท การชุมนุม)
  60. ซูเราะฮฺอัลมุมตะหะนะฮฺ (บท สตรีผู้ถูกทดสอบ)
  61. ซูเราะฮฺอัศศ็อฟ (บท แถว)
  62. ซูเราะฮฺอัลญุมุอะฮฺ (บท วันศุกร์)
  63. ชูเราะฮฺอัลมุนาฟิกูน (บท บรรดาผู้สับปลับ)
  64. ซูเราะฮฺอัตตะฆอบุน (บท ความสำเร็จ)
  65. ซูเราะฮฺอัฎฏ็อลาก (บท การหย่า)
  66. ซูเราะฮฺอัตตะหฺรีม (บท การบัญญัติห้าม)
  67. ซูเราะฮฺอัลมุลกฺ (บท อำนาจ)
  68. ซูเราะฮฺอัลก็อลัม (บท ปากกา)
  69. ซูเราะฮฺอัลหากเกาะฮฺ (บท เหตุการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
  70. ซูเราะฮฺอัลมะอาริจญ์ (บท เหล่าทางขึ้นสู่เบื้องสูง)
  71. ซูเราะฮฺนูหฺ (บท นบีนูฮฺ)
  72. ซูเราะฮฺอัลญิน (บท ญิน)
  73. ซูเราะฮฺอัลมุซซัมมิล (บท ผู้คลุมกาย)
  74. ซูเราะฮฺอัลมุดดัษษิร (บท ผู้ห่มกาย)
  75. ซูเราะฮฺอัลกิยามะฮฺ (บท การฟื้นคืนชีพ)
  76. ซูเราะฮฺอัลอินซาน (บท มนุษย์)
  77. ซูเราะฮฺอัลมุรสะลาต (บท สายลม)
  78. ซูเราะฮฺอันนะบะอ์ (บท ข่าว)
  79. ซูเราะฮฺอันนาซิอาต (บท ผู้ฉุดกระชาก)
  80. ซูเราะฮฺอะบะสะ (บท หน้าบึ้ง)
  81. ซูเราะฮฺอัตตักวีร (บท การม้วน)
  82. ซูเราะฮฺอัลอินฟิฏอร (บท การแตกแยก)
  83. ซูเราะฮฺอัลมุฏ็อฟฟิฟีน (บท บรรดาผู้โกงการตวงชั่ง)
  84. ซูเราะฮฺอัลอินชิกอก (บท แตกแยกออก)
  85. ซูเราะฮฺอัลบุรูจญ์ (บท จักรราศี)
  86. ซูเราะฮฺอัฏฏอริก (บท ผู้มาเยือนยามวิกาล)
  87. ซูเราะฮฺอัลอะอฺลา (บท พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง)
  88. ซูเราะฮฺอัลฆอชิยะฮฺ (บท ภูมิที่ครอบงํา)
  89. ซูเราะฮฺอัลฟัจญ์รฺ (บท รุ่งอรุณ)
  90. ซูเราะฮฺอัลบะลัด (บท บ้านเมือง)
  91. ซูเราะฮฺอัชชัมสฺ (บท ดวงอาทิตย์)
  92. ซูเราะฮฺอัลลัยลฺ (บท ราตรี)
  93. ซูเราะฮฺอัฎฎุหา (บท ยามสาย)
  94. ซูเราะฮฺอัชชัรหฺ (บท การเปิดหัวอก)
  95. ซูเราะฮฺอัตตีน (บท มะเดื่อ)
  96. ซูเราะฮฺอัลอะลัก (บท ก้อนเลือด)
  97. ซูเราะฮฺอัลก็อดรฺ (บท อานุภาพ)
  98. ซูเราะฮฺอัลบัยยินะฮฺ (บท หลักฐานอันชัดแจ้ง)
  99. ซูเราะฮฺอัซซัลซะละฮฺ (บท แผ่นดินไหว)
  100. ซูเราะฮฺอัลอาดิยาต (บท ม้าที่วิ่ง)
  101. ซูเราะฮฺอัลกอริอะฮฺ (บท ที่เคาะตี)
  102. ซูเราะฮฺอัตตะกาษุร (บท การสะสมเพิ่มพูน)
  103. ซูเราะฮฺอัลอัศรฺ (บท กาลเวลา)
  104. ซูเราะฮฺอัลฮุมะซะฮฺ (บท ผู้นินทา)
  105. ซูเราะฮฺอัลฟีล (บท ช้าง)
  106. ซูเราะฮฺกุรอยชฺ (บท เผ่ากุเรช)
  107. ซูเราะฮฺอัลมาอูน (บท อุปกรณ์เครื่องใช้)
  108. ซูเราะฮฺอัลเกาษัร (บท ความดีอันมากมาย)
  109. ซูเราะฮฺอัลกาฟิรูน (บท บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา)
  110. ซูเราะฮฺอัลนัศรฺ (บท ชัยชนะ)
  111. ซูเราะฮฺอัลมะสัด (บท เชือกใยอินทผาลัม)
  112. ซูเราะฮฺอัลอิคลาศ (บท ความบริสุทธิ์ใจ)
  113. ซูเราะฮฺอัลฟะลัก (บท รุ่งอรุณ)
  114. ซูเราะฮฺอันนาส (บท มวลมนุษย์)


‫ترجمة معاني القرآن الكريم‬
‫باللغة التايلندية‬
‫أبو اسرافيل الفطاني‬


อัลกุรอานภาษาไทย
สำนวนแปล อะบู อิสรอฟีล อัลฟะฏอนีย์


Thai Translation of the Holy Koran
by Abu Israfil al-Fatani


เวอร์ชั่น Version: 20191222
‫الحقوق غير محفوظة‬
อนุญาตให้เอาเผยแพร่ อ้างอิง โดยไม่ต้องขออนุญาต
Copy-Left by the author



‫ترجمة معاني القرآن الكريم‬
‫باللغة التايلندية‬
‫أبو اسرافيل الفطاني‬


อัลกุรอานภาษาไทย
สำนวนแปล อะบู อิสรอฟีล อัลฟะฏอนีย์


Thai Translation of the Holy Koran
by Abu Israfil al-Fatani


เวอร์ชั่น Version: 20191222
‫الحقوق غير محفوظة‬
อนุญาตให้เอาเผยแพร่ อ้างอิง โดยไม่ต้องขออนุญาต
Copy-Left by the author



{1:1} ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{1:2} มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งสากลโลก

{1:3} พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{1:4} พระผู้ทรงสิทธิอํานาจในวันแห่งการตอบแทน

{1:5} พระองค์เท่านั้นที่พวกข้าฯเคารพสักการะ และพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าฯขอความช่วยเหลือ

{1:6} โปรดชี้นำพวกข้าฯสู่แนวทางอันเที่ยงตรง

{1:7} แนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานพวกเขา ไม่ใช่ของพวกที่ถูกกริ้ว และไม่ใช่ ของพวกที่หลงผิด



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{2:1} อะลีฟ ลาม มีม

{2:2} นั่นคือคัมภีร์ที่ไม่มีข้อสงสัยอยู่ในนั้น เป็นทางนำสำหรับมวลผู้ยำเกรง

{2:3} บรรดาผู้ที่มีศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย และพวกเขาดํารงการนมาซ และบริจาคจากสิ่งที่เราได้ ประทานให้แก่พวกเขา

{2:4} และบรรดาผู้ที่มีศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เธอ และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมาก่อนหน้า เธอ และต่อปรโลกนั้น พวกเขามั่นใจ

{2:5} คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อยู่บนทางนำจากพระเจ้าของพวกตน และพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่ประสบความ สำเร็จ

{2:6} แท้จริง บรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ย่อมเสมอกันสำหรับพวกเขา ไม่ว่าเธอจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตัก เตือนก็ตาม พวกเขาจะไม่มีศรัทธา

{2:7} อัลลอฮฺได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขาและหูของพวกเขา และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มี เยื่อปกปิดอยู่ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันมหันต์

{2:8} และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า "พวกเรามีศรัทธาในอัลลอฮฺ และในวันสุดท้าย" แต่พวกเขาไม่ ใช่ผู้มีศรัทธาดอก

{2:9} พวกเขาคิดหลอกลวงอัลลอฮฺและบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และพวกเขาไม่ได้หลอกลวงผู้ใดนอกจาก ตนเอง ทว่าพวกเขาไม่รู้ตัว

{2:10} ในจิตใจของพวกเขานั้นมีโรค ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้เพิ่มโรคแก่พวกเขาอีก และพวกเขาจะได้รับ การลงโทษอันเจ็บปวด เนื่องจากการที่พวกเขาเคยโกหก

{2:11} และเมื่อได้มีการบอกแก่พวกเขาว่า "จงอย่าบ่อนทำลายในแผ่นดิน" พวกเขาก็ตอบว่า "แท้จริงแล้ว พวกเราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก"

{2:12} พวกเขาเป็นผู้บ่อนทำลายไม่ใช่หรือ? แต่พวกเขาไม่รู้ตัว

{2:13} และเมื่อได้มีการบอกแก่พวกเขาว่า "จงมีศรัทธาเหมือนกับที่ผู้คนเขามีศรัทธากัน" พวกเขาก็ กล่าวว่า "จะให้พวกเรามีศรัทธาเหมือนกับที่คนเขลาเหล่านั้นมีศรัทธากระนั้นหรือ?" จงรู้ไว้เถิดว่า "พวกเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนเขลา แต่พวกเขาไม่รู้"

{2:14} และเมื่อพวกเขาได้พบบรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกเขากล่าวว่า "เรามีศรัทธาแล้ว" แต่เมื่อพวก เขาอยู่ตามลําพังกับบรรดาชัยฏอนของพวกตน พวกเขาก็จะกล่าวว่า "แท้จริงเราอยู่กับพวกท่าน เรา เพียงแต่จะเยาะเย้ยเล่นเท่านั้น"

{2:15} อัลลอฮฺดอกที่กําลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่ และทรงปล่อยให้พวกเขามืดมนอยู่ในความละเมิด

{2:16} เหล่านี้คือคนที่แลกเอาความหลงผิดด้วยทางนำ การค้าของพวกเขาจึงไม่ก่อกําไร และพวก เขาก็ไม่ใช่ผู้ได้รับการชี้นำ

{2:17} อุปมาพวกเขา อุปมัยดั่งผู้ที่ก่อไฟ ครั้นเมื่อมันส่องแสงสว่างแก่สิ่งที่อยู่รอบข้างเขา อัลลอฮฺก็ ได้ทรงดับแสงของพวกเขานั้นไป และทรงปล่อยพวกเขาอยู่ในความมืดมน มองไม่เห็น

{2:18} พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่หวนกลับมา

{2:19} หรือดั่งฝนหนักที่กระหน่ำลงมาจากฟ้า ที่ตามมาด้วยความมืดทึบ ฟ้าร้อง และฟ้าแลบ พวก เขาจะเอานิ้วมืออุดหูของพวกตน เนื่องจากเสียงอสุนีบาต เพราะกลัวต่อความตาย และอัลลอฮฺนั้นทรง ล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน

{2:20} สายฟ้าแลบแทบจะโฉบเฉี่ยวเอานัยน์ตาของพวกเขาไป เมื่อใดที่มันส่องแสงสว่างแก่พวกเขา พวกเขาก็เดินคืบหน้าต่อไป แต่เมื่อมันมืดมิดสำหรับพวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน และถ้าอัลลอฮฺทรงประสงค์ พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขาและการเห็นของพวกเขาออกไป แท้จริงอัลลอฮฺคือพระ ผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:21} โอ้ ปวงมนุษย์! จงเคารพสักการะพระเจ้าของพวกเธอ พระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ และบรรดาชนก่อนหน้าพวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:22} พระผู้ทรงบันดาลแผ่นดินสำหรับพวกเธอให้เป็นพื้นราบ และฟ้าเป็นหลังคา และทรงนำน้ำลงมาจากฟ้า และด้วยน้ำนั้นทรงบันดาลให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เป็นเครื่องยังชีพ สำหรับพวกเธอ ดังนั้น ก็จงอย่าอุปโลกน์สิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ ในเมื่อพวกเธอรู้ดีแล้ว

{2:23} และถ้าหากพวกเธอยังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา พวกเธอก็จงนำมาสัก บทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของพวกเธอมา นอกจากอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเธอแน่จริง

{2:24} แต่ถ้าหากพวกเธอไม่ทำ และพวกเธอก็ไม่อาจจะทำได้ดอก ก็จงระวังเพลิงนรก ซึ่งจะมีหมู่ มนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:25} และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่มีศรัทธาและประกอบการดีว่า พวกเขาจะได้รับเหล่าสวรรค์ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องล่างของมัน คราวใดที่พวกเขาได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า "นี่เป็นสิ่งที่เคยมีให้แก่พวกเรามาก่อน" และจะมีมาให้แก่พวกเขาเยี่ยงเดียวกัน และพวกเขาในนั้น จะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ และพวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:26} แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงอายที่จะยกอุทาหรณ์เยี่ยงยุงหรือที่เหนือกว่านั้น บรรดาผู้ปฏิเสธก็กล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงมีจุดประสงค์อันใดเล่ากับอุทาหรณ์นี้?" ด้วยอุทาหรณ์นี้ อัลลอฮฺทรงปล่อยให้คนมากมายหลงทาง และด้วยอุทาหรณ์นี้ทรงนำทางคนมากมายสู่หนทางที่ถูกต้อง แต่พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงทางด้วยอุทาหรณ์นี้ นอกจากผู้ฝ่าฝืน

{2:27} ผู้ซึ่งทำลายสัญญาของอัลลอฮฺหลังจากที่รับรองมันแล้ว และผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮฺได้บัญชาให้ สัมพันธ์ และผู้ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่สูญเสีย

{2:28} พวกเธอปฏิเสธอัลลอฮฺได้อย่างใดกัน? ทั้ง ๆ ที่พวกเธอเคยไร้ชีวิตมาก่อน แล้วพระองค์ได้ ทรงทำให้พวกเธอมีชีวืต หลังจากนั้นพระองค์จะทรงทำให้พวกเธอตาย แล้วจะทรงทำให้พวกเธอมีชีวิ ตอีก แล้วยังพระองค์ พวกเธอจะถูกนำกลับคืน

{2:29} พระองค์คือพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อพวกเธอ แล้วพระองค์ได้ทรงมุ่งไปยัง ท้องฟ้า และทรงจัดลําดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์คือพระผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง

{2:30} (จงรำลึก)เมื่อพระเจ้าของเธอได้ตรัสต่อมะลาอิกะฮฺว่า "ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่งในโลก บรรดามะลาอิกะฮฺทูลว่า "พระองค์จะทรงแต่งตั้งผู้ที่จะก่อความเสียหาย และหลั่งโลหิตกันในนั้นกระนั้น หรือ ทั้ง ๆ ที่พวกข้าฯก็กล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ และเทิดทูนพระพิสุทธิคุณของพระ องค์" พระองค์ตรัสตอบว่า "แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้"

{2:31} แล้วพระองค์ได้ทรงสอนอาดัมถึงนามของทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงนำพวกเขา มาแสดงต่อมะลาอิกะฮฺ และตรัสว่า "จงบอกนามของพวกเขาเหล่านี้ ถ้าพวกเธอแน่จริง!"

{2:32} บรรดามะลาอิกะฮฺตอบว่า "พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์! พวกข้าฯไม่มีความรู้อันใด นอกจากที่ พระองค์ได้ทรงสอนพวกข้าฯ แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน"

{2:33} พระองค์จึงกล่าวว่า "โอ้ อาดัม! จงบอกเหล่านามของพวกเขาเหล่านี้แก่พวกเขา" เมื่อเขาได้บอกพวกเขาถึงเหล่านามของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "ฉันไม่ได้บอกพวกเธอ ดอกหรือว่า ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับแห่งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเธอเปิดเผย และที่พวกเธอเคยปิดบัง"

{2:34} แล้วพระองค์ได้ตรัสต่อมะลาอิกะฮฺว่า "จงกราบอาดัม" พวกเขาก็ได้กราบ นอกจากอิบลีสที่ ปฏิเสธ และยโสโอหัง และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:35} และเราได้กล่าวว่า "โอ้ อาดัม! เธอและคู่ครองของเธอ จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์นี้ และจง กินตามความพอใจของเธอทั้งสอง จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ มิเช่นนั้น เธอทั้ง สองจะกลายเป็นผู้ละเมิด"

{2:36} แต่ต่อมาชัยฏอนได้หลอกลวงทั้งสองให้พลาดพลั้งด้วยต้นไม้ต้นนั้น และได้นำเขาทั้งสอง ออกจากสถานที่ ที่ทั้งสองเคยอยู่ และเราได้กล่าวว่า "พวกเธอทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ พวกเธอต่าง เป็นศัตรูต่อกัน และพวกเธอจะมีที่พักและสิ่งอำนวยประโยชน์จนถึงระยะเวลาหนึ่ง"

{2:37} อาดัมจึงได้เรียนรู้ถ้อยคํา(วิงวอนขออภัยโทษ)จากพระเจ้าของตน พระองค์จึงได้ทรงรับกา รสำนึกผิดของเขา แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษเสมอ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:38} เราได้กล่าวว่า "เธอทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ และถ้ามีการชี้นำจากฉันมายังพวกเธอ แล้วผู้ ใดปฏิบัติตามการชี้นำของฉัน ก็จะไม่มีสิ่งน่าหวาดกลัวสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก"

{2:39} และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่อสัญญาณทั้งหลายของเรา พวกเขาก็คือชาวนรก พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:40} โอ้ วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงความโปรดปราน ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกเธอ และ จงปฏิบัติตามสัญญาของฉันให้ครบถ้วน ฉันก็จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่มีต่อพวกเธอให้ครบถ้วน เช่นกัน และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกเธอจงเกรงกลัว

{2:41} และพวกเธอจงมีศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันได้ประทานลงมา เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่พวกเธอมีอยู่ และจงอย่าแลกเปลี่ยนโองการทั้งหลายของฉันด้วยราคาเพียงเล็กน้อย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกเธอ จงยำเกรง {2:42} และพวกเธอจงอย่าคละเคล้าความสัตย์จริงด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริงทั้ง ๆ ที่พวกเธอรู้อยู่

{2:43} และพวกเธอจงดํารงนมาซ และชําระซะกาต และจงก้มรุกูอฺต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่ก้มรุกูอฺ

{2:44} พวกเธอสั่งคนอื่นให้ทำความดี แต่พวกเธอกลับลืมตนเองกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พวกเธอก็อ่าน คัมภีร์อยู่ พวกเธอไม่ใช้ปัญญากระนั้นหรือ?

{2:45} และพวกเธอจงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและด้วยการนมาซ แท้จริงการนมาซนั้น เป็นเรื่องหนัก นอกจากแก่บรรดาผู้นบน้อม

{2:46} ผู้ที่ตระหนักว่า พวกเขาจะได้พบกับพระเจ้าของพวกตน และพวกเขาจะกลับคืนสู่พระองค์

{2:47} โอ้ วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงความโปรดปรานของฉัน ที่ฉันได้เคยโปรดปรานแก่พวก เธอ และ(จงรำลึก)ว่า ฉันได้เคยเชิดชูพวกเธอเหนือประชาชาติทั้งหลาย

{2:48} และจงยำเกรงต่อวันหนึ่ง ซึ่งชีวิตหนึ่งไม่อาจจะช่วยแทนอีกชีวิตหนึ่งได้ และการรับรองจาก ชีวิตใดก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ และค่าไถ่จากชีวิตใดก็จะไม่ถูกรับ และพวกเขาก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ

{2:49} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ช่วยพวกเธอให้รอดพ้นจากพรรคพวกของฟิรเอานฺ ซึ่งกดขี่พวกเธอ ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส พวกเขาฆ่าบรรดาบุตรชายของพวกเธอ และไว้ชีวิตบรรดาธิดาของพวก เธอ และในนี้คือการทดสอบอันใหญ่หลวงจากพระเจ้าของพวกเธอ

{2:50} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้แยกทะเลเพราะพวกเธอ และได้ช่วยพวกเธอให้รอดพ้น และเราได้ ทำให้พรรคพวกของฟิรเอานฺจมน้ำตายไป ในขณะที่พวกเธอแลเห็น

{2:51} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้นัดหมายกับมูซาเป็นเวลาสี่สิบราตรี แล้วพวกเธอหลังจากนั้นก็ได้ เอาลูกวัวขึ้นสักการะบูชา ดังนั้นพวกเธอจึงเป็นพวกทุจริต

{2:52} แล้วเราก็ได้ยกโทษให้พวกเธอหลังจากนั้น เพื่อที่ว่าพวกเธอจะได้ขอบพระคุณ

{2:53} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ประทานคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่มูซา เพื่อที่ว่า พวกเธอจะได้อยู่ ในทางนำ

{2:54} และ(จงรำลึก)ยามที่มูซาได้กล่าวแก่หมู่ชนของตนว่า "โอ้ หมู่ชนของฉัน! แท้จริงพวกเธอได้ กระทำผิดต่อตัวพวกเธอเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้นพวกเธอจงกลับใจไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ และจงประหารชีวิตของพวกเธอเอง นั่นเป็นที่ประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเธอ ในสายพระเนตรของ พระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงนิรโทษแก่พวกเธอ เพราะพระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:55} และ(จงรำลึก)ยามที่พวกเธอได้กล่าวว่า "โอ้ มูซา! พวกเราจะไม่เชื่อท่าน จนกว่าพวกเราจะ ได้เห็นอัลลอฮฺอย่างประจักษ์ตา" ทันใดนั้น อสุนีบาตก็ได้คร่าพวกเธอไป ในขณะที่พวกเธอเฝ้ามอง

{2:56} หลังจากนั้น เราก็ได้ปลุกพวกเธอให้ฟื้นขึ้นจากความตายของพวกเธอ เพื่อที่ว่าพวกเธอจะได้ ขอบพระคุณ

{2:57} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้บันดาลให้เมฆเป็นร่มเหนือพวกเธอ และเราได้ประทานของหวาน และนกคุ่ม เป็นอาหารสำหรับพวกเธอ และกล่าวว่า "จงกินจากสิ่งที่ดี ที่เราได้ประทานให้แก่พวกเธอ" พวกเขาไม่ได้ทุจริตต่อเราดอก ทว่าพวกเขาทุจริตต่อตนเองต่างหาก

{2:58} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้กล่าวว่า "จงเข้าไปยังเมืองนี้และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง ตามที่พวกเธอต้องการ และจงเข้าประตูเมืองด้วยการกราบ และจงกล่าวคํา "ฮิฏเฏาะฮฺ" แล้ว เราจะอภัยความผิดของพวกเธอ และเราจะเพิ่มพูนรางวัลแก่ผู้ประกอบการดี

{2:59} แต่พวกทุจริตได้เปลี่ยนถ้อยคําที่ถูกกล่าวแก่พวกเขา ให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น เราจึงได้ส่งการ ลงโทษจากเบื้องบน มายังบรรดาพวกทุจริต ทั้งนี้เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน

{2:60} และ(จงรำลึก)ยามที่มูซาได้ขอน้ำให้แก่กลุ่มชนของตน แล้วเราได้บอกว่า "จงฟาดศิลานั้น ด้วยไม้เท้าของเธอ" แล้วตาน้ำสิบสองสายก็ไหลพุ่งออกศิลานั้น ผู้คนแต่ละตระกูลก็รู้ถึงแหล่งน้ำดื่ม ของพวกตน "จงกินและจงดื่มจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้ และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะ ผู้บ่อนทำลาย"

{2:61} และ(จงรำลึก)ยามที่พวกเธอกล่าวว่า "โอ้ มูซา! พวกเราไม่อาจทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอต่อพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็จะทรงนำสิ่งที่แผ่นดินผลิตออกมา นั่นคือพืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่วเลนทิล และหัวหอม มาให้แก่เรา" มูซาได้บอกว่า "พวกเธอต้องการเปลี่ยนเอาสิ่งที่เลว กว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น จงเข้าเมืองเถิด! แล้วพวกเธอก็จะได้ในสิ่งที่พวกเธอวอน ขอ" หลังจากนั้นพวกเขาถูกความอัปยศและความขัดสนกระหน่ำลง และได้รับความพิโรธจากอัลลอฮฺ นั่นเป็นเพราะพวกเขาปฏิเสธบรรดาสัญญาณของอัลลอฮฺ และสังหารบรรดานบีโดยปราศจากสาเหตุที่ ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาก็เป็นผู้ละเมิด

{2:62} แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และพวกยิว และพวกคริสเตียน และพวกศอบิอ์ ที่มีศรัทธาใน อัลลอฮฺ และในวันปรโลก และประกอบความดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ณ ที่พระเจ้าของพวก ตน และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก

{2:63} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ทำสัญญากับพวกเธอ และเราได้ยกภูเขาตูรขึ้นเหนือพวกเธอ และ กล่าวว่า "จงยึดมั่นต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเธอ และจงรำลึกถึง(คําสอน)ที่อยู่ในนั้น เพื่อที่พวก เธอจะได้สำรวมตนจากความชั่ว"

{2:64} แต่หลังจากนั้น พวกเธอก็ละทิ้งสัญญา หากไม่ใช่ความโปรดปรานและความเมตตาของ อัลลอฮฺ ที่มีต่อพวกเธอแล้ว พวกเธอจะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่สูญเสียอย่างแน่นอน

{2:65} และพวกเธอก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่พวกเธอ ที่ละเมิดวันสับบาโต เราจึงได้กล่าวแก่ พวกเขาเหล่านั้นว่า "จงเป็นวานรที่น่ารังเกียจ"

{2:66} ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นเยี่ยงอย่างแก่ชนร่วมสมัยและแก่ชนรุ่นหลัง และ เป็นข้อตักเตือนสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง

{2:67} และเมื่อมูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของตนว่า "อัลลอฮฺได้บัญชาพวกเธอให้เชือดโคหนึ่งตัว" พวกเขากล่าวว่า "ท่านจะเอาพวกเราเป็นสิ่งล้อเล่นกระนั้นหรือ?" มูซาตอบว่า "ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นหนึ่งในหมู่คนโง่เขลา"

{2:68} พวกเขาได้กล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่พวกเราว่า มันเป็นอย่างใด" เขากล่าวว่า "พระองค์ตรัสว่า 'เป็นโคที่ไม่แก่และไม่อ่อน แต่เป็นโควัยปานกลาง' ดังนั้นพวกเธอจงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเธอถูกบัญชาเถิด"

{2:69} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่เราว่า มันนั้น สีอะไร?" เขาตอบว่า "พระองค์ตรัสว่า มันคือโคสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น"

{2:70} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์จะทรงชี้แจงให้แก่เรา ว่ามัน เป็นอย่างใด เพราะสำหรับเราแล้ว โคมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราก็ จะเป็นผู้ได้รับการชี้นำ"

{2:71} เขากล่าวว่า "อัลลอฮฺตรัสว่า 'โคตัวนั้นเป็นโคที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถให้ไถดิน และไม่เคยถูก ใช้ทดน้ำรดไร่นา เป็นโคที่สมบูรณ์ ปราศจากตําหนิตามลำตัว' " แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "บัดนี้ท่านได้ นำความจริงมาให้แล้ว" แล้วพวกเขาจึงได้เชือดโคตัวนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาแทบจะไม่ทำ

{2:72} และ(จงรำลึก)เมื่อพวกเธอสังหารชีวิตหนึ่ง แล้วพวกเธอก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่ อัลลอฮฺก็ได้นำเรื่องที่พวกเธอปิดบังนั้น ออกมาเปิดเผย

{2:73} ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า "จงฟาดศพนั้น ด้วยส่วนหนึ่งของโคตัวนั้น" เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺ ทรงชุบชีวิตคนตาย และพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นบรรดาสัญญาณของพระองค์ เพื่อว่าพวกเธอจะได้ เข้าใจ

{2:74} แล้วหัวใจของพวกเธอก็แข็งกระด้าง แล้วมันก็เป็นเช่นศิลา หรือแข็งยิ่งกว่า อันที่จริงใน บรรดาศิลานั้น ก็ยังมีบางก้อนที่มีสายน้ำลำธารพวยพุ่งออกมาจากมัน และมีบางก้อนที่แตกออก แล้ว มีน้ำไหลออกมา และก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺไม่ทรงเฉยเมย ในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:75} แล้วพวกเธอยังโลภที่จะให้พวกเขามีศรัทธาต่อพวกเธอ ในขณะที่พวกเขากลุ่มหนึ่งเคยได้ยิน ถ้อยคําของอัลลอฮฺ แต่กลับบิดเบือนมันเสีย หลังจากที่พวกเขาได้เข้าใจมันแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี

{2:76} และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกเขากล่าวว่า "พวกเราได้มีศรัทธาแล้ว" แต่เมื่อพวกเขาอยู่กับคนอื่นตามลําพัง พวกเขากล่าวว่า "พวกท่านบอกเล่าพวกเขา ถึงสิ่งที่อัลลอฮฺได้ ทรงเปิดเผยให้แก่พวกท่าน เพื่อพวกเขาจะได้นำมันมาเป็นหลักฐานเพื่อตอบโต้พวกท่าน ณ ที่พระเจ้า ของพวกท่านกระนั้นหรือ? พวกท่านไม่ไตร่ตรองดอกหรือ?"

{2:77} พวกเขาไม่รู้หรือว่า อัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบัง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย

{2:78} และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ไม่รู้หนังสือ ซึ่งพวกเขาไม่รู้คัมภีร์ นอกจากความเพ้อฝันเท่านั้น และพวกเขาเพียงแค่นึกเดา

{2:79} ดังนั้น ความวิบัติจะประสบแก่บรรดาผู้ที่เขียนคัมภีร์ด้วยมือของตน แล้วกล่าวว่า "อันนี้มาจากอัลลอฮฺ" เพื่อที่พวกเขาจะนำมันไปแลกเปลี่ยนด้วยราคาเล็กน้อย ดังนั้นความวิบัติจะประ สบแก่พวกเขา เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกตนเขียนขึ้น และความวิบัติจะประสบแก่พวกเขา เนื่องจากสิ่ งที่พวกเขาแสวงหา

{2:80} และพวกเขากล่าวว่า "เพลิงนรกจะไม่สัมผัสพวกเราดอก นอกจากเพียงไม่กี่วัน" จงกล่าวเถิด "พวกเธอได้รับสัญญาจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ โดยที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงบิดพลิ้วสัญญาของพระองค์? หรือ ว่าพวกเธอกุเรื่องแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้กันแน่?"

{2:81} หามิได้! ผู้ใดก็ตามที่ประกอบความชั่ว และความผิดของเขาก็ยังห้อมล้อมเขาอยู่ ชนเหล่านั้น ก็คือชาวนรก พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:82} ส่วนบรรดาผู้ที่มีศรัทธาและกระทำคุณงามความดีนั้น ชนเหล่านั้นก็คือชาวสวรรค์ พวกเขา จะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:83} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากวงศ์วานของอิสรออีลว่า "พวกเธอจะต้องไม่เคา รพสักการะผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺ และจะต้องทำความดีต่อบิดามารดา ต่อญาติสนิท เด็กกําพร้า ผู้ขัดสน และจงพูดสิ่งที่ดีต่อผู้คน และจงดํารงนมาซและชําระซะกาต" แต่แล้วพวกเธอก็ได้ผินหลังกลับ ยกเว้นพวกเธอเพียงไม่กี่คน

{2:84} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากพวกเธอว่า "พวกเธอจะต้องไม่หลั่งโลหิตของ พวกเธอกันเอง และจะต้องไม่เนรเทศพวกเธอกันเองออกจากบ้านเมืองของพวกเธอ และพวกเธอก็ได้ รับรอง และพวกเธอก็ยังยืนยันอยู่

{2:85} แต่แล้ว พวกเธอนี่แหละที่เข่นฆ่ากันเอง และเนรเทศบางกลุ่มของพวกเธอเองออกจากบ้าน เมืองของพวกเขา และเอาชนะเหนือพวกเขาด้วยบาปและความอาฆาต และหากพวกเขากลับมาหาพวก เธอในฐานะเชลย พวกเธอก็ไถ่เอาพวกเขาคืน ทั้ง ๆ ที่การเนรเทศพวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับ พวกเธอ พวกเธอศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ? ดังนั้นจึงไม่มีการ ตอบแทนแก่พวกเธอที่กระทำเช่นนั้น นอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นคืนชีพ พวก เขาก็จะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเผอเรอต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:86} ชนเหล่านี้คือผู้ที่ซื้อเอาชีวิตของโลกนี้ด้วยชีวิตแห่งปรโลก ดังนั้นการลงโทษจะไม่ถูกลดหย่อน แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ

{2:87} และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา และหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีศาสนทูตสืบต่อเนื่องกันมา และเราได้ส่งอีซา บุตรมัรยัม มาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้ง และเราได้สนับสนุนเขาด้วยด้วยวิญญาณ บริสุทธิ์ ไฉนทุกครั้งที่มีศาสนทูตมายังพวกเธอ นำสิ่งที่ไม่ถูกใจพวกเธอมาให้ พวกเธอจึงกระด้างกระ เดื่อง? กลุ่มหนึ่งพวกเธอก็กล่าวหาว่าพูดเท็จ และกลุ่มหนึ่งพวกเธอก็เข่นฆ่า

{2:88} และพวกเขากล่าวว่า "หัวใจของพวกเรามีเปลือกหุ้มอยู่" หามิได้! อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งพวก เขา เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นช่างน้อยนักที่พวกเขามีศรัทธา!

{2:89} แล้วเมื่อได้มีคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากที่อัลลอฮฺมายังพวกเขา ซึ่งยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ทั้ง ๆ ที่ในกาลก่อน พวกเขาเคยขอให้มีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขารู้นั้นมาถึง พวกเขา พวกเขากลับปฏิเสธเสียเอง การสาปแช่งจากอัลลอฮฺจึงมีแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:90} ช่างชั่วช้ายิ่งนัก สิ่งที่พวกเขาเอาตัวตนเข้าไปแลก นั่นคือการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่ อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา ทั้งนี้เพราะความริษยาต่อการที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานความโปรดปราน ของพระองค์บางส่วนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงกลับต้องกริ้วแล้วกริ้วอีก และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธานั้น คือการลงโทษอันเลวร้าย

{2:91} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงมีศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมาเถิด" พวก เขากล่าวว่า "พวกเรามีศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเราอยู่แล้ว" และพวกเขาปฏิเสธสิ่งอื่น จากนั้น ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นความสัตย์จริงที่ยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้นจงกล่าวเถิด "เหตุใดพวก เธอจึงเข่นฆ่าบรรดานบีของอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเธอเป็นผู้มีศรัทธาจริง?"

{2:92} และแท้จริงนั้นมูซาก็ได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเธอแล้ว แต่พวกเธอได้เอาลูกวัวมา บูชา และพวกเธอก็คือพวกทุจริต

{2:93} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากพวกเธอ และเราได้ยกภูเขาตูรเหนือพวกเธอ "จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเธออย่างเข้มแข็ง และจงสดับฟัง" พวกเขากล่าวว่า "พวกข้าฯ ได้ยินแล้ว และได้ฝ่าฝืนแล้ว" และหัวใจของพวกเขานั้นมีลูกวัวซึมซาบอยู่ เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิ เสธศรัทธา จงกล่าวเถิด "ช่างชั่วช้ายิ่งนัก สิ่งที่การศรัทธาของพวกเธอ สั่งให้พวกเธอทำ หากพวกเธอ เป็นผู้มีศรัทธา"

{2:94} จงกล่าวเถิดว่า "หากนิวาสสถานแห่งปรโลก ณ ที่อัลลอฮฺเป็นของพวกเธอโดยเฉพาะ ไม่ใช่ เป็นของผู้อื่นแล้วไซร้ ก็จงปรารถนาความตายเถิด หากพวกเธอสัตย์จริง"

{2:95} แต่พวกเขาจะไม่มีวันปรารถนาเช่นนั้นแน่ เนื่องจากสิ่งที่มือของตนเองเคยประกอบมา และ อัลลอฮฺทรงรู้ดีต่อพวกทุจริต

{2:96} และแน่นอนเธอจะพบว่า พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ห่วงใยต่อชีวิตมากที่สุด และยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่ ตั้งภาคีเสียอีก แต่ละคนใคร่ที่จะมีอายุยืนถึงพันปี ถึงกระนั้นก็ไม่อาจคุ้มกันเขาให้พ้นจากการถูก ลงโทษได้ แม้จะมีอายุยืนก็ตาม และอัลลอฮฺทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

{2:97} จงกล่าวเถิดว่า "ผู้ใดเล่าที่เป็นศัตรูต่อญิบรีล?" แท้จริงโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ เขาได้ทยอย นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเธอ เป็นสิ่งยืนยันสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้านั้น และเป็นทาง นำและข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ที่มีศรัทธา

{2:98} ผู้ใดเป็นศัตรูต่ออัลลอฮฺ ต่อมะลาอิกะฮฺ ต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์ ต่อญิบรีลและต่อมีกาล อัลลอฮฺก็จะทรงเป็นศัตรูต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:99} เราได้ประทานบรรดาสัญญาณอันชัดแจ้งมายังเธอแล้ว และไม่มีผู้ใดปฏิเสธสิ่งนั้นได้ นอกจากบรรดาผู้ฝ่าฝืน

{2:100} และทุกครั้งที่พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอันใดไว้ พวกเขากลุ่มหนึ่งก็ได้ละทิ้งสัญญากระนั้น หรือ? ทว่าพวกเขาส่วนมากต่างหากที่ไม่มีศรัทธา

{2:101} และเมื่อใดก็ตามที่ศาสนทูตจากอัลลอฮฺมายังพวกเขา เป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขา กลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ก็จะทิ้งคัมภีร์ของอัลลอฮฺไว้ข้างหลัง ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร

{2:102} และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เหล่าชัยฏอนได้อ่านในรัชสมัยสุลัยมาน สุลัยมานไม่ได้ ปฏิเสธศรัทธาดอก แต่เหล่าชัยฏอนต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขาสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน และพวกเขา(ปฏิบัติตาม)สิ่งที่ถูกนำลงมาแก่มะลักสองตนที่บาบิล นั่นคือฮารูตและมารูต เขาทั้งสอง จะไม่สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด จนกว่าเขาทั้งสองจะกล่าวว่า "อันเรานี้เป็นเพียงการทดสอบอย่างหนึ่ง ดังนั้นเธอจงอย่าปฏิเสธศรัทธา" แล้วจากทั้งสอง พวกเขาก็ได้เรียนรู้วิชาที่ทำให้เกิดความแตกแยก ระหว่างบุรุษและภรรยาของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่อาจใช้ไสยศาสตร์ทำอันตรายแก่ผู้ใดโดย ปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮฺ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่ตนเอง และไม่ได้ให้คุณประ โยชน์แก่ตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ดีว่า ผู้ใดที่ซื้อศาสตร์นี้ไป จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอันใดในปรโลก และช่างเลวร้ายเสียนี่กระไร สิ่งที่พวกเขาเอาตัวตนเข้าไปแลก ถ้าหากว่าพวกเขารู้ก็คงดี

{2:103} ถ้าหากพวกเขามีศรัทธาในอัลลอฮฺ และสำรวมตนจากความชั่ว พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบ แทนที่ดีกว่าจากอัลลอฮฺ ถ้าหากว่าพวกเขาได้รู้

{2:104} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงอย่ากล่าวว่า "รออินา" แต่จงกล่าวว่า "อุนซุรนา" และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด

{2:105} บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นชาวคัมภีร์ หรือพวกตั้งภาคี ไม่ปรารถนาที่จะเห็นความดีอันใดจากพระเจ้าของพวกเธอถูกส่งมายังพวกเธอ ทั้ง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงเจาะ จงความเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺคือพระเจ้าแห่งความโปรดปรานอัน ใหญ่หลวง

{2:106} โองการใดที่เราได้ยกเลิกหรือถูกทำให้ลืมเลือน เราก็ได้นำสิ่งที่ดีกว่าหรือที่เท่าเทียมกันมา ทดแทน พวกเธอไม่รู้หรือว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:107} พวกเธอไม่รู้หรือว่า อํานาจแห่งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และ พวกเธอไม่มีผู้ใดเป็นผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือเลย นอกจากอัลลอฮฺ

{2:108} หรือพวกเธออยากจะถามศาสนทูตของพวกเธอดั่งที่มูซาได้ถูกถามแต่ก่อนนี้? ผู้ใดที่เอาการ ปฏิเสธมาแลกกับการศรัทธา เขาผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่เที่ยงตรง

{2:109} ชาวคัมภีร์ส่วนมากต้องการที่จะหันพวกเธอกลับไปยังการปฏิเสธ หลังจากการมีศรัทธาของ พวกเธอ ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขา หลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้งแก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเธอจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขา จนกว่าอัลลอฮฺจะได้มีพระบัญชาลงมา อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:110} และจงดํารงนมาซและชําระซะกาต และความดีอันใดที่พวกเธอได้ประกอบไว้ก่อนสำหรับตัว พวกเธอ พวกเธอก็จะพบสิ่งนั้นที่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:111} พวกเขากล่าวว่า "ไม่มีผู้ใดที่จะได้เข้าสวรรค์ เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน" นี่คือค วามหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขา จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า "จงนำหลักฐานของพวกเธอมา ถ้าพวก เธอเป็นผู้สัตย์จริง"

{2:112} หามิได้! ผู้ใดก็ตามที่สยบใบหน้าของตนต่ออัลลอฮฺและเป็นผู้กระทำความดี เขาก็จะได้รับ การตอบแทนจากพระเจ้าของตน และจะไม่มีสิ่งน่าหวาดกลัวสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้า โศก

{2:113} และพวกยิวกล่าวว่า "พวกคริสเตียนไม่ได้อยู่บนฐานอันใด" และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่า "พวก ยิวก็ไม่ได้อยู่บนฐานอันใด" ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกัน และพวกที่ไม่รู้ ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกับคำกล่าวอ้างของพวกเขาเหล่านั้น ดังนั้น อัลลอฮฺจะทรงพิพากษาเรื่องที่พวก เขาเคยขัดแย้งกัน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

{2:114} และผู้ใดเล่าที่จะทุจริตยิ่งไปกว่าผู้ที่ปิดกั้นเหล่ามัสญิดของอัลลอฮฺ เพื่อไม่ให้กล่าวรำลึกถึง พระนามของพระองค์ภายในนั้น และพยายามที่จะทำลายมัน? คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะเข้าไปในนั้น เว้นแต่พวกเขาจะเข้าไปด้วยความยำเกรง สำหรับพวกเขาในโลกนี้คือความอัปยศอดสู และการ ลงโทษอันมหันต์ในปรโลก

{2:115} บูรพทิศและประจิมทิศเป็นของอัลลอฮฺ หนทางใดที่พวกเธอผินหน้าของพวกเธอไป พระ พักตร์แห่งอัลลอฮฺก็อยู่ที่นั่น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้

{2:116} และพวกเขากล่าวว่า "อัลลอฮฺมีพระบุตร" พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์! ทว่าสิ่งที่อยู่ในเหล่า ชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งล้วนภักดีต่อพระองค์

{2:117} พระองค์คือพระผู้ทรงสร้างเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน เมื่อพระองค์ทรงกําหนดกิจการใด พระ องค์เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า "จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา"

{2:118} และบรรดาผู้ไม่รู้ได้กล่าวว่า "ไฉนอัลลอฮฺจึงไม่ทรงสนทนากับเรา หรือไม่มีอภินิหาร สัญญาณใด ๆ มาสู่พวกเรา?" ในทำนองเดียวกัน บรรดาชนรุ่นก่อนพวกเขาได้เคยกล่าวเช่นเดีย วกับคำพูดของพวกเขา โดยที่หัวใจของพวกเขาคล้ายคลึงกัน แท้จริงเราได้แจกแจงอภินิหารสัญญาณ แก่หมู่ชนที่มั่นใจ

{2:119} เราได้ส่งเธอมาพร้อมด้วยความสัตย์จริง ให้เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือน และเธอจะไม่ ต้องถูกสอบถามเกี่ยวกับชาวเปลวเพลิง

{2:120} และชาวยิวและชาวคริสเตียนนั้นจะไม่ยินดีต่อเธอเป็นอันขาด จนกว่าเธอจะปฏิบัติตาม ศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิดว่า "การชี้นำของอัลลอฮฺเท่านั้น คือการชี้นำแท้" แน่นอนถ้าเธอปฏิ บัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่ความรู้ได้มายังเธอแล้ว เธอก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วย เหลือ(ให้พ้น)จาก(การลงโทษของ)อัลลอฮฺ

{2:121} บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา โดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์อย่างจริงจัง ชนเหล่านี้แห ละคือผู้ที่มีศรัทธา และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์ แน่นอนชนเหล่านี้ คือผู้ที่สูญเสีย

{2:122} โอ้ วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงอุปการคุณของฉัน ที่ฉันได้อุปการะพวกเธอ และ แท้จริงฉันได้เคยเชิดชูพวกเธอเหนือประชาชาติทั้งหลาย

{2:123} และจงเกรงกลัววันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีสักชีวิต ที่จะสามารถชดเชยสิ่งใดให้แก่ชีวิตอื่นได้ และการไถ่โทษแทนก็จะไม่เป็นที่ยอมรับจากมัน การรับรองก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่มัน และพวกเขา จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ

{2:124} และเมื่อพระเจ้าของอิบรอฮีมได้ทรงทดสอบเขาในบางสิ่ง แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ตรัสว่า "ฉันจะทำให้เธอเป็นผู้นำของมนุษยชาติ" เขากล่าวว่า "สัญญานี้รวมถึงลูกหลานของข้าฯด้วยหรือ?" พระองค์ตรัสว่า "สัญญาของฉันไม่รวมถึงพวกทุจริต"

{2:125} และเมื่อเราได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นศูนย์รวมสำหรับปวงมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัย และพวก เธอจงยึดเอาสถานที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่นมาซเถิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีลว่า "เธอทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของฉัน สำหรับบรรดาผู้เวียนฏ็อวาฟ และบรรดาผู้บำเพ็ญการ เคารพสักการะ และบรรดาผู้ที่ก้มรุกูอฺ และกราบ"

{2:126} และเมื่ออิบรอฮีมได้วิงวอนว่า "พระเจ้าของข้าฯ! โปรดบันดาลให้ที่แห่งนี้เป็นเมืองที่ ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนี้ ผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและ วันปรโลก" พระองค์ตรัสว่า "ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ฉันจะให้เขาได้รับความสำราญสักนิด แล้วฉัน จะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งนรก และมันเป็นจุดหมายปลายทางอันเลวร้ายยิ่ง"

{2:127} และเมื่ออิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดรับ(การงาน)จากพวกข้าฯด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้น คือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้"

{2:128} "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดทำให้ข้าฯทั้งสองเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ และโปรดทำให้ มีประชาชาติที่สวามิภักดิ์ต่อพระองค์จากลูกหลานของพวกข้าฯ และโปรดแสดงให้พวกข้าฯเห็นศาสน พิธีของพวกข้าฯ และโปรดนิรโทษแก่พวกข้าฯ พระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ"

{2:129} "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดส่งศาสนทูตคนหนึ่งมาในหมู่พวกเขา ซึ่งเป็นผู้ที่มาจากพวก เขาเอง เพื่ออ่านโองการทั้งหลายของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวก เขา และขัดเกลาพวกเขาให้บริสุทธิ์ แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{2:130} แล้วผู้ใดเล่าที่อยากออกนอกแนวทางของอิบรอฮีม นอกจากผู้ที่ทำให้ตนเองโฉดเขลา แท้ จริงเราได้เลือกเอาเขา(เป็นศาสนทูต)ในโลกนี้ และแท้จริงในปรโลก เขาก็จะอยู่ในหมู่คนดี

{2:131} (จงรำลึก)เมื่อพระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า "เธอจงสวามิภักดิ์เถิด" เขากล่าวว่า "ข้าฯ ได้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว"

{2:132} และอิบรอฮีมได้สั่งเสียบุตรหลานของตนให้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น และยะอฺกูบก็เช่นกัน "โอ้ ลูก ๆ ของฉันเอ๋ย! อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเธอแล้ว ดังนั้นจงอย่าตาย นอก จากในอาการที่พวกเธอเป็นผู้สวามิภักดิ์"

{2:133} หรือว่าพวกเธออยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอฺกูบ ขณะที่เขากล่าว แก่เหล่าบุตร หลานของตนว่า "พวกเธอจะเคารพสักการะอะไรหลังจากฉัน?" พวกเขากล่าวว่า "พวกเราจะเคารพสัก การะพระเจ้าของท่าน และพระเจ้าของบรรดาบิดาของท่าน คืออิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก แต่ เพียงองค์เดียว และต่อพระองค์ เราเป็นผู้สวามิภักดิ์"

{2:134} นั้นคือ หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมได้แก่พวกตน และสิ่งที่พวก เธอขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเธอ และพวกเธอจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:135} และพวกเขากล่าวว่า "พวกท่านจงเป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเถิด พวกท่านก็จะได้รับการชี้ นำอันถูกต้อง" จงกล่าวเถิด "ทว่าแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความสัตย์จริงต่างหาก และเขาไม่เคย เป็นหนึ่งในเหล่าผู้ตั้งภาคี"

{2:136} พวกเธอจงกล่าวเถิดว่า "เรามีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอฺกูบ และบรรดาวงศ์วานนั้น และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา และอีซา และที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลาย จากพระเจ้าของพวก เขา เราไม่ได้จําแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และต่อพระองค์ เราเป็นผู้สวามิภักดิ์"

{2:137} แล้วหากพวกเขามีศรัทธาอย่างที่พวกเธอมีศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับการชี้ นำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮฺก็ จะทรงทำให้เธอพอเพียงสำหรับพวกเขา และพระองค์คือพระผู้ทรงได้ยิน พระทรงรอบรู้

{2:138} นั่นเป็นการย้อมสีของอัลลอฮฺ และผู้ใดอีกเล่าจะย้อมสีดียิ่งกว่าอัลลอฮฺ? และเพียงพระองค์ พวกเราเป็นผู้เคารพสักการะ

{2:139} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเธอจะโต้แย้งกับพวกเราในเรื่องของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา และพระเจ้าของพวกเธอ และบรรดาการงานของพวกเรา ก็ย่อม เป็นของพวกเรา และบรรดาการงานของพวกเธอ ก็เป็นของพวกเธอ และต่อพระองค์ พวกเราเป็นผู้บริสุทธิ์ใจ

{2:140} หรือว่าพวกเธอจะกล่าวว่า อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอฺกูบ และบรรดาวงศ์ วานเหล่านั้น เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียน? จงกล่าวเถิด "พวกเธอรู้ดียิ่งกว่าหรือว่าอัลลอฮฺกันแน่?" แล้ว ผู้ใดเล่าจะทุจริตยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮฺ ซึ่งมีอยู่กับเขา? และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรง เผอเรอต่อสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:141} นั่นคือกลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขาเอง และ สิ่งที่พวกเธอขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเธอ และพวกเธอจะไม่ถูกสอบถามถึงสิ่งที่พวกเขาเคยกระ ทำ

{2:142} บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่า "อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบละฮฺของพวกตน ที่พวกเขาเคยผินหน้าไป" จงกล่าวเถิดว่า "บูรพทิศและประจิมทิศนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์ไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง"

{2:143} และในทำนองเดียวกัน เราได้ทำให้พวกเธอเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเธอจะได้ เป็นสักขีพยานแก่มวลมนุษย์ และศาสนทูตก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเธอ และเราไม่ได้ทำให้กิบละฮฺที่ เธอเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า ผู้ใดบ้างที่จะปฏิบัติตามศาสนทูต จากผู้ที่หันส้นเท้าทั้งสอง ของตนกลับ ถึงแม้(การเปลี่ยนแปลงกิบละฮฺนั้น)เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่สำหรับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺได้ ทรงชี้นำ และไม่ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงทำให้การศรัทธาของพวกเธอสูญไป แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรง เมตตา พระผู้ทรงปรานีแก่มนุษย์เสมอ

{2:144} แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเธอแหงนขึ้นฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เธอผินไปยังทิศที่เธอพึง พอใจ ดังนั้นเธอจงผินใบหน้าของเธอไปทาง อัลมัสญิด อัลหะรอม เถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเธออยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเธอไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น ย่อมรู้ดีว่า มันคือความ สัตย์จริงที่มาจากพระเจ้าของพวกตน และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเผอเรอต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:145} และแน่นอน ถ้าหากเธอได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ พวกเขา ก็ไม่ตามกิบละฮฺของเธอดอก และเธอก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ตามกิบละฮฺของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขา กันเอง ก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ตามกิบละฮฺของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากเธอได้ปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะอยู่ในหมู่พวกทุจริต

{2:146} บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขาดี เหมือนกับที่พวกเขารู้จัก เหล่าบุตรของตนเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นปิดบังความสัตย์จริงไว้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ กันอยู่

{2:147} ความสัตย์จริงนั้นมาจากพระเจ้าของเธอ ดังนั้นเธอก็อย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัย

{2:148} และทุกคนต่างก็มีทิศทางที่จะหันไป ดังนั้นจงแข่งขันซึ่งกันและกันในการทำความดี ไม่ว่า พวกเธอจะอยู่ที่ใด อัลลอฮฺจะทรงนำพวกเธอมารวมกัน แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุก สรรพสิ่ง

{2:149} ไม่ว่าจากที่ใดก็ตามที่เธอได้ออกไป ก็จงผินหน้าของเธอไปยัง อัลมัสญิด อัลหะรอม เพ ราะแท้จริงมันเป็นความสัตย์จริงจากพระเจ้าของเธอ และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเป็นผู้เผอเรอต่อสิ่งที่พวก เธอกระทำ

{2:150} และจากที่ใดก็ตามที่เธอได้ออกไป ก็จงผินหน้าของเธอไปยัง อัลมัสญิด อัลหะรอม และที่ ใดก็ตามที่พวกเธอปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเธอไปทางนั้น เพื่อจะได้ไม่เป็นข้ออ้างแก่หมู่ชนใด ๆ มาโต้แย้งพวกเธอได้ นอกจากพวกเขาที่ทุจริต พวกเธอก็อย่าหวาดกลัวต่อพวกเขา ทว่าจงหวาดกลัวต่อฉัน และเพื่อที่ฉันจะได้ให้อุปการคุณของฉันครบถ้วนแก่พวกเธอ และเพื่อว่าพวกเธอจะได้รับ แนวทางอันถูกต้อง

{2:151} ดั่งที่เราได้ส่งศาสนทูตผู้หนึ่งจากพวกเธอเองมาในหมู่พวกเธอ ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเธอฟัง และจะขัดเกลาพวกเธอให้บริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และวิทยปัญญาให้แก่พวกเธอ และจะสอนพวกเธอในสิ่งที่พวกเธอไม่เคยรู้

{2:152} ดังนั้นพวกเธอจงรำลึกถึงฉันเถิด ฉันก็จะรำลึกถึงพวกเธอ และจงขอบคุณฉันเถิด และจงอย่า เนรคุณต่อฉัน

{2:153} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและจงนมาซ เพราะอัลลอฮฺ จะทรงอยู่กับบรรดาผู้ที่อดทน

{2:154} และจงอย่ากล่าวว่า บรรดาผู้ที่ถูกสังหารในหนทางของอัลลอฮฺนั้นสิ้นชีพ ความจริงแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเธอไม่รู้สึก

{2:155} และแน่นอน เราจะทดสอบพวกเธอด้วยสิ่งใดสักอย่างจากความหวาดกลัวและความหิวโหย และการที่ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติ ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทน

{2:156} คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า "พวกเราเป็นกรรม สิทธิ์ของอัลลอฮฺ และพวกเราจะกลับคืนสู่พระองค์"

{2:157} ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับคําชมเชย และความเมตตาจากพระเจ้าของพวกตน และชน เหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับการชี้นำ

{2:158} แท้จริงเนินเขาศ็อฟาและภูเขามัรวะฮฺนั้น เป็นส่วนหนึ่งในบรรดาสัญลักษณ์ของอัลลอฮฺ ดัง นั้นผู้ใดประกอบพิธีหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ ณ บัยตุลลอฮฺก็ไม่ผิดดอก ที่เขาจะเดินวนเวียนไปมา ณ (เนิน เขา)ทั้งสองนั้น และผู้ใดสมัครใจประกอบความดี แน่นอนอัลลอฮฺนั้น คือพระผู้ทรงขอบพระทัย พระผู้ ทรงรอบรู้

{2:159} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งที่เราได้ประทานลงมา อันเป็นหลักฐานอันประจักษ์แจ้งและการชี้ นำ หลังจากที่เราได้ชี้แจงมันในคัมภีร์ให้แก่มนุษย์ พวกเขาเหล่านั้น อัลลอฮฺทรงสาปแช่งพวกเขาและ บรรดาผู้สาปแช่งนั้นจะสาปแช่ง(เช่นกัน)

{2:160} นอกจากบรรดาผู้ที่กลับใจและปรับปรุงแก้ไขและชี้แจง(สิ่งที่ปกปิดไว้) ชนเหล่านี้ ฉันจะอภัย โทษให้แก่พวกเขา และฉันคือผู้อภัยโทษ ผู้ปรานีเสมอ

{2:161} แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะประสบกับการสาปแช่งของอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺ และปวงมนุษย์

{2:162} เป็นอมตะอยู่ในนั้น โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่พวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอ

{2:163} และพระเจ้าของพวกเธอนั้นคือพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีก นอกจากพระองค์ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{2:164} แท้จริงในการสร้างเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการสับเปลี่ยนราตรีและทิวา และนาวาที่แล่นอยู่ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อํานวยประโยชน์แก่ปวงมนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮฺได้ทรงนำ ลงมาจากฟ้า แล้วทรงชุบชีวิตแผ่นดินขึ้นมาด้วยน้ำนั้น หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว และได้ทรงกระ จายสัตว์แต่ละชนิดในแผ่นดิน และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกําหนดให้ผันแปร ระหว่างฟ้าและแผ่นดินนั้น ล้วนเป็นนานาสัญญาณแก่กลุ่มชนที่ไตร่ตรอง

{2:165} และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจากอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่น เดียวกับที่รักอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้ที่มีศรัทธานั้น เป็นผู้ที่รักอัลลอฮฺมากยิ่งกว่า และหากพวกทุจริตนั้น เห็น - ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น - ก็จะเห็นว่าอำนาจทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรง รุนแรงในการลงโทษ

{2:166} ขณะที่บรรดาผู้ถูกตามได้บอกตัดขาดจากบรรดาผู้ตาม และพวกเขาเห็นการลงโทษ และบรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันก็ได้ขาดสะบั้นลง

{2:167} และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวว่า "หากว่าเรามีโอกาสกลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เราก็จะบอก ตัดขาดจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้บอกตัดขาดจากพวกเรา" ในทำนองเดียวนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแสดงให้พวกเขาเห็นเหล่าการงานของพวกตน เป็นความโศกเศร้าแก่ตนเอง และพวก เขาจะไม่ได้ออกจากนรก

{2:168} โอ้ ปวงมนุษย์! จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามฝีก้าวของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูต่อพวกเธอที่ชัดแจ้ง

{2:169} ที่จริง มันเพียงแต่จะสั่งพวกเธอให้ประกอบสิ่งชั่วร้ายและสิ่งลามกเท่านั้น และจะสั่งพวกเธอ กล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้

{2:170} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา" พวก เขา(ตอบ)ว่า "ทว่าเราจะปฏิบัติตามเฉพาะสิ่งที่เราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเราปฏิบัติ" ทั้ง ๆ ที่บรรพ บุรุษของพวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรสักอย่าง และไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ?

{2:171} และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น อุปมัยดั่งผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจาก เสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น พวกเขาคือคนหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจ

{2:172} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงกินสิ่งที่ดีงามที่เราได้ประทานให้แก่พวกเธอ และจงขอบพระคุณ ต่ออัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์เท่านั้นที่พวกเธอเคารพสักการะ

{2:173} อันที่จริงที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามพวกเธอก็คือสัตว์ที่ตายเอง โลหิต เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเปล่งเสียง ยามเชือดให้แก่สิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่ใช่เป็นผู้เสาะ หาและไม่ได้ละเมิด มันก็ไม่เป็นความบาปแก่เขา เพราะอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:174} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา อันเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ และ นำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นไม่ได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกตน นอกจากเพลิงเท่านั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงสนทนากับพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพ และจะไม่ทรงชำระมลทิน พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

{2:175} ชนเหล่านี้คือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องไปแลกเปลี่ยนกับแนวทางที่หลงผิด และเอาการ อภัยโทษไปแลกเปลี่ยนกับการลงโทษ พวกเขาช่างอดทนต่อนรกเสียนี่กระไร!

{2:176} นั้นก็เพราะว่า อัลลอฮฺได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาพร้อมด้วยสัจธรรม และแท้จริงบรรดาผู้ที่ ขัดแย้งกันในคัมภีร์นั้น ย่อมอยู่ในการแตกแยกที่ห่างไกล

{2:177} ไม่ใช่คุณธรรมดอก การที่พวกเธอผินหน้าของพวกเธอไปทางบูรพทิศและประจิมทิศ ทว่า คุณธรรมนั้นคือผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และศรัทธาต่อมะลาอิกะฮฺ และบรรดาคัมภีร์ และบรรดานบี และบริจาคทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้น แก่บรรดาญาติสนิท และบรรดาเด็ก กำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจน และผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่เอ่ยขอ และบริจาคในการไถ่ ทาส และเขาได้ดํารงการนมาซและการชําระซะกาต และบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกตนโดยครบ ถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่อดทนในความทุกข์ยาก และในความเดือดร้อน และขณะ ต่อสู้ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่สัตย์จริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง

{2:178} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! ได้มีการบัญญัติแก่พวกเธอให้ประหารฆาตกรให้ตายตาม ในกรณี ที่มีผู้ถูกฆาตกรรม คือชายอิสระต่อชายอิสระ และทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่ได้รับการ ให้อภัยแม้สักอย่างหนึ่งใดจากพี่น้องของเขา ก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชําระแก่เขาโดยดี นั้นเป็นการผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเธอ อีกทั้งเป็นความเมตตา แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขา ก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

{2:179} และในการประหารฆาตกรให้ตายตามนั้น คือการธํารงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเธอ โอ้ ผู้มีสติ ปัญญาทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:180} การทำพินัยกรรมให้แก่บิดามารดา และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมนั้น ได้ถูกกําหนดขึ้นแก่พวกเธอ เมื่อความตายได้มายังพวกเธอคนใด หากเขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ ทั้งนี้ เป็นหน้าที่แก่ปวงผู้ยำเกรง

{2:181} แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลังจากที่เขาได้ยินมันแล้ว ความผิดแห่งการเปลี่ยนแปลง พินัยกรรมนั้น ก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:182} แล้วผู้ใดเกรงว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความไม่เป็นธรรม หรือกระทำความผิด แล้วเขาได้ประนี ประนอมระหว่างพวกเขา ก็ไม่เป็นความผิดสำหรับเขาอีก แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรง ปรานีเสมอ

{2:183} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! ได้มีการบัญญัติแก่พวกเธอให้ถือศีลอด เช่นเดียวกับที่เคยได้มีกา รบัญญัติแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเธอ เพื่อว่าพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:184} ในเหล่าวันที่ถูกกำหนดไว้ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเธอเจ็บป่วยหรืออยู่ในช่วงการเดินทาง ก็ จงถือชดใช้ในวันอื่นแทน ส่วนผู้ที่มีความยากลําบากที่จะถือศีลอดนั้น ก็ต้องชดเชย ด้วยการให้อาหาร แก่คนขัดสนคนหนึ่ง แต่ผู้ใดสมัครใจประพฤติดี มันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเธอจะถือศีล อดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเธอ หากพวกเธอรู้

{2:185} เดือนรอมะฎอนนั้นเป็นเดือนที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมา เป็นการชี้นำสำหรับมนุษย์และ เป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับการชี้นำนั้น และเกี่ยวกับมาตรการจําแนกข้อเท็จจริง ดังนั้นผู้ใดในหมู่ พวกเธอถึงเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดเดือนนั้น และผู้ใดในหมู่พวกเธอเจ็บป่วยหรืออยู่ในช่วงการเดิน ทาง ก็จงถือศีลอดชดใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะให้พวกเธอได้รับความสะดวก และไม่ ทรงประสงค์ที่จะให้พวกเธอต้องยากลำบาก และเพื่อที่พวกเธอจะได้ทำให้ครบตามกำหนด และเพื่อ พวกเธอจะสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮฺ เนื่องในสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำพวกเธอ และเพื่อพวกเธอจะ ขอบพระคุณ

{2:186} และเมื่อเหล่าบ่าวของฉันถามเธอถึงฉัน อันที่จริงฉันนี้อยู่ใกล้ ฉันจะตอบรับคําวิงวอนของผู้ที่ วิงวอน ถ้าเขาวิงวอนต่อฉัน ดังนั้นพวกเขาจงตอบรับฉันและจงมีศรัทธาต่อฉัน เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับ การชี้นำ

{2:187} ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเธอแล้ว ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเธอในค่ำคืนของการ ถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่งห่มของพวกเธอ และพวกเธอก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง อัลลอฮฺทรงรู้ว่า พวกเธอนั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเธอ และอภัยให้ แก่พวกเธอแล้ว บัดนี้พวกเธอจงสมสู่กับพวกนางได้ และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกําหนดให้แก่พวก เธอเถิด และจงกินและดื่ม จนกระทั่งด้ายเส้นขาวจะประจักษ์แก่พวกเธอจากด้ายเส้นดํา เนื่องจากแสง รุ่งสาง แล้วพวกเธอจงให้การถือศีลอดครบเต็มจนถึงพลบค่ำ และพวกเธอจงอย่าสมสู่กับพวกนาง ขณะที่พวกเธอพักสงบอยู่ในมัสญิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเธอจงอย่าล้ำขอบเข ตนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาสัญญาณของพระองค์แก่ปวงมนุษย์ เพื่อว่าพวก เขาจะได้ยำเกรง

{2:188} และจงอย่าโกงกินทรัพย์สินกันและกันโดยทุจริต และจงอย่าติดสินบนให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อ ที่ว่าพวกเธอจะได้โกงกินทรัพย์สินบางส่วนของคนอื่นโดยการประพฤติชั่ว ทั้ง ๆ ที่พวกเธอรู้ดีอยู่

{2:189} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับเดือนแรกขึ้น จงกล่าวเถิด "มันคือกําหนดเวลาต่าง ๆ สำหรับ ปวงมนุษย์และสำหรับการประกอบพิธีหัจญ์ อันคุณธรรมไม่ได้อยู่ที่การที่พวกเธอเข้าบ้านทางหลังคา บ้านดอก ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรงต่างหาก และพวกเธอจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเธอ จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเธอจะได้รับความสำเร็จ"

{2:190} และพวกเธอจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺกับบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเธอ และจงอย่าล่วงละเมิด แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบบรรดาล่วงละเมิด

{2:191} และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเธอพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากที่ ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเธอออกมา และการก่อกวนนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหาร เสียอีก และจงอย่าต่อสู้กับพวกเขา ณ อัลมัสญิด อัลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเธอในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเธอ ก็จงประหัตประหารพวกเขา เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัท ธา

{2:192} แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอนอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:193} และจงต่อสู้กับพวกเขาต่อไปจนกว่าจะไม่มีการก่อกวนอีก และการเคารพสักการะเป็นเพื่อ อัลลอฮฺทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าพวกเขายุติ ก็จะไม่มีการเป็นปรปักษ์ เว้นแต่กับบรรดาผู้ทุจริต

{2:194} เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็(สนองตอบ)ด้วยเดือนที่ต้องห้าม และบรรดาสิ่งจําเป็นต้องเคารพนั้น ก็ย่อมมีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวกเธอ ก็จงละเมิดต่อเขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อ พวกเธอ และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรง

{2:195} และจงบริจาคในหนทางของอัลลอฮฺ และจงอย่าโยนตัวของพวกเธอเองลงสู่ความพินาศด้วย มือของพวกเธอเอง จงประพฤติดี เพราะอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดี

{2:196} และจงประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺให้สมบูรณ์เพื่ออัลลอฮฺเถิด แล้วถ้าพวกเธอถูกสกัดกั้น ก็(จงเชือด)สัตว์พลีที่หาได้ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเธอจนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้ว ผู้ใดในหมู่พวกเธอเจ็บป่วย หรือมีสิ่งก่อความเจ็บปวดที่ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การ ถือศีลอดหรือการทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้นเมื่อพวกเธอปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่ถือโอกาสด้วยการทำอุมเราะฮฺควบเข้ากับหัจญ์แล้ว ก็(จงเชือด)สัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หา มาไม่ได้ ก็ให้ถือศีลอดสามวันในระหว่างการทำหัจญ์ และอีกเจ็ดวันเมื่อพวกเธอกลับไปแล้ว มันก็ครบ สิบวัน ดังกล่าวนั้นสำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขาไม่ได้พำนักอยู่ที่ อัลมัสญิด อัลหะรอม และพวกเธอ จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ

{2:197} พิธีหัจญ์นั้นมีหลายเดือน อันเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ประกอบพิธีหัจญ์ในเดือน เหล่านั้นแล้ว ก็ต้องไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาทใด ๆ ในช่วงทำหัจญ์ และ ความดีอันใดที่พวกเธอกระทำนั้น อัลลอฮฺทรงรู้ดี และพวกเธอจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่ สุดนั้นคือความยำเกรง และพวกเธอจงยำเกรงฉันเถิด โอ้ บรรดาผู้มีปัญญา!

{2:198} ไม่ใช่ความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ในการที่พวกเธอจะแสวงหาความโปรดปรานอย่าง หนึ่งอย่างใดจากพระเจ้าของพวกเธอ ครั้นเมื่อพวกเธอได้ทยอยกันออกจากอะร่อฟาตแล้ว ก็จงกล่าว รำลึกถึงอัลลอฮฺ ณ อัลมัชอัร อัลหะรอม และจงกล่าวรำลึกถึงพระองค์ดั่งที่พระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเธอ และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเธอก็อยู่ในหมู่ผู้หลงทาง

{2:199} แล้วพวกเธอจงหลั่งไหลกันออกไปจากที่ ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขออภัยต่อ อัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:200} ครั้นเมื่อพวกเธอประกอบพิธีหัจญ์ของพวกเธอเสร็จแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ด้่งที่พวก เธอกล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเธอ หรือกล่าวรำลึกให้มากยิ่งกว่า ในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดประทานให้แก่พวกข้าฯในโลกนี้เถิด" และเขาจะไม่ได้รับส่วนดีอันใด ในปรโลก

{2:201} และในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ที่กล่าวว่า "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดประทานสิ่งดีงามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในปรโลกแก่พวกข้าฯ และโปรดคุ้มครองพวกข้าฯให้พ้นจากลงโทษแห่งเพลิงนรก"

{2:202} ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาจะได้รับส่วนดี จากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ และอัลลอฮฺคือพระผู้ ทรงรวดเร็วในการชําระสอบสวน

{2:203} และพวกเธอจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดรีบกลับในสองวัน ก็ไม่ใช่ความผิดสำหรับเขา และผู้ใดรั้งรอไปอีก ก็ไม่ใช่ความผิดสำหรับเขา สำหรับผู้ที่มีความยำเกรง และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ด้วยว่า พวกเธอนั้นจะถูกนำไปชุมนุมยังพระองค์

{2:204} และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่คําพูดของเขาเกี่ยวกับชีวิตโลกนี้ ทำให้เธอชอบใจ และเขาจะอ้าง อัลลอฮฺเป็นพยานต่อสิ่งที่มีอยู่ในใจของตน และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้โต้เถียงที่ฉกาจยิ่ง

{2:205} และเมื่อเขาหันหลังไปแล้ว เขาก็เพียรพยายามในแผ่นดิน เพื่อก่อความเสียหายในนั้น และทำลายพืชผลและเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย

{2:206} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่เขาว่า "จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ" ความผยองก็เกาะกุมเขา ชักนำให้ เขาทำบาป นรกญะฮันนัมจึงเหมาะสมสำหรับเขา และมันเป็นที่พำนักอันเลวร้ายยิ่ง

{2:207} และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่สละพลีตนเอง ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความพอพระทัยแห่งอัลลอฮฺ และ อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงเอ็นดูแก่ปวงบ่าว

{2:208} โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงเข้าอยู่ในความสันติโดยทั่วทั้งสิ้น และจงอย่าปฏิบัติตามฝีก้าว ของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูต่อพวกเธอที่ชัดแจ้ง

{2:209} ถ้าหากพวกเธอผิดพลั้งหลังจากที่หลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเธอแล้ว จงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{2:210} และพวกเขารอคอยสิ่งใดอีกเล่า นอกจากการที่อัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ จะมายังพวกเขาใน ร่มเงาของเมฆ? และเรื่องนั้นได้ถูกชี้ขาดไว้แล้ว และยังอัลลอฮฺนั้น กิจการทั้งมวลจะถูกนำกลับไป

{2:211} เธอจงถามวงศ์วานของอิสรออีลดูเถิดว่า สัญญานอันชัดเจนตั้งเท่าใดแล้ว ที่เราได้นำมายัง พวกเขา และผู้ใดเปลี่ยนแปลงอุปการคุณของอัลลอฮฺหลังจากที่มันได้มายังเขาแล้ว แน่นอน อัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ

{2:212} ชีวิตแห่งโลกนี้ได้ถูกประดับให้เหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธาเห็นดีเห็นงาม และพวกเขาเย้ยหยันบร รดาผู้ที่มีศรัทธา แต่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น จะเหนือกว่าพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพ และอัลลอฮฺจะทรง ประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยไม่คณานับ

{2:213} ปวงมนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮฺได้ทรงส่งบรรดานบีมาในฐานะผู้ แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์ อันกอปรด้วยความสัตย์จริง ลงมาแก่พวกเขา เพื่อ จะได้ทรงพิพากษาระหว่างหมู่มนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีผู้ใดที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นเอง หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น แล้ว ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขากันเอง แล้วอัลลอฮฺก็ทรงชี้นำแก่บรรดาผู้ที่มี ศรัทธา ซึ่งความจริงที่พวกเขาขัดแยังกัน ด้วยพระอนุมัติของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์สู่หนทางอันเที่ยงตรง

{2:214} หรือพวกเธอคิดว่า พวกเธอจะได้เข้าสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวก เธอ ยังไม่ได้มาถึงพวกเธอเลย ซึ่งความทุกข์ยากลําบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับความหวั่นไหวจนกระทั่งศาสนทูตและบรรดาผู้ที่มีศรัทธาซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า "เมื่อใดเล่า การช่วยเหลือของอัลลอฮฺ?" มิหรือ การช่วยเหลือของอัลลอฮฺนั้นอยู่ใกล้?

{2:215} พวกเขาถามว่า พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด? จงกล่าวเถิดว่า "สิ่งที่ดีอันใดก็ตามที่พวกเธอบริ จาค ก็ให้แก่บิดามารดา และญาติสนิท และเด็กกําพร้า และผู้ขัดสน และคนเดินทาง และความดีอัน ใดที่พวกเธอได้กระทำไป อัลลอฮฺทรงรู้ดี"

{2:216} พวกเธอได้ถูกบัญชาให้ออกสู่สงคราม ทั้ง ๆ ที่พวกเธอรังเกียจมัน แต่มันอาจเป็นไปได้ว่า พวกเธอรังเกียจสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีสำหรับพวกเธอ และบางทีพวกเธอรักสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ สิ่ง นั้นมันเลวสำหรับพวกเธอ อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ แต่พวกเธอไม่รู้

{2:217} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม เรื่องการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า "การสู้ รบ ในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่หลวง ทว่าการขัดขวางให้ออกจากทางของอัลลอฮฺ และการปฏิเสธการศรัท ธา ต่อพระองค์และการกีดกัน อัลมัสญิด อัลหะรอม ตลอดจนการขับไล่ชาว อัลมัสญิด อัลหะรอม ออกไปนั้น เป็นสิ่งใหญ่หลวงยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ และการก่อกวนนั้นใหญ่หลวงยิ่งกว่าการการประหัตประหาร และพวกเขาจะยังคงทำร้ายพวกเธอต่อไป จนกว่าพวกเขาจะดึงพวกเธอออกไปจากศาสนา ของพวกเธอ หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเธอออกไปจากศาสนาของตน แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาสูญสลาย ทั้งในโลกนี้และ ปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:218} แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และบรรดาผู้ที่อพยพ และได้เสียสละต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺนั้น ชนเหล่านี้แหละที่หวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานี เสมอ

{2:219} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า "ในทั้งสองนั้นมีโทษและ มีคุณประโยชน์หลายอย่างแก่ผู้คน แต่โทษของมันทั้งสองนั้น มากกว่าคุณประโยชน์ของมัน" และพวก เขาจะถามเธอว่า "พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด?" จงกล่าวเถิดว่า "สิ่งที่เหลือใช้" ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้ใคร่ครวญ

{2:220} ทั้งในโลกนี้และปรโลก และพวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับบรรดาเด็กกําพร้า จงกล่าวเถิดว่า "การแก้ไขปรับปรุงใด ๆ ให้แก่พวกเขานั้น เป็นสิ่งดียิ่ง และถ้าหากพวกเธอจะร่วมอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็คือพี่น้องของพวกเธอ" และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงผู้ที่ก่อความเสียหายจากผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว ก็คงจะทรงให้พวกเธอลําบากไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน

{2:221} และพวกเธอจงอย่าสมรสกับบรรดาหญิงผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกนางจะมีศรัทธา และทาสหญิงที่เป็นผู้มีศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นผู้ตั้งภาคี แม้ว่าพวกเธอจะชอบนางก็ตาม และ พวกเธอจงอย่าให้บรรดาชายผู้ตั้งภาคีสมรส(กับสตรีผู้มีศรัทธา) จนกว่าพวกเขาจะมีศรัทธา และทาส ชาย ที่เป็นผู้มีศรัทธานั้นดีกว่าผู้ตั้งภาคี ถึงแม้ว่าพวกเธอจะชอบเขาก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวน ไปสู่เพลิงนรก และอัลลอฮฺนั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยพระอนุมัติของพระ องค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาสัญญาณของพระองค์แก่เหล่ามนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึก

{2:222} และพวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับระดู จงกล่าวเถิดว่า "มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกเธอจง ห่างไกลจากหญิงในขณะมีระดู และจงอย่าเข้าใกล้นาง จนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนางได้ชําระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงเข้าหานางตามที่อัลลอฮฺบัญชาพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงชอบบรรดาผู้สำนึกผิด และทรงชอบบรรดาผู้ที่ขัดเกลาตนให้บริสุทธิ์"

{2:223} บรรดาสตรีของพวกเธอนั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจงมายังแหล่ง เพาะปลูกของพวกเธอ ตามที่พวกเธอประสงค์ และพวกเธอจงประกอบความดีมอบแก่ตัวของพวกเธอ เอง และจงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงรู้เถิดว่า พวกเธอนั้นจะเป็นผู้พบกับพระองค์ และเธอจงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ที่มีศรัทธาเถิด

{2:224} จงอย่าเอาอัลลอฮฺในการสาบานของพวกเธอ มาเป็นอุปสรรคขวางกั้น ต่อการที่จะปฏิบัติ คุณงามความดี และการที่จะยำเกรง และการที่จะประนีประนอมระหว่างผู้คน แท้จริงอัลลอฮฺคือพระทรง ได้ยิน พระทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

{2:225} อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาผิดต่อการสาบาน ที่พวกเธอกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พระองค์จะทรง เอาผิดต่อคําสาบานที่พวกเธอทำขึ้นโดยมีใจเจตนา แท้จริง อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงขันติ

{2:226} สำหรับบรรดาผู้ที่สาบานว่า จะไม่สมสู่ภรรยาของตนนั้น ให้มีการรอคอยสี่เดือน แล้วถ้า หากเขากลับคืนดี แน่นอนอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:227} และถ้าพวกเขาตัดสินใจที่จะหย่า แน่นอนอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:228} และบรรดาสตรีที่ถูกหย่าร้าง พวกนางจะต้องรอต้วเองสามรอบเดือน และไม่อนุมัติให้แก่ พวกนาง ในการที่พวกนางจะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บังเกิดขึ้นในมดลูกของพวกนาง หากพวกนางมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และบรรดาสามีของพวกนางนั้นเป็นผู้มีสิทธิมากกว่า ในการให้พวกนางกลับมาในกรณีดังกล่าว หากพวกเขาปรารถนาประนีประนอม และพวกนางนั้นจะได้รับ เช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกนาง ที่จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรม และสำหรับบรรดาบุรุษนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน

{2:229} การหย่านั้นมีได้สองครั้ง ดังนั้นจงยับยั้งไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็ให้ปล่อยไปโดยดี และไม่ อนุญาตแก่พวกเธอ ในการที่พวกเธอจะยึดเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่พวกเธอได้ให้แก่พวกนาง นอกจากเขาทั้งสองเกรงว่า จะไม่สามารถปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺได้ ถ้าหากพวกเธอเกรงว่า เขาทั้งสองจะไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ก็ไม่ใช่ความผิดแก่เขาทั้งสองในสิ่งที่นางใช้มันไถ่ตน เหล่านั้นแหละคือกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ พวกเธอจงอย่าละเมิดมัน และผู้ใดละเมิดกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺแล้ว ชนเหล่านั้นก็คือผู้ทุจริต

{2:230} ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก(เป็นครั้งที่สาม) นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาหลังจากนั้น จนกว่า จะนางจะสมรสกับคู่ครองอื่นนอกจากเขา แล้วหาก(สามีคนใหม่นั้น)หย่านาง ก็ไม่เป็นความผิดสำหรับ เขาทั้งสอง ที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺได้ และนั่นแหละ คือกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมันอย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี

{2:231} และเมื่อพวกเธอหย่าบรรดาสตรี แล้วพวกนางก็ได้ถึงกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็จงยับ ยั้งนางไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็จงปล่อยนางไปโดยชอบธรรม และพวกเธอจงอย่ายับยั้งพวกนางไว้ โดยมุ่งก่อความเดือดร้อน เพื่อพวกเธอจะได้ข่มเหงรังแก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาก็ได้ทุจริต ต่อตนเอง และจงอย่าเอาโองการของอัลลอฮฺ มาเป็นที่เย้ยหยัน และจงระลึกถึงอุปการคุณของอัลลอฮฺ ที่มีแก่พวกเธอ และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเธอ อันได้แก่คัมภีร์และวิทยญาณ ซึ่งทรง ใช้คัมภีร์นั้น ตักเตือนพวกเธอ และพวกเธอจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ ในทุกสรรพสิ่ง

{2:232} และเมื่อพวกเธอหย่าบรรดาสตรี แล้วพวกนางก็ได้ถึงกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็จงอย่า ขัดขวางพวกนาง ในการที่พวกนางจะสมรสกับบรรดาคู่ครองของพวกนาง เมื่อพวกเขาต่างพอใจต่อ กัน โดยชอบธรรม นั่นแหละคือสิ่งที่จะถูกนำมาตักเตือนแก่ผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่น แหละคือสิ่งที่บริสุทธิ์กว่าและสะอาดกว่าสำหรับพวกเธอ และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ แต่พวกเธอไม่รู้

{2:233} และเหล่ามารดานั้น จะให้นมแก่ลูก ๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการจะให้ นมจนครบกำหนด และเป็นหน้าที่ของบิดาเด็กนั้นที่จะต้องให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกนาง โดยชอบธรรม ชีวิตใดหนึ่งจะไม่ถูกกำหนดให้รับภาระหน้าที่ นอกจากเท่ากำลังความสามารถของมันเท่านั้น มารดาก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน เนื่องด้วยลูกของ นาง และบิดาของเด็กก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน เนื่องด้วยลูกของตน และหน้าที่ของทายาทผู้รับ มรดกก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเขาทั้งสองต้องการให้หย่านม อันเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่าย และ การปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดสำหรับเขาทั้งสอง และหากพวกเธอจะขอให้มีแม่นมมาเลี้ยง ลูก ๆ ของพวกเธอแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นความผิดสำหรับพวกเธอ ถ้าพวกเธอได้มอบสิ่งที่พวกเธอให้(เป็น ค่าตอบแทนแก่พวกนาง)โดยชอบธรรม และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ด้วยว่า อัลลอฮฺทรงเห็น ในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:234} และบรรดาผู้ที่สิ้นอายุขัยในหมู่พวกเธอ และทิ้งคู่ครองไว้นั้น พวกนางจะต้องรอคอยตัวของ พวกนางเองสี่เดือนกับสิบวัน ครั้นเมื่อพวกนางครบกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดอัน ใดสำหรับพวกเธอ ในสิ่งที่พวกนางได้กระทำไปในเรื่องส่วนตัวของพวกนางโดยชอบธรรม และ อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ในสิ่งที่พวกเธอกระทำกัน

{2:235} และไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ในการที่พวกเธอกล่าวเป็นนัยในการสู่ขอสตรี หรือการที่พวกเธอเก็บงําไว้ในใจของพวกเธอ อัลลอฮฺทรงรู้ว่า พวกเธอจะบอกกล่าวแก่นางให้ทราบ ทว่าพวกเธออย่าได้สัญญากับนางเป็นการลับ นอกจากพวกเธอจะกล่าวถ้อยคําอันดีเท่านั้น และจงอย่า ตัดสินใจทำพิธีสมรส จนกว่ากําหนดเวลาอันนั้นจะบรรลุถึงความสิ้นสุดของมัน และพวกเธอจงรู้เถิดว่าหน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/21หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/22หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/23หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/24หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/25



หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/26หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/27หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/28หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/29หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/30หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/31หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/32หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/33หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/34หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/35หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/36หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/37หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/38หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/39



หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/40หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/41หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/42หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/43หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/44หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/45หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/46หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/47หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/48หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/49หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/50หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/51หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/52หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/53







หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/76หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/77หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/78หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/79หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/80หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/81หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/82หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/83หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/84หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/85หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/86หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/87หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/88หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/89





























































































54. ซูเราะฮฺอัลก็อมัร (บท ดวงจันทร์) ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง {54:1} วันโลกาวินาศได้ใกล้เข้ามาแล้วและดวงจันทร์ได้แยกออก {54:2} และหากพวกเขาเห็นอภินิหารสัญญาณ พวกเขาก็ผินหลังให้ และกล่าวว่า "นี่คือมายากล ถาวร" {54:3} และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกตน และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกําหนด {54:4} และโดยแน่นอน ได้มีข่าวคราว(ในอดีต)มายังพวกเขาแล้ว ซึ่งในนั้นมีข้อตักเตือน {54:5} (อัลกุรอานนี้)เป็นปัญญาอันลึกซึ้ง แต่การตักเตือนนั้นไม่บังเกิดผล {54:6} ดังนั้นเธอจงผินหลังให้แก่พวกเขา วันซึ่งผู้เรียกร้องนั้นจะร้องเรียกไปสู่สิ่งที่น่าสยดสยอง {54:7} สายตาของพวกเขาจ้องมองพื้น ขณะที่พวกเขาออกจากสุสาน เสมือนหนึ่งพวกเขาเป็นตั๊กแตน ที่บินว่อน {54:8} รีบเร่งไปยังผู้เรียกร้อง พวกปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า "วันนี้เป็นวันที่ลําบากยิ่ง" {54:9} ก่อนหน้าพวกเขานั้น หมู่ชนของนูหฺได้ปฏิเสธ พวกเขาได้ปฏิเสธบ่าวของเราโดยกล่าวว่า "เขาเป็นคนบ้าและถูกขู่บังคับ" {54:10} เขาจึงวิงวอนขอต่อพระเจ้าของตนว่า "ข้าฯถูกพิชิตเสียแล้ว โปรดช่วยเหลือด้วย" {54:11} ดังนั้น เราจึงได้เปิดประตูแห่งฟ้าให้น้ำฝนเทลงมาอย่างหนัก {54:12} และเราได้ทำให้แผ่นดินแยกออกเป็นตาน้ำไหลพุ่ง ดังนั้นน้ำฝนและตาน้ำได้มาบรรจบกัน ตามกิจการที่ได้ถูกกําหนด {54:13} และเราได้บรรทุกเขาไว้บนเรือที่ทำด้วยแผ่นไม้กระดาน และตอกติดด้วยตะปู {54:14} มันได้แล่นไปต่อหน้าต่อตาเรา เป็นการตอบแทนแก่ผู้ที่ถูกปฏิเสธ {54:15} และโดยแน่นอนเราได้ทิ้งมันไว้เป็นสัญญาณหนึ่ง แล้วมีผู้รำลึกบ้างไหม? {54:16} ดังนั้น การลงโทษของเราและการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง? {54:17} และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้ง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้รำลึกบ้างไหม? {54:18} พวกอาดได้ปฏิเสธ ดังนั้นการลงโทษของเราและการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง? {54:19} แท้จริงเราได้ส่งลมพายุที่หนาวเหน็บไปยังพวกเขา ในวันแห่งอัปมงคล ตลอดไม่ขาดสาย {54:20} ม้นได้พัดกระชากผู้คน ราวกับว่า พวกเขาเป็นโคนต้นอินทผาลัมที่ถูกถอนออกจากราก {54:21} ดังนั้นการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง? {54:22} และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้ง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้รำลึกบ้างไหม? {54:23} พวกษะมูดได้ปฏิเสธผู้ตักเตือน {54:24} พวกเขากล่าวว่า "สามัญชนจากพวกเราเองนี้กระนั้นหรือที่จะให้เราปฏิบัติตามเขา? แน่นอน ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในการหลงทางและเป็นผู้วิกลจริต" {54:25} "สาส์นนั้นถูกส่งมาให้แก่เขาแต่ผู้เดียว อื่นจากพวกเรากระนั้นหรือ? ไม่ดอก เขาเป็นคนพูด เท็จ ชั่วช้าสามานย์" {54:26} พรุ่งนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าผู้ใดกัน เป็นคนพูดเท็จ ชั่วช้าสามานย์ {54:27} "แท้จริงเราจะส่งอูฐตัวเมียตัวหนึ่งมาเพื่อเป็นการทดสอบแก่พวกเขา ดังนั้น เธอจงคอยดู พวกเขาและจงอดทน" {54:28} "และจงบอกพวกเขาว่า น้ำนั้นถูกแบ่งส่วนระหว่างพวกเขา ทุก ๆ ส่วนของน้ำดื่มถูกจัดไว้ แล้ว" {54:29} แต่พวกเขาได้ร้องเรียกสหายของพวกตน เขาก็ได้จับมันและเชือดมัน {54:30} ดังนั้นการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง? 299หน้า:อัลกุรอานภาษาไทย - อะบู อิสรอฟีล - ๒๕๖๓.pdf/300



























































































ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{99:1} เมื่อแผ่นดินสะเทือนไหวด้วยการไหวของมัน

{99:2} และแผ่นดินได้ระบายของหนักของมันออกมา

{99:3} และมนุษย์จะกล่าวว่า "เกิดอะไรขึ้นกับมันเล่า?"

{99:4} ในวันนั้นมันจะบอกข่าวคราวของมัน

{99:5} ว่า พระเจ้าของเธอได้ทรงเปิดเผยสำแดงแก่มัน

{99:6} ในวันนั้นเหล่ามนุษย์จะออกมาเป็นหมู่เหล่า เพื่อจะได้มีการแสดงให้พวกเขาเห็นการงานของตน

{99:7} ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะเห็นมัน

{99:8} ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะเห็นมัน



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{100:1} ขอสาบานด้วยเหล่าม้าที่วิ่งหอบ

{100:2} แล้วด้วยเหล่าม้าที่มีประกายไฟออกจากกีบเท้า

{100:3} แล้วด้วยเหล่าม้าที่จู่โจมศัตรูในยามอรุณ

{100:4} แล้วพวกมันนั้นได้ทำให้ฝุ่นตลบฟุ้งด้วยการห้อ

{100:5} แล้วพวกมันได้บุกเข้าเข้าท่ามกลางหมู่ศัตรูในยามนั้น

{100:6} แท้จริงมนุษย์เป็นผู้เนรคุณต่อพระเจ้าของตน

{100:7} และแท้จริงเขาได้เป็นพยานต่อการนั้นอย่างแน่นอน

{100:8} และแท้จริงเขารุนแรงยิ่งนักในความรักหวงแหนต่อทรัพย์สมบัติ

{100:9} เขาไม่รู้ดอกหรือว่า เมื่อสิ่งที่อยู่ในหลุมฝังศพถูกชุบให้ฟื้นขึ้นมา

{100:10} และสิ่งที่อยู่ในหัวอกถูกเผยออก

{100:11} แท้จริงพระเจ้าของพวกเขาในวันนั้น ทรงตระหนักในพวกเขาอย่างแน่นอน



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{101:1} อัลกอริอะฮฺ

{101:2} อัลกอริอะฮฺนั้นคืออะไร?

{101:3} และเธอรู้ไหม ว่าอัลกอริอะฮฺนั้นคืออะไร?

{101:4} คือวันที่เหล่ามนุษย์จะเป็นเช่นแมลงเม่าที่บินว่อน

{101:5} และบรรดาภูเขาจะเป็นเช่นขนสัตว์ที่ปลิวว่อน

{101:6} ส่วนผู้ที่ตราชูของเขาหนัก

{101:7} เขาก็จะอยู่ในการมีชีวิตที่ผาสุก

{101:8} และส่วนผู้ที่ตราชูของเขาเบา

{101:9} ที่พำนักของเขาก็คือฮาวิยะฮฺ

{101:10} และเธอรู้ไหม ว่าฮาวิยะฮฺ คืออะไร?

{101:11} คือเพลิงอันร้อนแรง



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{102:1} การแข่งขันกันในความมาก(ของทรัพย์สมบัติและบุตรหลาน) ได้ทำให้พวกเธอเพลิดเพลิน

{102:2} จนกระทั่งพวกเธอเองเยือนหลุมฝังศพ

{102:3} ไม่ใช่เช่นนั้นดอก! พวกเธอจะได้รู้

{102:4} แล้วไม่ใช่เช่นนั้นดอก! พวกเธอจะได้รู้

{102:5} ไม่ใช่เช่นนั้นดอก! ถ้าพวกเธอได้รู้อย่างประจักษ์แจ้ง

{102:6} พวกเธอจะต้องได้เห็นเพลิงที่ลุกโชน

{102:7} แล้วพวกเธอจะต้องได้เห็นมันอย่างประจักษ์ตา

{102:8} แล้วในวันนั้นพวกเธอจะถูกสอบถามเกี่ยวกับความสุขสำราญนี้



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{103:1} ขอสาบานด้วยกาลเวลา

{103:2} แท้จริงมนุษย์นั้นอยู่ในความสูญเสีย

{103:3} นอกจากบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และกระทำคุณงามความดี และตักเตือนซึ่งกันและกันในสิ่งที่ เป็นสัจธรรม และตักเตือนซึ่งกันและกันให้มีความอดทน



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{104:1} ความหายนะจงประสบแก่ทุกคน ผู้นินทาและผู้ใส่ร้ายผู้อื่น

{104:2} ซึ่งเขาสะสมทรัพย์สมบัติ และหมั่นนับมันอยู่เสมอ

{104:3} เขาคิดว่าทรัพย์สมบัติของตนนั้นจะทำให้เขาอยู่ได้นิรันดร์

{104:4} ไม่ดอก เขาจะต้องถูกโยนลงไปในอัลหุฏ็อมะฮฺแน่

{104:5} เธอรู้ไหมว่า อัลหุฏ็อมะฮฺนั้นคืออะไร?

{104:6} คือเพลิงของอัลลอฮฺที่ถูกจุดให้ลุกโชน

{104:7} ซึ่งมันจะลุกไหม้เข้าไปในหัวใจ

{104:8} แท้จริงมันจะลุกไหม้คลุมบนพวกเขาอย่างมิดชิด

{104:9} อยู่ในสภาพของเสาสูงชะลูด



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{105:1} เธอไม่เห็นดอกหรือ ว่าพระเจ้าของเธอได้ทรงทำเช่นใดกับบรรดาเจ้าของช้าง?

{105:2} พระองค์ไม่ได้ทรงทำให้อุบายของพวกเขาสูญสิ้นดอกหรือ?

{105:3} และได้ทรงส่งวิหคเป็นฝูง ๆ ลงมาบนพวกเขา

{105:4} พวกมันได้ขว้างพวกเขาด้วยก้อนหินแกร่ง

{105:5} แล้วทรงทำให้พวกเขาเป็นเช่นฟางที่ถูกกัดกิน



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{106:1} เพื่อให้เกิดความสนิทและอบอุ่นใจแก่กุเรช

{106:2} เพื่อให้เกิดความสนิทและอบอุ่นใจแก่พวกเขาในการเดินทางในเหมันตฤดูและคิมหันตฤดู

{106:3} ดังนั้น พวกเขาจงเคารพสักการะพระเจ้าแห่งบ้านหลังนี้เถิด

{106:4} พระผู้ทรงให้อาหารแก่พวกเขาให้พ้นจากความหิว และทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจาก ความหวาดกลัว



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{107:1} เธอเห็นแล้วใช่ไหม ผู้ที่ปฏิเสธต่อการตัดสิน(ในปรโลก)?

{107:2} นั่นก็คือผู้ที่ขับไล่ไสส่งเด็กกําพร้า

{107:3} และไม่สนับสนุนในการให้อาหารแก่ผู้ขัดสน

{107:4} ความหายนะก็จงประสบแก่บรรดาผู้นมาซ

{107:5} ซึ่งละเลยต่อการนมาซของพวกเขา

{107:6} บรรดาผู้ซึ่งโอ้อวดกัน

{107:7} และหวงแหนอุปกรณ์เครื่องใช้



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{108:1} แท้จริงเราได้ประทานความดีอันมากมายแก่เธอแล้ว

{108:2} ดังนั้นเธอจงนมาซเพื่อพระเจ้าของเธอ และจงเชือดสัตว์พลี

{108:3} แท้จริงศัตรูของเธอนั้น เขาต่างหากเป็นผู้สูญพันธ์



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{109:1} จงกล่าวเถิด "โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา!"

{109:2} "ฉันจะไม่เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"

{109:3} "และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะพระเจ้า ที่ฉันเคารพสักการะ"

{109:4} "และฉันก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะสิ่งที่พวกเธอเคารพสักการะ"

{109:5} "และพวกเธอก็ไม่ใช่เป็นผู้เคารพสักการะพระเจ้า ที่ฉันเคารพสักการะ"

{109:6} "พวกเธอมีศาสนาของพวกเธอ และฉันก็มีศาสนาของฉัน"



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{110:1} เมื่อการช่วยเหลือของอัลลอฮฺให้ชัยชนะและการพิชิตได้มาถึง

{110:2} และเธอได้เห็นผู้คนเข้าในศาสนาของอัลลอฮฺเป็นหมู่เหล่า

{110:3} ดังนั้นจงสดุดีพระพิสุทธิคุณด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเธอ และจงขออภัยโทษต่อพระ องค์เถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นพระผู้ทรงอภัยโทษเสมอ



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{111:1} มือทั้งสองของอะบูละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว

{111:2} ทรัพย์สมบัติของเขา และสิ่งที่เขาได้ขวนขวายเอาไว้นั้น ไม่ได้อํานวยประโยชน์แก่เขาเลย

{111:3} เขาจะเข้าไปเผาไหม้ในนรกที่มีเพลิงลุกโชน

{111:4} ทั้งภริยาของเขาด้วย นางเป็นผู้แบกฟืน

{111:5} ที่คอของนางมีเชือกถักด้วยใยอินทผาลัม



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{112:1} จงกล่าวเถิด "พระองค์คืออัลลอฮฺ พระผู้ทรงเอกะ"

{112:2} "อัลลอฮฺนั้นทรงอิสระ"

{112:3} "พระองค์ไม่ทรงประสูติบุตร และไม่ทรงถูกประสูติ"

{112:4} "และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์"



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{113:1} จงกล่าวเถิด "ข้าฯขอความคุ้มครองจากพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ"

{113:2} "ให้พ้นจากความชั่วร้ายของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบันดาลขึ้น"

{113:3} "และจากความชั่วร้ายแห่งความมืดของรัติกาลเมื่อมันแผ่คลุม"

{113:4} "และจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้เสกเป่าปมเงื่อน"

{113:5} "และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา"



ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{114:1} จงกล่าวเถิด "ข้าฯขอความคุ้มครองจากพระเจ้าแห่งมวลมนุษย์"

{114:2} "พระราชาแห่งมวลมนุษย์"

{114:3} "พระผู้เป็นเจ้าแห่งมวลมนุษย์"

{114:4} "ให้พ้นจากความชั่วร้าย ของผู้กระซิบกระซาบที่หลอกล่อ"

{114:5} "ที่กระซิบกระซาบในหัวอกของมวลมนุษย์"

{114:6} "จากหมู่ญินและมวลมนุษย์"



المراجع‬

‫ هـ‬٣١٠ ‫جامع البيان في تفسير القرآن للطبري املتوفي‬
‫ هـ‬٥٣٨ ‫الكشاف للزمخشري املتوفي‬
‫ هـ‬٦٠٦ ‫مفاتح الغيب للرازي املتوفي‬
‫ هـ‬٦٧١ ‫الجامع ألحكام القرآن للقرطبي املتوفي‬
‫ هـ‬٦٨٥ ‫أنوار التنزيل وأسرار التأويل للبيضاوي املتوفي‬
‫ هـ‬٧٧٤ ‫تفسير القرآن العظيم البن كثير املتوفي‬
‫ هـ‬٨٦٤ ‫تفسير الجاللني للمحلي والسيوطي املتوفي‬
‫ هـ‬١٢٥٠ ‫فتح القدير للشوكاني املتوفي‬


ตำราอ้างอิงในการแปลอัลกุรอาน
ญามิอฺ อัลบะยาน ฟี ตัฟสีร อัลกุรอาน โดย อัฏฏ็อบะรีย์ (ตาย ฮ.ศ. 310)
อัลกัชชาฟ โดย อัซซะมัคชะรีย์ (ตาย ฮ.ศ. 538)
มะฟาติฮฺ อัลฆอยบฺ โดย อัรรอซีย์ (ตาย ฮ.ศ. 606)
อัลญามิอฺ ลิอะหฺกาม อัลกุรอาน โดย อัลกุรฏุบีย์ (ตาย ฮ.ศ. 671)
อันวาร อัตตันซีล วะ อัสรอร อัตตะวีล โดย อัลบัยฎอวีย์ (ตาย ฮ.ศ. 685)
ตัฟสีร อัลกุรอาน อัลอะซีม โดย อิบนุกะษีร (ตาย ฮ.ศ. 774)
ตัฟสีร อัลญะลาลัยนฺ โดย อัลมะฮัลลี และ อัสสุยูฏีย์ (ตาย ฮ.ศ. 864)
ฟัตหฺ อัลก็อดีร โดย อัชเชากานีย์ (ตาย ฮ.ศ. 1250)


References:
Jami’ al-Bayan fi Tafsir Qur’an by al-Qurtubi (d. H.E. 310)
al-Kashshaf by al-Zamakhshari (d. H.E. 538)
Mafatih al-Ghayb by al-Razi (d. H.E. 606)
al-Jami’ li Ahkam al-Qur’an by al-Qurtubi (d. H.E. 671)
Anwar al-Tanzil wa Asrar al-Ta’wil by al-Baydawi (d. H.E. 685)
Tafsir al-Qur’an al-’Azim by Ibn al-Kathir (d. H.E. 774)
Tafsir al-Jalalayn by al-Mahalli wa al-Suyuti (d. H.E. 864)
Fath al-Qadir by al-Shawkani (d. H.E. 1250)


บรรณานุกรม

[แก้ไข]

งานนี้เป็นงานที่เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ต้นฉบับ ซึ่งอนุญาตให้เผยแพร่หรือดัดแปลงแก้ไขงานนี้ได้อย่างเสรี ตราบเท่าที่ยังมีการระบุถึงชื่อผู้สร้างสรรค์งานหรือผู้ให้สัญญาอนุญาตของงานนี้ และผลงานดัดแปลงแก้ไขจากงานนี้จะต้องอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตเดียวกับงานนี้ด้วยเช่นกัน