หน้า:พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา ภาค ๒ (๒๔๕๕) b.pdf/145

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๑๐๘

ดำรัศสั่งเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ว่า ท่านจงออกไปชั่งปืนพระพิรุณให้รู้ว่าน้ำหนักสักเท่าใด จึงเจ้าพระยาวิไชเยนทร์รับพระราชโองการแล้วออกไปคิดอ่านการอันจะชั่งปืน แลให้เอาเรือนางเป็ดอันใหญ่หลายลำมาเทียบขนานกันณท่า แล้วก็ให้ลากเอาปืนพระพิรุณลงไปในเรือนางเป็ดที่ขนานนั้น แลเรือหนักจมลงไปเพียงใดก็ให้หมายไว้เพียงนั้น แล้วก็ให้ลากปืนขึ้นมาเสียจากเรือ จึงให้ขนเอาอิฐหักแลก้อนศิลามาชั่งให้ได้น้ำหนักเท่าใด ๆ แล้วก็ทิ้งลงไปในเรือตราบเท่าจนเรือจมลงไปถึงที่อันหมายไว้นั้น ก็รู้ว่าปืนพระพิรุณหนักเท่านั้น จึงเอาเหตุนั้นเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัศได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระโสมนัศดำรัศสรรเสริญสติปัญญาเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ซึ่งเอาปืนขึ้นชั่งได้นั้นเปนอันมาก แล้วก็มีพระราชโองการตรัศแก่ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่า เมื่อเจ้าพระยาวิไชเยนทร์เขามีสติปัญญายิ่งกว่าท่านทั้งปวงดังนี้ ฤๅจะมิให้เราเลี้ยงเขาเปนใหญ่กว่าท่านทั้งปวงเล่า แล้วก็ทรงพระกรุณาปูนบำเหน็จพระราชทานเสลี่ยงงาให้เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ขี่ แล้วให้มีบโทนแห่น่าสามร้อยสำหรับยศ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้นั่งเบาะสูงศอกหนึ่งขณะเมื่อเฝ้านั้น แลพระราชทานเครื่องอุปโภคเปนอันมาก จำเดิมแต่นั้นมา เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ว่าราชการอันใดก็ยิ่งสิทธิ์ขาดขึ้น แลคิดอ่านพิดทูลสิ่งใดก็ว่ากล่าวพอพระไทยทุกประการ ท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลายก็ยำเกรงยิ่งนัก.

อยู่มาเพลาหนึ่ง จึงเจ้าพระยาสมุหนายกกราบทูลพระกรุณาว่า เมืองพระพิศณุโลกเปนหัวเมืองใหญ่กว่าฝ่ายเหนือ แลที่ทางซึ่งจะรับ