หน้า:พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา ภาค ๒ (๒๔๕๕) b.pdf/262

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๒๒๕

โกษฐขึ้นพระยานุมาศแห่มาเข้าพระเมรุ พระราชทานพระสงฆ์สดับปกรณ์ แลมีงานมหรศพสามวัน แล้วเสด็จไปพระราชทานเพลิงตามโบราณราชประเพณีสืบ ๆ กันมา.

ลุศักราช ๑๐๙๙ ปีมเสง นพศก สมเด็จพระอรรคมเหษีใหญ่กรมหลวงอไภยนุชิตทรงพระประชวรหนัก จึงกราบทูลขอพระราชทานโทษพระราชบุตรซึ่งเปนเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์แลหนีไปทรงผนวชอยู่นั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็โปรดพระราชทานโทษให้ ดำรัศว่า ไม่เปนขบถแล้วไม่ฆ่า กรมหลวงอไภยนุชิตหายที่ข้อทรงพระวิตกแล้วก็ดับสูญสิ้นพระชนม์ ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ทราบว่าพ้นโทษแล้ว ก็ลาผนวชเข้ามาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทเหมือนอย่างแต่ก่อน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัศสั่งให้ทำพระเมรุมาศณที่พระเมรุเก่า จัดแจงการทั้งปวงตามอย่างบุรพประเพณี เสร็จแล้วก็พระราชทานเพลิง.

ลุศักราช ๑๑๐๐ ปีมเมีย สำฤทธิศก ถึงณเดือนหก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนนาวาพยู่ห์ไปฉลองวัดหารตรา ให้มีงานมหรศพสมโภชพระอารามสามวัน ทรงถวายไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์เปนอันมาก ในวันเปนที่สุดนั้น ให้เอาช้างออกบำรูกัน บังเกิดพยุใหญ่ฝนตกหนัก เสร็จการแล้วเสด็จกลับเข้าพระนคร แลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทนั้นไปเปนขบวนพยุหบาตราบ้าง ขบวนราบบ้าง ทุก ๆ ปีมิได้ขาด ตามขัติยราชประเพณีมาแต่ก่อน จะขาดบ้างแต่ทรงพระประชวร.

๑๕