หน้า:พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา ภาค ๒ (๒๔๕๕) b.pdf/294

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๒๕๗

เปนหลายครั้งไม่แตกฉาน เห็นเหลือกำลังก็ลาดถอยเข้าเมือง แลพระยาหงษาวดีจึงปฤกษาด้วยพระยาอุปราชาแลท้าวพระยาสมิงรามัญทั้งปวงว่า เสบียงอาหารในเมืองเราก็น้อย แม้นจะสู้รบพม่าช้าวันไป ก็จะสิ้นเสบียงลง เมืองก็จะเสียแก่ข้าศึก เราจะแต่งธิดาออกไปถวายมังลอง ยอมแพ้ ขอเปนเมืองขึ้น จึงจะพ้นไภยปัจจามิตร ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด พระยาอุปราชาแลท้าวพระยาสมิงรามัญก็ไม่เห็นด้วย ต่างคนทูลว่า ข้าพเจ้านายทัพนายกองทั้งปวงมีฝีมือพอทัดกันอยู่กับทหารพม่า ซึ่งจะอ่อนน้อมยอมแพ้เขานั้นมีความลอายอัปรยศนัก จะขอต่อสู้พม่ากว่าจะสิ้นชีวิตร ไม่ยอมเปนข้าพม่าแล้ว พระยาหงษาวดีก็มิฟัง จึงแต่งราชธิดากับทั้งบรรณาการแลราชสาสนอ่อนน้อมให้ขุนนางรามัญนำออกไปถวายมังลองณเมืองซึ่งสร้างใหม่นั้น.

ฝ่ายพระเจ้าอลองพราญีได้ราชธิดาแลทราบในราชสาสนนั้น ก็สั่งนายทัพนายกองทั้งหลายให้งดการรบรออยู่ประมาณสองวันสามวัน.

ฝ่ายพระยาอุปราชา พระยาทละ ตละปั้น แลท้าวพระยาสมิงรามัญนายทหารทั้งหลาย ชวนกันโกรธพระยาหงษาวดีด้วยมีความลอายอัปรยศแก่พม่านัก จึงคิดพร้อมกันมิได้ทูลพระยาหงษาวดีให้ทราบ เพลากลางคืนก็คุมพลทหารประมาณหมื่นเศษเปิดประตูเมืองออกไปยกเข้าปล้นค่ายพม่าแตกถึงเก้าค่าย ฆ่าฟันพม่าล้มตายเปนอันมาก ก็เข้าตั้งรักษาอยู่ในค่ายซึ่งตีได้นั้น.

พระเจ้าอลองพราญีทราบว่า มอญกลับออกมาตีค่ายได้หลายค่ายดังนั้น ก็ทรงพระโกรธ ตรัศว่า พระยาหงษาวดีเสียสัจฬ่อลวงเรา ๆ จะ

๑๗