ข้ามไปเนื้อหา

การเทศมหาชาติ ๑๓ กัณฑ์/กัณฑ์ ๖ จุลพน

จาก วิกิซอร์ซ

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน ฉบับวิงวอนหลวง(ล้านนา) จุลพน ๓๕ คาถา

.......ไม้ทังผองฝูงเป็นดอก มีข้างขอกมัคคา สูงไกลตาสุดผ่อ เหมือนดังปลายช่อปลายทุง นั้นแลพราหมณ์เฮย ฯ มีทังไม้เฟือย งามลมแล้วชามลูกย้อย กายานน้อยหอมเผ็ด เกสนาหอมอ่อน หอมจะจ่อนเพิงใจ ไม้ทังหลายฝูงนั้นล้ำเลิศ เป็นต้นเกิดแกมดวง มีทังไม้สำโรงและไม้ตระแบก อ้อยช้างแจกใบบาง มีจิ่มข้างหนทางที่นั้น ท่านพราหมณ์ไปรอดหั้นก็จักหัน ดอกอัญชันเรืองทั่ว คือไม้หมากงั่วหนามหนา ไม้หมากนาวหนามหน้อย ไม้พอยสร้อยผิวแดง เครือกวาวแฝงถี่ถ้อย ไม้มูกน้อยดอกแกมใบ โกฏิ์สอใสแกมกีบ ตักคันรีบบานงาม แคฝอยหลามใบถี่ ก็มีใกล้อาสรมและพราหมณ์เฮย ฯ
นโม ตสฺสตฺถุ ฯ เอวํ เจตปุตฺโต พราหมณํ โภเจต๎วา ปาเถยฺยสตฺถาย ตสฺสมธุโน ตุมฺปญฺเจว ปกฺกมิก สตฺถิญจ ตตฺวา มคคา ฐเปตวา ทกฺขิณหตฺถํ อุกฺขิปิตวา มหาสตฺตสฺส วสโนกาสํ อาจิกฺขนฺโต อาห ฯ
ล่ำดับธัมม์เทสนามา ส่วนพรานเจตปุตต์ผู้ใจงาม ยังชูชกกะพราหมณ์ผู้เถ้า หื้ออิ่มด้วยเข้าน้ำอาหาร แล้วหื้อตุมพะ(หม้อน้ำมีกรวย)งามอันใหญ่ อันเต็มด้วยน้ำเผิ้งขาทะราย เนื้อสุกแห้งใสบ่เส้า เพื่อจักหื้อเป็นเข้าไท่เข้าถง พรานผู้จงใจกว้าง จักบอกยังที่อยู่พระเจ้าช้างกระษัตรา จิ่งยกแขนขวาไกวกวาด ชี้วะวาดแก่พราหมณ์ จักบอกยังศาลางามแก้วกว้าง แห่งพระเจ้าช้างเวสสันดร ก็กล่าวอธิกรณ์ต้านต่อ อว่ายหน้าล่อมัคคา กล่าวเป็นคาถาว่า เอโส เสโล มหาพราหเม ปพฺพโต คนฺธมาทโน ดั่งนี้เป็นเค้า

ดูราพราหมณ์เถ้า ผู้เป็นฅนใช้บ่กลัวขาม ท่านพราหมณ์จุ่งมาหนี้ กูจักบอกชี้ยังอาสรม เขานั้นกลมงามเลิศแล้ว ประดับด้วยแก้วและหินผา ชื่อว่าเขาคันธะมาทนะ พระยาเวสันนตระเจ้าช้าง อยู่เสพสร้างกระทำผล ด้วยเมียตนเลิศแล้ว กับทังสองลูกแก้วอุดม อยู่ในอาสรมที่ใด ท่านพราหมณ์ไปแล้วก็จักหัน ท่านจุ่งเข้ากว่าตามทางนี้เทอะ ฯ

เอเต ทุมฺมา อันว่าไม้ทังหลายงามใช่ช้า ลำใหญ่หม้าหันมา ทรงผลาหลายหลาก ถ้วนทุกพรากนานา อุกกะตามีลำสูงใสสะอาด เป็นดั่งอากาศกลางหาว อันเต็มไปด้วยหมู่ดาวทังหลายนั้นและ ฯ ทุมฺมา ไม้ตระแบกแก้วใบบาง ไม้หูกวางตั้งพุ่ม ไม้สะเฅียนหนุ่มกลางเกียง ไม้รังเรียงดอกช่อ ไม้สะฅ้อเปลือกบาง ไม้ยูงยางสูงพ้นเพื่อน นกแอ่วแล่นเลื่อนไปมา อันว่าสาขาและใบไม้ ในที่ใกล้กวัดไกว ลมพัดไหวอ่อนเอือก น้อมนะเนือกไปมา เป็นดั่งมาณวาผู้ยังถ่าว กินเหล้ากล่าวเสียงใส นั้นและ ฯ เอเต สกุณา อันว่านกทังหลาย งามเรียงรายเสียงก้อง คือโพนดกร้องเสียงเบา นกตระเหวาร้องเสียงสว่าง นกร่างร้องเสียงใส บินไปไกลจิ่มใกล้ เหนือหมู่ไม้นานา คันเถิงยามมาสว่างร้อง เสียงมี่ก้องมัวเมา เขามีหัวใจชมชื่น นักกว่าหมื่นหลายแสน มาทุกแดนทุกด้าว จับปลายพร้าวและปลายตาล มีเสียงหวานใช่ช้า เหมือนดั่งเสียงขับทิพย์แห่งนางฟ้า อันอยู่ในแหล่งหล้าตะวันนั้นแล ฯ พราหเม ดูราท่านพราหมณ์ อันว่าป่าที่นั้นดูผ่องใสผายผ่อง เต็มไปด้วยดอกไม้หย้องเรียงราย แม่นฅนฝูงใดไปรอดหั้น ในป่าที่นั้นก็หื้อยินดี เป็นที่สนุกมีแสนเท่า แม่นฅนอยู่เก่าก็หื้อยินดี ฯ อสฺสโม อันว่าอาสรมบทท่านไธ้ อันอินทาแต่งไว้ดูงาม บ่กลัวขามเข้าสู่ เหมือนที่อยู่แห่งเทวดาทังหลาย นั้นแลพราหมณ์เฮย ฯ

ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา ส่วนพระยาเวสสันตระแก่นไธ้ อยู่ป่าไม้วงกฏ มีใจอดกระทำเพียรทุกฅ่ำเช้า เนื้อบ่เส้าส่องใสงาม ท่านพราหมณ์ไปรอดหั้น ในที่นั้นท่านก็หากจักหัน ท่านทรงธัมม์ตนสักสวาด อันอยู่กับด้วยนางนาฏเทวี กับทังเจ้าชาลีและกัณหาลูกท้าว กลางด่านด้าวดงรี พระระสีตนบุญกว้าง ศีลบ่ม้างอยู่ภาวนา ธาเรนฺโต ก็ทรงพรรณวิเศษ เอาเพศเป็นระสี ถือขอรียาวยื่น หมวดเกล้าชื่นเป็นชะฎา จัมมะวาสี ท่านนุ่งหนังเสือลายยะยุ่น นอนเหนือฝุ่นดินดาย ยอหื้อถวายชุมชอบ ไหว้นบนอบกองไฟ เปลียวแสงใสบ่เส้า ทุกฅ่ำเช้าเป็นวัตต์แห่งพระระสี นั้นแล ฯ

ตโต ในกาละยามนั้น พรานเจตบุตรผู้ใจฅาน จักบอกที่สำราญแห่งเจ้า ท้าวตนเหง้าเวสสันดร ก็กล่าวอธิกรณ์ยิ่งกว่าเก่า ยกยอเล่าวัณณนา ว่าดูราท่านพราหมณ์ผู้หัวหงอก กูจักบอกด้วยดี หมากม่วงมีหลายหมู่ ตั้งต้นอยู่หิมพานต์ ในสถานบ่ล่วงล้ำ สุกดิบพร่ำดูประจิตร ไม่หมากขวิดสูงใหญ่ใบหน้อย ขนุนสุกย้อยค่าหนามหนา ไม้สะบามีค่าอ้วน ชุมพูล้วนลูกสุกแขว้น หมากแหนสุกสะอาด ไม้หมากหาดสุกใสงาม ไม้รังรามลูกน้อย หวาดจีดจ้อยมีวรรณ ไม้หมากกะทันสุกค่าค้อม ไม้ขามป้อมลูกแขวนกลม หมากยมสุกเดรดาด ส้มและฝาดปูนยอ หมากสมอลูกบ่เส้า ลูกแต่เค้าเถิงปลาย ฅนไปกายก็กินเอาง่าย พอดั่งจักรู้มายมือมา ที่นั้นนาดงใหญ่ มีทังไม้อ้งไก่ตั้งอยู่ยายกัน ทังลายวันผายผอก ก็จิ่งเป็นดอกดวงเผย กิ่งแกมเฟยชุก้ำ มีทังไม้กุมน้ำเป็นดอกดวงพวง ไม้มูกหลวงดอกถี่ถ้วน ไม้มูกหน้อยดอกล้วนแกมใบ หมากซางใสหวานชื่นช้อย ลูกใหญ่หน้อยพอดี ไม้นิโครธมีหลายส่ำ สุกแก่พร่ำควรกิน หล่นตกดินเรืองเรื่อ ไม้หมากเดื่อเหลือหลาย ลูกมันยายแต่เค้า ตราบต่อเท้าเถิงปลาย มีหลายประการใช่หน้อย เป็นดั่งฅนผู้ช่างร้อยหากตริตรอง นั้นและนาพราหมณ์เฮย ฯ

ประการนึ่ง อันว่าป่าที่นั้นมีหลายหลาก กูหากได้หันมา ปาเรวตา กล้วยเขาแปและกล้วยฝ้าย ลำบ่ช้ายปางปูน กล้วยการบุญหลายสิ่ง มีพร้อมยิ่งปูนถนอม มีทังกล้วยหอมกล้วยตีบ ลูกบ่ลีบกินหวาน เสี้ยงสงสารฅนใหญ่ กล้วยนั้นใช่สามานย์ มีทังเผิ้งรวงหวานกีบลาย ตัวแม่กายบ่เฝ้า พราหมณ์กว่าเอากินเทอะ ฯ อมฺพา จ ประการนึ่ง ไม้ม่วงลางจ่ำพวก เป็นดอกดวงดี ลำเขียวจีใช่จ้อย เป็นลูกน้อยชุ่มจี ดูเชียงชีหลายสิ่ง สุกดิบยิ่งเสมอกัน ฯ อันว่าหมากม่วงสองจ่ำพวก มีที่ใกล้โปกขรณี วัณณะมีปลาด เป็นดั่งเขียดปาดเขียวงาม ประการนึ่ง ชายใดเทียวกว่า เข้าสู่ป่าหิมพานต์ เขาหันก็เข้าไปใกล้ อยู่ใกล้ต้นแล้วยื่นมือบิดเอา ใส่ถงเพาถ้วนถูก หมากม่วงลุกสุกหวาน ดิบดายฅานใช่ช้า ลูกใหญ่หม้าใสแสง มีวรรณะเพิงแพงรสเร้า เป็นสวนด่านด้าวดงรี อัศจรรย์มีหลายหลาก กูหากได้ยินมา อันมากระทำเสียงเยียะหิ่ง ๆ ถ้วนทุกสิ่งนานา แห่งภมราแกมแมงพู่ ร้องแล้วสู่ตอมดวง ในดงหลวงย่านกว้าง ที่อยู่พระเจ้าช้างเวสสันตระสี ปูนยินดีใช่ช้า เหมือนที่อยู่แห่งเทวดาฟากฟ้า นั้นแล ฯ พราหเม ดูราพราหมณ์ อันว่าป่านั้น เต็มไปด้วยไม้ตาลงามสะพรู่ ไม้พร้าวอยู่ยังยาย ก็เต็มระวังทุกท่า ปุมเป้งป่าเป็นหนาม รุ่งเรืองงามใช่น้อย เป็นดั่งฅนหากร้อยหากกอง ไม้ทังผองฝูงเป็นดอก มีข้างขอกมัคคา สูงไกลตาสุดผ่อ เหมือนดังปลายช่อปลายทุง นั้นแลพราหมณ์เฮย ฯ มีทังไม้เฟือย งามลมแล้วชามลูกย้อย กายานน้อยหอมเผ็ด เกสนาหอมอ่อน หอมจะจ่อนเพิงใจ ไม้ทังหลายฝูงนั้นล้ำเลิศ เป็นต้นเกิดแกมดวง มีทังไม้สำโรงและไม้ตระแบก อ้อยช้างแจกใบบาง มีจิ่มข้างหนทางที่นั้น ท่านพราหมณ์ไปรอดหั้นก็จักหัน ดอกอัญชันเรืองทั่ว คือไม้หมากงั่วหนามหนา ไม้หมากนาวหนามหน้อย ไม้พอยสร้อยผิวแดง เครือกวาวแฝงถี่ถ้อย ไม้มูกน้อยดอกแกมใบ โกฏิ์สอใสแกมกีบ ตักคันรีบบานงาม แคฝอยหลามใบถี่ ก็มีใกล้อาสรมและพราหมณ์เฮย ฯ โรงไฟงามใสสะอาด เป็นดั่งอากาศกลางหาว อันเต็มไปด้วยหมู่ดาวนั้นแลฯ ดูราพราหมณ์ผู้เถ้า ท่านจุ่งเข้าใจพลัน โบกขรณีอันประเสริฐ ดอกบัวเกิดแกมอุบล จังกอนสนกีบก้าน ทังดอกพ้านและบัวเครือ หล่นตกเหนือแกมผักบุ้ง รสซว่านฟุ้งแกมใบ คลาคลาดตกไปหลายซ้ำ เกิดเป็นน้ำหอมหวาน ดูเชียงฅานใช่ช้า เหมือนโบกขรณีฟากฟ้า อันอยู่เมืองสวรรค์แหล่งหล้านั้นแล ฯ

อโถ ประการนึ่ง อันว่ารสแห่งดอกไม้ ในจิ่มใกล้ศาลา ลมพัดมาทุกสลอก รสเร้าดอกมัวเมา นกตระเหวามวลหมู่ ร้องแล้วสู่บินไป คือในที่ใกล้ก็หากดูไกล เหนือหมู่กิ่งไม้เป็นดอกบานงาม รสน้ำหวานเหลือแหล่ ไหลออกมาแต่เหง้าบัว หวานหนัวดีเหง้าใหญ่ หวานแท้ใช่พอดี ก็เกิดมีในโบกขรณีที่นั้น เหตุดั่งอั้นจิ่งได้ชื่อโบกขรณีมธูนั้นและฯ ดูราพราหมณ์เถ้า กูก็จักกล่าวที่อยู่เจ้าอุดม คืออาสรมบทเจ้าช้าง อันอยู่ป่ากว้างพนมไพร เรี่ยรายไปทุกสลอก แดนด้าวขอกหิมวา ลมชอยไปมาบ่ไร้ พัดแต่พายใต้ทักขิณา แล้วพัดไปหนปัจฉิมาใสส่อง พัดเข้าปล่องตามทาง ฯ ประการนึ่ง หมากกระจับลูกใหญ่ ถ้วนแต่ใช่พอดี ก็เกิดมีหลายส่ำ ใหญ่น้อยพร่ำมีมา สสาติยา คือเข้าสาลี เม็ดมันมีหอมยิ่ง เข้านั้นสิ่งควรหวาน เขาเกิดมาเป็นหมู่ ตั้งต้นอยู่โบกขรณี หมู่ปลาฝาและเต่าน้ำ งูเงือกถ้ำและมังกร ปูหอยนอนแทบข้าง นาคน้ำคั่งในวัง ปลาดุกคังมีมาก ปลานั้นหากยินดี เงี่ยงมันมีพิษมาก เต้นพระพรากในวัง มีทังปลาสะเฅียนและปลาข่า ตื่นเต้นล่ายินดี ก็เกิดมีในสระที่นั้นแล ฯ ตํ วนํ อันว่าป่านั้นนาหอมสนิท สัมฤทธิ์ไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้ เทียรย่อมหื้อชมชื่นยินดี คันธะมีหลายมาก หอมแล้วซวาดตระหลบไปมา ภมราอันว่าแม่เผิ้งแกมแมงพู่ บินเข้าสู่ดอกดวงหอม บิบไปตอมผัดรอบ ร้องแล้วสอดไปมา สกุณานกทังหลายมวลมาก มีหลายหลากหลายประการ ร้องขันขานเสียงม่วน มาพร้อมส่วนศาลา เขาเกิดมาสองฅาบ คือเกิดจากท้องสกุณา และเกิดมาในไข่ ตัวน้อยใหญ่เสมอกัน มีวัณณะหลายสันหลายหลาก เป็นดั่งท่านหากได้หันมา พากันมาเกิดก้อง ส่งเสียงถ้องเซิ่งกัน โมทนฺติ ก็ชมชื่นยินดีซะซู่ กับด้วยนกตัวคู่เป็นเมีย ก็มีแลพราหมณ์เฮย ฯ

เจตปุตฺโต อันว่าพรานเจตบุตรผู้ฉลาด อันท้าวเจตราชเมืองขวาง หากประดิษฐ์ตั้งไว้ หื้อรักษาประตูป่าไม้หิมวา ก็กล่าวกถาว่าดั่งนี้ พราหเม ดูราท่านพราหมณ์เถ้า อันว่านกหมู่หัวที เขายินดีชมชื่น เขาก็ยื่นถวายพร ว่าข้าแด่พระเวสสันดรตนปราบเหง้า พระราชะเจ้าจุ่งยินดี กับด้วยพระสองสรีลูกเต้า และนางหนุ่มเหน้ายอดเมียตน อย่าได้มีกังวลโสกเส้า ทุกฅ่ำเช้าอยู่ถาวนา แด่เทอะว่าอั้น นกหมู่นั้นจิ่งได้ชื่อว่านันทกา ฯ

ทุติยสกุณา อันว่านกหลายมวลสะพรู่ ถ้วนสองหมู่บินมา จับสาขากิ่งไม้ ด้าวจิ่มใกล้อาสรม ถวายบังคมกราบไหว้ พระหน่อไธ้ธัมมิกกะระสี ว่าข้าแด่พระบุญมีวิเศษ ตนหมวดเกล้าเกษเป็นชี ขอพระระสีเจื่องเจ้า จุงมีอายุยืนเที่ยงเท้า อย่ารีบเถ้าโรยแรง อดใจแข็งอยู่ในเถื่อน อยู่เป็นเพื่อนช้างและเสือสิงห์ จุงรักเพาพิงลูกแก้ว กับนางเลิศแล้วเทวี แด่เทอะว่าอั้น นกหมู่นั้นจิ่งได้ชื่อว่าชีวปุตตา ฯ ตติยสกุณา ส่วนนกทังหลายมวลหมู่ ถ้วนสามหมู่บินมา ชื่อว่าปิยปุตตาร่ำร้อง มีเสียงก้องป่าหิมพานต์ เขาก็มานมัสการ ตามโบราณใสสว่าง เจียรจาช่างถวายพร ว่าเทวะ ข้าแด่พระภูธรเจ้าช้าง จุ่งอยู่เสพสร้างทางบุญ อย่าได้ทารุณคำเคียด จุ่งรักษาลูกน้อยเนตรสายใจ จุ่งอยู่ในป่ากว้าง ในท่าท้างดงรี เป็นระสีอยู่ต่อเท้า ทุกฅ่ำเช้ากระทำเพียรเทอะว่าอั้น เหตุนั้นจิ่งได้ชื่อว่าชีวิปุตตาปิยาชิโน ฯ จตุตฺถสกุณา ส่วนนกทังหลายพร่ำพร้อม ถ้วนสี่หมู่น้อมถวายพร ว่าเทวะ ข้าแด่พระเวสสันดรหน่อไธ้ อันอยู่ในป่าไม้หิมวันต์ กับด้วยเจ้าชาลีและกัณหาลูกเต้า ทังนางหนุ่มเหน้าใจบาน อดอยู่ในดงดานป่าช้าง กลางป่ากว้างดงรี จุ่งเป็นระสีตนสักสวาด กินลูกไม้หาดหัวมัน เป็นของสันตางเข้า แก่พระราชะเจ้าทังสองพระองค์ ใส่ใจสรงเสพสร้าง อย่าละม้างกระทำผล อย่าได้มีกังวลเดือดร้อน ลำบากข้อนขมใจ จุ่งหื้อมีไมตรีชมชื่น ไหว้นบยื่นเปลียวไฟ เทอะว่าอั้น นกหมู่นั้นจิ่งได้ชื่อว่าปิยะปุตตา ฯ ปิยวนฺทา สกุณา อันว่านกทังหลายสี่หมู่ บินเข้ามาสู่ศาลา บินไปแล้วบินมาสองตราบข้าง ร้องถ้องช่างปูนฟัง เขามาแปลงรังดีที่นั่ง แทบข้างฝั่งโบกขรณีก็มีแล ฯ

วนํ อันว่าป่านั้นดูงามสะอาด อันดาดาษเต็มไปด้วยไม้ทังหลาย เป็นต้นยังยายอยู่ ถ้องแถวหมู่ปุปผา เป็นดั่งฅนมาแสร้งร้อย เหมือนดั่งช่อน้อยอยู่แกมทุงนั้นและพราหมณ์เฮย ฯ พราหเม ดูราพราหมณ์เถ้า อันว่าพระยาเจ้าเวสสันตระแก่นไธ้ อยู่ป่าไม้แดนใด ท่านไปก็หากจักหันบ่อย่า ท่านจุ่งเข้าป่าดงดาน ท่านก็จักทรงพรรณวิเศษ ผูกเกล้าเกศเป็นระสี ถือขอคันรีเกี่ยวได้ ยังลูกไม้เครื่องปูชา ฯ จมฺมวาสี ท่านนุ่งหนังเสือลายสนถี่ นอนเหนือที่ธรณี ท่านยออัญชุลีนมัสการ ตามโบราณบ่เส้า ทุกฅ่ำเช้าหากเป็นวัตรพระระสีนั้นและ ฯ อันว่าที่อยู่แห่งพระยาเวสสันตระแก่นไธ้ พรานเจตบุตรบอกไว้ดูงาม ส่วนชูชกะพราหมณ์นั้นไส้ มันก็ได้ยินคำบอกกล่าว แห่งพรานเจตบุตรนำออก กล่าวถ้อยบอกทางไป มันมีหัวใจอันซะราบ พราหมณ์ใบ้บาปจักปราไสร ยังคำอันเพิงใจไจ้ๆว่า ดูราพรานเจ้าใจต่อ เจ้าใจม่อหลานกู ส่วนว่าเข้าสะทูหลายดวงใหญ่ น้ำเผิ้งใส่ชุอัน อันนางใจหวานถี่ถ้วน แปงหื้อล้วนแก่พี่มา มีทังเข้าหนมแดกงาและเข้าก้อน หวานจีดจ้อนเชียงชิน เป็นของกินลำแห่งข้าเถ้า ปู่จักเอาไว้แก่เจ้ากว้างขวาง อันมาบอกหนทางแก่ปู่เถ้า ปู่รู้คุณเจ้าเหลือหลาย และนา ว่าอั้น ฯ

ตํ สุตวา พรานเจตบุตรได้ยินคำพราหมณ์มากล่าวไว้ ชะไจ้ข่าวถามหา มันก็มีคาถาต้านตอบ กล่าวคำชอบแก่พราหมณ์ว่า ทุมฺเห ว สมฺปลํ โหตุ ดั่งนี้ ดูราท่านพราหมณ์ผู้บ่งามมีแปดแห่ง เถ้าพ้นแพ่งเหลือฅน เดินไพรสณฑ์ป่าไม้ กูก็หากบอกไว้ชุอัน ท่านจุ่งเร็วพลันเขี้ยวกว่า เดินไพรล่าดงไกล ส่วนของกินอันใดพอแต่ง อันท่านหากแบ่งหื้อกู คือเข้าสะทูก้อนสะทูย่อย กินได้ค่อยแรงมา มีทังเข้าหนมแดกงาและเข้าก้อนน้ำอ้อย หวานจีดจ้อยถนัดใจ กูบ่เอาในถงท่านได้ จักไว้แก่ท่านผู้เดียว อันจักเทียวไปพายหน้า เข้าสู่ป่าหนไกลและนา ฯ พราหเม ดูราพราหมณ์ อยํ มคฺโค อันว่าหนทางเทียวในป่าไม้ พอไต่ได้ฅนเดียว ผู้จักเทียวเข้าสู่ ที่ท้าวอยู่เป็นชี เป็นหนทางดีพลันรอด เกี้ยวสับสอดคีรี หลานยินดีจิ่งบอก แม่นปู่เจ้าจักออกพรากมา จากศาลาท่านท้าว พรากด่านด้าวดงเขียว หนทางเส้นเดียวซื่อนักและ ฯ

ประการนึ่ง ยังมีเจ้าระสีตนนึ่งอยู่เสพสร้าง อยู่กลางป่ากว้างดงรี ชื่อว่าอจุตตระสีตนสักสวาด สันลูกไม้หาดหัวมัน เป็นของสันทุกฅ่ำเช้า บ่โสกเส้าหิงสา กระทำเมตตาภาวนาทุกเมื่อ ใจใสเชื่อยินดี บวชเป็นชีเสพสร้าง แฝงใฝ่ข้างทางเทียว ผมบ่เขียวสักเส้น บ่ตื่นเต้นโมหา มีทันตาพร่ำพร้อม เขี้ยวบ่ย้อมส่องแสงงาม มีหัวติดตามไปด้วยฝุ่น บ่ส้ามขุ่นการใด ทรงศีลใสสาโรจน์ ท่านเข้าบวชก็สดใส ด้วยใส่ใจเป็นพระองอาจ หมวดเกล้าวาดชะฎา ฯ จมฺมวาสี นุ่งหนังเสือลายถี่ถ้วน ยาวยิ่งล้วนพอวา สมาเสติ นอนเหนือดินหนาบ่มีสาด ใบไม้ลวาดรองดิน สัทธายินชมชอบ ไหว้นบนอบกองไฟ มีเปียวใสเหลือหลาก อันนี้หากเป็นวัตรแห่งเจ้าระสีทังหลาย และพราหมณ์เฮยฯ ท่านพราหมณ์จุ่งเข้าไปดะดดๆ คลานเค็ดขดเข้าสู่ ยังที่อยู่ท้าวองค์งาม แล้วจุ่งถามทุกสลอก แดนด้าวขอกมัคคา เจ้าระสีตนนั้นไส้ ก็จักบอกไว้แก่ท่านชะและนา ฯ

อิทํ วตวาน ภิกฺขเว ดูราภิกขุทังหลายมวลหมู่ ถ้วนหน้าสะพรู่อรหันตา ส่วนชูชกะพราหมณ์ผู้เถ้าแก่ ชาติเชื้อแต่วงศ์พราหมณ์ ได้ยินคำงามแห่งพรานเจตบุตรบอกกล่าว ที่อยู่ท้าวกระษัตรา ปทกฺขิณํ กตฺวา มันก็กระทำแวดปทักษิณ ใจยินดีชมชื่น นบน้อมยื่นอัญชุลี เจ้าอจุตตระสีตนบุญกว้าง อยู่เสพสร้างแดนใด มันก็เข้าไปในฐานะที่นั้น ก็มีวันนั้นแลฯ

จุลวนวณฺณา นิฏฺฐิตา กรียาอันกล่าวห้องจุลพน อันประดับประดาด้วยคาถาว่าได้ ๓๕ คาถา ก็บังคมสมเร็จ เสด็จ ฯ