จดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ/ตอนที่ 1
ตอนที่ ๑ ว่าด้วยราชทูตออกจากกรุงเทพฯ จนถึงเมืองสิงคโปร์
[แก้ไข]ข้าพระพุทธเจ้า หม่อมราโชทัย กระต่าย ได้รับพระราชทานจดหมายรายเรื่องความ ตามระยะทางที่พวกราชทูตกราบถวายบังคมลา ออกจากกรุงเทพมหานคร ไปจำเริญทางพระราชไมตรีพระเจ้ากรุงลอนดอน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย
ใจความว่า ณวันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๑๙ ปีมะเสงนพศก ( พ.ศ. ๒๔๐๐ ) เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ พระยามนตรีสุริยวงศ์ ราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี อุปทูต จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ตรีทูต หม่อมราโชทัย ล่าม จมื่นราชามาตย์ นายพิจารณ์ สรรพกิจ ผู้กำกับเครื่องมงคลราชบรรณาการ (๑) พร้อมกันในพระบรมมหาราชวัง เชิญพระราชสาส์นขึ้นใส่พระยานุมาศแห่ไปถึงท่าพระ แล้วเชิญลงเรือพระที่นั่งชลพิมานไชย ล่องลงไปเมืองสมุทปราการ
วันเสาร์ เดือน ๙ ขึ้น ๔ ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมันตพงศ์พิสุทธ มหาบุรุษรัตโนดม ว่าที่สมุหกระละโหม ให้เชิญพระราชสาส์นแลรับเครื่องราชบรรณาการ ลงเรือพระที่นั่งกลไฟสยามอรสุมพลเสร็จ
เวลาเช้าโมงหนึ่ง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ แลพวกขุนนางทั้งผู้มีชื่อซึ่งจะไปด้วยราชทูตนั้นรวม ๒๗ คน ลงในเรือแล้วให้ใส่ไฟใช้จักรออกไปถึงเรือรบอังกฤษเปนเรือกลไฟชื่อ เอนกวนเตอ จักรท้ายยาว ๒๑๔ ฟิต กว้าง ๓๓ ฟิต กินน้ำลึก ๑๘ ฟิต ถ้าจะคิดอย่างไทย ฟิตหนึ่ง ๑๔ นิ้ว กับ ๓ กระเบียดใหญ่ยาว ๒๑๔ ฟิต คือ ๑ เส้น ๑๒ วา ๓ ศอกคืบกับกึ่งนิ้ว กว้าง ๓๐ ฟิต คือ ๕ วา ๖ นิ้ว กับ ๓ กระเบียด กินน้ำลึก ๑๘ ฟิต คือ ๑๑ ศอกกับนิ้วกึ่ง กำลัง ๓๖๐ แรงม้า คนในเรือกัปตัน ๑ ออฟฟิเซอ ๒๐ ลูกเรือทหารคนใช้รวม ๑๘๖ คน เปนเรือกวีน (๒) โปรดให้มารับพวกราชทูต เวลาเช้า ๓ โมงครึ่งกัปตันกับขุนนางนายทหาร จัดทหารถือปืนยืนเรียงเคียงกันคำนับพระราชสาส์นสองแถว ๆ ละ ๖ คน มีคนตีกลองคน ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้า พระยาศรีสุริยวงศ์ จึงขึ้นไปบนเรือเอนกวนเตอก่อน แล้วให้หม่อมราโชทัยเชิญพระบรมราชสาส์น จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ เชิญพระบวรราชสาส์นขึ้นไปต่อภายหลัง กัปตันขุนนางแลทหารคำนับพระราชสาส์นแล้วให้ทหารยิงปืนใหญ่สลูตราชทูต ๑๙ นัด แล้วให้เชิญพระราชสาส์นขึ้นไว้บนโต๊ะในห้องข้างท้าย เปนที่พวกราชทูตอยู่ ครั้นขนเครื่องราชบรรณาการขึ้นบนเรือเอนกวนเตอเสร็จแล้ว เวลาบ่ายโมงหนึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ลงเรือพระที่นั่งสยามอรสุมพลกลับเข้ามากรุงเทพ ฯ เวลาบ่ายโมงเศษกัปตันโอแกแลแฮน ให้ใส่ไฟใช้จักรออกจากที่ทอดสมอนอกสันดอน
พอเวลาสว่างขนเปนวันอาทิตย์ เดือน ๙ ขึ้น ๕ ค่ำ ถึงหน้าภูเขาสามร้อยยอด เวลาพลบถึงเกาะอ่างทองได้ลมดี กัปตันให้เอาจักรขึ้นแล่นใบไป
วันจันทร์ เดือน ๙ ขึ้น ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งถึงเกาะพงัน ครั้นเวลาสายขัดลมเรือไม่เดิน บางทีก็ถอยหลัง บางทีเดินไปสักหน่อยถึงบ่าย ๒ โมงจึงมีลม แล่นออกไปได้ถึงแหลมกลุมพุกพอพลบ
วันอังคาร เดือน ๙ ขึ้น ๗ ค่ำ สว่างที่อ่าวยางตรงเกาะกระ (๓) ขณะนั้นขัดลม จนบ่าย ๒ โมงเศษจึงได้ลมแล่นต่อไป พ้นเกาะกระประมาณ ๒๕ ไมล์ คือ ๑๑๒๕ เส้น พอค่ำ
วันพุธ เดือน ๙ ขึ้น ๘ ค่ำ มาสว่างตรงแหลมหน้าเมืองตานีเวลาพลบถึงหน้าเมืองกลันตัน ลมทวนหน้า กัปตันให้ใส่ไฟใช้จักรต่อไป
วันพฤหัสบดี เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ มาสว่างที่หน้าเมืองตรังกานูพ้นอ่าวตรังกานูออกไปมีเกาะชื่อเกาะฝ้าย เรือทวนน้ำทวนลม จนเวลาค่ำจึงถึงเกาะตังโกรัน พวกจีนเรียกเกาะเต๊า เปนแขวงเมืองตรังกานูกัปตันให้เอาจักรขึ้น ใช้ใบไป
วันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๑๐ ค่ำ สว่างพ้นเกาะตังโกรันออกไปประมาณ ๒๕ ไมล์ คือ ๑๑๒๕ เส้น เรือทวนน้ำทวนลมก้าวไม่ออก กัปตันให้ทหารหัดปืนใหญ่ทำท่ารบต่าง ๆ ให้ราชทูตดู เวลาบ่ายโมงหนึ่งให้เอาจักรลงที่ แล้วใส่ไฟใช้จักรต่อไป เวลาทุ่มเศษถึงหน้าเมืองปะหัง
วันเสาร์ เดือน ๙ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งถึงเกาะหม้อใต้เมืองปะหังหน่อยหนึ่ง เวลาย่ำค่ำถึงเกาะนาก พวกจีนเรียกแต้ปั๊ว
วันอาทิตย์ เดือน ๙ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เวลาสว่างถึงศิลาขาว ที่ศิลาขาวนั้น เปนศิลางอกขึ้นพ้นน้ำบ้าง อยู่ใต้น้ำบ้าง เปนที่น่ากลัวเรือเข้าเรือออกจะโดนก็จะเปนอันตราย จึงก่อหอคอยสูงจุดโคมไว้บนนั้น เรือเข้าออกจะได้เห็นเปนที่สังเกต มีคนผลัดเปลี่ยนกันรักษาอยู่ที่นั้นเปนนิจเวลาเช้า ๔ โมงถึงเมืองสิงคโปร์ รวม ๙ วัน
กัปตันให้ชักธงพระจอมเกล้าขึ้นบนปลายเสากระโดงหน้าแล้วให้ทอดสมอลงกัปตันก็ลงเรือโบตขึ้นไปหาออนเนอ เรบล์ บลันแดล เจ้าเมือง ๆ ให้มิศเตอร์แมกเนียลงมาทักถามข่าวราชทูตที่ในเรือรบ มิศเตอร์แมกเนียบอกว่าเจ้าเมืองสิงคโปร์ให้มาแจ้งความแก่ท่านราชทูตว่า ได้ยินข่าวราชทูตจะออกมานานแล้ว เจ้าเมืองสิงคโปร์ตั้งใจคอยอยู่ทุกวันมิได้ขาดแต่วันนี้ราชทูตมาถึงเปนวันอาทิตย์ เจ้าเมืองเสียใจนัก ด้วยจะจัดแจงเชื้อเชิญแลยิงสลูตรับยังไม่ได้ ขอเชิญพักอยู่ในเรือรบสักคืนหนึ่งก่อนต่อรุ่งขึ้นวันจันทร์จึงจะจัดทหารตั้งกระบวนรับราชทูต ให้เปนเกียรติยศแก่พระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม ราชทูตตอบว่าชอบแล้ว เมื่อเรือกลไฟเข้าไปถึงกรุงเทพ ฯ พระเจ้าอยู่หัวแลท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ก็ได้จัดแจงให้เราออกมา เราก็มีความปราร์ถนาจะออกมาให้ถึงโดยเร็ว จะใคร่พบรู้จักกับเจ้าเมืองแลขุนนางด้วย แต่วันนี้เปนวันอาทิตย์จะของด ต่อเวลาพรุ่งนี้จึงจะจัดแจงรับทูตานุทูตนั้น ตามแต่เจ้าเมืองสิงคโปร์จะจัดแจงให้สมควารแก่พระเกียรติยศเถิด พูดกันเท่านั้นแล้วมิศเตอร์แมกเนียก็ลากลับไป
วันจันทร์ เดือน ๙ ขน ๑๓ ค่ำ เวลาเช้าโมงครึ่ง เจ้าเมืองสิงคโปร์ให้จัดเรือโบตลำหนึ่ง หน้าเรือปักธงพระจอมเกล้า ท้ายเรือปังธงอังกฤษ มีขุนนางฝ่ายทหารขัดกระบี่หน้าเรือคน ๑ อยู่ท้ายเรือคน ๑ คนตีกระเชียง ๑๐ เล่ม คนถือของถ่อง่ามคอยรับเรือ ๒ คนคนถือหางเสือคน ๑ รวมอังกฤษ ๑๕ คน ออกมารับราชทูตที่เรือรบพวกราชทูตทั้ง ๖ คนแต่งตัวใส่หมวกยอดทอง ใส่เสื้อเข้มขาบ นุ่งผ้า ยกทอง ใส่สนับเพลา คาดเข็มขัดราตคด ใส่ถุงเท้ารองเท้า (๔) เมื่อราชทูตจะลงเรือขึ้นไปในเมืองนั้น ที่เรือเอนกวนเตอ มีทหาร ๑๒ คน ถือปืนปลายหอกยืนคำนับส่ง ครั้นพวกราชทูตทั้ง ๖ คนลงเรือโบตออกไปห่างกำปั่นประมาณ ๓ เส้นเศษ ที่ในเรือรบยิงปืนใหญ่นัดหนึ่ง ให้ขุนนางที่บนเมืองรู้เปนสัญญาว่าราชทูตลงเรือมาแล้ว เมื่อราชทูตถึงท่าหน้าเมือง มิศเตอรแมกแกนซี ที่สองเจ้าเมือง กับมิศเตอแมกเนียแลจีนกิมจิ๋ง เปนที่พระพิเทศพานิชสยามพิชิตภักดี (๕) ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ เปนผู้ช่วยดูแลว่ากล่าวในที่กงสุลไทยอยู่ที่เมืองสิงคโปร์ ลงมายืนคอยรับราชทูตอยู่ เมื่อพวกขุนนางไทยจะขึ้นจากเรือนั้นมิศเตอรแมกเนีย ลงมายืนถึงที่ริมเรือ แล้วยื่นมือให้ราชทูตแลขุนนางไทยจับประคองขึ้นไป ครั้นขึ้นไปบนตลิ่งพร้อมกันแล้ว มิศเตอรแมกแกนซีบอกว่า เจ้าเมืองก็ลงมาคอยรับอยู่ด้วย แต่บัดนี้หาสู้สบายไม่ขอลาขึ้นไปก่อน ให้ข้าพเจ้ากับมิศเตอรแมกเนีย คอยรับราชทูตแทน ครั้นพูดกันเท่านั้นแล้ว นายทหารก็เป่าแตรสัญญา ให้ทหารปืนใหญ่หน้าป้อม ๔ กระบอกยิงสลูต ๑๙ นัด ที่ปืนใหญ่นั้นมีทหารรักษาอยู่กระบอกละ ๕ คน ๔ กระบอกรวมทหาร ๒๐ คน ทางที่ราชทูตขึ้นนั้นมีทหารปืนปลายหอกยืนคำนับอยู่สองแถว ๆ ละ ๖๕ คน สองแถว ๑๓๐ คน มีคนเป่าแตรตีกลองตีฉาบอิก ๒๔ คนมาตามส่งราชทูตด้วย รถที่มารับ พวกราชทูต ๕ รถ แต่รถราชทูตอุปทูตรถหนึ่ง เปนรถมีประทุน เทียมด้วยม้าเทศคู่หนึ่ง ครั้นมาถึงตึกที่พัก ชื่อเรศเปอแรนศโฮเตลเปนตึกสำหรับเศรษฐีนายห้างขุนนางคนไปมาเช่าอาศรัย เจ้าเมืองสิงคโปร์จัดทหารแต่งตัวถือปืนปลายหอกผลัดเปลี่ยนกันเดินยาม ตรวจตรารักษาพวกราชทูตทั้งกลางวันกลางคืน ๓๐ คน มีรถประจำอยู่สำหรับให้ใช้ ๓ รถ ในตึกนั้นมีเตียงที่นอนครบทุกนาย แล้วเวลาเช้า ๓ โมงเลี้ยงเข้า เที่ยงเลี้ยงน้ำชา มีขนม นมโค น้ำตาลทราย ผลไม้ต่าง ๆ บ่าย ๓ โมงเลี้ยงเข้าเย็น เวลา ๒ ทุ่มเลี้ยงน้ำชา มีของ เหมือนเลี้ยงกลางวันอิกครั้งหนึ่ง มีเครื่องสำหรับใช้ต่าง ๆ เปนอันมาก เจ้าเมืองสิงคโปร์ให้มิศเตอรแมกเนีย มาเยี่ยมเยียนถามข่าวอยู่เนือง ๆ แลขุนนางอื่นก็ไปมามิได้ขาด
วันอังคาร เดือน ๙ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เชอรแมก กอสแลนด์ เปนขุนนางสำหรับตัดสินความในเมืองสิงคโปร์มาเยี่ยมราชทูตถึงตึกที่อยู่ เมื่อมานั้นแต่งตัวใส่เสื้อสักหลาดแดงกรอมลงไปถึงเท้า มีคนถือกระบองหุ้มเงินนำหน้าคู่หนึ่ง เวลา ๔ โมงเช้ามิศเตอรแมกเนีย เอารถ ๖ รถมาเชิญพวกราชทูตไปบ้านเจ้าเมือง พวกราชทูตทั้ง ๖ คน แต่งตัวเหมือนเมื่อแรกขึ้นมาจากกำปั่นเสร็จแล้ว มิศเตอรแมกเนีย ก็เชิญให้ขึ้นรถพาไปบ้านเจ้าเมืองบนยอดภูเขา เมื่อถึงนั้น มีทหารปืนปลายหอกยืนอยู่หน้าบันไดสองแถว ๆ ละ ๖ คน คนหนึ่งผลัดเปลี่ยนกันเดินถือกล้องส่องคอยดูเหตุการณ์ซึ่งจะมีมาในท้องทเลจะได้รู้โดยเร็ว ครั้นรถประทับหน้าบันไดแล้ว พวกราชทูตก็พากันขึ้นไปหา เจ้าเมือง ต่างทักทายปราไสกันตามธรรมเนียม แล้วลาเจ้าเมืองไปบ้านพระพิเทศพานิช อยู่ที่นั้นประมาณครึ่งชั่วโมงจึงกลับมาตึกที่สำนัก
วันพุธ เดือน ๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมงเศษ เจ้าเมืองมาเยี่ยมราชทูตถึงที่อยู่ พูดจากันแล้วก็ลากลับไป ประมาณ ๑๐ นาฑีรองเจ้าเมืองชื่อ มิศเตอร แมกแกนซี มาหาราชทูต ถามข่าวสุขทุกข์กัน ตามธรรมเนียม
รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรมค่ำหนึ่ง เวลาเช้า ๔ โมง มิศเตอร แมกเนีย มาเชิญพวกราชทูตไปเที่ยวดูถิ่นฐานบ้านเมืองแลไป หา เซอแมกกอสแลนด์ผู้ชำระความ แล้วกลับมาตึกที่พัก บ่ายโมง หนึ่งพวกกงสุลหลายชาติมาเยี่ยมราชทูต เวลาบ่าย ๔ โมงพวกราชทูต ไปหามิศเตอรแมกแกนซี เวลาทุ่มหนึ่งพระพิเทศพานิชเชิญพวกราชทูต ๖ คนไปกินโต๊ะ เลี้ยงอย่างอังกฤษ มีอังกฤษ ๑๑ คน ไทย ๖ คน จีน ๒ คน แขกคน ๑ รวมกัน ๒๐ คน
วันศุกร เดือน ๙ แรม ๒ ค่ำ เวลา ๔ โมงเย็น จีนจงฮวดนายห้างพระยาพิศาลศุภผล (๖) เชิญราชทูตไปกินโต๊ะเลี้ยงอย่างจีน มีไทย ๖ คน จีน ๒ คน รวม ๘ คน เวลา ๒ ทุ่มกัปตันกิมเสง (๗) จีน เชิญพวกราชทูตไปกินโต๊ะที่บ้านบนยอดภูเขา เมื่อไปนั้นจมื่นมณเฑียรพิทักษ์ จมื่นราชามาตย์ไปรถเดียวกัน รถนั้นล้าหลัง คนขับพาหลงทางไปไม่ถูกก็กลับคืนที่สำนัก ที่กัปตันกิมเสงเลี้ยงโต๊ะมีปี่พาทย์อย่างอังกฤษวงหนึ่ง ๒๘ คน มีพวกอังกฤษรำเท้าผู้ชายผู้หญิงเต้นเปนคู่กัน ประมาณ ๓๐ คู่ (๘) พวกอังกฤษที่ไปกินโต๊ะประมาณ ๑๕๐ เศษล้วนแต่ผู้ดีทั้งสิ้น พวกราชทูตไทย ๔ คน จีนประมาณ ๒๐ เศษ แขกเทศ ๗ คน แขกมะลายู ๑๕ คน พวกราชทูตอังกฤษรำเท้าอยู่จน ๕ ทุ่ม เศษจึงกินโต๊ะ ครั้นเสร็จพักอยู่สัก ๒๐ นาทีก็กลับมาตึกที่อยู่
(๑) บัญชีผู้ที่ไปราชการทูตครั้งนั้น ทั้งบัญชีสิ่งของเครื่องราชบรรณาการ แลของซึ่งส่งไปพระราชทาน มีรายละเอียดแจ้งอยู่ในใบเพิ่มข้างท้ายหนังสือนี้
(๒) คือสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย
(๓) เกาะกระอยู่หน้าเมืองนครศรีธรรมราช
(๔) สมัยนั้นยังไม่ใช้รองเท้าถุงเท้าเท้ากันในกรุงฯ จึงกล่าวนับเข้าในเครื่องแต่งตัวทูต
(๕) ต่อมาได้เปนที่พระยาอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมืองกระบุรี ครั้นในรัชกาล ที่ ๕ เลื่อนเปนพระยาอนุกูลสยามกิจ กงสุลเยเนราลสยามที่เมืองสิงคโปร์
(๖) พระยาพิศาลศุภผล (ชื่น)
(๗) ที่เรียกัปตัน เปนยศหัวหน้าจีน
(๘) เปนการมีบอล เลี้ยงโต๊ะ คือ ซัปเปอ
งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ เนื่องจากต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
- (๑) เป็นภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรก (หรือวันที่มีการเผยแพร่งานครั้งแรก) แล้วแต่ว่ากรณีใดปรากฏก่อน
- (๒) เป็นงานศิลปประยุกต์ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบห้าปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๓) เป็นงานโดยผู้ไม่เปิดเผยชื่อหรือผู้ใช้นามแฝง ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๔) เป็นงานในหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น และผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตายมากว่าห้าสิบปีแล้ว
- (๕) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานนี้ไม่ปรากฏ ผู้สร้างสรรค์งานนี้เป็นนิติบุคคล หรือตายก่อนการเผยแพร่งาน ประกอบกับงานนี้มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี นับแต่วันเผยแพร่งานครั้งแรก