จดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ/ตอนที่ 13
ตอนที่ ๑๓ ว่าด้วยราชทูตอยู่เมืองสุเอศ แล้วกลับมาถึงเมืองคาลี แลเมืองสิงคโปร์ จนถึงกรุงเทพฯ
[แก้ไข]ณวันศุกร เดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ กำปั่นเมล์มาถึงลำ ๑ กงสุล ที่เมืองสุเอสได้รับหนังสือฉบับ ๑ มาแต่กัปตันกำปั่นรบที่จะมารับพวก ราชทูต ในหนังสือนั้นว่า กำปั่นได้ออกจากเมืองกาลกัตตาแล้ว แลจะรีบมาให้ถึงเมืองสุเอศในวันแรม ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ
ราชทูตต้องพักอยู่ที่โฮเต็ลเมืองสุเอศจนถึงวันจันทร์ เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ เวลากลางคืนเรือกลไฟชื่อ ไปเลเดศ เปนกำปั่นรบมาถึงท่า เมืองสุเอศ รุ่งขึ้นกัปตันจึงมาหาราชทูตแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าได้คำสั่ง ให้มารับพวกราชทูตไปส่งให้ถึงกรุงสยาม แต่บัดนี้การที่ในเรือยังหา เรียบร้อยไม่ จะต้องจัดแจงชำระขัดสีให้ดีก่อน วันพฤหัสบดี เวลาเช้าข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปซื้อเสบียงอาหารที่เมืองไกโร ต่อวันเสาร์เวลา เย็นจึงจะกลับมา วันอาทิตย์จึงจะได้เชิญท่านไปลงเรือ ถึงวันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๑๒ ค่ำ เวลาเช้ากัปตันบอกเตลคราฟมาแต่เมืองไกโรว่า ซึ่งสัญญาไว้ว่าจะกลับมาในเวลาเย็นวันนี้นั้น ยังมาหาได้ไม่ ด้วย รถไฟยังไม่ไป จะต้องคอยอยู่จนพรุ่งนี้ วันอาทิตย์เวลากลางคืนกัปตัน จึงจะกลับมาถึงท่า
วันจันทร์ เดือน ๕ แรม ๑๔ ค่ำ เวลาบ่าย ๔ โมง กัปตัน ดิกอเซ จึงเชิญพวกราชทูตลงเรือกลไฟเล็กออกจากท่าเมืองสุเอศ ถึง กำปั่นรบชื่อ ไปเลเดศ จักรท้าย ยาว ๒๒๐ ฟิต คือ ๑ เส้น ๑๓ วา ๓ ศอกกับ ๕ นิ้ว ปากกว้าง ๓๙ ฟิต คือ ๕ วา ๓ ศอกคืบ ๑๑ นิ้วกับกระเบียด ๑ กินน้ำลึก ๒๓ ฟิต คือ ๓ วา ๒ ศอก ๓ นิ้ว กับกระเบียด ๑ กำลัง ๓๕๐ แรงม้า คนในเรือ กัปตัน ๑ ออฟฟิเซอ ๓๓ ทหารลูกเรือคนใช้ ๒๒๖ รวม ๒๖๐ คน เมื่อราชทูตจะขึ้นบนกำปั่น มีทหารปืนปลายหอกยืนคำนับ ๒ แถว ๆ ละ ๑๒ คน แล้วกัปตัน ให้ยิงปืนใหญ่สลูตรับราชทูต ๑๙ นัด พวกออฟฟิเซอมายืนรับพร้อม ทุกตำแหน่ง ลุตเตนนันต์ให้จัดแจงรับของ ๆ พวกราชทูตขึ้นเสร็จแล้ว เวลาทุ่มเศษได้ใส่ไฟใช้จักรออกจากที่ทอดสมอหน้าเมืองสุเอศ
วันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลาบ่าย ๒ โมงครึ่งถึงท่าหน้าเมืองมักหะ เปนเมืองแขกชาติอาหรับ ถ่านศิลาหมดลง กัปตัน จึงให้แวะเข้าทอดสมออยู่ห่างตลิ่งประมาณ ๒๐๐ เส้น แล้วกัปตันลง เรือโบตขึ้นไปบนเมืองเที่ยวซื้อถ่านศิลาก็ไม่ได้ ซื้อได้แต่ฟืนเล็กน้อย แล้วกลับมาให้รับฟืนขึ้นเรือเสร็จ เวลายามเศษจึงให้ใช้จักรออกจาก หน้าเมืองมักหะ
วันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ เวลา ๔ ทุ่มเศษถึงเมืองเอเดน รุ่งขึ้นเช้า ๔ โมงกัปตันมาบอกราชทูตว่า จะรับถ่านลงเรือ ลอองจะปลิวเปื้อนนัก ถ้าท่านพากันขึ้นไปอยู่บนโฮเต็ลเห็นว่าจะเปนสุขกว่าอยู่ใน กำปั่น ราชทูตก็รับคำ กัปตันจึงให้มิศเตอร์โฮป เปนขุนนางนายทหารในเรือรบขึ้นไปอยู่ด้วยพวกราชทูต แล้วจึงจัดเรือโบตให้ไปส่งพวกราชทูต ที่โฮเต็ล ชื่อปรินส์ ออฟ เวลส์
วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ บ่าย ๒ โมง กัปตันมาแจ้ง ว่า ที่กำปั่นจัดแจงเครื่องจักรกล แลรับถ่านลงเสร็จแล้ว พวก ราชทูตก็พร้อมกันกลับมาลงในกำปั่น แต่ลมยังพัดทวนหน้าแรงนัก ต้อง รออยู่จนรุ่งขึ้นเวลาเช้าโมงเศษกัปตันให้ใส่ไฟใช้จักรออกจากหน้าเมือง เอเดน ลมเปนพัทยาทวนหน้าจัดนัก เรือเดินได้แต่โมงละ ๕ นอด ๖ นอด ถึงวันอังคารเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำลมจึงแปรเยื้องไปสักหน่อย พอใช้ใบได้ แต่ไม่สู้เต็มใบดี
วันศุกร เดือน ๖ แรม ๓ ค่ำ ได้ลมสลาตันเปนปัดตะโพก ๕ โมงเย็นกัปตันให้พวกเด็ก ๆ ขึ้นหัดริบใบ เมื่อจะลงมาเด็กคน ๑ พลัดตกจากร้านเสากระโดงกลางชั้นล่างมากระทบกระดานที่ผูกรอกข้าง แล้วตกน้ำลงไป กัปตันกับพวกลูกเรือวิ่งไปข้างท้ายปล่อยทุ่นลอยไป เด็กที่ตกน้ำก็ว่ายเข้ายึดทุ่นไว้ แล้วกัปตันให้เอาเรือลงโดยเร็วรีบตี กระเชียงไปรับเด็กนั้นมาได้ เมื่อมาถึงหมอตรวจดูเห็นซี่โครงหัก ๒ ซี่ หมอก็เอาผ้ารัดตัวเข้าไว้ แล้วให้นอนอยู่บนเปล ให้กินยามาประมาณ ๑๕ วันก็หายดี
วันอังคาร เดือน ๖ แรม ๗ ค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมงเกิดฝนตก ลมสลาตันพัดหนัก เสากระโดงหน้าชั้นบนหักสบั้นลงมา ใบเสาหน้า เสากลางเสาท้ายขาดฉีกเปนริ้วแร่งยับย่อยหมดทุกใบ คลื่นใหญ่ซัดเข้า ในเรือน้ำบนดาดฟ้าชั้นล่างลึกเพียงเข่า หีบใส่ของพวกอังกฤษพวกไทยลอยเข้าของเปียกน้ำเสียมาก ประมาณครึ่งโมงพายุจึงสงบ กัปตันให้ เปลี่ยนเสาแลใบใหม่แล้วเสร็จในเวลาเดียว
วันพฤหัสบดี เดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ บ่ายโมงเศษถึงเมืองคาลี (๑) อยู่ที่แหลมเกาะลังกาข้างทิศตวันตกเฉียงใต้ เปนที่ไว้ถ่านศิลาสำหรับ ใช้ในการเรือกลไฟ ฝ่ายอังกฤษ ชื่อมิศเตอร์เฮนรีโอเครดีเปนผู้สำเร็จ ราชการที่เมืองคาลี แจ้งว่าราชทูตไทยไปถึงก็ลงมาทักถาม แล้วเชิญ ให้ขึ้นพักอยู่บนเมือง เวลาบ่าย ๔ โมงพวกราชทูตพร้อมกันลงเรือโบต ไปถึงท่า ที่บนป้อมหน้าเมืองให้ยิงสลูตคำนับ ๑๙ นัด แล้วเชิญราชทูต ไปที่พัก ตามทางสองข้างตั้งแต่ท่าขึ้น มีทหารคนดำถือปืนปลายหอก ยืนรายไป ๑๐๐ คน แล้วทหารอังกฤษเรียงต่อไปอีก ๕๐ คน รวม ๑๕๐ คน ถึงตึกใหญ่เปนที่สำหรับเจ้าเมืองมาพัก เจ้าพนักงาน เชิญให้ราชทูตขึ้นอยู่ที่นั้น แล้วจัดโปลิศแมน คือคนรักษาถนน มาคอยระวังรักษาอยู่ ๒ คน เวลาค่ำผู้สำเร็จราชการมาเชิญว่า พรุ่งนี้ เวลา ๔ โมงเช้าขอเชิญท่านทั้ง ๖ คนไปกินโต๊ะที่บ้านข้าพเจ้า ราชทูต ก็รับว่าจะไป รุ่งขึ้นเวลาเช้า ๓ โมงเศษ เจ้าพนักงานจัดรถมารับ ๓ รถ พวกราชทูต ๖ คน กัปตันดิกอเซ ๑ มิศเตอร์โฮป เปนนายทหาร ในกำปั่นรบ ไปเลเดศ ๑ พร้อมกันขึ้นรถไปกินโต๊ะที่บ้านผู้สำเร็จ ราชการ ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วก็ลาไปดูโรงทำน้ำมันมะพร้าว ทำด้วยเครื่องจักร ขูดคั้นแล้วไปด้วยจักรทั้งนั้น ทำเร็วกว่าทำด้วยคน หลายเท่า แล้วเลยไปนมัสการพระที่วัดบนเนินเขา ที่วัดมีพระปฏิมากรเหมือนวัดไทย แต่พระสงฆ์ไม่ได้ปลงผมในวัน ๑๔ ค่ำ ตามแต่ จะปลงวันไรก็ได้ สุดแต่อย่าให้ผมยาว บ่าย ๓ โมงก็กลับมาที่พัก จึงปรึกษากันว่า เราจำจะไปถวายนมัสการพระทันตธาตุจึงจะชอบ ด้วย เราได้มาถึงนี่แล้ว ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกัน พระยามนตรีสุริยวงศ์ จึงให้ล่ามบอกกัปตันดิกอเซ ๆ จึงตอบว่า การซึ่งท่านจะไปนั้น ข้าพเจ้า ไม่ขัดขวางตามแต่ใจ แต่ข้าพเจ้าทราบว่าพระทันตธาตุอยู่ถึงเมืองแกนดีถ้าจะไปด้วยรถเทียมม้าแต่เมืองคาลี ไปจนถึงเมืองแกนดีที่พระทันตธาตุทางถึง ๒ วัน แล้วจะต้องหยุดพักที่นั้นสักวัน ๑ หรือ ๒ วัน ทั้งไป ทั้งมาเปน ๕ วัน ๖ วัน ในฤดูนี้เปนฤดูลมร้ายมักเกิดพายุใหญ่เนือง ๆ ถ้าเปนดังนั้นบรรดากำปั่นที่ทอดอยู่ในอ่าวนี้ ลมก็ตีฟัดกระทบโดนกันแตกเสียหลายลำแล้ว พวกกัปตันมีความกลัวไม่อาจเข้าทอดสมออยู่ช้าจน ๓ วันได้ ถ้าท่านจะไปเมืองแกนดีแล้วข้าพเจ้าจะเอากำปั่นออกไปแล่นอยู่ในทเลใหญ่ ถึงจะเกิดพายุพัดจัดแรงประการใด พอจะแก้ไขได้ ไม่ขัดสน ด้วยท้องทเลเปนที่กว้าง ต่อถึงกำหนด ๖ วันข้าพเจ้าจึงจะ กลับมารับท่านมิให้ผิดสัญญา ราชทูตมีความสงสัยว่า กัปตันเปน คนอังกฤษไม่นับถือพุทธสาสนาก็แกล้งพูดบิดพลิ้ว ด้วยไม่หยากจะให้ไป ในขณะนั้นพระสงฆ์เปนเจ้าอธิการอยู่วัดในเมืองคาลี ชื่อศิริสมณะ (๒) กับนายคน ๑ เปนชาวเมืองลังกาชื่อกรุณารัตน์ ทั้ง ๒ คนพากันมาเยี่ยม ราชทูตยังนั่งอยู่ที่นั้นด้วย เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดี จึงถามเปนภาษา มคธ คนทั้ง ๒ ก็รับว่าจริงเหมือนคำกัปตันดิกอเซว่า พวกราชทูต จึงปรึกษากันว่า เราจะไปเมืองแกนดี เปนแต่เรามีความศรัทธา อุสาห์จะไปนมัสการพระทันตธาตุมิใช่ไปด้วยราชการ ซึ่งเราจะให้กำปั่น ต้องไปแล่นอยู่ในทเล เสียถ่านใส่ไฟใช้เงินคอเวินแมนต์ลงมากนั้น หาชอบไม่ ครั้นเห็นพร้อมกันดังนั้น จึงว่าแก่กัปตันดิกอเซว่า ท่านจะ ต้องถอยกำปั่นเข้าออกลำบากดังนั้น เราก็จะไม่ไปเมืองแกนดีแล้ว กัปตันดิกอเซก็มีความยินดีเปนอันมาก
วันศุกร เดือน ๖ แรม ๑๐ ค่ำเวลา ๔ โมงพวกราชทูตจะกลับ มาลงกำปั่น ผู้สำเร็จราชการกับกำมโดร์แลขุนนางฝ่ายทหารอีกหลายคน มาส่ง แล้วลากลับไป แต่ผู้สำเร็จราชการตามลงมาส่งจนถึงกำปั่น เมื่อราชทูตจะมาลงเรือมีทหารยืนแลยิงสลูตเหมือนเมื่อแรกมาถึงเมืองเวลาเช้า ๕ โมงเศษกัปตันดิกอเซใช้จักรออกจากท่าหน้าเมืองคาลี มาใน ทางทเล ๗ วัน คลื่นลมก็เรียบเปนปรกติดี จนวันศุกร เดือน ๗ ขึ้น ๔ ค่ำ บ่าย ๒ โมงครึ่งถึงเมืองสิงคโปร์ เมื่อราชทูตถึงเมืองนั้นเจ้าเมืองไม่อยู่ ลงกำปั่นรบไปเที่ยวจับพวกอ้ายจีนสลัด รุ่งขึ้นเวลาเช้า ๔ โมง รองเจ้าเมืองจัดแจงเรือโบต ๓ ลำ มาเชิญพวกราชทูตขึ้นบนเมือง เมื่อราชทูต ไปถึงท่าขึ้นทหารปืนใหญ่หน้าป้อมก็ยิงสลูต ๑๙ นัด แต่ทหารปืนปลายหอกที่จะยืนคำนับจัดแจงหาทันไม่ แลโฮเต็ลที่เคยพักแต่ก่อนคนก็เช่าอยู่ เต็มหมด พระพิเทศพานิชจงเชิญให้พวกราชทูตไปพักอยู่ที่ตึกของพระพิเทศพานิชทำไว้บนยอดภูเขา แต่การเลี้ยงดูนั้นรองเจ้าเมืองจัดแจง ส่งมาทุกเวลา แล้วให้ทหารมาประจำผลัดเปลี่ยนรักษาอยู่ ๑๔ คน ตัวรองเจ้าเมืองก็ไปมาเยี่ยมเยียนราชทูตอยู่เนือง ๆ เวลาบ่าย ๔ โมง จีนจงฮวดเชิญพวกราชทูตไปกินโต๊ะ เลี้ยงตามอย่างจีน
วันอาทิตย์เดือน ๗ ขึ้น ๔ ค่ำ บ่าย ๕ โมง เซอแมกกอศแลนด์เชิญพวกราชทูตไปกินโต๊ะ เวลา ๔ ทุ่มพระพิเทศพานิชเชิญไปกินอีก ครั้งหนึ่ง
วันจันทร์เดือน ๗ ขึ้น ๕ ค่ำ เวลาเช้าโมง ๑ พวกราชทูตพร้อมกันขึ้นรถมาลงกำปั่น รองเจ้าเมืองจัดทหารปืนยืนคำนับ ๒ แถวประมาณ ๑๐๐ เศษ แล้วให้ยิงสลูตส่ง ๑๙ นัด รองเจ้าเมือง ๑ เซอแมก กอศแลนด์ ๑ พระพิเทศพานิช ๑ จีนจงฮวด ๑ ลงมาส่งถึงท่าแล้ว ลากลับไป ราชทูตก็ลงเรือมากำปั่น
พวกราชทูตกราบถวายบังคมลาออกไปกรุงเทพ ฯ จนถึงเมืองลอนดอน ได้แวะหยุดพักตามหัวเมืองรายทางเปนหลายหัวเมือง แลได้ ไปเที่ยวตามหัวเมืองที่อยู่ในประเทศอิงแคลนด์ก็หลายเมือง เจ้าเมือง ทั้งนั้นก็รับรองให้เปนเกียรติยศทุก ๆ เมือง การที่เจ้าเมืองคำนับรับรอง ทั้งนี้ ก็เพราะพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ พระองค์ปกเกล้าปกกระ หม่อมไป กวีนแลคอเวินแมนต์จึงมีคำสั่งให้จัดแจงรับรอง พวกข้าหลวง ได้มีความสุขเปนอันมาก
เวลา ๓ โมงเศษ กัปตันดิกอเซให้ใส่ไฟใช้จักรออกจากเมือง สิงคโปร์ วันศุกร เดือน ๗ ขึ้น ๙ ค่ำ เวลาเช้า ๕ โมงเศษถึงที่ทอดสมอชายชำแระนอกสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา กัปตันดิกอเซให้เอาเรือโบต ลง ๓ ลำ พร้อมด้วยเชือกเสาเพลาใบ มีออฟฟิเซอกำกับเรือลำละคน แลคนตีกระเชียงลำละ ๑๐ คน เข้ามาส่งพวกราชทูตกับผู้มีชื่อรวม ๒๗ คนบ่ายโมง ๑ พวกราชทูตก็ลากัปตันลงจากกำปั่นรบไปเลเดศ กัปตันให้ยิง สลูตส่งราชทูต ๑๙ นัด บ่าย ๓ โมงถึงเมืองสมุทปราการ แวะขึ้น หยุดพักที่ศาลากลาง พระยาสมุทบุรานุรักษ์ผู้สำเร็จราชการเมืองสมุทปราการได้เลี้ยงพวกราชทูตแลอังกฤษที่มาส่งเสร็จแล้ว จัดแจงผลไม้ ต่าง ๆ กับสุราแลบุหรี่ให้แก่อังกฤษ ๆ ก็ลากลับออกไปกำปั่น พระยา สมุทบุรานุรักษ์ พระยามหาอรรคนิกรจัดเรือสำปั้นเก๋งทั้ง ๒ ลำ เรือเป็ด ลำ ๑ ให้ขึ้นมาส่งพวกราชทูต เวลา ๒ ทุ่มเศษได้ออกจากเมืองสมุท ปราการ ๒ ยามถึงกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรา ยุทธยานี้ รุ่งขึ้นเวลาเช้าพร้อมกันเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท ตรงหน้า พระสิงหบัญชร ข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฝ่ายทิศตวันตก ในพระบรม มหาราชวัง สิ้นความแต่เท่านี้ ขอเดชะ
จดหมายเหตุของหม่อมราโชไทย จบเพียงเท่านี้
(๑) ชื่อที่เรียกนี้ เปนภาษาโปรตุเกศ เล่ากันว่า แต่โบราณ โปรตุเกศแล่นเรือมา ถึงที่นั้นขึ้นไปได้ยินเสียงไก่ขัน ไม่รู้จักชื่อเมือง จึงเรียกว่า คอลี แปลว่า ไก่
(๒) พระศิริสมณะติสสะ เปนสังฆนายกฝ่ายมรัมวงศ์ที่เมืองคาลี นับถือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่ทรงผนวช ได้เข้ามากรุงเทพ ฯ เมื่อในรัชกาลที่ ๕
งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ เนื่องจากต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
- (๑) เป็นภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรก (หรือวันที่มีการเผยแพร่งานครั้งแรก) แล้วแต่ว่ากรณีใดปรากฏก่อน
- (๒) เป็นงานศิลปประยุกต์ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบห้าปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๓) เป็นงานโดยผู้ไม่เปิดเผยชื่อหรือผู้ใช้นามแฝง ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๔) เป็นงานในหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น และผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตายมากว่าห้าสิบปีแล้ว
- (๕) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานนี้ไม่ปรากฏ ผู้สร้างสรรค์งานนี้เป็นนิติบุคคล หรือตายก่อนการเผยแพร่งาน ประกอบกับงานนี้มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี นับแต่วันเผยแพร่งานครั้งแรก