จดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ/ตอนที่ 2
ตอนที่ ๒ ว่าด้วยราชทูตออกจากเมืองสิงคโปร์ไปถึงเมืองไกโร แว่นแคว้นอายฆุบโต (๑)
[แก้ไข]วันเสาร์เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ มีคนอังกฤษผู้ดีมาเยี่ยมราชทูตหลายคน จนถึงเวลาบ่าย ๕ โมงเศษพวกราชทูตก็ขึ้นรถพร้อมกันออก จากที่สำนักไปลงเรือที่ท่า มีทหารถือปืนยืนคำนับสองแถว ๆ ละ ๖๐ คน มีทหารเป่าแตรเปนสัญญาบอกให้ทหารปืนใหญ่ ๓ กระบอกยิงสลูต ๑๙ นัดมิศเตอรแมกแกนซี ๑ มิศเตอรแมกเนีย ๑ เซอรแมกกอสแลนด์ ๑ พระพิเทศพานิช ๑ ขุนนางอังกฤษฝ่ายกรมท่า ๑ ลงมาส่งที่เรือ ในเรือ นั้นมีขุนนางฝ่ายทหารกำกับเรือคน ๑ คนถือขอถ่อง่ามคอยรับเรือ ๒ คนคนตีกระเชียง ๑๐ คน พวกราชทูตก็ลงเรือมาถึงเรือกลไฟแล้วกัปตันจึง บอกว่าคนไปค้างอยู่บนเมืองสิงคโปร์ ๙ คน ยังให้ไปตามหาอยู่ ใน เวลานี้ยังจะไปมิได้ แล้วเดือนก็มืดนัก ต่อเกือบสว่างจึงค่อยไป ถึง เวลา ๑๑ ทุ่มจึงให้ถอนสมอใช้จักรไปสว่างที่ในอ่าวเรียว (๒)
วันอังคาร เดือน ๙ แรม ๖ ค่ำ เวลา ๕ โมงเช้าถึงเกาะแคสปาบ่ายโมงเศษถึงเกาะเมนดานออยู่ข้างซ้ายมือ พ้นออกไปข้างขวามือหน่อยหนึ่งมีอีก ๒ เกาะ เรียกเกาะเหนือเกาะใต้ ถัด ๒ เกาะออกไป มีอิกเกาะหนึ่งชื่อเตบละ
วันพุธ เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ เช้าโมงเศษถึงเกาะชื่อวาตเชอบ่าย ๒ โมงถึงช่องยะกะตรา (๓) บ่าย ๔ โมงถึงแหลมแอนเยอ กัปตัน ให้ทอดสมอลงตรงหน้าป้อม ป้อมนั้นเปนด่านเมืองยะกะตรา มีบ้านเรือน อยู่ไม่มากนัก ทั้งตึกทั้งโรงประมาณ ๒๐๐ หลัง ที่ใต้ป้อมลงไปมีหอคอยสูงจุดโคมบนยอด สำหรับให้เรือเข้าออกเห็นเปนสำคัญ ที่หน้าป้อมมีกำปั่นอะเมริกันเที่ยวหาปลาวาฬเข้าไปทอดพักอยู่ ๒ ลำ เมื่อเรือกลไฟเอนกวนเตอทอดสมอลงแล้ว มีเรือลูกค้าแล่นใบบ้าง เรือกระเชียงบ้าง เอาผลไม้เผือกมันแลสัตว์มีชีวิต คือวานรแลนกเป็ดไก่สัตว์อื่นอิก หลายอย่างออกมาขายเปนหลายลำ แล้วมีเรือโบตดาดผ้าตีกระเชียงออกมาลำหนึ่ง ถึงจอดเข้าข้างเรือกลไฟ แล้วตัวนายขึ้นมาบอกแก่ขุนนางที่ในเรือ ว่าเราเปนเจ้าท่าจะมาหากัปตัน ขุนนางในเรือจึงเข้าไปบอกกัปตันว่า นายเจ้าท่ามาหาท่าน กัปตันก็สั่งให้เข้ามา ครั้นนายเจ้าท่ามาถึงแล้วคำนับพูดจาไต่ถามตามการ สักครู่หนึ่งก็ลาไป กัปตันจึงให้ ชักธงวิลันดาขึ้นบนปลายเสาหน้า แล้วยิงปืนใหญ่สลูต ๒๑ นัด ฝ่าย ข้างบนป้อมก็ยิงตอบ ๒๑ นัด แล้วกัปตันจึงเชิญพวกราชทูตลงเรือโบต ตีกระเชียงไปถึงท่า แล้วพาเดินขึ้นไปใกล้เรือนนายเจ้าท่า ฝ่ายนาย เจ้าท่ารู้ก็ออกมารับเชิญให้เข้าไปในตึก แล้วกัปตันกับนายเจ้าท่าจึงนำราชทูตไปเที่ยวเดินดูตำบลบ้านตามทางประมาณชั่วโมงหนึ่ง แล้วนำไปที่โรงอาบน้ำ น้ำนั้นไหลลงมาจากภูเขาเย็นใสสอาดนัก ครั้นพวกราชทูตอาบน้ำแล้ว แวะไปนั่งอยู่ที่ตึกเจ้าท่าครู่หนึ่ง พอค่ำก็ลากลับมาลงเรือ เรือยังทอดค้างอยู่หน้าด่านคืนหนึ่ง
รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ เวลา ๔ โมงเช้าจึงถอนสมอใช้จักรออกจากที่นั้น ไปจนเย็นยังหาพ้นเกาะยะกะตราไม่ เกาะนั้นอยู่ ซ้ายมือเมื่อออกไป ข้าวขวามือแลเห็นภูเขาที่เกาะสุมาตรา เวลาค่ำลง ลมดี กัปตันให้เอาจักรขึ้น ใช้ใบไป
วันศุกร เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ ไม่แลเห็นฝั่งเห็นเกาะเห็นภูเขาเลย วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๔ ค่ำเวลาเที่ยง ต้นหนวัดแดดบอกว่าเรือเราเดี๋ยวนี้ตรงเกาะลังกาแล้ว แต่ไกลนักแลไม่เห็น วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๘ ค่ำ เวลาค่ำขัดลมเรือไม่เดิน ราชทูตให้ถามกัปตันว่าเราขัดลม ดังนี้ถ้าจะใช้ไฟไม่ได้ฤา กัปตันตอบว่าถ่านมีน้อย ถ้าใช้ไฟถ่าน จะหมดเสีย เกลือกเปนเหตุการณ์ไปข้างหน้าเราก็จะได้ความขัดสนประการหนึ่งถ่านหมดเรือก็จะโคลงนัก
วันเสาร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เวลาค่ำจึงได้ลมดี วันอาทิตย์เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ เวลา ๒ ยามเศษ เกิดลมสลาตันจัดนัก คลื่นใหญ่ สูงกว่าเรือ พัดเสมออยู่จนถึงวันจันทร์ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำเวลาค่ำต้นหนบอกว่า พรุ่งนี้พอสว่างจะเห็นฝั่งข้างแหลมแอฟริกา ครั้น รุ่งขึ้นเวลาสว่างก็เห็นฝั่ง ที่ฝั่งนั้นมีภูเขาทรายสูง เรียกที่นั้นชื่อว่ายาดาฟูม เปนปากทางที่จะเข้าในทเลแดง ขณะนั้นลมสลาตันยัง พัดจัดอยู่ เวลาเช้า ๒ โมงเศษเห็นกำปั่น ๒ เสาครึ่ง เปนเรือฝรั่งเศสแล่นตามเรือแอนกวนเตอเข้าไปลำหนึ่ง เรือเอนกวนเตอ แลเรือฝรั่งเศสนั้นต้องลดใบ เอาแต่ใบชั้นต้นไว้ด้วยลมแรงนัก มิศเตอรเรมันด์ต้นหนบอกว่ายังอิก ๒-๓ ชั่วโมงทเลก็จะราบไม่มีคลื่น ครั้นแล่นไปจนเวลา ๔ โมงเช้า กัปตันให้เอาจักรลง ใช้ไฟไปสักชั่วโมงหนึ่งลมก็สงบคลื่นเรียบเสมอเหมือนน้ำในแม่น้ำ เวลาบ่ายโมงเศษแลไม่เห็นฝั่งแลเกาะเลย
วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำเวลารุ่ง แลเห็นฝั่งเอเดนอยู่ฝั่งฟากแผ่นดินอาหรับ เช้าโมงเศษถึงหน้าป้อม ป้อมนั้นไม่ใหญ่ไม่โตนัก ตั้งอยู่บนภูเขา เมื่อกำปั่นเอนกวนเตอเข้าไปใกล้แล้ว ฝ่าย ข้างบนป้อมชักธงขึ้นรับ แล้วยิงปืน ๔ นัด กัปตันจึงสั่งให้ทอดสมอลงตรงหน้าป้อม ประมาณ ๒๐ นาฑีมีแขกเปนเจ้าท่าลงเรือโบตแล่นใบออกมาถึงกำปั่น แล้วบอกกัปตันว่าที่นี้ไม่ดี ให้ไปทอดข้างภูเขาด้านตวันตกเถิดกัปตันจึงให้ถอนสมอ ยิงปืนใหญ่ขึ้นนัดหนึ่ง แล้วบนป้อมก็ยิงรับนัดหนึ่งเรือเอนกวนเตอก็ใช้จักรแล่นอ้อมภูเขาไปทางทิศใต้ แล้วเลี้ยวไปข้าง ตวันตก เวลาเช้า ๓ โมงเศษถึงที่ทอดสมอ ในอ่าวที่ทอดสมอนั้นมีเรือกลไฟเรือใบทอดอยู่ประมาณ ๓๐ เศษ ครั้นบ่าย ๓ โมงพวกราชทูตพากันไปเที่ยวเล่นบนบก ที่บนบกมีโฮเตล คือตึกสำหรับให้คนเช่าอาศรัยแลขายเข้าปลาอาหาร มีรถมีม้ามีฬาสำหรับให้คนเดินทางเช่าขี่ มีอูฐให้เช่าบรรทุกของ คนในประเทศนั้นเปนคนดำผมหยิก ชั่วมาก ใจก็ดุร้าย ยากจนนัก เมื่อกำปั่นถึงทอดท่าแล้วมีพวกเด็ก มาว่ายน้ำอยู่ตามข้างเรือ ว่ายน้ำท่วงทีก็ผิดกับไทย ว่ายทนอยู่ได้นาน ๆ ถึง ๓-๔ ชั่วโมง คนบนกำปั่นเอาเบี้ยทองแดงทิ้งลงไปในทเล ไม่ทัน จมลงไปถึงพื้นดิน เด็กพวกนั้นก็แย่งชิงกันดำเอาได้ไม่มีสูญเลย ที่ประเทศนั้นรอนนักด้วยฝนน้อย บางที ๓ ปีจึงจะตกสักครั้งหนึ่ง บนภูเขาต้นไม้แต่สักต้นหนึ่งก็ไม่มี ที่เอเดนนั้นอังกฤษตีเอาไว้เปนที่สำหรับไว้ถ่านศิลาใช้ในการเรือกลไฟ ที่เอเดนมีป้อมอยู่หลายป้อม มีทหารแลปืนใหญ่น้อยไว้รักษาเขตรแดนที่แดนต่อแดนให้เอาศิลาก่อกำแพงกั้นไว้ ถ้าคนชาติอื่นพลัดออกไปนอกกำแพงพวกคนดำเห็นก็ฆ่าเสีย เก็บเอาผ้าเอาของไป เรือเอนกวนเตอทอดท่ารับถ่านอยู่ที่เอเดน ถึงณวันเสาร์เดือน ๑๐ แรม ๙ ค่ำ เวลา ๒ ทุ่มจึงให้ใส่ไฟใช้จักรออกจากที่ รุ่งขึ้นเวลาบ่าย ๔ โมงถึงที่ช่องแคบชื่อแบบเอลแมนเดบ ในทางทเลแดงนั้น มีบ้านห่าง ๆ เมื่อเรือเอนกวนเตอใช้ไฟไปแลเห็นฝั่งบ้างแลไม่เห็นบ้างบางทีก็แลไม่เห็นฝั่งถึง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง
วันพุฒ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ลมเปนพัดหลวงทวนหน้านักกัปตันให้ลดเสาเพลาลงเสียชั้นหนึ่ง จนถึงวันศุกรเดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำ ลมยิ่งพัดกล้าขึ้น เรือเดินได้แต่โมงละนอดหนึ่งบ้างครึ่งนอดบ้าง นอดหนึ่งคือ ๔๕ เส้น กัปตันจึงให้เอาเสากระโดงขึ้นที่แล่นก้าวไป ลมจัดหนักขึ้นทุกวัน บางทีใบขาดเชือกขาด จนถึงวันจันทร์เดือน ๑๑ ขึ้น ๓ ค่ำเวลาเช้าก่อนเที่ยงเรือเอนกวนเตอแล่นก้าวเข้าไป พอแลเห็นภูเขาที่ฝั่ง ข้างขวามือเห็นเรือใบหลายลำ ลำหนึ่งยาวประมาณ ๕ วา ๖ วา มี พวกแขกในลำเรือประมาณลำละ ๓๐ คน ๔๐ คนแล่นตรงออกมา ครั้นใกล้กำปั่นแล้วก็ชักใบกลับไป ขณะนั้นถ่านในเรือยังเหลืออยู่น้อยไม่พอ ใช้จนถึงท่าสุเอศ กัปตันจึงปรึกษาพวกขุนนางอังกฤษเห็นพร้อมกันว่าจะแวะเข้าที่บ้านเวช (๔) วันอังคารเดือน ๑๑ ขึ้น ๔ ค่ำ จึงให้บ่ายเรือเข้าที่ตรงอ่าวบ้านเวช เวลาบ่ายโมงเศษถึงเกาะอยู่ตรงปากอ่าวเวช บ่าย ๕ โมงถึงท่าหน้าบ้านเวช กัปตันให้ทอดสมอลงห่างตลิ่งประมาณ ๔ เส้นที่ริมฝั่งมีเรือนนายบ้านชาวบ้านประมาณ ๒๐ เรือน เรือนนั้นก่อด้วยก้อนศิลา เอาดินทำเปนใบสอ สัณฐานเหมือนเตาที่เผาหม้อเผาอิฐไม่มีหลังคา เอาแต่ใบไม้แลหญ้าขึ้นคลุมไว้พอร่มแดด ในประเทศนั้นฝนแล้งบางคนว่า ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้างจึงจะตกสักครั้งหนึ่ง คนที่นั้นใช้อูฐม้าแลฬาเปนพาหนะสำหรับขี่แลบรรทุกของ ของที่นั้นแพงนัก ฟองไก่ ๑๔ ฟอง เปนเงินรูเปียหนึ่ง คิดเปนเงินไทย ๓ สลึง คนอยู่ที่นั้นยากจนเข็ญใจ ด้วยเปนประเทศแล้ง มีแต่น้ำค้างตกมาก รุ่งขึ้นเวลาเช้ากัปตันจึง ขึ้นไปดูฟืนบนบกสักครึ่งชั่วโมงแล้วกลับมาเรือ เวลาสายแขกพวกตุรเกเปนนายทหารลงมาหากัปตัน แล้วถามว่ากำปั่นนี้จะไปข้างไหน กัปตัน ตอบว่าจะไปท่าสุเอศ นายทหารจึงว่ามีคนอยู่ที่นี่สัก ๑๐๐ เศษ จะขอโดยสานไปท่าสุเอศด้วย จะให้เงินค่าโดยสารคนละ ๑๐ เหรียญ กัปตันตอบว่าจะให้ไปไม่ได้ ด้วยเรือนี้เปนเรือหลวง แขกนายทหารจึงถามว่าท่านมานี้จะประสงค์สิ่งใด กัปตันตอบว่าเรามาจะต้องการซื้อน้ำซื้อฟืนนายทหารรับว่าได้แล้วก็ลาไป ประมาณสักครึ่งชั่วโมง มีเรือบรรทุกน้ำบรรทุกฟืนลงมาส่งที่กำปั่น น้ำนั้นใส่ในหนังแพะ หนังแพะนั้นลอกออกจากตัวแพะ แล้วเอามาเย็บเปนรูปอยู่เหมือนกับตัวแพะ เมื่อจะใส่น้ำเอากรอกลงไปทางฅอแล้วเอาเชือกผูกเสีย ฟืนที่ได้มาน้อยนัก หาซื้อ อิกก็ไม่ได้ กัปตันจึงว่าจะต้องไปที่เมืองโกไซอิกจึงจะได้ถ่านได้ฟืนพอใช้รุ่งขึ้นณวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำเวลาเช้า ๔ โมงเศษ กัปตันให้ใส่ไฟใช้จักรออกจากบ้านเวช
วันศุกร เดือน ๑๑ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงถึงเมืองโกไซเปนเมืองขึ้นแก่ตุรเก เรือเอนกวนเตอทอดสมอลงห่างตลิ่งประมาณ ๔ เส้นแล้วมีพวกตุรเกเปนนายด่าน ลงเรือโบตมีธงตุรเกปักท้ายเรือมา ถามกัปตันว่าท่านมานี้จะประสงค์สิ่งใดฤๅ กัปตันโอแกแลแฮนตอบว่า กวีน รับสั่งให้เรารับราชทูตไทยไปส่งถึงท่าสุเอศ บัดนี้ถ่านหมดลงเราจึงแวะมา ปราร์ถนาจะซื้อถ่านศิลา นายด่านรับว่าได้แล้วก็ลากลับไป กัปตันจึงให้ขุนนางอังกฤษขึ้นไปดูถ่านแล้วให้บอกเจ้าเมืองว่า กัปตันโอแกแลแฮนสั่งมาว่าที่เรือรบจะยิงสลูตคำนับธงตุรเก เจ้าเมืองจะสลูตคำนับตอบฤๅไม่สลูต เจ้าเมืองจึงตอบว่าจะคำนับตอบ ขุนนางอังกฤษก็กลับมาแจ้งแก่กัปตันตามคำเจ้าเมืองว่า กัปตันจึงให้ทหารปืนใหญ่ยิงสลูต ๒๑ นัดฝ่ายเจ้าเมืองโกไซก็ให้ยิงตอบ ๒๑ นัดเหมือนกัน ถึงเวลาบ่าย ๔ โมงพวกราชทูตพากันไปเที่ยวเล่นบนบก ครั้นจวนค่ำแล้วก็กลับลงมากำปั่น รุ่งขนเจ้าเมืองให้มาเชิญพวกราชทูต ๖ คน กัปตันโอแกนแฮน ๑ มิศเตอรเรมันด์ต้นหนใหญ่ ๑ มิศเตอรฟอเรอคิล์เปนขุนนางวัดแดดในกำปั่นรบ ๑ รวมไทยกับอังกฤษ ๙ คน ขึ้นไปกินโต๊ะที่บ้านเจ้าเมืองกับเข้าเลี้ยงนั้นตามธรรมเนียมของพวกตุรเก คล้าย ๆ กับเข้าแขกที่มา อยู่ในเมืองไทย ของมีหลายสิ่ง แต่ยกมาตั้งทีละสิ่ง ของนั้นล้วนแล้ว ไปด้วยเนื้อแพะแลเนื้อแกะ ครั้นกินแล้วพวกคนที่รับใช้จึงเอากล้องใส่ยา จุดไฟเข้ามาคำนับส่งให้คนละอัน น้ำกาแฟคนละถ้วย เมื่อสำเร็จแล้ว เจ้าเมืองให้พาพวกราชทูตกับอังกฤษไปเที่ยวดูป้อมแลถิ่นฐานบ้านเมืองป้อมนั้นก่อด้วยศิลาแต่ไม่แน่นหนาด้วยบางนัก ที่บนป้อมมีปืนใหญ่กระสุน ๓ นิ้ว ๘ กระบอก กระสุน ๒ นิ้วกึ่งกระบอก ๑ ปืนกระสุนแตกกระบอก ๑ บานประตูป้อมหุ้มเหล็ก ครั้นดูทั่วแล้วก็พากันลงจากป้อมไปเที่ยวดูตามตลาด บ้านเรือนชาวบ้านชาวเมือง ทำสัญฐานคล้ายบ้านเรือนอังกฤษ ก่อด้วยศิลา เอาทรายกับดินถือต่างปูนบ้าง ถือปูนบ้าง แต่ไม่มีหลังคา เอาแต่สิ่งซึ่งบังแดดได้ขึ้นบังไว้ ที่เรือนเจ้าเมืองนั้นเอาไม้พาดทำขื่อให้ถี่แล้วก็เอาก้านอินตะผาลำเรียบให้ชิด เอาดินเปนทรายดาดข้างบน บานหน้าต่างทำด้วยกระจก พื้นก็ดาดดินปนทรายเหมือนอย่างหลังคา ในประเทศนั้นคนตาบอดแลเจ็บตามาก ด้วยเปน เหตุเพราะเจ้าเมืองเก็บเอาผู้ชายไปหัดปืนเปนทหาร ถ้าคนยากจนมีบุตร เปนชายแล้ว ก็เอาของที่ร้ายแรงหยอดตาข้างขวาของบุตรให้บอดเสีย จะได้ไม่ต้องเปนทหาร ด้วยตาข้างขวาบอดเล็งดูสูนย์ปืนไม่ได้ ครั้นเที่ยวดูบ้านช่องทั่วแล้วก็กลับมาลาเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงลงมาส่งถึงประตูบ้าน ต่างคำนับกันทั้งสองฝ่ายแล้วก็กลับมากำปั่น
วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๙ ค่ำ บ่าย ๒ โมงได้ถ่านศิลาบรรทุกแล้ว กัปตันให้ถอนสมอใส่ไฟใช้จักรไปตามทางในที่ช่องแคบ แลเห็นฝั่งทั้งสองข้าง พวกอังกฤษว่าบางแห่งแคบทีเดียวเพียง ๘ ไมล์ คือ ๓๖๐ เส้น ที่กว้างก็เพียง ๑๕ ไมล์ คือ ๖๗๕ เส้น
วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ย่ำรุ่งแล้วถึงท่าเมืองสุเอศ เปนเมืองขึ้นแก่ไกโรชาติตุรเก กัปตันให้ทอดสมอลงหน้าเมือง แล้วชักธงพระจอมเกล้าขนบนปลายเสาหน้า ประมาณไม่ถึงชั่วโมง รองกงสุลอังกฤษให้จัดเรือกลไฟเล็กลำหนึ่ง ออกมารับพวกราชทูตแลเครื่องราชบรรณาการ ตัวกงสุลก็ลงเรือโบตตามมาด้วย แล้วแจ้ง ความว่าบัดนี้กงสุลมีธุระขึ้นไปเมืองลอนดอน แต่ได้สั่งข้าพเจ้าไว้ว่าถ้าราชทูตมาถึงเมื่อไรให้ข้าพเจ้าจัดแจงรับ อนึ่งทางรถไฟที่ทำมาแต่เมืองอาเลกซันเดอก็ยังไม่แล้ว จะต้องจัดรถเทียมม้าแลอูฐ บรรทุก เครื่องราชบรรณาการไปส่งจนถึงทางรถไฟ ทางสัก ๒๕ ไมล์ คือ ๑๑๒๕ เส้น ถึงแล้วจึงจะได้บรรทุกรถไฟต่อไป ข้าพเจ้าให้จัดรถแลอูฐเตรียมไว้พร้อมแล้ว กัปตันโอแกแลแฮนจึงให้ยิงสลูต ๒๑ นัด เจ้าเมืองสุเอศก็ให้ยิงคำนับตอบ ๒๑ นัดเหมือนกัน เวลา เช้า ๔ โมงครึ่งพวกราชทูต กัปตันโอแกแลแฮน พร้อมกันลงในเรือกลไฟเล็ก หน้าเรือปักธงพระจอมเกล้า ท้ายปักธงตุรเก ออกจากเรือรบเอนกวนเตอ ที่เรือรบเอนกวนเตอเสาหน้าชักธงช้างเผือก เมื่อเรือห่างกันออกมาประมาณ ๔ วา ทหารที่เรือเอนกวนเตอยิงสลูตส่งราชทูตอีก ๑๙ นัด เรือไฟเล็กใช้จักรมาตามร่องน้ำที่คดอ้อมวงเวียนประมาณครึ่งชั่วโมงถึงท่าจอด เมื่อจะขึ้นบกมีคนถือร่มขาวคันยาวกั้นให้ราชทูตคันหนึ่ง อุปทูตคันหนึ่ง รองกงสุลเชิญพวกราชทูตขึ้นพักบนโฮเต็ล จัดแจงเลี้ยงดูสำเร็จแล้ว บ่ายเกือบโมงรองกงสุลจึงเชิญพวกราชทูตทั้งนายแลไพร่ขึ้นรถ ๖ รถ เทียมม้ารถละ ๔ ม้ามาตามระยะทางชั่วโมงหนึ่งคิดเปนทาง ๕ ไมล์ คือ ๒๒๕ เส้น มีตึก ที่พักเปลี่ยนม้าครั้งหนึ่งเปลี่ยนทุกชั่วโมง เมื่อถึงที่เปลี่ยนม้าคำรบ ๔ เวลาบ่าย ๕ โมง กัปตันโอแกแลแฮนจึงเชิญพวกราชทูตหยุดพักรับอาหาร (๕) ในโฮเต็ล เสร็จแล้วออกจากที่นั้นไปทางอีกพักม้าหนึ่งถึงทางรถไฟพอค่ำ เมื่อถึงนั้นรถไฟไปเสียก่อนแล้ว ต้องหยุดพักคอยอยู่ในเรือนผ้าจนยามเศษรถไฟกลับมาถึง กัปตันโอแกแลแฮนจึงเชิญพวกราชทูตขึ้นรถไฟไป จนเวลา ๕ ทุ่มเศษถึงเมืองไกโร เปนเมืองอุปราชของเมืองตุรเก เจ้าเมืองไกโรชื่อ มฮัมหมัด ซาอิดปาซา (๖) ให้ขุนนางเอารถ ๘ รถมาคอยรับราชทูต มีคนถือตระบองหุ้มเงินขี่ม้านำหน้ารถม้า ๑ ทหารขัดดาบขี่ม้าคู่ ๑ คนเดินถือคบไฟนำหน้า ๒ คู่ หลังคู่ ๑ คนถือโคมนำหน้ารถ คู่ ๑ รถต่อลงมามีคนถือคบ ไฟรถละคู่ ไปจากรถไฟถึงที่โฮเต็ลชื่อ โอเรียนแตล จัดแจงให้พัก อยู่ที่นั้น
รุ่งขึ้นเจ้าเมืองไกโรให้ขุนนางเอารถเทียมม้าเทศรถละคู่ ๓ รถมาเชิญพวกราชทูตไปเที่ยวชมวัดแลวังเปนที่อยู่เปลี่ยนฤดู วัดนั้นใหญ่โตระโหฐานนัก เสาในโบถส์ทำด้วยศิลาโมราทั้งแท่งใหญ่ประมาณ ๖ กำ ยาวประมาณ ๔ วา พื้นแลผนังดาดศิลาโมราแผ่น ๑ ยาวศอกคืบกว้างศอกคืบ โบถส์นั้นทำสัณฐานกลมคล้ายวัดแขกที่ตะเกี่ย กว้างประมาณ ๓๐ วาเศษ ที่วังก็ใหญ่กว้างสนุกงดงาม เปนที่อยู่ตามฤดูร้อนแลฤดูหนาว ราชทูตเที่ยวดูรอบแล้วก็กลับมาที่อยู่ เวลาบ่าย ๓ โมงเจ้าเมืองไกโรให้ขุนนางเอารถ ๓ รถมาเชิญพวกราชทูตไปเฝ้าที่ในวัง เจ้าเมืองไกโรแต่งรับราชทูตที่ประตูมีทหารขี่ม้าใส่เสื้อเกราะ ทองเหลืองตะพายปืนถือดาบยืน ๒ แถว ๆ ละ ๖๐ ม้า ประตูชั้นในถือปืนปลายหอก ๒ แถว ๆ ละ ๖๐๐ คน ปี่พาทย์สำหรับทหารปืนปลายหอก ๒๔ คน ที่สนามในมีทหารปืนใหญ่ขี่ม้าประจำอยู่กระบอกละ ๒๔ ม้า ปืนใหญ่ ๖ กระบอก รวมทหาร ๑๔๔ ม้า ปี่พาทย์สำหรับ ปืนใหญ่ ๒๔ คน พวกราชทูตเข้าไปถึงชั้นไหน ทหารก็คำนับตามธรรมเนียมทุกชั้น ครั้นถึงที่เจ้าเมืองไกโรออกขุนนาง พวกราชทูตพร้อมกันลงจากรถ แล้วมีขุนนาง ๓ คนออกมาเชิญให้เข้าไปข้างในขณะนั้นเจ้าเมืองไกโรออกมานั่งอยู่บนที่ ครั้นเห็นราชทูตเจ้าเมืองไกโรลุกขึ้นยืนรับ แล้วเชิญพวกราชทูตให้นั่งบนที่อันเดียวกันกับเจ้าเมืองไกโร แต่ที่เจ้าเมืองไกโรนั่งเบาะหมอนทำด้วยโหมดเทศ ที่พวกราชทูตนั่งเบาะหมอนทำด้วยแพรดวงอย่างหนาเปนแพรฝรั่งเศส เจ้าเมืองไกโรให้เอากล้องมาให้พวกราชทูตสูบคนละคัน น้ำกาแฟคนละถ้วย แล้วพูดจา ปราไสกันอยู่ครู่หนึ่งราชทูตก็ลาออกมาภายนอก ขุนนางนายทหารจึง สั่งทหารให้เดินกระบวนต่าง ๆ ให้พวกราชทูตดู เสร็จแล้วพวกราชทูตก็ลามาจากวัง ขุนนางจึงนำไปที่สวนแห่งหนึ่ง มีที่สำหรับเจ้าเมืองไกโรประพาสหลายแห่ง มีสระน้ำสระหนึ่ง กว้างประมาณ ๒ เส้น มีเกาะกลาง ตามขอบสระก่อด้วยศิลาอ่อนทำเปนรางน้ำ ไหลได้รอบ ในพื้นรางจำหลักเปนรูปสัตว์น้ำต่าง ๆ แล้วก่อระเบียงรอบสระน้ำกว้างประมาณ ๓ วา ทิศตวันตก ทิศตวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทั้ง ๔ ทิศ ทำเปนมุขสำหรับเจ้าเมืองไกโรประทับ มีที่นั่งที่นอนพร้อมทุกแห่ง พวกราชทูตเที่ยวดูรอบแล้วก็ลากลับมาที่สำนัก
วันศุกร เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เวลา ๔ โมงเช้าราชทูตออกจากเมืองไกโรไปขึ้นรถไฟ เจ้าเมืองไกโรให้ขุนนางเจ้าพนักงานตามมาส่งด้วย ๒ คน บ่ายโมง ๑ ถึงที่พัก เจ้าพนักงานจึงเชิญพวกราชทูต แลกัปตันโอแกแลแฮนขึ้นไปรับอาหาร (๗) บนโฮเต็ลกลางทางเสร็จแล้ว ก็ขึ้นรถไฟต่อไป บ่าย ๓ โมงก็ถึงแม่น้ำไนล์ น้ำที่นั้นลึก ๑๗ วากว้าง ๒๐๐ วา รถไฟไปถึงริมฝั่งมีตะพานเลื่อนรถลงแพเหล็กชักข้ามฟากไปตามสายโซ่ที่ขึ่งไว้ ครั้นถึงท่าฟากข้างหนึ่งแล้วก็เลื่อนรถขึ้นจากแพไปตามทาง จนบ่าย ๕ โมงเศษถึงเมืองชายทะเลเปนท่ากำปั่นจอด ชื่อเมืองอาเล็กซันเดอ เปนเมืองขึ้นแก่เมืองไกโร ขุนนางเข้าในเจ้าเมืองไกโร จึงเชิญพวกราชทูตเข้าพักอยู่ในวัง ชื่อมูแซเฟียฮอเนอ อาเล็กซันเดรีย เปนวังที่ประทับของเจ้าเมืองไกโร รุ่งขึ้นเวลาเช้าขุนนาง ๓ นายจึงนำราชทูตไปที่วังอีกแห่งหนึ่งอยู่ริมชายทะเล มีตึกใหญ่หลังหนึ่งกั้นเปนห้องเล็กห้องใหญ่ประมาณ ๒๐ ห้อง พื้นในห้องปูด้วยไม้ลายต่าง ๆ บางห้องก็ฝั่งทองเหลืองเปนลวดลาย บางห้องก็ปูด้วยศิลาอ่อน บางห้องก็ปูพรม เครื่องแต่งห้องต่าง ๆ กัน คือ เก้าอี้นั่ง เก้าอี้นอน โต๊ะ เตียง บางที่เปนทองเหลือง บางที่เปนไม้ลาย บางที่ทำด้วยศิลาลาย แต่เตียงนอนของเจ้าเมืองไกโรนั้นทำด้วยเงิน กว้าง ๔ ศอก ยาว ๔ ศอกมุ้งแพรปักทอง ที่นอนเย็บด้วยผ้าเยียระยับ ของทั้งปวงที่ใช้ในวังนั้นเปนของฝรั่งเศสบ้าง เปนของอังกฤษบ้าง พวกราชทูตเที่ยวดูทั่วแล้วก็กลับมาที่อยู่
เชิงอรรถ
[แก้ไข](๑) คือ อิยิปต์ เรียกอายฆุบโต ตามในหนังสือใบเบลที่พวกมิชันนารีแปล
(๒) ไปหนทางเรือแล่นใบแต่ก่อน ต้องไปทางเกาะชะวา
(๓) ชื่อเมืองยะกะตรา เปนชื่อเก่าของภูมิลำเนาที่ตั้งเมืองเบตาเวีย ที่เกาะชะวา
(๔) บ้านนี้อยู่ในแดนอาหรับ ขินเตอรกี
(๕) ควรสังเกตตรงนี้ว่า คำ “รับอาหาร” ซึ่งคนชอบพูดกันชุมเมื่อในปลายรัชกาลที่ ๕ อยู่คราว ๑ ใช้มาแต่ในรัชกาลที่ ๔ แล้ว แต่ที่ใช้เก่าก่อนที่สุดนั้น ได้เคยเห็นในหนังสือเสภาแต่งในรัชกาลที่ ๓
(๖) ฝรั่งเรียกว่า เสดปาซา ที่อนุญาตให้ขุดคลองสุเอศ
(๗) ตรงนี้ใช้ว่า “รับอาหารอีก” เห็นจะเปนเพราะคำที่พูดกับผู้ดีมักพูดว่า รับพระราชทานหรือรับประทาน เมื่อมิใช่ของพระราชทานหรือของประทานตัดตอนนี้ออกเสีย จึงคงแต่คำ “รับ”
งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ เนื่องจากต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
- (๑) เป็นภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรก (หรือวันที่มีการเผยแพร่งานครั้งแรก) แล้วแต่ว่ากรณีใดปรากฏก่อน
- (๒) เป็นงานศิลปประยุกต์ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบห้าปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๓) เป็นงานโดยผู้ไม่เปิดเผยชื่อหรือผู้ใช้นามแฝง ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๔) เป็นงานในหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น และผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตายมากว่าห้าสิบปีแล้ว
- (๕) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานนี้ไม่ปรากฏ ผู้สร้างสรรค์งานนี้เป็นนิติบุคคล หรือตายก่อนการเผยแพร่งาน ประกอบกับงานนี้มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี นับแต่วันเผยแพร่งานครั้งแรก