จดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ/ตอนที่ 8
ตอนที่ ๘ ว่าด้วยเฝ้ากวีนที่วังบักกิงฮัม แลดูการรำเท้า การซ้อมทหาร แลการอาวาหเจ้าลูกเธอหญิงใหญ่
[แก้ไข]วันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลายาม ๑ กวีนรับสั่งให้เชิญราชทูตทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย ไปดูรำเท้าที่วังบักกิงฮัม (๑) ขณะนั้น หม่อมราโชไทยกำลังป่วยอยู่ยังไปไม่ได้ เวลา ๒ ทุ่มเศษราชทูตทั้ง ๓ กับขุนจรเจนทเลล่าม มิศเตอเฟาล์ พร้อมกันไปที่วังบักกิงฮัม เจ้า พนักงานนำไปพักอยู่ในห้องต่อกันกับห้องที่รำเท้าประมาณ ๒๐ นาที กวีนจึงเสด็จมาตรงประตูห้องที่ราชทูตอยู่ ราชทูตกับขุนนางอังกฤษยืนขึ้น พร้อมกันก้มศีร์ษะลงคำนับ กวีนก็ก้มลงรับ แล้วเสด็จเลยไป ประมาณอีก ๑๐ นาฑี ปรินสอาลเบิตจึงออกมาที่ราชทูตทั้ง ๓ พูดจาไถ่ถามทักทาย แล้วก็กลับไป เจ้าชายลูกเธอปรินสเวลส์จึงถามราชทูตว่า ท่านมาอยู่ ในเมืองลอนดอนนี้สนุกสบายอยู่หรือ ราชทูตตอบว่าสบายอยู่ ปรินสเวลส์ จึงถามว่า ได้ไปดูละคอนแลของต่าง ๆ ทั่วแล้วหรือ ราชทูตว่าไปดูยัง ไม่ทั่ว ปรินสเวลส์จึงถามว่า เมื่อไรท่านจะกลับไปเมืองไทย ราชทูต ตอบว่าอีก ๓ ขวบอาทิตย์ ๔ ขวบอาทิตย์ ปรินสเวลส์ว่าท่านจะไปแวะเมืองฝรั่งเศสด้วยหรือ ราชทูตว่าอยากจะใคร่แวะ แล้วปรินสเวลส์ก็กลับไป ในห้องที่รำเท้า เจ้าพนักงานจึงเชิญราชทูตทั้ง ๓ ไปกินน้ำชาแลขนม ในห้องที่สำหรับเลี้ยง ครั้นกินแล้วราชทูตจึงพากันมาดูรำเท้าอยู่ครู่หนึ่ง กวีนก็เสด็จขึ้น แล้วรับสั่งให้ขุนนางมาเชิญราชทูตทั้ง ๓ ไปเฝ้าที่ข้างใน จึงตรัสถามว่าสบายอยู่หรือ ราชทูตทูลตอบว่าสบายอยู่ จึงรับสั่งว่าป่วย หายแล้วหรือ ราชทูตทูลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ป่วย ป่วยแต่ตรีทูต เดี๋ยวนี้ หายแล้ว กวีนรับสั่งเท่านั้นแล้วเสด็จขึ้น ราชทูตก็กลับมาโฮเต็ล
วันพุธ เดือน ๓ ขึ้น ๖ ค่ำ เวลา ๔ ทุ่ม กวีนให้เชิญราชทูต ทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย จมื่นราชามาตย์ นายพิจารณ์สรรพกิจ ไปดู รำเท้าอิกครั้งหนึ่ง ถึงเวลาพวกราชทูตพร้อมกันขึ้นรถไปที่วังบักกิงฮัม แล้วไปนั่งอยู่บนที่แห่งหนึ่ง ไกลจากที่รำเท้าประมาณ ๑๐ วา เยนเนอ รัลกัศต์จึงถามราชทูตว่า ท่านดูรำเท้าชอบใจอยู่หรือ ราชทูตตอบว่า ชอบใจ แต่ดูหาถนัดไม่ เยนเนอรัลกัศต์จึงนำพวกราชทูตเข้าไปดูใน ที่ใกล้ เปนที่สำหรับกวีนหยุดพัก พวกราชทูตยืนดูกวีนทรงรำเท้า กับเจ้าน้องปรินสอาลเบิต บางทีก็เปลี่ยนทรงรำกับบิดาของปรินส เฟรดดริกวิลเลี่ยม (๑) ที่จะมาเปนเขย ราชทูตอยู่ประมาณครึ่งทุ่ม แล้วพากันกลับออกมานั่งอยู่ห้องนอก ครั้นกวีนรำเท้าสิ้นเพลงแล้ว ก็พาพระญาติพระวงศ์ออกไปเสวยที่ห้องนอกสำหรับเลี้ยง
พวกราชทูตจึงพากันไปคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูเมื่อกวีนจะเสด็จกลับ ครั้นกวีนเสวยแล้วเสด็จออกมานอก ราชทูตก้มศีร์ษะคำนับพร้อมกัน กวีนก็ก้มพระเศียรลงรับ แล้วเสด็จเลยไปที่ห้องรำเท้า ราชทูตจึงพากัน มานั่งอยู่บนที่ตามเดิม อยู่ประมาณ ๑๐ นาฑี เจ้าพนักงานจึงมาเชิญ พวกราชทูตไปกินโต๊ะ ครั้นแล้วก็กลับมานั่งดูอยู่อีกประมาณครึ่งชั่วทุ่ม กวีนจึงเสด็จขึ้น ราชทูตก็กลับมาโฮเต็ล
รุ่งขึ้นเปนวันกำหนดซ้อมทหารที่สนามวื่อวูลวิชคำมอน มิศเตอร์ เฟาล์จึงพาพวกราชทูตไปดู ที่สนามนั้นยาวประมาณ ๔๐๐ เส้น กว้างประมาณ ๓๐๐ เส้น มีทหารปืนใหญ่ปืนน้อย ทหารม้า ๓ พวก ม้าขาว หมู่ ๑ ม้าดำหมู่ ๑ ม้าแดงหมู่ ๑ พวกทหารเดินเท้าแต่งตัวต่าง ๆ ตามหมวดตามกอง เปนหลายพวก มีปี่พาทย์ทุก ๆ หมวด พวก ทหารม้าก็มีแตรมีกลองทุกหมวด เมื่อเดินกระบวนดูเปนระเบียบ เรียบร้อยงามสง่า ทหารม้าเดินเปนตับเสมอกันไม่ได้ลักลั่น เมื่อห้อ ก็ห้อเสมอกันไปไม่มีตัวใดขึ้นหน้าล้าหลัง เมื่อทำทีจะเข้ารบ ก็ดู เคล่าคล่องว่องไวรวดเร็วแขงแรงนัก ทำเปลี่ยนแปลงท่าทางต่าง ๆ เปนหลายอย่างหลายกระบวน ดูอยู่จนเลิกแล้วราชทูตก็พากันกลับ มาโฮเต็ล
วันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ กวีนรับสั่งให้เชิญราชทูตทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย ไปดูแต่งงานอาวาหเจ้าลูกเธอหญิงใหญ่กับเจ้าเฟรดดริก วิลเลี่ยม ที่วัดชื่อ ชาเปลรอยัล ถึงเวลา ๔ โมงเช้าราชทูตทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย พร้อมกันขึ้นรถไปคอยอยู่ที่วัด ประมาณ ๒๐ นาฑี เจ้าหญิงมารดาเจ้าเฟรดดริกวิลเลียมมาถึงเข้าโบสถ์ เวลา ๕ โมงเช้ากวีนจึงเสด็จมา อิกประมาณ ๕ นาฑีเจ้าเฟรดดริกวิลเลียมจึง ตามมา อิกครู่หนึ่งปรินสอาลเบิตจึงพาเจ้าลูกเธอหญิงใหญ่มา เจ้าหญิง นั้นทรงแต่งองค์ล้วนเครื่องเพ็ชร แต่เสื้อทรงเปนเสื้อขาว แล้วมีชายออก ไปข้างหลังยาวประมาณ ๑๐ ศอก มีหญิงสาวรูปงามอายุรุ่นราวคราวเดียวแต่งตัวเหมือนกันถือชายผ้านั้น ๔ คู่ แต่เจ้าเฟรดดริกวิลเลียมแต่งอย่าง นายทหาร
ที่นี้ข้าพเจ้าจะแจ้งความไว้แต่ย่อ ๆ พอเปนสังเขปว่า เมื่อแต่งงานเจ้า ๒ องค์นั้นทำอย่างไรบ้าง ครั้นถึงพร้อมกันแล้ว เจ้า ๒ องค์จึง พากันเข้าไปคุกเข่าซบหน้าลงไหว้พระ ฝ่ายมินิสเตอ ซึ่งสมมุติว่าเปน พระครูผู้ใหญ่นั้น จึงประกาศว่า ถ้าใครรู้ความประการใดที่ไม่ควรจะ ให้เจ้าทั้ง ๒ นี้เปนสามีภรรยากัน ก็ให้ผู้นั้นว่ากล่าวขึ้นในขณะนี้ ถ้า ไม่ว่าแล้วก็ให้นิ่งเสียทีเดียวเถิดอย่าว่าอะไรเลย ครั้นไม่มีใครว่ากล่าว สิ่งใดแล้ว พระครูจึงถามเจ้าทั้ง ๒ องค์ว่า ถ้าใครได้ทำความในข้อ ที่ห้าม ก็ต้องให้การตามสัตย์ตามจริงในเวลานี้ อย่าปิดไว้ จะต้อง ให้การเมื่อวันพระเจ้าพิพากษาโทษ เจ้าทั้ง ๒ องค์นิ่งอยู่ แล้วพระครู ผู้ใหญ่จึงถามเจ้าเฟรดดริกวิลเลียมว่า ท่านจะรับเจ้าหญิงนี้เปนภรรยา แล้วจะอยู่ด้วยกันตามบัญญัติของพระเจ้า จะรักกันจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แลจะไม่ทำสมัคสังวาสด้วยหญิงอื่นต่อไปสิ้นชีวิตจากกันหรือ เจ้าเฟรด ดริกวิลเลียมก็รับคำ แล้วพระครูนั้นจึงถามเจ้าหญิงรอยัลว่า ท่าน จะรับเจ้าชายนี้เปนสามีแล้วจะอยู่ด้วยกันตามบัญญัติของพระเจ้า จะรักกันจะฟังคำแลปรนิบัติกันให้เปนเกียรติยศ จะร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ไม่ไป สมัคสังวาสด้วยชายอื่นต่อไปจนตราบเท่าสิ้นชีวิตจากกันหรือ เจ้าหญิง รอยัลก็รับคำ แล้วพระครูจึงถามว่าใครจะยกเจ้าหญิงนี้ให้แต่งงานกับ เจ้าชาย เจ้าอาลเบิตผู้บิดาของเจ้าหญิงรอยัลก็พาเจ้าหญิงไปมอบให้ แก่พระครูผู้ใหญ่ ฝ่ายพระครูจึงรับมือเจ้าหญิงนั้นมาจากบิดา แล้ว จับมือขวาของเจ้าเฟรดดริกวิลเลียม ให้มาจับมือขวาเจ้าหญิงรอยัล แล้วพระครูจึงอ่านคำสัญญา ให้เจ้าเฟรดดริกวิลเลียมว่าตาม ใจความว่า ข้าพเจ้าชื่อปรินสเฟรดดริกวิลเลียมจะขอรับ ปรินสเสศรอยัลเปนภรรยา ได้แต่งการอาวาหมงคลตั้งแต่วันนี้ไป จะดีจะชั่วจะมีจะจนจะทุกข์จะสุข ด้วยกัน จะรักกันจนวันตายตามโอวาทของพระเจ้า แล้วเจ้าเฟรดดริก วิลเลียมก็วางมือเจ้าหญิงรอยัล พระครูจึงให้เจ้าหญิงรอยัลเอามือขวา จับมือขวาเจ้าเฟรดดริกวิลเลียมไว้บ้าง พระครูจึงอ่านคำสัญญานั้น ให้เจ้าหญิงนั้นว่าตาม ความที่ว่าก็คล้ายกันกับความก่อนที่เจ้าเฟรดดริก วิลเลียมว่า แต่ผิดกันเล็กน้อยที่ว่าจะฟังถ้อยคำแลปรนิบัติตาม แล้ว เจ้า ๒ องค์ก็วางมือออกจากัน เจ้าเฟรดดริกวิลเลียมจึงเอาแหวนที่ เรียกว่าแหวนกล่าววางลงบนหลังสมุดให้แก่พระครู พระครูก็หยิบเอาแหวนนั้นกลับคืนให้แก่เจ้าเฟรดดริกวิลเลียม เจ้าเฟรดดริกวิลเลียมรับแหวนนั้นมา แล้วจึงสวมใส่นิ้วนางมือข้างซ้ายของเจ้าหญิงรอยัล แล้วเจ้าเฟรดดริกวิลเลียมก็จับแหวนถือไว้ จึงกล่าวคำว่า เราจะรับท่าน เปนภรรยาของเราด้วยแหวนวงนี้ เราคำนับท่านด้วยกายของเรา แล ทรัพย์สมบัติของเราที่มีอยู่ในโลกนี้ แล้วก็วางมือออกจากแหวนคุกเข่าลงทั้ง ๒ องค์ พระครูกับพวกศิษย์ก็สวดขึ้นพร้อมกัน เมื่อสวด จบลงแล้วจึงให้เจ้า ๒ องค์จับมือกันไว้แล้วพระครูจึงว่า พระเจ้าได้ โปรดให้เจ้าทั้ง ๒ นี้เปนสามีภรรยากันแล้ว ตั้งแต่นี้ไปอย่าให้ผู้ใด ผู้หนึ่งทำให้พลัดพรากจากกันเลย จนตราบเท่าสิ้นชีวิตจากกัน แล้ว พระครูก็อวยพรให้ แต่บรรดาพวกศิษย์ทั้งปวงก็ร้องเพลงอวยพรขึ้น พร้อมกัน แล้วประโคมมะโหรีปี่พาทย์เสียงสนั่นกึกก้องไปทั้งโบสถ์ เมื่อสวดจบการเสร็จกันแล้ว เวลาบ่ายโมง ๑ กวีนจึงเสด็จกลับไปวัง บักกิงฮัมพร้อมด้วยพระวงศานุวงศ์ทั้งสองฝ่าย ในเวลาทำการอาวาหที่ ในโบสถ์นั้น ผู้ซึ่งเข้าไปทั้งชายหญิงประมาณ ๒๐๐ คน เข้าไปได้แต่ พระญาติพระวงศ์กับเจ้าพนักงานแลพวกมโหรี อีกขุนนางผู้ใหญ่ทั้ง ภรรยาล้วนคนที่โปรดปรานมากจึงได้เข้าไป มิศเตอเฟาล์บอกราชทูต ว่า ขุนนางแลเศรษฐีปราร์ถนาจะใคร่เห็นการนี้มากนัก แต่ว่าถึงจะเสีย เงินคนหนึ่งสัก ๒๐๐๐ ปอนด์ คิดเปนเงินบาท ๒๐๐ ชั่ง ก็เข้ามาไม่ได้
ในค่ำวันนั้นกวีนให้เชิญราชทูตทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย จมื่น ราชามาตย์ นายพิจารณ์สรรพกิจ ไปฟังมโหรีสำรับใหญ่ที่วังบักกิงฮัม มีชายพวกหนึ่งหญิงพวกหนึ่งร้องขับกล่อมตามภาษาอังกฤษ กวีนแล ปรินสอาลเบิตกับลูกเธอชายหญิง ปรินสเฟรดดริกวิลเลียม พระ วงศานุวงศ์ของกวีน แลขุนนางฝ่ายในฝ่ายหน้าไปประชุมกันหลายร้อยคน ถึงเวลา ๔ ทุ่มกวีนโปรดให้พวกราชทูตไปกินน้ำชากาแฟขนมผลไม้ เจ้าพนักงานก็นำไปที่ห้องเลี้ยง ครั้นกินเสร็จจึงกลับมานั่งฟังอยู่ตามที่ จน ๒ ยามเศษกวีนเสด็จขึ้น ราชทูตก็กลับมาโฮเต็ล
(๑) เปนการมีตามฤดูประจำปี
(๒) คือ ที่ภายหลัง เปนไกเซอวิลเลียมที่ ๑ เวลานั้นเปนน้องยาเธอ ยังไม่ได้ครองราชสมบัติ.
งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ เนื่องจากต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
- (๑) เป็นภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรก (หรือวันที่มีการเผยแพร่งานครั้งแรก) แล้วแต่ว่ากรณีใดปรากฏก่อน
- (๒) เป็นงานศิลปประยุกต์ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบห้าปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๓) เป็นงานโดยผู้ไม่เปิดเผยชื่อหรือผู้ใช้นามแฝง ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
- (๔) เป็นงานในหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น และผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตายมากว่าห้าสิบปีแล้ว
- (๕) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานนี้ไม่ปรากฏ ผู้สร้างสรรค์งานนี้เป็นนิติบุคคล หรือตายก่อนการเผยแพร่งาน ประกอบกับงานนี้มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี นับแต่วันเผยแพร่งานครั้งแรก