ธรรมาธรรมะสงคราม
คำนำ
[แก้ไข]เรื่อง "ธรรมาธรรมะสงคราม" นี้ ฃ้าพเจ้าได้แต่งขึ้นแต่เมื่อเดือนมกราคม, พ.ศ. ๒๔๖๑, เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนามงคลวิเศษ, ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณะ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแสดงในงานเฉลิมพระชนมพรรษาปีนั้น. ฃ้าพเจ้ารู้สึกว่าสมเด็จพระมหาสมณะทรงเลือกอุทาหรณเหมาะสมหนักหนา เพื่อแสดงหลักแห่งธรรมว่าธรรมะกับอธรรมให้ผลไม่เหมือนกัน อีกทั้งเมื่อพิจารณาดูเรื่องที่ทรงยกมาแสดงนั้น ช่างคล้ายจริงๆ กับกิจการที่เป็นไปแล้วในงานมหาสงครามในยุโรป อันพึ่งจะยุติลงในศกนั้นด้วยความปราชัยแห่งฝ่ายผู้ที่ละเมิดธรรมะ.
ครั้นเมื่อแต่งบทพากย์ขึ้นเสร็จแล้ว ฃ้าพเจ้าได้อ่านให้มิตรสหายบางคนฟัง, ก็ต่างคนต่างชมกันว่าดี, และวิงวอนให้จัดพิมพ์ขึ้นเปนเล่ม. เมื่อฃ้าพเจ้าได้ยอมตามคำขอของมิตรสหายแล้ว จึงนึกขึ้นว่าถ้าได้มีภาพประกอบบทพากย์ด้วยจะชูค่าแห่งหนังสือขึ้น. ข้าพเจ้าจึงทูลขอให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ ทรงคิดประดิษฐ์ภาพขึ้นประกอบเรื่อง, เพราะเห็นว่าจะหาช่างใดในกรุงสยามที่เฃ้าใจความมุ่งหมายและความตั้งใจของฃ้าพเจ้าไม่ได้ดีเท่าเปนแน่แท้. และสมเด็จจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ทรงเฃ้าพระทัยความประสงค์ของฃ้าพเจ้าดีปานใด ภาพทั้งหลายในสมุดนี้ย่อมเปนพยานปรากฏอยู่เองแล้ว.
ในชั้นเดิมฃ้าพเจ้าคิดไว้ว่าจะจัดการพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นจำหน่ายเฉยๆ, แต่ก็หาได้จัดการให้ดำเนินไปตามความคิดนั้นไม่, เพราะได้มีเหตุขัดข้องต่างๆ ซึ่งฃ้าพเจ้าไม่จำจะต้องนำมากล่าวในที่นี้. ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ นี้, ฃ้าพเจ้ามารำพึงว่า ฃ้าพเจ้าจะมีอายุครบ ๔๐ ปีบริบูรณณวันที่ ๑ มกราคม, เห็นว่าเปนการสมควรที่จะมีของแจกเปนพิเศษสักหน่อย, ฃ้าพเจ้าจึ่งได้จัดการให้พิมพ์หนังสือนี้ขึ้น.
ฃ้าพเจ้าหวังใจว่า ท่านที่จะได้พบได้อ่านหนังสือนี้จะมีความพอใจ, เพราะจะได้อ่านทราบความคิดความเห็นและภูมิธรรมของคนโบราณว่ามีอยู่สูงเหมือนกัน. และจะได้มีโอกาสดูภาพอันวิจิตร์งดงาม เปนตัวอย่างอันดีแห่งภาพที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นโดยใช้ความพิจารณาอย่างดี, ควรถือเปนแผนแห่งศิลปะของไทยเราได้โดยไม่ต้องน้อยหน้าชาติอื่นๆ นอกจากนี้ฃ้าพเจ้าหวังใจว่าหลักธรรมะอันประกอบเรื่อง "ธรรมาธรรมะสงคราม" นี้ จะพอเปนเครื่องเตือนใจผู้ใฝ่ดีให้รำพึงถึงพุทธภาษิตว่า:-
| "น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ | อุโภ สมวิภาคิโน | |
| อธมฺโม นิรยํ เหติ | ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ" |
"ธรรมกับอธรรมให้ผลหาเสมอกันไม่; อธรรมย่อมจักนำชนไปสู่นรก, แต่ธรรมย่อมจักนำชนให้ฃ้ามพ้นบาปไปสู่สุคติ." - ด้วยอำนาจสัจจะวาจาภาษิตนี้ ขอความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลอิฐวิบุลผลจงบังเกิดมีแด่ท่านผู้ที่อ่านเรื่องนี้จงทุกเมื่อเทอญ ฯ
ราม ร.
วังพญาไท, วันที่ ๑ มกราคม, พ.ศ. ๒๔๖๓.
คำพากย์
[แก้ไข]| ธรรมะเทวบุตร | ผู้พิสุทธิโสภา | |
| สถิตอยู่ ณ กามา- | พจรภพแผ่นดินสรวง | |
| ครองทิพยพิมาน | บริวารอมรปวง | |
| ปองธรรมะบ่ล่วง | ลุอำนาจอกุศล | |
| เมตตาการุญรัก- | ษะพิทักษ์ภูวดล | |
| ปรานีนิกรชน | ดุจดังปิโยรส | |
| ครั้นถึง ณ วันเพ็ญ | ที่เป็นวันอุโบสถ | |
| เธอมุ่งจะทรงรถ | ประพาศโลกเช่นเคยมา | |
| เข้าที่สนานทรง | เสาวคนธธารา | |
| แล้วลูบพระกายา | ด้วยวิเลปนารม | |
| ทรงเครื่องก็ล้วนขาว | สวิภูษณาสม | |
| สำแดงสุโรดม | สุจริต ณ ไตรทวาร | |
| ทรงเพรชราภรณ์ | พระกรกุมพระขรรค์กาญจน์ | |
| ออกจากพิมานสถาน | ธ เสด็จ ณ เกยพลันฯ |
(บาทสกุณี แล้ว กลม)
| ขึ้นทรงรถทองผ่องพรรณ | งามงอนอ่อนฉัน | |
| เฉกนาคราชกำแหง | ||
| งามกงวงจักรรักต์แดง | งามกำส่ำแสง | |
| งามดุมประดับเพรชพราย | ||
| เลิศล้วนมวลมาศฉลุลาย | เทพประนมเรียงราย | |
| รับที่บัลลังก์เทวินทร์ | ||
| กินนรฟ้อนรำร่ายบิน | กระหนกนาคิน | |
| ทุกเกล็ดก็เก็จสุรกานต์ | ||
| งามเทวธวัชชัชวาลย์ | โบกในคัคนานต์ | |
| แอร่มอร่ามงามตา | ||
| พรั่งพร้อมทวยเทวเสนา | ห้อมแห่แหนหน้า | |
| และหลังสะพรั่งพร้อมมวล | ||
| จามรีเฉิดฉายปลายทวน | หอกดาบปลาบยวน | |
| ยั่วตาพินิจพิศวง | ||
| แลดูรายริ้วทิวธง | ฉัตรเบญจรงค์ | |
| ปี่กลองสนั่นเวหน | ||
| อีกมีทวยเทพนฤมล | ฟ้อนฟ่องล่องหน | |
| เพื่อโปรยบุปผามาลี | ||
| ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี | เคลื่อนขบวนโยธี | |
| ไปโดยวิถีนภาจรฯ |
(กลองโยน แล้ว เชิด)
| ครั้นถึงชมพูดูสลอน | สล้างนิกร | |
| ประชามาชมบารมี | ||
| หยุดรถอยู่หว่างเมฆี | แลยังปัถพี | |
| พระองค์ก็ยิ้มพริ้มพราย | ||
| กษัตริย์พราหมณ์แพทย์ศูทรทั้งหลาย | ต่างมาเรียงราย | |
| ระยอบบังคมเทวัญ | ||
| ต่างคนปลื้มเปรมเกษมสันต์ | ต่างคอยเงี่ยกรรณ | |
| เพื่อฟังพระเทวบัญชา | ||
| จึ่งธรรมเทพนาถา | ตรัสเผยพจนา | |
| เพื่อแนะทำนองคลองธรรมฯ |
| ดูก่อนนิกรชน | อกุศลบทกรรม | |
| ทั้งสิบประการจำ | และละเว้นอย่าเห็นดี | |
| การฆ่าประดาสัตว์ | ฤ ประโยชน์บ่พึงมี | |
| อันว่าดวงชีวี | ย่อมเป็นสิ่งที่ควรถนอม | |
| ถือเอาซึ่งทรัพย์สิน | อันเจ้าของมิยินยอม | |
| เขานั้นเสียดายย่อม | จิตตะขึ้งเป็นหนักหนา | |
| การล่วงประเวณี | ณ บุตรีและภรรยา | |
| ของชายผู้อื่นลา- | มกกิจบ่บังควร | |
| กล่าวปดและลดเลี้ยว | พจนามิรู้สงวน | |
| ย่อมจะเป็นสิ่งควร | นรชังเป็นพ้นไป | |
| ส่อเสียดเพราะเกลียดชัง | บ่มิยังประโยชน์ใด | |
| เสื่อมยศและลดไม- | ตริระหว่างคณาสลาย | |
| พูดหยาบกระทบคน | ก็ต้องทนซึ่งหยาบคาย | |
| เจรจากับเขาร้าย | ฤ ว่าเขาจะตอบดี | |
| พูดจาที่เพ้อเจ้อ | วจะสาระบ่มี | |
| ทำตนให้เป็นที่ | นรชนเขานินทา | |
| มุ่งใจและไฝ่ทรัพ- | ยะด้วยโลภเจตนา | |
| ทำให้ผู้อื่นพา | กันตำหนิมิรู้หาย | |
| อีกความพยาบาท | มนะมุ่งจำนงร้าย | |
| ก่อเวรบ่รู้วาย | ฤจะพ้นซึ่งเวรา | |
| เชื่อผิดและเห็นผิด | สิจะนิจจะเสื่อมพา | |
| เศร้าหมองมิผ่องผา | สุกะรื่นฤดีสบาย | |
| ละสิ่งอกุศล | สิกมลจะพึงหมาย | |
| เหมาะยิ่งทั้งหญิงชาย | สุจริต ณ ไตรทวาร | |
| จงมุ่งบำเพ็ญมา- | ตุปิตุปัฏฐานการ | |
| บำรุงบิดามาร- | ดรให้เสวยสุข | |
| ใครทำฉะนี้ไซร้ | ก็จะได้นิราศทุกข์ | |
| เนานานสราญสุข | และจะได้คระไลสวรรค์ | |
| ยศใหญ่จักมาถึง | กิตติพึงจักตามทัน | |
| เป็นนิจจะนิรัน- | ดรย่อมจะหรรษาฯ |
| ครั้นเสด็จประทานเทศนา | ฝูงชนต่างสา- | |
| ธุเทิดประนตประนมกร | ||
| ธรรมเทพจึงอวยพร | ให้ปวงถาวร | |
| ในอายุวรรณสุขพล | ||
| แล้วสั่งขบวนเดินหน | ประทักษิณวน | |
| ชมพูทวีปมหาสถานฯ |
(เชิดฉิ่ง)
| ปางนั้นอธรรมะ | เทวบุตรผู้ใจพาล | |
| เนาในพิมานสถาน | ณ กามาพจรสวรรค์ | |
| ครองพวกบริวาร | ล้วนแต่พาลประดุจกัน | |
| โทโสและโมหันธ์ | บ่มิพึงบำเพ็ญบุญ | |
| เห็นใครน้ำใจซื่อ | สุจริตะการุญ | |
| เธอก็มักจะหันหุน | เพราะพิโรธและริษยา | |
| ถึงวันที่จันทร์เพ็ญ | ธก็มักจะไคลคลา | |
| ขับรถะยานมา | ณ ชมพูทวีปพลัน | |
| แต่งองค์ก็ทรงล้วน | พัสตระดำทุกสิ่งอัน | |
| อาภรณ์ก็เลือกสรร- | พะสัมฤทธิ์และพลอยดำ | |
| หัสถ์สดำพระกำขวาน | อันมหิทธิกำยำ | |
| จรจากวิมานอัม- | พรตรงมาทรงรถ |
(คุกพาทย์ แล้ว กราว)
| รถทรงกงกำทั้งหมด | ตลอดงอนรถ | |
| ล้วนแล้วด้วยไม้ดำดง | ||
| บัลลังก์มียักษ์ยรรยง | ยืนรับรองทรง | |
| สลับกระหนกมังกร | ||
| ลายสิงห์เสือสีห์มีสลอน | หมาไนยืนหอน | |
| อีกทั้งจระเข้เหรา | ||
| งอนรถมีธวัชตวัดร่า | สีดำขำน่า | |
| สยดสยองพองขน | ||
| แลดูหมู่กองพยุหพล | สลับสับสน | |
| ล้วนฤทธิ์คำแหงแรงขัน | ||
| กองหน้าอารักขะไพรสัณฑ์ | ปีกซ้ายกุมภัณฑ์ | |
| คนธรรพ์เป็นกองปีกขวา | ||
| กองหลังนาคะนาคา | สี่เหล่าเสนา | |
| ศาสตราอาวุธวาวแสง | ||
| พวกพลทุกตนคำแหง | หาญเหิมฤทธิ์แรง | |
| พร้อมเพื่อผจญสงคราม | ||
| พาหนคำรนคำราม | เสือสิงห์วิ่งหลาม | |
| แลล้วนจะน่าสยดสยอน | ||
| ให้เคลื่อนขบวนพลจร | ไปในอัมพร | |
| ฟากฟ้าคะนองก้องมาฯ |
(เชิด)
| ครั้นถึงชมพูแดนประชา | ให้หยุดโยธา | |
| ลอยอยู่ที่ในอัมพร | ||
| เหลือบแลเห็นชนนิกร | ท่าทางสยดสยอน | |
| อธรรมก็ยิ่งเหิมหาญ | ||
| ทะนงจงจิตคิดพาล | ด้วยอหังการ | |
| ก็ยิ่งกระหยิ่มยินดี | ||
| เห็นว่าเขาเกรงฤทธี | จึ่งเปล่งพจี | |
| สนั่น ณ กลางเวหน |
| ดูราประชาราษฎร์ | นรชาตินิกรชน | |
| จงนึกถึงฐานตน | ว่าตกต่ำอยู่ปานใด | |
| ไม่สู้อมรแมน | ฤ ว่าแม้นปีศาจได้ | |
| ฝูงสัตว์ ณ กลางไพร | ก็ยังเก่งกว่าฝูงคน | |
| ทั้งนี้เพราะขี้ขลาด | บ่มิอาจจะช่วยตน | |
| ต่างมัวแต่กลัวชน | จะตำหนิและนินทา | |
| ผู้ใฝ่ซึ่งอำนาจ | ก็ต้องอาจและหาญกล้า | |
| ใครขวาง ณ มรรคา | ก็ต้องปองประหารพลัน | |
| อยากมี ณ ทรัพย์สิ่ง | จะมานิ่งอยู่เฉยฉะนั้น | |
| เมื่อใดจะได้ทัน | มนะมุ่งและปราถนา | |
| กำลังอยู่กับใคร | สิก็ใช้กำลังคร่า | |
| ใครอ่อนก็ปรา- | ชิตะแน่มิสงสัย | |
| สตรีผู้มีโฉม | ศุภลักษณาไซร้ | |
| ควรถือว่ามีไว้ | เป็นสมบัติ ณ กลางเมือง | |
| ใครเขลาควรเอาเปรียบ | และมุสาประดิษฐ์เรื่อง | |
| ลวงล่อบ่ต้องเปลือง | ธนะหากำไรงาม | |
| เมื่อเห็นซึ่งโอกาส | ผู้ฉลาดพยายาม | |
| ส่อเสียดและใส่ความ | และประโยชน์ ณ ตนถึง | |
| ใครท้วงและทักว่า | ก็จงด่าให้เสียงอึง | |
| เขานั้นสิแน่จึ่ง | จะขยาดและกลัวเรา | |
| พูดเล่นไม่เป็นสา- | ระสำหรับจะแก้เหงา | |
| กระทบกระเทียบเขา | ก็สนุกสนานดี | |
| ใครจนจะทนยาก | และลำบากอยู่ใยมี | |
| คิดปองซึ่งของดี | ณ ผู้อื่นอันเก็บงำ | |
| ใครทำให้ขัดใจ | สิก็ควรจะจดจำ | |
| ไว้หาโอกาสทำ | ทุษะบ้างเพื่อสาใจ | |
| คำสอนของอาจารย์ | ก็บุราณะเกินสมัย | |
| จะนั่งไยดีไย | จงประพฤติตามจิตดู | |
| บิดรและมารดา | ก็ชราหนักหนาอยู่ | |
| เลี้ยงไว้ทำไมดู | นับจะเปลืองมิควรการ | |
| เขาให้กำเนิดเรา | ก็มิใช่เช่นให้ทาน | |
| กฎธรรมดาท่าน | ว่าเป็นของไม่อัศจรรย์ | |
| มามัวแต่กลัวบาป | ก็จะอยู่ทำไมกัน | |
| อยากสุขสนุกนัน- | ทิก็ต้องดำริแสวง | |
| ใครมีกำลังอ่อน | ก็ต้องแพ้ผู้มีแรง | |
| ใครเดชะสำแดง | ก็จะสมอารมณ์ปอง |
| พูดเสร็จแล้วเล็งแลมอง | เห็นคนสยดสยอง | |
| อธรรมก็ยิ่งยินดี | ||
| ตบหัตถ์ตรัสสั่งเสนี | ให้เริ่มจรลี | |
| ออกเดินขบวนพลกาย | ||
| ขบวนก็พลันผันผาย | เป็นแถวเรียงราย | |
| เวียนซ้ายชมพูพนาลัย ฯ |
(เชิด)
| ขบวนสองเทพคลาไคล | เวียนขวาซ้ายไป | |
| ประสบกันกลางเวหา | ||
| ต่างกองต่างหยุดรอรา | อยู่กลางมรรคา | |
| เพื่อคอยอีกฝ่ายหลีกทาง | ||
| ต่างกองต่างยืนอยู่พลาง | ต่างไม่ให้ทาง | |
| แก่กันเพื่อเดินกองไป | ||
| ธรรมะเทวบุตร์เปนใหญ่ | จึ่งกล่าวคำไป | |
| ด้วยถ้อยสุนทรอ่อนหวาน | ||
| ดูราอธรรมมหาศาล | เราขอให้ท่าน | |
| หลีกทางให้เราเดินไป | ||
| อธรรมตอบว่าฉันใด | เราจะหลีกให้ | |
| เราก็ไม่หย่อนศักดิ์ศรี | ||
| ธรรมะจึ่งว่าเรานี้ | สิทธิย่อมมี | |
| ที่ควรจะได้ทางจร | ||
| เพราะเราชวนชนนิกร | ให้จิตสุนทร | |
| บำเพ็ญกุศลจรรยา | ||
| เราทำให้ชนนานา | ได้มียศฐา- | |
| นะเลิศประเสริฐทุกสถาน | ||
| สมณะอีกพราหมณาจารย์ | สรรเสริญทุกวาร | |
| เพราะเรานี้เที่ยงธรรมา | ||
| อีกทั้งมนุษย์เทวา | น้อมจิตบูชา | |
| ทุกเมื่อเพราะรักความดี | ||
| อธรรมตอบว่าข้านี้ | รี้พลมากมี | |
| ไม่ต้องประหวั่นพรั่นใจ | ||
| ไม่เคยยอมให้แก่ใคร | วันนี้เหตุไฉน | |
| จักยอมให้ทางท่านจร | ||
| ธรรมะว่าเราเกิดก่อน | ในโลกอัมพร | |
| อธรรมเธอเกิดตามมา | ||
| ตัวเราเก่ากว่าแก่กว่า | ยิ่งใหญ่ยศฐา | |
| ผู้น้อยควรให้ทางจร | ||
| อธรรมว่าคำอ้อนวอน | หรือพจนากร | |
| อ้างเหตุสมควรใดๆ | ||
| ไม่ทำให้เรานี้ไซร้ | ยอมหลีกทางให้ | |
| เพื่อธรรมะเทพจรลี | ||
| มาเถิดรบกันวันนี้ | ใครชนะควรมี | |
| สิทธิได้เดินทางไป | ||
| ธรรมะว่าเออตามใจ | อันเรานี้ไซร้ | |
| ประกอบด้วยสรรพคุณา | ||
| มีทั้งกำลังวังชา | เกียรติยศหา | |
| ผู้ใดเสมอไป่มี | ||
| ทั่วทิศบันลือฤทธี | อธรรมเธอนี้ | |
| จักเอาชำนะอย่างไร | ||
| อธรรมยิ้มเย้ยเฉลยไป | ว่าธรรมดาไซร้ | |
| เขาย่อมเอาเหล็กตีทอง | ||
| เอาทองตีเหล็กเป็นของ | ไม่สามารถลอง | |
| เพราะเหตุว่าผิดธรรมดา | ||
| แม้นเราฆ่าท่านมรณา | เหล็กก็จักน่า | |
| นิยมประดุจทองคำ | ||
| ว่าแล้วต้อนพลกำยำ | ตรูเข้ากระทำ | |
| ประยุทธ ณ กลางอัมพร |
(เชิด)
| ฝ่ายทัพอธรรมราญรอน | ห้าวหาญชาญสมร | |
| ฝ่ายธรรมะอิดหนาระอาใจ | ||
| ธรรมะสลดหฤทัย | คิดว่าตนไซร้ | |
| จะไม่ชนะดั่งถวิล | ||
| จะต้องทนดูคำหมิ่น | และต้องยอมยิน | |
| ให้ทางแก่ฝ่ายอธรรม | ||
| แต่ว่าเดชะกุศลกรรม | มาช่วยฝ่ายธรรม | |
| แลเห็นถนัดอัศจรรย์ | ||
| อธรรมหน้ามืดโดยพลัน | มิอาจนั่งมั่น | |
| อยู่บนบัลลังก์รถมณี | ||
| พลัดตกหกเศียรทันที | ถึงพื้นปัถพี | |
| และดินก็สูบซ้ำลง ฯ |
(รัว)
| ธรรมะมีขันตีทรง | กำลังจึ่งยง | |
| แย่งยุทธะชิตชัยชาญ | ||
| ลงมาจากกลางคัคนานต์ | ฟาดฟันประหาร | |
| อธรรมะผู้ปราชัย | ||
| แล้วสั่งเสนีย์ผู้ใหญ่ | ฝังอธรรมไว้ | |
| ในพื้นผ่นดินบันดล | ||
| กลับขึ้นรถทรงโสภณ | แล้วตรัสแด่ชน | |
| ผู้พร้อมมาชมบารมี |
| ดูราประชาราษฏร์ | ท่านอาจเห็นคติดี | |
| แห่งการสงครามนี้ | อย่าระแวงและสงสัย | |
| ธรรมะและอธรร- | มะทั้งสองสิ่งนี้ไซร้ | |
| อันผลจะพึงให้ | บ่มิมีเสมอกัน | |
| อธรรมย่อมนำสู่ | นิรยาบายเป็นแม่นมั่น | |
| ธรรมะจักนำพลัน | ให้ถึงสุคตินา | |
| เสพธรรมะส่งให้ | ถึงเจริญทุกทิวา | |
| แม้เสพอธรรมพา | ให้พินาศและฉิบหาย | |
| ในกาลอนาคต | ก็จักมีผู้มุ่งหมาย | |
| ข่มธรรมะทำลาย | และประทุษฐ์มนุษย์โลก | |
| เชื่อถือกำลังแสน- | ยะจะขึ้นเป็นหัวโจก | |
| หวังครองประดาโลก | และเป็นใหญ่ในแดนดิน | |
| สัญญามีตรามั่น | ก็จะเรียกกระดาษชิ้น | |
| ละทิ้งธรรมะสิ้น | เพราะอ้างคำว่าจำเป็น | |
| หญิงชายและทารก | ก็จะตกที่ลำเค็ญ | |
| ถูกราญประหารเห็น | บ่มิมีอะไรขวาง | |
| ฝ่ายพวกอธรรมเหิม | ก็จะเริ่มจะริทาง | |
| ทำการประหารอย่าง | ที่มนุษย์มิเคยใช้ | |
| ฝ่ายพวกที่รักธรรม | ถึงจะคิดระอาใจ | |
| ก็คงมิยอมให้ | พวกอธรรมได้สมหวัง | |
| จะชวนกันรวบรวม | พลกาจกำลังขลัง | |
| รวมทรัพย์สะพรึบพรั่ง | เป็นสัมพันธไมตรี | |
| ช่วยกันประจัญต่อ | พวกอธรรมเสนี | |
| เข้มแข็งคำแหงมี | สุจริตธรรมะสนอง | |
| ลงท้ายฝ่ายธรรมะ | จะชนะดังใจปอง | |
| อธรรมะคงต้อง | ปราชัยเป็นแน่นอน | |
| อันว่ามนุษย์โลก | ยังโชคดีไม่ย่อหย่อน | |
| อธรรมะราญรอน | ก็ชำนะแต่ชั่วพัก | |
| ภายหลังข้างฝ่ายธรรม | จะชำนะประสิทธิ์ศักดิ์ | |
| เพราะธรรมะย่อมรักษ์ | ผู้ประพฤติ ณ คลองธรรม | |
| อันคำเราทำนาย | ชนทั้งหลายจงจดจำ | |
| จงมุ่งถนอมธรรม | เถิดจะได้เจริญสุข | |
| ถึงแม้อธรรมข่ม | ขี่อารมณ์ให้มีทุกข์ | |
| ลงท้ายเมื่อหมดยุค | ก็จะได้เกษมศานต์ | |
| ถือธรรมะผ่องใส | จึ่งจะได้เป็นสุขสราญ | |
| ถือธรรมะเที่ยงนาน | ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ ฯ |
| ฝ่ายฝูงสิริเทพกัญญา | ก็โปรยบุปผา | |
| มาเกลื่อน ณ พื้น ปัถพี | ||
| แล้วธรรมะเทพฤทธี | ตรัสสั่งเสนีย์ | |
| ให้เคลื่อนขบวนโยธา | ||
| ลอยล่องฟ่องในเวลา | ดำเนินเวียนขวา | |
| ไปรอบทวีปชมพู ฯ |
(เชิด)
ราม ร.
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์, สนามจันทร์, วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์, พ.ศ. ๒๔๖๑
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก
Public domainPublic domainfalsefalse