ข้ามไปเนื้อหา

นิทานโบรานคดี/นิทานที่ 2

จาก วิกิซอร์ซ
นิทานที่ 2
เรื่องพระครูวัดฉลอง

เมืองภูเก็ต เดิมขึ้นอยู่ไนกะซวงกลาโหม จนเมื่อฉันเปนเสนาบดีกะซวงมหาดไทยแล้ว จึงได้โอนมาขึ้นกะซวงมหาดไทย ฉันลงไปตรวดราชการหัวเมืองมนทลภูเก็ตครั้งแรกเมื่อ พ.ส. 2441 เวลาฉันพักอยู่ที่เมืองภูเก็ต พระครูวิสุทธิวงสาจารย เปนที่สังคปาโมขเมืองภูเก็ตหยู่ นะ วัดฉลอง มาหา พอฉันแลเห็นก็เกิดพิสวง ด้วยที่หน้าแข้งของท่านมีรอยปิดทองคำเปลวแผ่นเล็ก ๆ ระกะไป ราวกับพระพุทธรูปหรือเทวรูปโบรานที่คนบนบาน เมื่อพูดจาปราสัยดูก็เปนผู้มีกิริยาอัชชาสัยเรียบร้อยหย่างผู้หลักผู้ไหย่ เวลานั้น ดูเหมือนจะมีอายุได้สัก 60 ปี ฉันถามว่า เหตุไฉนจึงปิดทองที่หน้าแข้ง ท่านตอบว่า "เมื่ออาตมภาพเข้ามาถึงไนเมือง พวกชาวตลาดเขาขอปิด" ฉันได้ฟังหย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ว่า เหตุไฉนคนจึงปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง จึงสืบถามเรื่องประวัติของท่าน ได้ความตามที่ตัวท่านเองเล่าไห้ฟังบ้าง ข้าราชการเมืองภูเก็ตที่เขารู้เห็นเล่าไห้ฟังบ้าง เปนเรื่องประหลาด ดังจะเล่าต่อไปนี้

ท่านพระครูองค์นี้ชื่อ แช่ม เปนชาวบ้านวัดฉลอง หยู่ห่างเมืองภูเก็ตสักสามสี่ร้อยเส้น เดิมเปนลูกสิสพระหยู่ไนวัดฉลองมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นเติบไหย่บวดเปนสามเนรเล่าเรียนหยู่ไนวัดนั้น จนอายุครบอุปสมบทก็บวดเปนพระภิกสุเรียนวิปัสนาธุระและคาถาอาคมต่าง ๆ ต่อมา จนมีพรรสาอายุมาก ได้เปนสมภารวัดฉลอง เรื่องประวัติแต่ต้นจนตอนนี้ไม่แปลกหย่างไร มาเริ่มมีอภินิหารเปนอัสจรรยเมื่อเกิดเหตุด้วยพวกจีนกัมกรทำเหมืองแร่ที่เมืองภูเก็ตเปนกบดเมื่อ พ.ส. 2419 (ดังจะมีเรื่องปรากตไนนิทานที่ 15 ต่อไปข้างหน้า) เวลานั้น รัถบาลไม่มีกำลังพอจะปราบปรามพวกจีนกบดไห้ราบคาบ ได้แต่รักสาตัวเมืองไว้ ตามบ้านนอกออกไปพวกจีนเที่ยวปล้นสดมค่าฟันผู้คนได้ตามชอบไจ ไม่มีไครต่อสู้ จึงเปนจลาจลทั่วไปทั้งเมืองภูเก็ต เรื่องที่เล่าต่อไปตอนนี้เขียนตามคำท่านพระครูวัดฉลองเล่าไห้ฟังเองว่า เมื่อได้ข่าวไปถึงบ้านฉลองว่า มีจีนจะออกไปปล้น พวกชาวบ้านกลัว พากันอพยพหนีไปซ่อนตัวหยู่ตามบนพูเขาโดยมาก เวลานั้น มีชายชาวบ้านที่เคยเปนลูกสิสของท่านสักสองสามคนไปชวนไห้ท่านหนีไปด้วย แต่ท่านตอบว่า "ข้าหยู่ไนวัดนี้มาตั้งแต่ยังเปนเด็กจนอายุถึงปานนี้แล้ว ทั้งเปนสมภารเจ้าวัดหยู่ด้วย จะทิ้งวัดไปเสียหย่างไรได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปละ จะต้องตายก็จะตายหยู่ไนวัด หย่าเปนห่วงข้าเลย" พวกลูกสิสอ้อนวอนเท่าได ท่านก็ยืนคำหยู่หย่างนั้น เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่า ท่านไม่ยอมทิ้งวัดไป ก็พูดกันว่า "เมื่อขรัวพ่อไม่ยอมไป จะทิ้งไห้ท่านตายเสียหย่างไร" จึงเข้าไปพูดแก่ท่านว่า "ถ้าขรัวพ่อไม่ไป พวกผมก็จะหยู่เปนเพื่อน แต่ขออะไรพอคุ้มตัวสักหย่างหนึ่ง" ท่านจึงเอาผ้าขาวมาลงยันตเปนผ้าประเจียดแจกไห้คนละผืน พวกนั้นไปเที่ยวเรียกหาเพื่อนได้เพิ่มเติมมารวมกันสัก 10 คน เชินตัวท่านไห้ลงไปหยู่ที่ไนโบด พวกเขาไปเที่ยวหาเครื่องสาตราวุธสำหรับตัว แล้วพากันมาหยู่ที่ไนวัดฉลอง พออีกสองวัน จีนพวกหนึ่งก็ออกไปปล้น แต่พวกจีนรู้ว่า ชาวบ้านหนีไปเสียโดยมากแล้ว เดินไปโดยประมาท ไม่ระวังตัว พวกไทยแอบเอากำแพงแก้วรอบโบดบังตัว พอพวกจีนไปถึง ก็ยิงเอาแตกหนีไปได้โดยง่าย พอมีข่าวว่า พวกลูกสิสท่านวัดฉลองรบชนะจีน ชาวบ้านฉลองที่หนีไปซุ่มซ่อนหยู่ตามพูเชาก็พากันกลับเข้าบ้านเรือน ที่เปนผู้ชายก็ไปหาท่านวัดฉลองขอรับอาสาว่า ถ้าพวกจีนยกไปอีก จะช่วยรบ แต่ท่านตอบว่า "ข้าเปนพระเปนสงค์ จะรบราค่าฟันไครไม่ได้ สูจะรบพุ่งหย่างไร ก็ไปคิดอ่านกันเองเถิด ข้าจะไห้แต่เครื่องคุนพระสำหรับป้องกันตัว" คนเหล่านั้นไปเที่ยวชักชวนกันรวมคนได้กว่าร้อยคน ท่านวัดฉลองก็ลงผ้าประเจียดแจกไห้ทุกคน พวกนั้นนัดกันเอาผ้าประเจียดโพกหัวเปนเครื่องหมายทำนองหย่างเครื่องแบบทหาน พวกจีนเลยเรียกว่า "อ้ายพวกหัวขาว" จัดกันเปนหมวดหมู่ มีตัวนายควบคุม แล้วเลือกที่มั่นตั้งกองรายกัน เอาวัดฉลองเปนที่บันชาการคอยต่อสู้พวกจีน ไนไม่ช้าพวกจีนก็ยกไปอีก คราวนี้ยกกันไปเปนขบวนรบ มีทั้งทงนำและกลองสัญญา จำนวนคนที่ยกไปก็มากกว่าครั้งก่อน พวกจีนยกไปถึงบ้านฉลองไนตอนเช้า พวกไทยเปนแต่คอยต่อสู้หยู่ไนที่มั่น เอาปืนยิงกราดไว้ พวกจีนเข้าไปไนหมู่บ้านฉลองไม่ได้ ก็หยุดยั้งหยู่พายนอก ต่างยิงโต้ตอบกันทั้งสองฝ่าย จนเวลาตะวันเที่ยง พวกจีนหยุดรบไปกินข้าวต้ม พวกไทยได้ที ก็เข้ารุมล้อมไล่ยิงพวกจีนไนเวลากำลังสาลวนกินอาหาร ประเดี๋ยวเดียว พวกจีนก็ล้มตายแตกหนีกะจัดกะจายไปหมด ตามคำท่านพระครูว่า "จีนรบสู้ไทยไม่ได้ด้วยมันต้องกินข้าวต้ม พวกไทยไม่ต้องกินข้าวต้ม จึงเอาชนะได้ง่าย ๆ" แต่นั้น พวกจีนก็ไม่กล้าไปปล้นบ้านฉลองอีก เปนแต่พวกหัวหน้าประกาสตีราคาสีสะท่านวัดฉลองว่า ถ้าไครตัดเอาไปไห้ได้ จะไห้เงินสินบน 1,000 เหรียน ชื่อท่านวัดฉลองก็ยิ่งโด่งดังหนักขึ้น เมื่อรัถบาลปราบพวกจีนกบดราบคาบแล้ว ยกความชอบของเจ้าอธิการแช่มวัดฉลองที่ได้เปนหัวหน้าไนการต่อสู้พวกจีนกบดไนครั้งนั้น ประจวบเวลาตำแหน่งพระครูสังคปาโมขเมืองภูเก็ตว่างหยู่ พระบาทสมเด็ดพระจุลจอมเกล้าเจ้าหยู่หัวจึงซงตั้งไห้เปนที่พระครูวิสุทธิวงสาจารยตำแหน่งสังคปาโมขเมืองภูเก็ตแต่นั้นมา แต่ทางฝ่ายชาวเมืองภูเก็ตเชื่อว่า ที่ชาวบ้านฉลองรบชนะพวกจีน เพราะท่านพระครูวัดฉลองมีอิทธิริทธิ์ไนทางวิทยาคม ก็นับถือกันเปนหย่างผู้วิเสสทั่วทั้งจังหวัด เรื่องที่เล่ามาเพียงนี้เปนชั้นก่อนเกิดการปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง

มูลเหตุที่จะปิดทองนั้นเกิดขึ้นเมื่อคนนับถือท่านพระครูวัดฉลองว่าเปนผู้วิเสสแล้ว ด้วยครั้งหนึ่งมีชาวเมืองภูเก็ตสักสี่ห้าคนลงเรือลำหนึ่งไปเที่ยวตกเบ็ดไนทเล เผอิญไปถูกพายุไหย่จนจวนเรือจะอับปาง คนไนเรือพากันกลัวตาย คนหนึ่งออกปากบนเทวดาอารักส์ที่เคยนับถือขอไห้ลมสงบ พายุก็กลับกล้าหนักขึ้น คนอื่นบนสิ่งอื่นที่เคยนับถือว่าสักดิสิทธิ ลมก็ไม่ซาลง จนสิ้นคิดมิรู้ที่จะบนบานอะไรต่อไป มีคนหนึ่งไนพวกนั้นออกปากบนว่า ถ้ารอดชีวิตได้ ปิดทองขรัวพ่อวัดฉลอง พอบนแล้ว ลมพายุก็ซาลงทันที พวกคนหาปลาเหล่านั้นรอดกลับมาได้ จึงพากันไปหาท่านพระครูขออนุญาตปิดทองแก้สินบน ท่านพระครูว่า "ข้าไม่ไช้พระพุทธรูป จะทำนอกรีตมาปิดทองคนเปน ๆ หย่างนี้ ข้าไม่ยอม" แต่คนหาปลาโต้ว่า "ก็ผมบนไว้หย่างนั้น ถ้าขรัวพ่อไม่ยอมไห้ผมปิดทองแก้สินบน ฉวยแรงสินบนทำไห้ผมเจ็บล้มตาย ขรัวพ่อจะว่าหย่างไร" ท่านพระครูจนถ้อยคำสำนวน ด้วยตัวท่านก็เชื่อเรื่องแรงสินบน เกรงว่า ถ้าเกิดเหตุร้ายแก่ผู้บน บาปจะตกหยู่แก่ตัวท่าน ก็ต้องยอม จึงเอาน้ำมาลูบขาแล้วยื่นออกไปไห้ปิดทองคำเปลวที่หน้าแข้ง แต่ไห้ปิดเพียงแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งพอเปนกิริยาบุญ พอคนบนกลับไปแล้ว ก็ล้างเสีย แต่เมื่อกิตติสัพท์เล่าลือกันไปว่า มีชาวเรือรอดตายได้ด้วยปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง ก็มีผู้อื่นเอาหย่าง ไนเวลาเจ็บไข้หรือเกิดเหตุการณ์กลัวจะเปนอันตราย ก็บนปิดทองท่านพระครูวัดฉลองบ้าง ฝ่ายท่านพระครูมิรู้ที่จะขัดขืนหย่างไร ก็จำต้องยอมไห้ปิด จึงเกิดประเพณีปิดทองท่านพระครูวัดฉลองขึ้นด้วยประการฉะนี้ ตัวท่านเคยบอกกับฉันว่า ที่ถูกปิดทองนั้นหยู่ข้างรำคาน ด้วยคันผิวหนังตรงที่ทองปิดจนล้างออกเสียแล้วจึงหาย แต่ก็ไม่กล้าขัดขวางคนขอปิดทอง เพราะฉะนั้น ท่านพระครูเข้าไปไนเมืองเมื่อได พวกที่ได้บนบานไว้ไครรู้เข้าก็ไปคอยดักทางขอปิดทองแก้สินบนคล้ายกับคอยไส่บาตร ท่านพระครูเห็นคนชอบปิดทองร้องนิมนต์ ก็ต้องหยุดไห้เขาปิดทองเปนระยะไปตลอดทาง วันนั้น ท่านกำลังจะมาหาฉัน ไม่มีเวลาล้างทอง จึงติดหน้าแข้งมาไห้ฉันเห็น ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อวันนั้น ท่านพระครูวัดฉลองกับฉันก็เลยชอบกันมา ท่านเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อได ก็มาหาฉันไม่ขาด เคยทำผ้าประเจียดมาไห้ฉัน ฝีมือเขียนงามดีมาก ฉันไปเมืองภูเก็ตเมื่อได ก็ไปเยี่ยมท่านถึงวัดฉลองทุกครั้ง

การที่คนปิดทองท่านพระครูวัดฉลองเปนแรกที่จะเกิดประเพนีปิดทองคนเปน ๆ เหมือนเช่นพระพุทธรูปหรือเทวรูปสักดิสิทธิ ก็เปนธัมดาที่กิตติสัพท์จะเลื่องลือระบือเกียรติคุนของท่านพระครูวัดฉลองแพร่หลายจนนับถือกันทั่วไปทุกหัวเมืองทางทเลตะวันตก ไช่แต่เท่านั้น แม้จนไนเมืองปีนังอันเปนอานาเขตของอังกริด คนก็พากันนับถือท่านพระครูวัดฉลอง เพราะที่เมืองปีนังพลเมืองมีไทยและจีนเชื้อสายไทย ผู้ชายเรียกกันว่า "บาบ๋า" ผู้หญิงเรียกกันว่า "ยอหยา" ล้วนถือพระพุทธสาสนาหยู่เปนอันมาก เขาช่วยกันส้างวัดและนิมนต์พระสงค์ไทยไปหยู่ก็หลายวัด แต่ไนเมืองปีนังยังไม่มีพระเถระ พวกชาวเมืองทั้งพระและครึหัถจึงสมมติว่า ท่านพระครูวัดฉลองไห้เปนมหาเถระสำหรับเมืองปีนัง ถ้าส้างโบดไหม่ ก็นิมนต์ไห้ไปผูกพัทธสีมา ถึงรึดูบวดนาคเมื่อก่อนเข้าพรรสา ก็นิมนต์ไห้ไปนั่งเปนอุปชาย์บวดนาค และที่สุด แม้พระสงฆ์เกิดอธิกรน์ ก็นิมนต์ไห้ไปไต่สวนพิพากสา ท่านพระครูพิพากสาว่าหย่างไร ก็เปนสิทธิขาด จึงเปนหย่างสังคปาโมขเมืองปีนังด้วยอีกเมืองหนึ่ง ผิดกับเมืองภูเก็ตเพียงเปนด้วยส่วนตัวท่านเอง มิไช่ไนทางราชการ ด้วยไนสมัยนั้นยังไม่มีทางรถไฟ ชาวกรุงเทพฯ กับชาวเมืองปีนังยังห่างเหินกันมาก แต่มีเรือเมล์ไปมาไนระหว่างเมืองปีนังกับเมืองภูเก็ตทุกสัปดาห์ ไปมาหากันได้ง่าย ท่านพระครูวัดฉลองหยู่มาจนแก่ชรา อายุเห็นจะกว่า 80 ปี จึงถึงมรนะภาพ

เมื่อฉันออกจากตำแหน่งเสนาบดีกะซวงมหาดไทยแล้ว ไม่ได้ไปเมืองภูเก็ตมาช้านาน จนถึงรัชกาลที่ 7 ตามสเด็ดพระบาทสมเด็ดพระปกเกล้าเจ้าหยู่หัวไปเมืองภูเก็ตอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ส. 2471 เวลานั้น ท่านพระครูวัดฉลองถึงมรนะภาพเสียนานแล้ว ฉันคิดถึงท่านพระครู จึงเลยไปที่วัดฉลองด้วย ไนคราวนี้ สดวกด้วยเมืองภูเก็ตมีถนนรถยนต์ไปได้หลายทาง รถยนต์ไปครู่เดียวก็ถึงวัดฉลอง เห็นวัดครึกครื้นขึ้นกว่าเคยเห็นแต่ก่อนจนแปลกตา เปนต้นว่า กุดีเจ้าอาวาสที่ท่านพระครูเคยหยู่ก็กลายเปนตึกสองชั้น กุดีพระสงค์และสาลาที่ก่อส้างเพิ่มเติมขึ้นก็มีอีกหลายหลัง เขาบอกว่า มีผู้ส้างถวายท่านพระครูเมื่อพายหลัง แต่เมื่อมีผู้ไปส้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ท่านพระครูไม่ยอมไห้แก้ไขไนบริเวนโบดที่ท่านเคยลงไปหยู่เมื่อต่อสู้พวกจีน กำแพงแก้วที่พวกลูกสิสเคยอาสัยบังตัวรบจีนครั้งนั้นก็ไม่ไห้รื้อแย่งแก้ไข ยังคงหยู่หย่างเดิม ที่ไนกุดีของท่านพระครูเขาตั้งโต๊ะที่บูชาไว้ มีรูปฉายของท่านพระครูขยายเปนขนาดไหย่ไส่กรอบหย่างลับแลตั้งไว้เปนประธานบนโต๊ะนั้น มีรอยคนปิดทองแก้สินบนที่กะจกเต็มไปหมดทั้งแผ่น เหลือเปนช่องว่างหยู่แต่ที่ตรงหน้าท่านพระครู ดูประหลาดที่ยังชอบบนปิดทองท่านพระครูหยู่ จนเมื่อตัวท่านล่วงลับไปนานแล้ว ไม้เท้าของท่านพระครูที่ชอบถือติดมือก็เอาวางไว้ข้างหน้ารูปและมีรอยปิดทองด้วย ไม้เท้าอันนี้ก็มีเรื่องแปลกหยู่ พวกกรมการเมืองภูเก็ตเขาเคยเล่าไห้ฉันฟังตั้งแต่ท่านพระครูยังหยู่ว่า มีเด็กผู้หยิงรุ่นสาวคนหนึ่งไนเมืองภูเก็ตเปนคนมีวิสัยชอบพูดอะไรเล่นโลน ๆ ครั้งหนึ่ง เด็กคนนั้นเจ็บ ออกปากบนตามประสาโลนว่า ถ้าหายเจ็บ จะปิดทองตรงที่ลับของขรัวพ่อวัดฉลอง ครั้นหายเจ็บ ถือว่าพูดเล่น ก็เพิกเฉยเสีย หยู่มาไม่ช้า เด็กคนนั้นกลับเจ็บไปอีก คราวนี้เจ็บมาก หมอรักสาอาการก็ไม่คลายขึ้น พ่อแม่สงสัยว่า จะเปนด้วยถูกผีหรือด้วยแรงสินบน ถามตัวเด็กว่า มันได้บนบานไว้บ้างหรือไม่ แต่แรกตัวเด็กละอายไม่รับว่า ได้บนไว้เช่นนั้น จนทนอาการเจ็บไม่ไหว จึงบอกความตามจิงไห้พ่อแม่รู้ ก็พากันไปเล่าไห้ท่านพระครูฟังแล้วปรึกสาว่า จะควนทำหย่างไรดี ท่านพระครูว่า บนหย่างลามกเช่นนั้น ไครจะยอมไห้ปิดทองได้ ข้างพ่อแม่เด็กก็เฝ้าอ้อนวอนด้วยกลัวลูกจะเปนอันตราย ท่านพระครูมิรู้จะทำประการได จึงคิดอุบายเอาไม้เท้าอันนั้นสอดเข้าไปไต้ที่นั่ง แล้วไห้เด็กปิดทองที่ปลายไม้เท้า ผู้เล่าว่า พอแก้สินบนแล้ว ก็หายเจ็บ ฉันได้ถามท่านพระครูว่า เคยไห้เด็กหยิงปิดทองปลายไม้เท้าแก้สินบนจิงหรือ ท่านเปนแต่ยิ้มหยู่ ไม่ตอบรับหรือปติเสธ จึงนึกว่า เห็นจะเปนเรื่องจิงดังเขาเล่า

เรื่องพระครูวัดฉลองยังได้เห็นอัสจรรยต่อมาอีก เมื่อฉันไปหยู่เมืองปีนังไน พ.ส. 2477 ไปที่วัดสรีสว่างอารมน์ เห็นมีรูปฉายท่านพระครูวัดฉลองเข้ากรอบลับแลตั้งหยู่บนโต๊ะเครื่องบูชาข้างพระประธานที่ไนโบด และมีรอยปิดทองแก้สินบนเต็มไปทั้งแผ่นกะจกเช่นเดียวกับที่เมืองภูเก็ต เดี๋ยวนี้รูปนั้นก็ยังหยู่ที่วัดสรีสว่างอารมน์ ดูน่าพิสวง พิเคราะห์ตามเรื่องประวัติเห็นว่า ควนรับว่า พระครูวิสุทธิวงสาจารย (แช่ม) วัดฉลอง เปนอัจฉริยะบุรุสได้คนหนึ่งด้วยประการฉะนี้.