ข้ามไปเนื้อหา

ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชชกาลที่ 7/เล่ม 9/เรื่อง 2

จาก วิกิซอร์ซ
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๗๖

ประชาธิปก ป.ร.

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรจะแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการตั้งและเลิกสมาคม

จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี ดั่งต่อไปนี้

มาตราพระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๖”

มาตราให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตราให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นอนุมาตรา ๗ ของมาตรา ๑๒๙๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

“(๗)โดยนายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน”

มาตราให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรค ๒ ของมาตรา ๑๒๘๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

“แต่ถ้าปรากฏว่า วัตถุที่ประสงค์หรือกิจการของสมาคมใดน่าจะเป็นภัยอันตรายต่อสันติภาพของประชาชนก็ดี หรืออาจจะก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองก็ดี นายทะเบียนอาจจะไม่รับจดทะเบียนสมาคมนั้นได้”

มาตราให้ยกเลิกความข้อ ๔ ของมาตรา ๑๒๙๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสีย

มาตราให้เพิ่มความต่อไปนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นมาตรา ๑๒๙๓ ทวิ

“ถ้าปรากฏว่า วัตถุที่ประสงค์หรือกิจการของสมาคมใดกลายเป็นภัยอันตรายต่อสันติภาพของประชาชนก็ดี หรืออาจจะก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองก็ดี นายทะเบียนอาจสั่งให้ขีดชื่อสมาคมนั้นออกเสียจากทะเบียน”

มาตราให้เพิ่มความต่อไปนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นมาตรา ๑๒๙๓ ตรี

“ในเมื่อนายทะเบียนปฏิเสธไม่รับจดทะเบียน หรือนายทะเบียนให้ขีดชื่อสมาคมใดออกจากทะเบียน ตามบทบัญญัติในมาตรา ๑๒๘๐ วรรค ๒ และมาตรา ๑๒๙๓ ทวิ ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งไปให้ผู้ขอตั้งสมาคมหรือผู้จัดการสมาคมทราบ แล้วแต่กรณี ถ้าผู้ขอตั้งสมาคมหรือผู้จัดการสมาคมไม่พอใจในคำวินิจฉัยของนายทะเบียน ให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังรัฐมนตรีเจ้าหน้าที่ในการนี้ได้ภายใน ๑๕ วันจากวันที่ได้รับแจ้งความ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้นับว่าเป็นที่สุด

ประกาศมาณวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นปีที่ ๙ ในรัชชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พระยามโนปกรณนิติธาดา
นายกรัฐมนตรี
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๐ วันที่ ๒ เมษายน หน้า ๑๓)