ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๙ หมวด ข

จาก วิกิซอร์ซ
ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙

เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กับ ครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น ภาคที่ ๖

มหาอำมาตย์โท หม่อมเจ้าธำรงศิริ พิมพ์ในการบำเพ็ญกุศล อายุครบ ๕๐ ปี

พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีหงส์




หมวด ข


  • ว่าด้วยพวกเข้ารีดช่วยรบพม่า หน้า ๑๗
  • จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วยพวกมอญในกรุงสยาม เปนขบถ " ๑๘
  • ว่าด้วยพม่าตีเมืองทวาย ๆ มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงสยาม " ๑๙
  • จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วย ด้วยกรมหมื่นเทพิพิธ เข้ามาอยู่เมืองตะนาวศรี " ๒๑
  • ว่าด้วยอำนาจเจ้านายผู้หญิงในเวลานั้น " ๒๒
  • จดหมายมองซิเออร์อาลารีว่าด้วยพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยา " ๒๔
  • ว่าด้วยข้อวิตกที่พม่าจะมา " ๒๕
  • ว่าด้วยพม่ายกเข้ามาและเกิดการปล้นสดมภ์ขึ้น " ๒๘
  • ว่าด้วยพวกมิชชันนารีถูกพม่าจับ " ๓๐
  • ว่าด้วยพวกมิชชันนารีถูกแม่ทัพพม่าซักถาม และความวิตกของมิชชันนารี " ๓๓
  • ว่าด้วยมองซิเออร์อาลารีทำลายศิลาจารึกประจาน " ๓๔
  • จดหมายมองซิเออร์แคแฮว่าด้วยช่วยไทยรบพม่า " ๓๖
  • จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วยพม่ายกทัพมาอีก " ๓๗
  • ว่าด้วยอังกฤษช่วยไทยรบพม่า " ๓๙
  • ว่าด้วยพม่าล้อมกรุง ฯ " ๔๒
  • ว่าด้วยพวกเข้ารีดต่อสู้พม่า " ๔๓


(หน้า ๑๗)


ว่าด้วยพวกเข้ารีดช่วยรบพม่า

ในการที่พวกเข้ารีดของเราได้ช่วยพวกไทย และเมื่อวันที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม เราได้ไปหาเจ้าพระยาพระคลังคนใหม่ และเจ้าพระยาพระคลังก็ได้ลงจากแท่นมาต้อนรับเรา
พูดว่าในคราวสงครามกับพม่าครั้งนี้ พวกเราได้ช่วยไทยมากกว่าบาดหลวง แต่ก่อน ๆ ซึ่ง ได้เอาของมาให้แต่ประเทศยุโรปนั้น

แต่ถึงดังนั้นก็ดี พระเจ้ากรุงสยาม มีพระราชประสงค์จะยกย่องพวกพระสงฆ์ จึงได้ห้าม มิให้ใช้คำว่า สังฆราช ในเวลาเรียกข้าพเจ้า
และในเวลาที่ข้าพเจ้าจะเขียนจดหมายนั้น ก็ห้าม มิให้ข้าพเจ้าใช้คำว่า สังฆราช เปนอันขาด

พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานรางวัลเปนของเล็กน้อยแก่พวกเข้ารีด ซึ่งได้ช่วยป้องกันรักษาพระนคร
และเมื่อวันที่ ๔ เดือน กรกฎาคมก็ได้โปรดพระราชทานแพรดำผืนเล็กให้ข้าพเจ้าผืน ๑ แต่ แพรที่พระราชทานมานั้นก็เปื่อยแล้ว
แต่การที่ได้เอาแพรเปื่อยมาพระราชทานข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ความผิดของ พระเจ้ากรุงสยามดอก

ส่วนในเรื่องนักเรียนนั้น พระเจ้ากรุงสยามได้เข้าพระทัยผิดทีเดียวคือ ได้โปรดให้เอาผ้าที่มาจากฝั่ง คอรอมันเดล พระราชทานให้แก่พวกนักเรียน โดยเข้าพระทัยว่าพวกนี้ ได้อยู่ช่วยรบกับข้าศึกเหมือนกัน
แต่ ถ้าได้ทรงทราบว่านักเรียนพวกนี้ ได้หนีไปอยู่ที่อื่นในเวลาที่พม่ายกทัพมานั้น ก็คงจะไม่พระราชทานรางวัลเปนแน่


(หน้า ๑๘)

จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วยพวกมอญในกรุง สยามเปนขบถ
การตกตื่นใจและการจลาจล

จดหมายมอวเซนเยอร์ บรีโกต์ ถึง ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๒๖ เดือน พฤษภาคม ค.ศ.๑๗๖๑ (พ.ศ.๒๓๐๔)

พวกเรามีแต่หวาดเสียวและตกใจอยู่เสมอ เพราะเหตุว่ามี เสียงลือกันไม่หยุดว่าพวกพม่าได้ยกทัพกลับเข้ามาอีกแล้ว แต่ ก็ไม่เห็นพม่ามาสักทีเดียว แต่เมื่อวันที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ (๒๓๐๓) ทางราชการได้ทราบความว่า มอญพวก๑ ซึ่งไทยได้ อนุญาตให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในหัวเมืองตวันตกเฉียงเหนือเมือง ๑ นั้น ได้เกิดเปนขบถขึ้น คือได้จับเจ้าเมืองไทยฆ่าเสียโดยหา ว่าเจ้าเมืองคนนี้ไม่ตั้งอยู่ในคลองยุติธรรม แล้วพวกมอญขบถก็ ได้พาพรคคพวกหนีไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขาแห่ง ๑ ไทยได้จัดกองทัพออก ไปปราบพวกมอญขบถ แต่พวกมอญไม่ต้องการให้เปลืองดินปืน จึงได้สู้ไทยด้วยไม้แหลม และได้ตีกองทัพไทยแตกกระจายสิ้น เพราะฉนั้นเมื่อวันที่ ๒๑ เดือนนั้นเอง (กุมภาพันธ์) พวกไทยได้หนี กลับมาทำหน้าสลดและโดยมากก็ถูกบาดเจ็บกลับมา และเวลาที่ หนีพวกมอญนั้น ก็ได้ทิ้งอาวุธหมดเพื่อจะได้หนีได้คล่อง ๆ ข้าศึกใหม่นี้ซึ่งเรียกกันว่า มอญใหม่ก็เกิดกำเริบขึ้น จึงได้เที่ยว เอาไฟเผาหมู่บ้านต่าง ๆ ตลอดจนเกือบจะถึงพระนคร คือหนทางวัน



(หน้า ๑๙)

ว่าด้วยพม่าตีเมืองทวาย ๆ มาสวามิภักดิ์ต่อ กรุงสยาม

เดียวก็จะถึงพระนครอยู่แล้ว เมื่อพวกมอญเข้าตามหมู่บ้านนั้น ก็ได้ ปล้นสดมภ์เก็บริบทรัพย์สมบัติของชาวบ้านไปจนหมดสิ้น แล้วก็ หนีกลับไปตั้งมั่นอยู่ในค่าย พระเจ้ากรุงสยามทรงกริ้วในการที่เกิดปล้นสดมภ์ขึ้นเช่นนี้ จึงได้ทรงจัดกองทัพมีกำลังพล ๘๐๐๐ ให้ขึ้นไปจับพวกมอญขบถ กอง ทัพนี้เกือบจะแพ้พวกมอญอยู่แล้ว เพอิญเจ้าพระผู้เปนสมเด็จพระ อนุชาของพระเจ้ากรุงสยาม ได้จัดข้าราชการเก่า ๆ ให้ขึ้นไปช่วย ข้าราชการเหล่านี้ได้รวบรวมกำลังมีคน ๕๐๐ คน ได้ยกขึ้นไปตี พวกมอญ ได้ฆ่าพวกมอญล้มตายเป็นอันมาก จับเปนเชลยมา ได้ ๕๐ คน นอกนั้นก็แตกกระจายหนีหมด (พวกมอญมีกำลังอยู่ ๖๐๐ คนเท่านั้น) ข้าราชการของเจ้าพระได้นำความมากราบทูล พระเจ้ากรุงสยามเมื่อวันที่ ๒๘ เดือน กุมภาพันธ์ และมากล่าวโทษ ว่ากองทัพไทยที่โปรดจัดให้ไปปราบพวกมอญนั้น ทำการอ่อนแอมากความผิดอันนี้ก็ตกหนักอยู่กับตัวนายซึ่งควบคุมกองทัพไป พระเจ้า กรุงสยามจึงได้ให้เอานายทัพนายกองมาจำคุก และได้ทรงตัดสิน ว่าพวกนี้เปนขบถสมรู้เปนใจกับพวกมอญใหม่ ก่อนที่เรื่องจะสงบลงไปได้ ก็พอดีได้ข่าวมาจากเมืองมะริด ว่ามีมอญ ๓๐๐๐ คน พม่า ๓๐๐๐ คน ได้บยกเข้ามาตีเมืองทวาย เมืองทวายนี้ได้สวามิภักดิ์ยอมตัวขึ้นกับไทยแล้ว เมืองทวายจึงได้ มีบอกเข้ามาขอกำลังออกไปช่วย ข้างฝ่ายทางราชการในกรุงศรี



(หน้า ๒๐)

อยุธยาก็เกิดระส่ำระสายกันขึ้นอีก แต่ก็พอเบาใจได้บ้างเพราะจวน จะเข้าระดูฝนอยู่แล้วไทยจึงได้ตอบเจ้าเมืองทวายว่าจะส่งกำลังออก ไปช่วย และได้สั่ง มองตัด ซึ่งเปนแขกมลายูและเปนเจ้าเมือง ตะนาวศรีให้รวบรวมกำลังออกไปช่วยเมืองทวาย แต่การเรื่องนี้กว่า จะสั่งเสียกันได้ ก็ชักช้าเสียเวลามาก พวกทวายจึงได้ยกออกจาก เมืองเข้าโจมตีกองทัพมอญและพม่า ข้าศึกทานกำลังพวกทวายไม่ ไหวก็แตกกระจายพ่าบแพ้ไปสิ้น ฝ่ายเจ้าเมืองทวายอยากจะได้ กำลังไทยไปช่วยเพราะเกรงพม่าจะยกกลับมาอีก จึงได้ส่งต้นไม้ ทองเงินเครื่องบรรณาการยอมเปนเมืองขึ้นแก่ไทย พระเจ้ากรุง สยามได้ทรงทราบก็ดีพระทัย แต่ในไม่ช้าเท่าไรนักก็ต้องตกพระทัย อีก เพราะได้ทราบข่าวมาว่าพวกพม่ากำลังเตรียมทำดินปืนอยู่ทาง ทิศเหนือเมืองไทย จึงได้มีรับสั่งให้เจ้าพนักงารเกณฑ์ผู้คนเพิ่มเติม ขึ้นอีกและให้ถมชานกำแพงพระนครให้ใหญ่ออกไปอีก เพราะฉนั้น ในเวลานี้พวกเราอยู่ในฐานหวาดเสียวต้องระวังตัวอยู่เสมอ ยังมีพวกไทยที่พม่าจับไปเปนเชลยได้หนีกลับมาได้ และได้มารายงารว่า เวลานี้พวกพม่ากำลังเตรียมการใหญ่โตจะเข้ามาตีกรุงอีก



(หน้า ๒๑)

จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วย ด้วยกรมหมื่นเทพิพิธ เข้ามาอยู่เมืองตะนาวศรี

จดหมาบมองเซนเยอร์บรีโกต์ ถึง ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๑๕ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๗๖๒ (พ.ศ. ๒๓๐๕)

ตั้งแต่ได้เกิดสงครามกับพม่าเมื่อปีค.ศ.๑๗๖๐(พ.ศ.๒๓๐๓) นั้นภายใน ๒ ปีนี้ พวกเรามีแต่ความหวาดเสียวต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าข้าศึกจะกลับมาอีก และในปีนี้ก็มีข้อวิตกว่าเมือง ตะนาวศรีจะเปนขบถขึ้นและคงจะขอกำลังพม่ามาช่วย เพื่อจะยก เจ้าองค์ ๑ อันประสูติจากมารดาเปนพระสนม ซึ่งได้ถูกเนรเทศไป อยู่เกาะลังกาเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว ฝ่ายเจ้าแผ่นดินเมืองแคนดีเห็นว่า ข้าราชการเมืองแคนดีและชาวเกาะลังกา มีความนับถือเจ้าองค์นี้มาก ก็เกิดไม่ไว้ใจขึ้น จึงได้ขับไล่เจ้าองค์นี้ให้ออกไปเสียให้พ้นเกาะลังกา เจ้าองค์นี้ได้ออกจากเกาะลังกาแล้วก็ได้เลยไปอยู่กับพวกอังกฤษที่ฝั่ง ครอมันเดล แล้วภายหลังได้เสด็จออกจากเมือง มสุลีปตัน เมื่อเดือนกรกฎาคม เสด็จลงเรือแขกมัวลำ ๑ มาประทับยังเมือง มะริด เมื่อได้เสด็จมาถึงเมืองมะริด แล้ว ก็ได้มีลายพระหัตถ์ถวายพระเจ้ากรุงสยาม ผู้เปนพระเชษฐา ขออนุญาตเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงรับลายพระหัดถ์ฉบับนี้ก็กริ้ว ทรงพระราช ดำริห์จะสำเร็จโทษเจ้าองค์นี้เสีย แต่ก่อนที่จะสำเร็จโทษได้ต้องเสีย เวลาเรียกเสนาข้าราชการมาปรึกษาหารือ และจะต้องเตรียมการให้เสร็จเสียก่อน ในเวลานั้นเจ้าเมืองเพ็ชร์บุรี คนเก่าซึ่งออกจากราชการ-



(หน้า ๒๒)

ว่าด้วยอำนาจเจ้านายผู้หญิงในเวลานั้น

-แล้วเกิดความไม่พอใจขึ้น เพราะไม่ได้รับรางวัลความชอบตามที่ ควรจะได้ทราบว่าพระเจ้ากรุงสยาม ทรงพระราชดำริห์จะฆ่าเจ้าองค์ นั้น จึงได้เกลี้ยกล่อมผู้คนได้ ๕๐๐ คนหนีไปหาเจ้าองค์นั้นที่เมือง มะริด ข้างฝ่ายไทยได้เกณฑ์ทหารให้ออกไปตามจับ และได้ มีคำสั่งถึงเจ้าเมืองรายทางทุกคน ให้คอยจับเจ้าเมืองเพ็ชรบุรีคนเก่านี้ ส่งเข้าไปยังกรุงให้จงได้
บรรดาผู้คนที่ได้เข้าเปนสมัคพรรคพวก ของเจ้าเมืองเพ็ชรบุรีได้ถูกริบทรัพย์มบัติจนหมดสิ้น ภายหลัง เจ้าพนักงารจับเจ้าเมืองเพ็ชรบุรีคนนี้ส่งเข้ามายังกรุง เจ้าพนักงาร จึงได้เอาตัวตระเวณรอบเมืองอย่างผู้ร้ายฉกรรจ์ ตั้งแต่นั้นมาการในเมืองตะนาวศรีก็สงบราบคาบ แต่ผู้คนร่วงโรยลงไปมากและเสบียงอาหารก็กันดารอัตคัดที่สุด ตั้งแต่ครั้งสมัยก่อน ๆ มา พระราฃโองการของพระเจ้าแผ่นดินเท่ากับเปนกฎหมายในเมืองนี้ ครั้นมาในบัดนี้เจ้านายผู้หญิงทุก องค์ก็มีอำนาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน และข้าราชการก็ต้องเปลี่ยน กันอยู่เสมอ แต่ก่อน ๆ มา ผู้ที่มีความผิดฐานเปนขบถ ฆ่าคนตาย และเอาไฟเผาบ้านเรือน ต้องรับพระราชอาญาถึงประหารชีวิต แต่มาบัดนี้ความโลภของเจ้านายผู้หญิง ได้เปลี่ยนลงโทษความผิดชนิด นี้พียงแต่ริบทรัพย์ และทรัพย์ที่ริบไว้ได้นั้น ก็ตกเปนสมบัติ ของเจ้าหญิงเหล่านี้ทั้งสิ้น ฝ่ายพวกข้าราชการเห็นความโลภของ เจ้านายผู้หญิงเปนตัวอย่างก็หาหนทางที่จะหาประโยชน์บ้าง ถ้าผู้-



(หน้า ๒๓)

-ใดเปนถ้อยความแล้วข้าราชการเหล่านี้ก็คิดหาประโยชน์จากคู่ความ ให้ได้มากที่สุดจะเอาได้ การที่ทำเช่นนี้ก็ปิดความหาให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบไม่ แต่ถ้าห่างพระเนตร์พระกรรณออกไปแล้วข้าราชการ เหล่านี้ก็ลักขะโมยอย่างไม่กลัวทีเดียว เมื่อปีกลายนี้พวกข้าราชการ ที่เมืองภูเก็จได้ปล้นเรืออังกฤษลำ ๑ ซึ่งได้หนีจากเมืองเบงกอลแวะ เข้ามาที่เมืองภูเก็จเพื่อหนีท่านเคาน์เดซแตง เมื่อปีนี้พวกข้าราชการเมืองภูเก็จได้แนะนำให้เรืออังกฤษอีกลำ ๑ เข้าไปซ่อมแซมเรือที่ฝั่ง เมืองแตร์แฟม (Teere Ferme) ใกล้กับเมือง โตยอง (Toyon) ซึ่งเปนเมืองที่มีคนเข้ารีดมากที่สุดในแถบเกาะภูเก็จนี้ ครั้นเรือ อังกฤษได้ไปทอดที่เมืองแตร์แฟมตามคำแนะนำของข้าราชการเมือง ภูเก็จแล้ว พวกไทยและมะลายูซึ่งอยู่ที่เมืองนั้นกู้กันกับข้าราชการ เมืองภูเก็จ จึงได้ฟันแทงพวกอังกฤษและขึ้นปล้นเรือเก็บสินค้าใน เรือนั้นไปหมดสิ้น ฝ่ายข้าราชการเมืองภูเก็จคิดจะปิดบังความผิด ของตัว จึงคิดอุบายาความว่าพวกเข้ารีดที่เมืองโตยอง เปนผู้ที่ปล้น และทำร้ายเรืออังกฤษ ลงท้ายที่สุดพวกเข้ารีดเหล่านี้ก็พลอยฉิบหาย ไปเปล่า ๆ ยังมีบาดหลวงคณะฟรังซิซแกง เปนชาติ ปอตุเกตคน ๑ ได้ตายด้วยความตรอมใจและถูกทรมาน เพราะเจ้าพนักงารเมือง ภูเก็จได้จับบาดหลวงคนนี้ขังไว้ในระหว่างพิจารณาความเกือบเดือน ๑



(หน้า ๒๔)

จดหมายมองซิเออร์อาลารีว่าด้วยพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยา
พม่าตีกรุงครั้งที่ ๒

เมืองมะริด

จดหมายมองซิเออร์ อาลารี ถึง มองซิเออร์ เดอลาลาน
เขียนบนเรือลำ ๑ ซึ่งเดิรทางในระหว่างเมืองมะริดและเมืองย่างกุ้ง
วันที่ ๑๗ เดือน มีนาคม ค.ศ. ๑๗๖๕ (พ.ศ. ๒๓๐๗)


จดหมายฉบับนี้ข้าพเจ้าต้องเขียนด้วยเศษกระดาษที่ค้นพบ ในเวลา ที่วัดและบ้านได้ถูกเพลิงไหม้หมดแล้ว เพื่อจะเล่าให้ท่านฟังถึง การที่เมืองมะริดแตกทำลายยับเยินหมด และถึงตัวข้าพเจ้าที่ต้อง ทนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปรับหน้าที่ใหม่นี้ การที่พระเยซูโปรดให้เปนดังนี้เปนการที่ข้าพเจ้าไม่คัดค้านอย่างใด และในเรื่องนี้ความเห็นของข้าพเจ้าจะมีอย่างไรก็ไม่จำเปนจะต้องกล่าวเพื่อจะได้มีเวลาเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ท่านฟังได้บ้าง เมื่อปลายเดือน ธันวาคม ค.ศ.๑๗๖๔ (พ.ศ. ๒๓๐๗) ข้าพเจ้าได้มีจดหมายบอกมาให้ท่านทราบแล้วว่า ข้าพเจ้าได้รับหน้าที่ โปรวิแกร์ (Provivaire) ในเมืองมะริด และหน้าที่นี้ข้าพเจ้าไม่เต็มใจรับ อย่างยิ่ง และได้เล่าให้ท่านฟังแล้ว ว่ามองซิเออร์ อันดรีเออถูก เรียกกลับไปอยู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อไปทำการในโรงเรียนพร้อมกับมองซิเออร์ อาโต เวลานั้นมองซิเออร์ อันดรีเออ กับตัวข้าพเจ้าก็



(หน้า ๒๕)

เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วที่จะไปทำการตามหน้าที่ใหม่ แต่พเอิญพระ เปนเจ้าได้จัดการให้ข้าพเจ้าทั้ง ๒ ไปทำการอย่างอื่นต่อไป


ว่าด้วยข้อวิตกที่พม่าจะมา

เมื่อวันที่ ๒ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๗๖๕ (พ.ศ.๒๓๐๗) เวลา เช้าประมาณ ๔ โมง มีเรือต่างประเทศแปลกเข้ามาทอดสมอในลำ น้ำลำ ๑ มาบอกข่าวว่า รายาหรือเจ้าแผ่นดินเมืองทวายซึ่งเปนเมือง ขึ้นของไทย ได้หนีลงเรือพร้อมด้วยครอบครัวและข้าราชการเปน อันมาก เพราะพม่าได้ยกทัพมาจะล้อมเมือง แต่ได้ทราบจาก เสียงคนอื่นว่า การที่รายาเมืองทวายได้หนีเช่นนี้ เปนเพราะ เหตุว่ารายาคนนี้ดุร้ายนักจนราษฎรได้ลุกเปนขบถขึ้น พวกราษฎร จึงได้ไล่รายาคนนี้ออกจากเมือง ใคร ๆ ที่รู้จักนิสัยดุร้ายของรายา เมืองทวาย ได้พากันเชื่อว่าได้เกิดขบถขึ้นมากกว่าเชื่อว่าพม่าได้ เข้ามาล้อมเมือง แต่ถึงดังนั้นก็ไม่วายทำให้ชาวเมืองตะนาวศรีตื่น ตกใจทั้งเมือง และได้มีคนพาครอบครัวอพยพหนีไปก็มาก เพราะพวกชาวเมืองมีความเข็ดขยาด ที่ได้เคยเห็นความร้ายกาจของ พวกพม่าเมื่อครั้งสงครามคราวก่อน เพราะฉนั้นเมื่อมีข่าวมาว่าข้าศึก ได้ยกเข้ามาใกล้แล้ว จึงต่างคนต่าคิดหนีเอาตัวรอด การที่มอง ซิเออร์อันดรีเตรียมตัวจะเข้าไปกรุงศีอยุธยานั้นจึงต้องงด และส่วน



(หน้า ๒๖)

ตัวข้าพเจ้าก็กำลังตรองอยู่ว่าจะเลยไปที่ฝั่งคอรอมันเดล จะดีกว่ากระมัง เพือ่เปนการหลีกตัวให้พ้นสงครามคราวนี้ เพราะการสงครามครั้งนี้ หาได้เกี่ยวในการสาสนาอย่างใดไม่
แต่เพื่อจะไม่ทำการให้รวดเร็วเกินไป ข้าพเจ้าก็ยอมให้เรือออกไปลำ ๑ ก่อน และได้รอให้รายาเมืองทวายได้เข้ามาถึงเสียก่อน เพื่อจะได้ฟังข่าวให้แน่นอนด้วย แต่ครั้นรายาเมืองทวายได้มาถึงแล้ว ก็ไม่ได้ความแน่นอนอะไรขึ้นเลย
ฝ่ายราษฎรพงเมือง ก็ต่างคนต่างเตรียมตัวที่จะหนี ไทยก็ได้ส่งกองสอดแนมให้ออกไปสืบข่าวข้าศึก แต่พวกกองสอดแนมเปนคนขี้ขลาดไม่กล้าเข้าไปใกล้ข้าศึก จึงส่งแต่ข่าวตามที่เขาบอกเล่ามาทั้งนั้น
ในระหว่างนั้น บุตรของรายาเมืองทวาย ได้มายังบ้านบาดหลวง มองซิเออร์ อันดรีเออ ไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงออกต้อนรับแทน บุตรรายาเมืองทวาย ได้ถามข้าพเจ้าว่า
ข้าพเจ้าไม่คิดจะไปยังฝั่ง คอรอมันเดล หรืออย่างไร เพราะอีก ๒ วัน พวกพม่าก็จะเข้าเมืองทวายอยู่แล้ว ส่วนตัวบุตรของรายาเมืองทวาย เชื่อเอาจริง ๆ ว่า พม่าคงยกทัพมาเปนแน่ ความที่กลัวตาย จึงได้หนีบิดายกครอบครัวไปอยู่ที่เมืองอื่นต่อไป
พวกเข้ารีดก็ได้มาปรคกษา มองซิเออร์ อันดรีเออ ว่า เมื่อความอันตรายใกล้จะมาถึงตัวเช่นนี้จะควรทำประการใดดี แต่มองซิเออร์ อันดรีเออ ก็ไม่ยอมออกความว่าอย่างไร เปนแต่ตอบพวกเข้ารีดว่า ตัวมองซิเออร์อันดรีเออเองก็จะอยู่ที่วัดนั้นจะไม่ไปไหน และถ้า



(หน้า ๒๗)

ใครอยากจะไปอยู่ในวัดด้วย มองซิเออร์อันดรีเออก็ยินดีที่จะรับไว้ การที่มองซิเออร์อันดรีเออตอบดังนี้ พวกเข้ารีดไม่พอใจจึงได้มาหาข้าพเจ้าบอกว่าพวกนี้เอยากจะไปยังฝั่งคอรอมันเดล แต่ในเวลานั้นมองซิเออร์อันดรีเออได้รับรองไว้ ว่ายังจะคงปกครองคณะบาดหลวง ต่อไปจนกว่าจะเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา ข้าพเจ้าจึงไม่อยากรับผิด ชอบในข้อที่พวกเข้ารีดมาหารือ ข้าพเจ้าจึงได้ตอบว่า พวกเข้ารีด ควรจะระวังตัวไว้ การที่เราควรเชื่อใจในพระเปนเจ้านั้นไม่ควรจะ ทำให้เราเผลอตัวแต่ควรระวังและเตรียมตัวไว้เสมอจึงจะดี การ ที่ข้าพเจ้าได้ตอบดังนี้ ก็ทำให้พวกเข้ารีดพอใจอยู่บ้าง เพราะเขา ได้เห็นแล้วว่าเราไม่ต้องการให้พวกนี้ยึดเราไว้เปนหลัก และถึงแม้ ว่าส่วนตัวเราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวไว้อย่างไร แต่เราก็ไม่ได้ห้าม ไม่ให้เขาเตรียมตัว พวกเข้ารีดจึงตกลงเตรียมหารือไว้เพื่อจะ ได้หนีไปอยู่ตามเกาะใกล้เคียง แต่การที่เตรียมเรือไว้เช่นนี้ไม่ ทันกับเวลา เพราะเมื่อเขาได้ลงเรือหนีไป ก็ถูกจับตามทาง ดัง ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ฟังในตอนหลังต่อไป

ส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่ได้ทำตามคำแนะนำของตัวข้าพเจ้าเองและเหตุใดข้าพเจ้าจึงได้ปล่อยเรือออก ไปถึง ๔ ลำโดยไม่ได้อาศรัยไปกับเรือเหล่านั้น การที่เปนเช่นนี้ ก็คงเปนเพราะเหตุว่า ข้าพเจ้ากลัวเขาจะหาว่าข้าพเจ้าตื่นอย่าง ๑ กลัวว่าเขาจะหาว่าข้าพเจ้ารังเกียจเมืองมะริดอย่าง ๑ และกลัวว่า



(หน้า ๒๘)

ว่าด้วยพม่ายกเข้ามาและเกิดการปล้นสดมภ์ขึ้น

จะทำให้ มองซิเออร์ อันดรีเออ น้อยใจอีกอย่าง ๑ เพราะเหตุ มองซิเออร์ อันดรีเออ เชื่อใจแน่ว่าพวกพม่าคงจะไม่มาจึงเกรงว่าข้าพเจ้าจะกีดขวางในการที่มองซิเออร์อันดรีเออจะเข้าไปกรุงศรีอยธยาด้วยเหตุทั้งปวงเหล่านี้ข้าพเจ้าจึงได้รอจนผลที่สุด ซึ่งเปนการทำให้ข้าพเจ้าได้รับ ความลำบากมาก
ในวันที่ ๑๐ เดือนมกราคม มองซิเออร์อันดรีเออ คิดจะให้พวกเข้ารีดหายกลัว จึงได้เรียกพวกเข้ารีดที่จะไปกรุงศรีอยุธยากับมองซิเออร์อันดรีเออ
มาบอกว่าอีกสองสามวันจะได้ออกจากเมืองมะริด เข้าไปกรุงศรีอยุธยา
เพราะฉะนั้นการที่กลัวพวกพม่าไม่ควรจะกลัว เพราะการที่ว่า พม่าจะมานั้น ไม่มีมูลอะไรเลย
แต่ในเวลาที่มองซิเออร์อันดรีเออ พูดเช่นนี้ ความจริงข้าศึกก้ได้ยกเข้ามาใกล้แล้วพวกพม่า ยกเข้ามาเกิดการปล้นสดมภ์ขึ้น-


พวกพม่ายกเข้ามา เกิดการปล้นสดมภ์ขึ้น

-เมื่อคืนวันที่ ๑๐ ถึง ๑๑ (มกราคม) เวลาประมาณ ๒ ยาม เกิดเสียงคนร้องเอะอะเกรียวกราวขึ้น เข้าใจกันว่าข้าศึกได้เข้าเมือง แล้ว พวกเราจึงได้เดิรไปดูที่ชายตลิ่ง จึงได้ทราบว่าการเอะอะ เกรียวกราวนี้ ก็คือกระบวนเรือของรายาเมืองทวายมาถึงนั้นเอง แต่พวกชาวเมืองซึ่งลงไปอยู่ในเรือเพื่อจะได้หนีง่าย ๆ นั้น ได้ทราบ ข่าวมาว่าพวกข้าศึกได้ยกมาถึงปากน้ำแล้ว แต่อีกสักครู่ ๑ เสียง



(หน้า ๒๙)

เล่าลืออันนี้ก็สงบลงไป เมื่อเกิดเสียงเอะอะเกรียวกราวกันนั้น พวกเข้ารีดก็ได้รีบลงไปอยู่ในเรือและพวกชาวบ้านก็ได้ออกจากบ้านหนี เข้าไปอยู่ในป่า ส่วนเรือของเจ้าเมืองทวายนั้นได้ทอดอยู่ริมตลิ่ง ไม่มีใคร ทราบว่าเจ้าเมืองทวายได้หนีขึ้นบกแล้ว หรือได้ลงเรือลำอื่นอย่างไร พวกเราก็เข้านอนโดยไม่ทราบแน่ว่าได้เกิดอะไรกันขึ้นแต่ไม่ช้าก็ ต้องลุกขึ้นจากที่นอนอีก ครั้นเวลาประมาณ๑๐ ทุ่ม (๔ ก.ท.) ก็ได้เกิดเสียงเอะอะเกรียวกราวเหมือนเเมื่อ ๒ ยามอีกครั้ง ๑ แต่คราวนี้ไม่ใช่แต่เสียงเกรียวกราวอย่าเดียว แต่ได้ยินเสียงปืนใหญ่ด้วยซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าพวกพม่า ได้เข้ามาแล้ว มองซิเออร์อันดรี ออซึ่งนอนอยู่ในห้องข้างหน้าได้ มาเรียกให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นและบอกว่าข้าศึกมาแล้ว มองซิเออร์ อันดรีเออ จึงฉวยเสื้อยาวสวมตัวแล้วลงไปที่โบสถ์และข้าพเจ้าก็ ตามลงไปด้วย พวกเข้ารีดบางคนที่ยังอยู่ ก็ได้ตามเข้าไปในโบสถ์ มองซิเออร์อันดรีเออจึงได้ชี้แจงให้พวกเข้ารีดตั้งใจสละชีวิตให้แก่พระเปนเจ้าและได้ล้างบาปให้แก่พวกเข้ารีด แล้วมองซิเออร์อันดรีเออ กับข้าพเจ้าก็ได้ไปอยู่ในที่อื่นเพื่อต่างคนจะได้ล้างบาปให้ซึ่งกันและกันแต่การที่จะล้างบาปกันนี้ต้องทำอย่างสั้นที่สุด เพระาไฟที่ข้าศึก ได้จุดเผาบ้านราษฎรนั้น ได้ลุกลามไหม้มาเกือบจะถึงเราอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเมื่อเวลายังมีอยู่ก็ควรคิดอ่านหนีเอาชีวิตรอดข้าพเจ้าจึงได้รวบรวมเงินที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อย ไปส้อนไว้ข้างต้นไม้ต้น ๑ -



(หน้า ๓๐)

ว่าด้วยพวกมิชชันนารีถูกพม่าจับ

-ที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเพลิงดับหมดแล้วจะได้ย้อนกลับมาเอาเงินรายนี้ ได้ แล้วข้าพเจ้าจึงได้รีบเรียกคนใช้ให้ไปในป่ากับข้าพเจ้าคน ๑ และสั่งให้คนใช้เอาปืนติดตัวไปด้วยเพื่อจะได้เอาไว้ยิงเสือ ในเวลาที่ข้าพเจ้ายืนเรียกคนใช้อยู่ที่เชิงบันไดนั้น พอเหลียว ไปดูทางประตูก็ได้เห็นข้าศึกยืนอยู่แน่นที่ประตูแล้ว พวกข้าศึกจึงเดิรตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า บางคนถือหอก บางคนถือไต้ แต่ไต้ที่ถือมา นั้นจะสำหรับเผาบ้านหรือสำหรับส่องดูทางก็ไม่ทราบเพราะเวลานั้น ยังมืดอยู่ข้าพเจ้าก็หมดความคิดที่จะหนีต่อไป ข้าพเจ้าจึงเดิร ตรงเข้าไปหาข้าศึกที่เดิรนำหน้า เพื่อนคนใช้ของข้าพเจ้าพูดภาษา พม่าได้ ข้าพเจ้าจึงได้ให้บอกกับทหารพม่าว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการสู้ ทหารพม่าก็หาได้ทำอะไรไม่เปนแต่บอกให้ข้าพเจ้าส่งหมวกให้ ข้าพเจ้าห็ถอดหมวกส่งให้ทันที แต่พวกทหารที่ตามหลังมานั้นหา ได้มีอัธยาศรัยดีเหมือนคนแรกไม่ เพราะพวกนี้ได้รีบเข้าไปใน บ้านเพื่อจะปล้นเอาของ จึงได้ไปพบมองซิเออร์อันดรีเออ ๆ ก็ได้ มอบลูกกุญแจ ให้พวกพม่าเปิดหีบและโต๊ะตู้ตามชอบใจพวกพม่า ได้ฟันหีบสำหรับเก็บถ้วยเงินและเครื่องประดับโบสถ์และได้เก็บเอา ของไปหมดไม่มีเหลือเลย ข้าพเจ้าก็เดิรเข้าไปในห้องเพื่อไปเปิด หีบให้ข้าศึกดู พอเดิรก้าวเข้าไปในห้อง ทหารพม่าคน ๑ เข้าใจ ว่าข้าพเจ้าคิดจะไปส้อนของ จึงได้เงื้อหอกจะแทงข้าพเจ้า ข้าพเจ้า



(หน้า ๓๑)

จึงทำกิริยาให้ทหารเห็นว่าข้าพเจ้าจะเก็บของส่งให้ ทหารคนนั้นจึง ได้เดิรเข้าไปในห้องพร้อมกับข้าพเจ้า เมื่อพบสิ่งใดก็เก็บเอาไปหมด ส่วนข้าพเจ้าเก็บได้แต่สมุดสวดมนต์ คัมภีร์ใบเบอลกับสมุดอีก ๓ เล่มเท่านั้น เพราะจะป้องกันไม่ให้หนังสือเหล่านี้ไหม้ไฟ และ ข้าพเจ้าคิดอ่านจะรักษาเสื้อซึ่งแต่งกายอยู่ในเวลานั้นด้วย แต่ ในทันใดนั้นเองพวกพม่าได้มาถอดเครื่องแต่งตัวออกจากตัวข้าพเจ้า ตั้งแต่ศีร์ษะตลอดถึงท้าว เหลือแต่เสื้อเชิ๊ตติดตัวอยู่กับหมวกกลมติด ศีร์ษะอยู่เท่านั้น ข้าพเจ้าได้ร้องว่าการเปลือยกายเช่นนี้เปนการขายหน้าและข้าพเจ้าจะไปไหนโดยแต่งตัวอย่างนี้ไม่ได้ แต่พวกพม่า หาฟังไม่ ข้าพเจ้าจำเปนต้องเดิรออกไปนอกถนนโดยสวมเสื้อเชิ๊ด อยู่ตัวเดียว กางเกงหรือรองท้าวก็ไม่มี บรศีร์ษะก็สวมหมวก มือก็ถือสมุดที่ได้กล่าวมาข้างบนนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าใจได้ว่าพวก พม่าข้าศึกคงจะจับเอาเราไปเปนเชลย และการที่พวกพม่าไม่ล้าง ชีวิตเสียนั้น ก็โดยเขากรุณาพออยู่แล้วพวกพม่าได้บังคับให้ เราเดิรออกหน้า พอเราออกจากบ้านแล้ว พวกพม่าก็ได้เอาไฟเผาบ้าน ทีเดียว ในระหว่างทางนั้นข้าพเจ้าได้พบทหารพม่าคน ๑ ถือเสื้อยาวตัวเก่า ๆ ของมองซิเออร์อันดรีเออตัว ๑ ข้าพเจ้าจึงได้ขอเสื้อตัวนี้พอ จะได้คลุมกายให้มิด และได้อธิบายว่าเสื้อตัวนี้ไม่เปนประโยชน์ อะไรแก่ทหารผู้นั้นเลย ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนหนักเข้าขนทหารผู้นั้นก็



(หน้า ๓๒)

ยอมให้เสื้อแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าได้รับเสื้อมาบังกายแล้ว ก็นึก ยินดีว่าคัมภีร์ใบเบอล ก็ยังอยู่ เพราะในเวลาที่ข้าพเจ้าต้องเปนเชลย อยู่นั้น จะได้อ่านใบเบอล ให้เพลินใจได้ แต่ที่ข้าพเจ้าคาดการ เช่นนี้ก็มิได้สมหวัง เพราะข้าพเจ้าเดิรไปยังไม่ถึง ๒๐ ก้าว ก็มี ทหารอีกคน ๑ มากระชากสมุดเหล่านี้ออกจากมือ แล้วทำกิริยาบอก ให้ข้าพเจ้าเดิรกลับไปริมตลิ่ง เพื่อไปลงเรือพร้อมกับมองซิเออร์ อันดรีเออ แต่เวลานั้นเปนเวลาที่น้ำแห้ง จึงต้องเดิรท่องโคลน ลึกถึงหัวเข่ากว่าจะไปถึงเรือลำที่เขาจะให้ข้าพเจ้านั่งไป การที่เดิร ท่องโคลนเช่นนี้เปนการที่ข้าพเจ้าไม่ได้เคยฝึกหัดมาเลย เพราะฉนั้น ถ้าคนใช้ ๒ คนที่ยังอยู่กับเราไม่ได้มาช่วยแล้ว เราสองคนก็คงจะต้อง ล้มจมโคลนเปนแน่ มองซิเออร์อันดรีเออได้หันมาบอกกับข้าพเจ้า ว่าให้คอยไปพร้อม ๆ กันอย่าให้ห่างกันได้ ข้าพเจ้าจึงตอบว่า ถึง เราจะไม่อยากห่างกันก็เห็นจะไม่ฟัง พวกพม่าคงแยกไม่ให้เราอยู่ด้วยกันเปนแน่ ในทันใดนั้นได้มีคนตะโกนมาจากตลิ่งให้เรากลับขึ้นบกเพื่อจะได้ไปพูดกับแม่ทัพ จึงจำเปนต้องเดิรท่องโคลนกลับไปอีก ครั้น มาถึงตลิ่งแล้วพวกพม่าได้บังคับให้เราลงนั่งกับดิน เพื่อเปนการ แสดงเคารพต่อท่านแม่ทัพ แต่ก็หาได้มีใครบอกไม่ว่าเวลาที่นั่ง กับดินนั้นจะต้องวางขาท่าไหน จึงเปนการไม่ปลาดเลยที่ข้าพเจ้านั่ง ไม่ถูกท่า ซึ่งเปนการทำให้ข้าพเจ้าต้องถูกหวดด้วยหวายเพื่อให้



(หน้า ๓๓)

ข้าพเจ้าลดขาลงให้ต่ำ ท่านแม่ทัพเองเปนผู้เอาหวายหวดข้าพเจ้า ก่อนที่ถูกหวายหวดนี้ข้าพเจ้าได้ถูกกำปั้นทุบหน้ามาที ๑


พวกมิชชันนารีถูกแม่ทัพซักถาม ความวิตกของมิชชันนารี

แม่ทัพพม่าได้ถามเราถึงเรื่องเรือที่จอดอยู่ใกล้ๆ เพราะเรือ เหล่านี้ไม่มีเวลาพอที่จะถอนสมอได้ จึงได้ตัดสายสมอเพื่อจะได้หนี ไปง่าย ๆ เมื่อเราได้ตอบคำถามหมดทุกข้อแล้ว แม่ทัพพม่า ได้ชี้ตัวข้าพเจ้า และส่งให้ข้าพเจ้าไปกับทหารพม่าเพื่อไปตีเรือ เหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงได้ตอบว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักวิธีรบอย่างไรเลย จึงได้มีทหารอีกคน๑ พูดว่ากระไรไม่ทราบ แต่เชื่อว่าเขาคงบอกว่า ข้าพเจ้าเปน ปองกุย แปลว่าเปนบาดหลวงของพวกเข้ารีด แม่ทัพ พม่าจึงไม่ได้รบกวนข้าพเจ้าอีก แต่ได้ให้คนใช้ของข้าพเจ้าไปแทนข้าพเจ้าคน ๑ แล้วพวกพม่าได้ทำกิริยาบอกให้เราลุกขึ้น ทหาร พม่าจึงไม่ได้พาเราเดิรระหว่างไฟซึ่งกำลังไหม้บ้านเรือนอยู่ ไปจนถึงสุดถนนริมน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะลงเรือต่อไป ตามทางที่ไป นั้นมีอยู่แห่ง ๑ ซึ่งไฟยังไม่ไหม้ ข้าพเจ้าได้พบกางเกงเก่า ๆ ตัว ๑ ซึ่งได้มีคนทิ้งหรือทำตกไว้ ข้าพเจ้าจึงขอบใจพระเปนเจ้าที่ทำให้



(หน้า ๓๔)

ว่าด้วยมองซิเออร์อาลารีทำลายศิลาจารึกประจาน

ข้าพเจ้าได้ของเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องเปลือยกาย เพราะแต่ก่อนก็ได้เสื้อ ยาวมาตัว ๑ แล้ว พวกพม่าได้พาเราไปไว้กลางตลาด เท้าต้องจมโคลนอยู่ตั้งแต่สว่างจนเกือบเช้า ๔ โมงพวกพม่าได้ให้เราอยู่ต่างหากไม่ได้ปะปน กับคนอื่น จึงได้เกิดเสียงลือขึ้นว่าพม่าได้ฆ่าเราตายเสียแล้วข่าวลือ อันนี้ได้ไปจนถึงเรือซึ่งจะไปยังฝั่งคอรอมันเดล ดังเราได้ทราบมา ในภายหลัง แต่เวลานั้นก็หมดโอกาศที่จะบอกความจริงไปให้ มองซิเออร์มาธอน(๑) ทราบได้ และเราก็หมดปัญญาไม่ทราบว่า จะบอกไปทางไหนด้วย


มองซิเออร์อาลารีทำลายศิลาจารึก

พวกพม่าได้พาพวกเข้ารีดอื่นๆมารวมอยู่แห่งเดียวกันกับเราและเราต้องคอยอยู่ที่เมืองมะริดถึง ๑๕ วันเพราะคอยให้กองทัพ พม่ากลับมาจากเมืองตะนาวศรีเสียก่อน จึงจะพาเราไปยังเมืองทวาย ในระหว่างที่อคยอยู่นั้น พวกพม่าได้ปรึกษากันถึง ๒ ครั้งว่าจะฆ่า เราดีหรือจะพาเราไปด้วยดี ลงท้ายได้ตกลงกันว่าจะพาเราไป เพราะ ที่เมืองทวายมีเรือพม่าอยู่ลำ ๑ ซึ่งว่าง เพราะฉนั้นจึงเห็นกันว่าสมควรจะเอาเชลยบันทึกเรือลำนี้เพื่อเอาไปถวายพระเจ้าอังวะ
.......................

(๑) เปนอัยการของคณะต่างประเทศเมืองปอนดิเซริ



(หน้า ๓๕)

จดหมายมองซิเออร์แคแฮว่าด้วยช่วยไทยรบพม่า

ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสอันนี้ทำลายศิลาจารึก ซึ่งได้รอดมาตั้งแต่ครั้งสงครามคาวก่อนนั้นแล้ว เมื่อกองทัพพม่ามาถึงแล้ว เราก็ได้รีบลงเรือ ได้รออยู่ในเรือ ๒ วัน ครั้นตอนกลางคืนวันที่ ๒ พวกพม่าจึงได้ถอยเรือออกและ เมื่อได้ถอยเรือไปแล้ว พวกพม่าได้เอาไฟเผาบ้านที่ยังเหลืออยู่ เพราะบ้านเหล่านี้พวกพม่าไม่ได้เผาแต่เดิม ด้วยรักษาไว้สำหรับให้ ทหารและพวกเชลยพัก เมื่อพม่าถอยทัพแล้วจึงได้เผาบ้านเหล่านี้ จนหมดสิ้น



(หน้า ๓๖)

กรุงศรีอยุธยา
มองซิเออร์แคแฮเวช่วยไทย

จดหมายมองซิเออร์แคแฮเว ถึง มองซิเออร์ เดอลาลาน
วันที่ ๑๙ เดือน พฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๖๕ (พ.ศ. ๒๓๐๘)

ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่ง ที่ได้รู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าไม่เปนประโยชน์สำหรับคณะบาดหลวงนี้เลย เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงคิดพยายามออกจากกรุงศรีอยุธยาในปีนี้ ปต่การที่พวกพม่าได้ยกทัพ มานั้นจึงเปนการกระทำให้เรือออกไปไม่ได้จนลำเดียว และฝ่ายเจ้าพระยาพระคลังก็ได้รับพระราชโองการฝห้เรียกข้าพเจ้าไปช่วยทำป้อมและฝึกหัดการยิงปืนใหญ่ด้วย เจ้าพระยาพระคลังจึงได้บอกข้าพเจ้าว่าจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้าออกจากรุงศรีอยุธยา ข้าพเจ้าไม่ เต็มใจเลยที่จะทำการชนิดนี้ แต่พวกเพื่อนบาดหลวงได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าทำการให้ถูกใจเจ้าพระยาพระคลัง เพราะต้องการเอาใจเจ้าพระยาพระคลังไว้ เพื่อให้นำความกราบทลขอพระราชทานที่ดิน อีกแห่ง ๑ สำหรับสร้างโรงเรียน ข้าพเจ้าจึงได้ไปช่วยทำป้อมและ ช่วยฝึกหัดการยิงปืนใหญ่บ้างเปนครั้งเปนคราว



(หน้า ๓๗)

จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ว่าด้วยพม่ายกทัพมาอีก

จดหมายมองเซนเยอร์บรีโกต์ ถึง ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
พม่ายกทัพมา

ด้วยมองซิเออร์ อันดรีเออ กับ มองซิเอออาลารี มิชชันนารีฝรั่งเศส ได้เล่าถึง การที่พม่ามาตี เมืองมะริด และได้จับมิชชันนารีทั้ง ๒ ไปยัง เมืองมอญ แล้ว เพราะฉนั้น จดหมายฉบับนี้เท่ากับ เปนจดหมายเหตุ ต่อจากจดหมายเหตุของมิชชันนารีทั้ง ๒ นั้น

เมื่อก่อน มองซิเออร์ อันดรีเออ กับมองซิเออร์อาลารี จะออกจากเมืองทวาย นั้น เจ้าเมืองทวาย ได้ส่งกองทัพให้เข้ามาตี กรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่า ได้เดิรทางข้ามป่าข้ามเขาเปนอันมาก
จนถึงเดือนมีนาคม จึงได้ปล้นเมืองราชบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งเปนเมืองอยู่ทางทิศใต้กรุงศรีอยุธยา ทัพพม่าและทัพไทยได้ต่อสู้กันอย่างสามารถ จนทัพไทยแตกหนีไปแล้ว พวกพม่าจึงปล้นและเผาบ้านเมืองทั่งทุกหนทุกแห่ง
แม่ทัพพม่าจึงได้ยกทัพไปสร้างเมืองขึ้นเมือง ๑ เรียกว่า เมือง มีชอง (Michong) อยู่ตรงกับแม่น้ำ ๒ แม่น้ำมาต่อกัน แต่ในระหว่างที่พม่าปล้น และเผาเมืองราชบุรีและกาญจนบุรี นั้น ข้างฝ่ายกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้เตรียมการอย่างใด
เพราะได้ทราบว่าพม่าได้ยกออกจาก เมืองตะนาวศรี และมะริดแล้ว
ครั้นวันที่ ๗ เมษายนไทยจึงได้ลงมือเตรียมการสู้ ตลอดจนถึงเดือนมิถุนายน ในระหว่างนั้นได้มีพวกราษฎร ซึ่งเปนชาวบ้านนอก เข้ามาอาศรัยในกรุงวันละมาก ๆ



(หน้า ๓๘)

เพราะเหตุว่า พวกพม่าคอยไล่จับรุกเข้ามาทุกที ฝ่ายสังฆราชฝรั่งเศส เห็นว่าจะไม่พ้นอันตรายแล้ว จึงได้ให้บาดหลวงฝรั่งเศส ๒ คน ชื่อมองซิเอร์ แคแฮเว และมองซิเออร์ อาโต คุมนักเรียน ๓๐ คน หนีไปอยู่เมืองจันทบุรี
เพราะเมืองจันทบุรีนี้เปนหนทางเหมาะสำหรับ จะหนีต่อไปที่อื่นได้ง่าย และในที่สุดบาดหลวงทั้ง ๒ นี้ก็ได้หนีจากเมืองจันทบุรี เข้าไปอยู่ในเมืองเขมร
บาดหลวงทั้ง ๒ ได้คุมนักเรียนออกจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อปลายเดือน มิถุนายน และที่คุมไปได้นั้น ก็นับว่าเคราะห์ดีถ้าช้าไปอีกหน่อยเดียวก็จะออกจากกรุงศรีอยุธยาไม่ได้เลย เพราะทางราชการได้สั่งไปตามด่านต่าง ๆ ให้คอยกักคนไว้ อย่าให้ใครเข้าออกได้เปนอันขาด
เพราะฉนั้นเรือ ๒ ลำซึ่งบันทุกสมุดต่าง ๆ ที่สังฆราชจะส่งออกไปที่ท่าเรือนั้น จึงได้ถูกจับที่ด่านภาษี และต้องกลับขึ้นมาที่กรุงอีก พอมาถึงกรุง เรือนั้นก็จมลงพอดี
ฝ่ายพม่าข้าศึกก็ยกทัพเข้ามาทีละน้อย หวังจะให้ขาดเสบียงในกรุง เพราะพวกพม่าได้ทำลายทุ่งนาบ้านเรือนโดยรอบกรุง ถ้าไทยจะคิดตัดเสบียงพวกข้าศึกแล้ว ก็จะทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็ไม่เห็นไทย คิดจัดการอย่างใดเลย
ในระหว่างนี้ มีนักพรตจีนเข้ามายังกรุงศรีอยุธยารูป ๑ กับจีน ๔ คนชาวตั๋งเกี๋ยว ๔คน เพื่อมาเล่าเรียนในโรงเรียนของเรา ท่านสังฆราช จำต้องรับไว้เพราะจะส่งกลับออกไปไม่ได้ และเวลานั้นครูก็ไม่มี
ท่านสังฆราชจึงได้สอนนักเรียน ๘ คนนี้ด้วยตัวเอง



(หน้า ๓๙)

ว่าด้วยอังกฤษช่วยไทยรบพม่า

เมื่อนักพรตจีนคนนี้ได้มาถึงกรุงศรีอยุธยาได้สักสองสามวัน พวกพม่า ข้าศึกได้มาเอาไฟเผาสวนที่บางกอก และทำลายป้อมทั้งเปาสวน และปล้นบ้าเนรือนไม่ละเว้นเลย ตลอดตั้งแต่ท่าเรือจอดจนถึง ชานพระนคร โรงเรียนใหม่หลัง ๑ ซึ่งเราได้สร้างขึ้น กับไม้สำหรับสร้าง โรงเรียนอีกหลัง ๑ ก็ถูกพม่าเอาไฟเผาเสียหมดสิ้น


ชาวอังกฤษชื่อ ปอเน

ฝ่ายข้าศึกก็ได้กลับถอยไปอยู่ที่เมืองที่ได้สร้างขึ้นใหม่ เพราะ แม่ทัพพม่าอยู่ณที่นั้น และไฟที่พวกพม่าได้จุดไว้ยังไม่ทันดับก็มี นายเรืออังกฤษคน ๑ ชื่อ ปอเน ได้นำเรือใหญ่ลำ ๑ เล็กลำ ๑ บันทุกสินค้าเข้ามายังกรุง นายเรือนคนนี้ได้นำสัตว์ไลออนตัว ๑ ม้าอาหรับม้า ๑ เข้ามาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉนั้นเจ้าพนักงาร จึงยกเว้นไม่เก็บภาษีแก่นายเรือคนนี้ แต่สินค้าที่นายเรือพาเข้ามา นั้นขายไม่ใคร่ได้ ถ้าจะขายก็ต้องขาดทุน แต่ถึงดังนั้นพระเจ้ากรุง สยามก็รับสั่งขอให้นายเรืออังกฤษคนนี้อยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ฝ่ายชาวอังกฤษคนนี้เฟ็นการอ่อนแอของไทยก็มีความรังเกียจไม่อยากจะช่วย และยิ่งเห็นว่าพวกฮอลันดาได้รีบหนีออกจากเมือง นายเรืออังกฤษก็ยิ่งรังเกียจมากขึ้น ตั้งปต่ต้นปีมาแล้วพวกฮอลันดาได้ พยายมต่อเรือขึ้นลำ ๑ ครั้นต่อเรือเสร็จเมื่อเดือนตุลาคมจึงเตรียม การที่จะหนี ณวันที่ ๑ เดือนพฤศจิกายนเวลากลางคืน พวกฮอลันดา


(หน้า ๔๐)

จึงลอยลงเรือ และได้แล่นเรือฝ่าด่านภาษีหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปได้ นายเรืออังกฤษจึงได้ขออนุญาตไปอยู่ที่ห้างฮอลันดาและไทย ก็ได้อนุญาตให้ไปอยู่ตามขอ แต่ค่าโสหุ้ยของนายเรืออังกฤษคนนี้ ต้องจ่ายมากที่สุด เพราะในระหว่างที่พม่าล้อมอยู่เช่นนี้ เสบียง อาหารแพงเปนอันมาก แต่ส่วนที่บ้านบาดหลวงเสบียงอาหารอุดม เพราะพวกบาดหลวงได้เตรียมเสบียงไว้ให้พอเลี้ยงนักเรียนและพวกเข้ารีด พวกบาดหลวงอยากจะได้เด็กของพวกที่ไม่ได้เข้ารีดให้เอามาเข้ารีดเสีย จึงได้ทำทานแก่คนที่ไม่ได้เข้ารีด เพราะฉนั้นในกรุงศรีอยุธยาและตำบลใกล้เคียง บาดหลวงจึงได้ให้น้ำมนต์รับเด็กเข้ารีดปี ๑ ถึงหมื่น คนเศษ แต่ในเวลานั้น มิชชันนารีที่ยังเหลืออยู่ในกรุงมีแต่ สังฆราชคน ๑ มองซิเออร์ คอร์ คน ๑ กับบาดหลวงชาติจีนคน ๑ เท่านั้น
ฝ่ายรัฐบาลไทย ก็ได้จัดกองทัพให้ออกไปต่อสู้กับข้าศึกหลายกอง แต่กองทัพเหล่านี้พอไปเห็นกองทัพพม่าก็แตกกลับมาเท่านั้น

ครั้งนั้นมีเจ้าไทยองค์ ๑ ซึ่งได้ถูกเนรเทศไปอยู่ เกาะลังกา ได้กลับเข้ามายังเมืองไทย เกลี้ยกล่อมผู้คนรวบรวมไว้ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือของกรุง เจ้าองค์นั้นจึงได้ให้นำความกราบทูลพระเจ้ากรุงสยาม ขอรับอาสาต่อสู้กับพวกพม่า ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยาม ทรงเห็นว่า การที่เจ้าองค์นี้มาอาสาดังนี้ เปนการองอาจ ก็กริ้ว จึงได้ทรงจัดกองทัพให้ไปจับเจ้าองค์นี้ ทัพกรุงและทัพของเจ้าได้ต่อสู้กันหลายครั้ง



(หน้า ๔๑)

บางทีก็ชนะบางทีก็แพ้ทัพของเจ้า และในเวลานั้นก็เกิดเสียงลือกัน ขึ้นด้วย ว่ากองทัพพม่าเต็มไปด้วยคนไทยซึ่งได้รับความเดือดร้อน เอาใจออกห่างจากไทยไปเข้ากับพม่า เรือลำใหญ่ของมิสเตอร์ ปอเน ได้ทอดสมอ อยู่ที่ลำน้ำใต้กรุงศรีอยุธยาตรงกับบางกอก
ครั้นเมื่อวันที่ ๒๔เดือนธันวาคม อยู่ดี ๆ ไม่ทันรู้ตัว พวกพม่าข้าศึกก็มาตีเรือ พวกเรือก็ได้ต่อสู้อย่างสามารถ แต่ถึงจะทำอย่างไรก็สู้พม่าไม่ได้ เพราะพม่าได้ไปยึดป้อมไว้ได้และได้เอาปืนใหญ่ ๆ ไปตั้งบนป้อมเพื่อจะยิงเรืออังกฤษ เจ้าพนักงารในเรือเห็นเช่นนั้น จึงได้จัดการลากเรือขึ้นไปตามลำแม่น้ำ
และ เมื่อไปถึงที่แห่ง๑ พวกอังกฤษก็เตรียมการที่จะป้องกันมิให้พวกพม่าตั้งป้อมได้ โดยอังกฤษใช้วิธียิงกราดลงไปทั้ง ๒ ฝั่ง เรือลำเล็กนั้นจอดอยู่หน้า และมิสเตอร์ ปอเนซึ่งแต่ก่อนทำอิดออดก็เปนอันตกลงจะอยู่ช่วยไทยรักษากรุง แต่ขอให้ไทยส่งกระสุนปืนใหญ่กับกระสุนดินดำให้มาก ๆ กับขอปืนเล็กกับกระสุนด้วย
ไทยก็ยอมจัดปืนให้ แต่ไม่ครบตามจำนวนที่อังกฤษต้องการ แต่ไทยได้สัญญาว่า การที่จะให้ส่งปืนและกระสุนดินดำนั้น อังกฤษจะต้องขนเอาสินค้าขึ้นไปเก็บในพระคลังหลวง
มิสเตอร์ ปอเน ไม่เต็มใจ แต่ก็ขัดไม่ได้ จึงได้ให้ขนสินค้าขึ้นฝากไว้ที่พระคลังหลวง ๓๘ หีบ ของที่ยังเหลืออยู่นั้นมิสเตอร์ ปอเน ได้ขนลงไปรวบรวมไว้ในเรือ และตัวมิสเตอร์ ปอเน ก็ได้ลงไปอยู่ในเรือ-


(หน้า ๔๒)

ว่าด้วยพม่าล้อมกรุง ฯ

-ได้สู้รบกับพม่ากว่าเดือน ๑ จึงได้มีจดหมายถวายพระเจ้ากรุงสยามขอปืนใหญ่และกระสุนดินดำเพิ่มขึ้นอีก ฝ่ายไทยทราบอยู่ว่าข้าศึก จะยกเข้ามาตีกรุงอีกด้าน ๑ ไม่เกี่ยวทางด้านที่เรืออังกฤษจอดอยู่ ทั้งยังไม่ค่อยจะไว้ใจอังกฤษนัก จึงไม่ยอมให้ปืนตามที่อังกฤษขอมา มิสเตอร์ ปอเน ก็โกรธมาก แล้วได้ส่งหนังสือคล้าย ๆ กับเปนการประกาศไปยังเสนาบดี จึงได้ถอนสมอล่องเรือลงไปตามลำน้ำ และในตอนล่อง เรือนั้นได้ให้ขึ้นไปริบของจากเรือสำเภาจีนรวม ๖ ลำ แต่ลำ ๑ เปนเรือของพระเจ้ากรุงสยาม นอกนั้นเปนเรือซึ่งมาจากประเทศจีนเพื่อมา ค้าขายในประเทศสยาม จึงได้มาจอดรออยู่ที่อ่าวสยาม


พม่าล้อมกรุง

พวกพม่าได้ยกทัพมีพลมากมายก่ายกองกระจายอยู่เต็มบ้านเต็ม เมืองดุจน้ำไหลอย่างเชี่ยว
เมื่อปี ค.ศ.๑๗๖๖ (พ.ศ. ๒๓๐๙) พม่าได้สร้างป้อมล้อมกรุงไว้ ๓ แห่ง แต่ถึงดังนั้น เสบียงอาหารในกรุงก็ยังบริบูรณ์ จะมีคนตายด้วยอดอาหารก็เพียงคนขอทานเท่านั้น
เพราะฉนั้น เมื่อวันที่ ๑๔ เดือนกันยายน ข้าศึกจึงได้ยกมาตั้งติดประชิดกรุง ห่างจากกำแพงเมืองเพียงระยะทางปืนใหญ่เท่านั้น และก็ตั้งมั่นคอยจับผู้คนเสบียงพาหนะซึ่งจะผ่านไปมา



(หน้า ๔๓)

ว่าด้วยพวกเข้ารีดต่อสู้พม่า

ความประพฤติของพวกเข้ารีด

พวกเข้ารีดโดยมากมีหน้าที่รักษาเชิงเทิน ซึ่งเปนการหาประโยขน์มิได้ เพราะการศึกครั้งนี้ ได้รบกันนอกกำแพงเมือง ภายหลัง พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานปืนใหญ่ให้แก่วัดเข้ารีด ๓ วัด ซึ่งอยู่ นอกกำแพงพระนคร รวมเปนปืน ๓๐ กระบอกพร้อมทั้งลูกกระสุนดินดำ และได้พระราชทานปืนไปให้พวกจีนซึ่งมีอยู่ ๖๐๐๐ คน เพราะพวกจีนได้ขออนุญาต เอาห้างพวกฮอลันดากับวัด ซึ่งอยู่บนเนินสูงสำหรับตั้งเปนค่าย
ยังไม่ใช่แต่เท่านั้น ไทยยังให้เงินแก่พวกจีน ๒ หมื่น แฟรง และให้เงินแก่พวกเข้ารีด ๕๐๐๐ แฟรง เพื่อขอให้พวกจีน และพวกเข้ารีดคอยป้องกัน และสู้รบกับข้าศึกจนกว่าจะเลิกสงคราม
แต่นั้นแหละ พวกเข้ารีดมีเพียง ๘๐ คนเท่านั้น ใน ๘๐ คนนี้ก็ต้องแยกกันอยู่ตามวัดถึง ๓ แห่ง ซึ่งล้วนแต่อยู่ห่าง ๆ กันสุดทางปืนทั้งนั้น และคนเหล่านี้ ก็มิได้เคยได้รับการฝึกหัดในวิธีทำสงครามเลย
เพราะ ฉนั้นพวกเข้ารีดจะทำอะไรได้ แต่ถึงดังนั้น พวกเข้ารีดก็ถือปืนเล็ก คนละกระบอกและเคยยิงปืนใหญ่ด้วย พวกเข้ารีดได้สู้รบกับพวกพม่าอย่างวิธีกองโจร
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พวกข้าศึกได้ยกพลมาเปนอันมาก และได้มายึดวัดใหญ่ ๆ ใกล้กับวัดเข้ารีดไว้ ๒ วัด
การที่ไทยทำวัดไว้มาก ๆ รอบพระนครดังนี้ เปนการที่คิดการผิดโดยแท้ แต่ส่วนวัดเข้ารีดและค่ายพวกเข้ารีดนั้น ได้เอาเสาและไม้กระดานล้อมไว้อย่างแน่นหนา



(หน้า ๔๔)

แต่ถึงดังนั้น ข้าศึกยังไม่ได้เหยียบเข้ามาถึงค่ายเข้ารีดเลย พวกไทยและจีนก็ตื่นตกใจเสียแล้ว แต่ข้อที่น่าปลาด อยู่นั้นก็คือ กระสุนปืนได้ตกลงมาในค่ายพวกเข้ารีดเปนอันมาก แต่ก็หาได้ถูกผู้ใดไม่ และในค่ายนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คนเพราะไม่ได้มีแต่ฉเพาะพวกเข้ารีดพวกเดียว พวกที่ไม่ได้เข้ารีด ก็ได้มาอาศรัยอยู่ในค่ายเปนอันมาก เพราะพวกนี้อยากมาอยู่ในค่ายพวกเข้ารีด มากกว่าอยู่ในพระนคร

เมื่อวันที่ ๑๓ เดือนพฤศจิกายน พวกข้าศึกได้ไปยึดวัดใหญ่ วัด ๑ ซึ่งอยู่ตรงกับโรงเรียนสามเณร พวกเข้ารีดได้ต่อสู้อย่างสามารถแต่ทานกำลังพม่าไม่ไหว พวกข้าศึกจึงได้เอาปืนยิงวัดพวกเข้ารีด ซึ่งเรียกว่า วัดเซนต์โยเซฟ จนทลุปรุไปหมด ฝ่ายพวกเข้ารีด ก็ได้เอาปืนยิงวัดไทย ที่พวกข้าศึกตั้งมั่นอยู่และได้จับช้างของข้าศึกได้มา ๑ เชือก
แต่เมื่อวันที่ ๗ เดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๗๖๗ (พ.ศ. ๒๓๐๙) พวกเข้ารีดได้เสียทีแก่ข้าศึก คือ พวกที่อยู่ยามได้พากันหลับหมด พวกข้าศึกจึงได้กรูกันเข้ามาเอาไฟเผาค่ายของท่านสังฆราช

บรรดาพวกเข้ารีดทั้งชายและหญิงก็ได้พากันหนีไปอาศรัยใน วัดเซนต์โยเซฟ และอาศัยในเขตบ้านของบาดหลวง แต่ได้มีคนเข้ารีดคน ๑ มีความชล่าใจจะกลับไปยังบ้านของตัว จึงถุกพวกข้าศึกจับได้และข้าศึก ก็ได้ฆ่าเสียโดยไม่มีเมตตาจิตเลย ฝ่ายที่รักษาค่ายสังฆราช ได้ต่อสู้ข้าศึกอย่างสามารถและได้เอาปืนระดมยิงข้าศึก จนข้าศึก-



(หน้า ๔๕) -ได้ล่าถอย ไปตีพวกจีนในค่ายฮอลันดาต่อไป