ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๙ หมวด ฆ

จาก วิกิซอร์ซ

  • จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยบาดหลวงเข้ามาตั้งในบางกอกและว่าด้วยความอัตคัดในเมืองไทย หน้า ๖๙
  • ว่าด้วยพวกจีนเที่ยวขุดทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์เที่ยวหาทรัพย์แผ่นดิน " ๗๑
  • จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยเจ้าตากพระราชทานที่ดินให้พวกบาดหลวง " ๗๒
  • จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยเจ้าตากเที่ยวปราบปรามซ่องใหญ่ต่าง ๆ " ๗๔
  • จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยพระเจ้าตากไปตีเมืองนครศรีธรรมราช " ๗๗
  • ว่าด้วยพระเจ้าตากเสด็จมาเยี่ยมพวกบาดหลวง " ๘๑
  • ว่าด้วยพระเจ้าตากทรงดำริห์จะซ่อมพระพุทธบาท " ๘๒
  • ว่าด้วยไทยชอบทรงเจ้า " ๘๓
  • จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยพรเจ้าตากตีเมืองคันเคา " ๘๔
  • จดหมายมองเซนเยอร์เลอบองเรื่องให้ส่งมัชชันนารีเข้าไปกรุงสยาม " ๘๗
  • จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง ว่าด้วยเดิรทางมาสยาม " ๘๗
  • จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง ว่าด้วยเข้าเฝ้าพระเจ้าตากและถวายของ " ๘๙

––––

(หน้า ๖๙)

จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยบาดหลวงเข้ามาตั้ง ในบางกอกและว่าด้วยความอัตคัดใน เมืองไทย

การพยายามที่จะตั้งคณะบาดหลวง ขึ้นในเมืองไทยอีก มองซิเออร์คอร์กลับไปยังเมืองไทย การเปนไปของเมืองไทย

จดหมายมองซิเออร์คอร์
ถึงมองซิเออร์มาธอน
วันที่ ๘ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒)

ทางที่จะไปเมืองไทยจากเมืองคันเคาเปนอันไปไม่ได้แล้ว เพราะเหตุว่าเจ้าเมืองคันเคาได้เกิดอริกับผู้ที่คิดจะเอาราชสมบัติไทย ข้าพเจ้าจึงได้ลองเดิรทางเมืองป่าสัก เพราะที่นั่นมีเรือจีนอยู่ลำ ๑ จวนจะแล่นใบไปยังเมืองไทยอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ ๑๖ เดือนมกราคม ข้าพเจ้าได้ลามองเซนเยอร์เดอคานาธ และข้าพเจ้าได้ลงเรือเมื่อ วันที่ ๒๒ เดือนมกราคม
และเมื่อวันที่ ๔ เดือนมีนาคมก็ได้ไปถึง บางกอก และได้ไปพักที่บ้านคนเข้ารีดชาติปอตุเกตคน ๑
รุ่งขึ้นกำลังข้าพเจ้าจะลงมือสวดมนต์ ก็ได้รับพระราชโองการให้ข้าพเจ้าไปเฝ้าและได้มีเรือมามารับข้าพเจ้าด้วยลำ ๑
ข้าพเจ้าจึงจำเปนต้องเลิกการสวดมนต์และรีบไปเฝ้าตามรับสั่ง

พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานเงินให้แก่ข้าพเจ้า ๒๐ เหรียญ เรือลำ ๑ กับที่สำคัญปลูกวัดแห่ง ๑ เงิน -



(หน้า ๗๐)

- ๒๐ เหรียญนั้นข้าพเจ้าได้รับไว้แล้ว
แต่ของอื่น ๆ ยังมาไม่ถึงและของเหล่านั้นก็คงจะไม่ได้จนกว่าจะได้ให้เงิน หรือของแก่เจ้าพนักงาร
พวกไทยเห็นจะไม่ทิ้งนิสัยเปนแน่ อย่างไร ๆ ก็คงจะหาข้อแก้ตัวที่จะขัดพระราชโองการให้จงได้
เพื่อจะถ่วงเวลาให้ได้รับของกำนันเสียก่อนเท่านั้น

ข้าพเจ้าได้เห็นพวกเข้ารีดในค่ายของเราและค่ายปอตุเกตุ ซึ่งอยู่ใกล้กับป้อมที่บางกอกเหลืออยู่ ๑๔ คนเท่านั้น
นอกนั้นเที่ยวกระจายอยู่ทั่วไปหมด พวกนี้ก็ได้มาหาข้าพเจ้าโดยมาก ข้าพเจ้าได้นับพวกเข้ารีดมาหาข้าพเจ้าถึง ๑๐๘ คน
เมื่อพวกเข้ารีดที่หนีไปเมืองเขมรได้กลับมาเมื่อไร ก็คงจะรวบรวมพวกเข้ารีดได้ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ หรือ ๔๐๐ คน

ค่าอาหารการรับประทานในเมืองนี้แพงอย่างที่สุด เวลานี้
เข้าสารขายกัน ทนานละ ๒ เหรียญครึ่ง คนที่หาการเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างนั้นถึงจะหมั่นสักเพียงไร ก็จะหาเพียงซื้ออาหารรับประทานแต่คนเดียวก็ไม่พอ
เมื่อเปนเช่นนี้บุตรภรรยาจะเปนอย่างไรบ้าง พวกที่อ้างตัวว่าเปนปอตุเกตุนั้นดูเหมือนจะเดือดร้อนมากกว่าคนอื่นมาก
เพราะพวกนี้ไม่ละความเกียจคร้าน หรือลดหย่อนความหยิ่งของตัวเลย ร้องแต่ว่าทุนไม่มี จึงไม่ได้ทำอะไร นอกจากนอนขึงอยู่บนเสื่อ ตั้งแต่เช้าจนเย็น
ส่วนพวกเข้ารีดของเรานั้นพอเอาตัวรอดได้ เขาไม่ได้รบกวนใครแต่ทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวไป
ฝ่ายพวกจีนและ -



(หน้า ๗๑)

ว่าด้วยพวกจีนเที่ยวขุดทำลายพระพุทธรูปและ พระเจดีย์เที่ยวหาทรัพย์แผ่นดิน

- พวกไทยเห็นว่าการหาเลี้ยงชีพเปนการฝืดเคือง จึงได้หันเข้าหาวัดโดยมาก
เพราะพวกไทยด้วยความเชื่อถืออะไรของเขาอย่าง ๑ ได้เอาเงินและทอง บัญจุไว้ในองค์พระพุทธรูปเปนอันมาก
เงินทองเหล่านี้บัญจุไว้ในพระเศียรก็มี ในพระอุระก็มี ในพระบาทก็มี และตามพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้บัญจุไว้มากกว่าที่อื่น

ท่านคงจะคาดไม่ถูกเปนแน่ว่า พวกไทยได้เอาทองเที่ยวซุกซ่อนไว้เปนจำนวนมากมาย สักเท่าไร
ฝ่ายพวกเข้ารีดไปถือเสียว่า ถ้าตัวได้ทำความดีในชาตินี้ เท่าไร ก็คงได้รับความดีคืนตั้งร้อยเท่า จึงไม่ได้คาดการล่วงหน้า เหมือนอย่างไทย

ในพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้นมีคนพบเงินถึง ๕ ไหและทอง ๓ ไห ผู้ใดทำลายพระพุทธรูปลงแล้ว ไม่ได้เหนื่อยเปล่าจนคนเดียว
เพราะฉนั้นโดยเหตุที่พวกจีนมีความหมั่นเพียร และเปนคนชอบเงินมาก
ประเทศสยามยังคงบริบูรณ์อยู่เท่ากับเวลา ก่อนพม่ายกเข้ามาตีกรุง ทองคำเปนสิ่งที่หาง่ายจนถึงกับหยิบกันเล่นเปนกำ ๆ

ราคาทองคำซื้อขายกันราคา ๘ การัต พระเจดีย์เปนเหมือนเตา สำหรับหล่อพระพุทธรูปด้วย ทองเหลืองและทองแดง
ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยถ่านและเศษทองแดง และตามทางเดิร ดำยิ่งกว่าปล่องไฟเสียอีก
พระราชธานีของเมืองไทย ตลอดทั้ง วัดวาอาราม และบ้านของเรากับ ค่ายปอตุเกต เหมือนกับเปนสนามอันใหญ่ ที่มีคนขุดคุ้ยพรุนไปทั้งนั้น



(หน้า ๗๒)

ข้าพเจ้าได้ไปที่โรงเรียนสามเณรแล้ว จึงได้เห็นด้วยตาของ ตนเองว่าผนังวัดยังดีอยู่ และมีคนที่เข้าใจได้บอกกับข้าพเจ้าว่ายังจะซ่อมแซมได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักเท่าใดเลย ส่วนบ้านบาดหลวง นั้น ชั้นบนถูกเพลิงไหม้และผนังไม้นั้นก็ถูกไหม้หมด ข้าพเจ้าจึง สงสัยว่าชั้นบนจะไม่มีกำลังพอที่จะรับเครื่องบนได้ ที่นี้จะหาอะไร หรือทำธุระอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว นอกจากจะมีของไว้สำหรับ ทำของกำนัน เพราะเปนธรรมเนียมของเมืองนี้และเปนการไม่ สมเกียรติยศของเมืองไทยที่จะไปหาขุนนางราชการโดยไม่มีของ ไปให้ ถ้าได้มีปืนดี ๆ ถวายต่อผู้ที่จะเอาราชสมบัติก็จะเปนสิ่งที่โปรดมาก สำหรับข้าราชการนั้นถ้าเอาปืนธรรมดาไปให้กับศิลาสำหรับ ปืนสักถุง ๑ ก็พอแล้ว ถ้าเอาของไปให้ก็คงจะได้เนื้อที่ดินหรือ ของอื่น ๆ ตามต้องการทุกอย่าง

......................


จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยเจ้าตากพระราชทาน ที่ดินให้พวกบาดหลวง

จดหมายมองซิเออร์คอร์
ถึงมองเซนเยอร์บรีโกต์
บางกอกวันที่ ๑ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒)

เมื่อข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองไทยได้เห็นราษฎรพลเมืองซึ่งได้รอดพ้นมือพม่าไปได้นั้น ยากจนเดือดร้อนอย่างที่สุด
ในเวลานี้ดูเหมือนดินฟ้าอากาศจะช่วยกันทำโทษพวกเรา ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ชาวนาได้หว่านเข้าถึง ๓ ครั้ง
ก็มีตัวแมลงคอยกินรากต้นเข้า และ -



(หน้า ๗๓)

- รากผักทุก ๆ อย่าง โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมมีทั่วทุกหนทุกแห่ง เพราะ ฉนั้นถ้าจะไปไหนจะต้องมีอาวุธติดมือไปด้วยเสมอ

เมื่อวันที่ ๔ เดือนมีนาคม ปีนี้ (๒๓๑๑) ข้าพเจ้าได้มาถึงบางกอก พร้อมกับนักเรียนสามคนกับไทยเข้ารีดคน ๑ ที่ฝั่งคลองใกล้ กับป้อมนั้น
ข้าพเจ้าได้พบคนเข้ารีดประมาณ ๑๐๐ คน ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงความเดือดร้อนร่างกายของพวกนี้ จะกล่าวถึงแต่ความเดือดร้อนแห่งวิญญาณของเขา
พวกนี้โดยมากไม่ใคร่ได้ไปฟังสวดแล้ว และการปฎิบัติก็ไม่แปลกกันกับพวกที่ไม่ได้เข้ารีดเลย
พวกผู้หญิงสาว ๆ ที่รอดพ้นมือพม่าไปได้นั้น ก็ตกไปอยู่กับพวกจีนกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง และการปฎิบัติของเขานั้น ก็เอาอย่างของนายเข้าสุก

เมื่อข้าพเจ้าได้มาถึงบางกอก พระยาตากเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ได้ทรงต้อนรับข้าพเจ้าเปนอย่างดีและโปรดให้ข้าพเจ้าเลือกที่ดินตามชอบใจ
ข้าพเจ้าได้เลือกที่ไว้แห่ง ๑ เหนือหมู่บ้านพวกเข้ารีด แต่กิจการณ์ของพระเยซูจะให้สำเร็จไปทีเดียวไม่ได้
ข้าพเจ้า จึงได้พยายามหาที่อื่นต่อไปอีกหลายแห่ง
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๔ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒) ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐
พระยาอินทวงศา (Phia Inta Vonisa) ได้มาตรวจวัดปักเขตที่ดินของข้าพเจ้า แต่พวกไทยก็ยังร้องคัดค้านอยู่นั่นเอง

เมื่อวันที่ ๑๗ เดือน -


๑๐


(หน้า ๗๔)

- กันยายน
พระยาอิทวงศาได้กลับมาอีก และไก้ตรวจวัดปักเขตเสร็จในวันนั้นเอง เพื่อจะให้เปนที่ระฦกของวันนั้น ซึ่งเปนฤกษ์อันดีของสาสนาเราในเมืองไทยนั้น
ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะได้ให้พรแก่วัดของเรา แต่ข้าพเจ้าเปนคนจน และจะทำอะไรไม่ได้นอกจากเปนหนี้เขา
แต่เพื่อจะกันไม่ให้คนไทยบ่นได้ ข้าพเจ้าจึงได้สร้างบ้านเล็ก ๆ ขึ้น สักหลัง ๑

ข้าพเจ้าต้องอ้อนวอนขอให้ท่านเปนธุระในลูกศิษย์ของท่านให้มาก ๆ ข้าพเจ้าไม่มีเชิงเทียนหรือเครื่องประดับวัดอย่างใดเลย
และพวกเข้ารีดก็ตาย เพราะอดอาหารเปนอันมาก ข้าพเจ้าก็ได้จัดการช่วยเหลือพวกเข้ารีดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาถึงเมืองไทยตลอดจนถึงเดือนกันยายน ข้าพเจ้าสู้อดไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลย รับประทานแต่ปลาบ้างเล็กน้อยทุก ๆ วัน
ส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ได้ซื้อหาอะไรเลย ได้ซื้อแต่เพียงเข้าสารเท่านั้น และเข้าสารที่ซื้อไว้นั้น ก็หาเพียงพอไม่
ข้าพเจ้าได้เรียกคนมายังโรงเรียนเพื่อช่วยกันขนเสา และขื่อรอดซึ่งไม่ได้ไหม้ไฟไปเก็บรักษาไว้

.......................

จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยเจ้าตากเที่ยวปราบปราม ซ่องใหญ่ต่าง ๆ

จดหมายมองซิเออร์คอร์
ถึงมองซิเออร์เลอฟิศกาลเดอมาลากา
วันที่ ๑ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒)

ในเวลาที่พวกพม่าข้าศึกหนีจากกรุงศรีอยุธยานั้น พระยา -



(หน้า ๗๕)

- ตาก ก็ได้เตรียมการที่จะตั้งตัวเปนใหญ่ต่อไป โดยรวบรวมเกลี้ยกล่อมผู้คนที่ยังหนีกระจัดกระจายอยู่ แล้วจึงได้ไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองจันทบุรี
จากเมืองจันทบุรี พระยาตากได้ยกไปที่ เมืองเทียงออย ( Thieng-ioi ) แล้วยกไปที่ บางปลาสร้อยแล้วจึงเลยไปถึงบางกอก

เมื่อพระยาตากยกทัพไปถึงตำบลใด ก็ได้แจกจ่ายเงินทองทั่วไปทุกแห่ง กองทัพพระยาตากจึงมีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
เมื่อพระยาตากได้เกลี้ยกล่อมผู้คนไว้ได้มากแล้ว จึงได้ตั้งต้นคิดการใหญ่ต่อไป

ในตอนแรกการได้ดำเนิร สมความคิดเปนที่เรียบร้อยทุกอย่าง ใคร ๆก็มาอ่อนน้อมหมด ไม่มีใครขัดแขงไว้เลย
ครั้นพระยาตากยกทัพ ขึ้นไปถึงเมืองนครราชสิมา ๆ ก็ยอมอ่อนน้อมโดยดีหาต้องรบพุ่งไม่

พระยาตาก จึงได้ให้จับ เจ้ากรมเทพจิตร์ (Chau Krom Tep-chit) ซึ่ง เปนเจ้าไทยเคยหนีไปอยู่ เมืองบาตาเวียมาครั้ง ๑ แล้ว
ครั้นพระยาตากกลับมาถึงบางกอก จึงได้ให้ตัดศีร์ษะ กรมหมื่นเทพพิพิธเสีย

ครั้นเมื่อเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๖๘ (พ.ศ. ๒๓๑๑)
พระยาตากได้เกิดอริ กับเจ้าเมืองคันเคา จึงได้ยกกองทัพไปตีเมืองคันเคา เพื่อทำโทษเจ้าเมือง
เปนธรรมเนียมของพระยาตากอย่าง ๑ ซึ่งต้องคุมกองทัพไปด้วยพระองค์เองเสมอ ครั้นเสด็จไปถึงเมืองคันเคา ก็ได้ทรงมีชัยชนะ
ผู้ใดทำผิดพระยาตากก็ลงโทษเสียสิ้น
ในระหว่างที่ พระเจ้าตากพระเจ้าแผ่นดินใหม่ของกรุงสยาม ได้ทรงทำให้บ้านเมืองใกล้เคียง สทกสท้านกลัวเดชนุภาพไปหมดนั้น



(หน้า ๗๖)

พวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ต้องรับความเดือดร้อน ต้องล้มตายวันละมาก ๆ เพราะอาหารการกินอัตคัดกันดารอย่างที่สุด
ในปีนี้ ได้มีคนตายมีจำนวนมากกว่า เมื่อครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา
เหตุที่คนตายมากนักนั้นก็คือ เพราะเงินทองที่บัญจุไว้ตามพระเจดีย์ หมดเสียแล้ว

เมื่อปีก่อนและในปีนี้ พวกจีนและไทยไม่ได้หากินอย่างอื่น นอกจากเที่ยวทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์
พวกจีนได้ทำให้เงินทองในเมืองไทยไหลไปเทมา และการที่ประเทศสยามกลับตั้งตัวได้เร็วเช่นนี้ ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน
ถ้าพวกจีน ไม่ใช่เปนคนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้ ก็คงไม่มีเงินใช้เปนแน่ เพราะพวกพม่าได้ขนไปจนหมดสิ้น

เพราะฉนั้น การที่ได้มีการค้าขายกันในทุกวันนี้ ก็เปนเพราะพวกจีน ได้ไปเที่ยวขุดเงินทองที่ฝังไว้ตามดินและบัญจุไว้ตามพระเจดีย์นั่นเอง

เมื่อพวกจีนได้ทำลายวัดภูไทย (Vat Phu Thia) ซึ่งเปนวัดใหญ่อยู่ใกล้กับ โรงเรียนสามเณรนั้น ข้าพเจ้าได้กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว
ในวัดนี้เมื่อทำลายลงแล้ว พวกจีนได้พบทองเปนอันมากพอบันทุกเรือยาวได้ถึงสามลำ
ในวัดที่พระ เจ้าแผ่นดินทรงผนวชเรียก วัดประดู่ (Vat Padu) วัดเดียวเท่านั้นได้ พบเงินถึง ๕ ไห และวัดอื่นๆ ก็มีเงินทุกวัด มากบ้างน้อยบ้าง พวกจีนเท่ากับทำสงครามกับพระพุทธรูป ที่หล่อด้วยทองแดง
เครื่องมือของจีนที่ ทำลายพระพุทธรูปนั้น ก็คือ บานหน้าต่างบานประตูและเสาโบสถ์



(หน้า ๗๗)

วัดต่างต่างเวลานี้เปรียบก็เท่ากับเตาไฟ ฝาผนังก็ดำหมด และตามลานวัดก็เต็มไปด้วยถ่าน
และพระพุทธรูปหักพังเปนชิ้นเล็กชิ้นน้อย พระเจ้ากรุงสยามองค์ใหม่ ได้หาจัดการป้องกันสาสนาไทยตามที่ควรทำไม่ เพราะเหตุว่าทรงเกรงว่าคนจะเอาใจออกห่าง

..........................

จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยพระเจ้าตากไปตีเมือง นครศรีธรรมราช

จดหมายมองซิเออร์คอร์
ถึง ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
บางกอกวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๗๗๐ (พ.ศ. ๒๓๑๓)

เมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาถึงเมืองไทยได้หลายเดือน ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวดูในพระราชธานี ได้พบจำนวนเด็กเปนอันมากที่อดอยากอย่างที่สุด
ในระหว่างที่เข้าอยากหมากแพงนั้น เด็กพวกนี้ได้รับน้ำมนต์เข้ารีดจำนวน ๔๐๐ คน
เด็กเหล่านี้โดยมากเปนบุตรของชาวบ้านนอก ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ได้พามาจากหัวเมืองในเวลาที่เสด็จไปปราบหัวเมืองเหล่านั้น

คนเหล่านี้เปนชาวเมือง พิษณุโลก และชาวเมือง นครราชสิมา ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้พาลงมาเปนเชลย เพื่อจะให้คนในกรุงแน่นหนาขึ้น
เพราะตั้งแต่ครั้งรบกับพม่า ในกรุงหมดผู้หมดคน เหลือแต่เสือและสัตว์ป่าอยู่ เท่านั้น

คนที่ต้องมาเปนเชลยนั้น หมดทางที่จะทำมาหากิน เพราะมาอยู่ในภูมิประเทศใหม่ซึ่งไม่เคยได้อยู่เลย เพราะฉนั้นคนเหล่านี้จึงจวน -



(หน้า ๗๘)

- จะตายด้วยอดอาหารการกิน และไม่มีใครที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือพวกนี้เลย ในเวลาที่พวกนี้กำลังทุกข์ร้อนอยู่เช่นนี้
จะไปพูดการสาสนาด้วยก็เห็นจะป่วยการเปล่า เพราะพวกนี้ไม่ต้องการอะไร นอกจากจะรับประทานอาหารเท่านั้น
คือต้องการเข้าสุกสำหรับตัวรับประทานเอง กับบุตรหลานหาต้องการหยูกยาอย่างใดไม่
เมื่อพวกนี้เห็นเราเข้าเมื่อใด ก็อดที่จะด่าและเยาะเย้ยเราไม่ได้

ว่าด้วยพระเจ้าตากไปตีเมือง นครศรีธรรมราช

พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ได้เสด็จด้วยพระองค์เองไปปราบเมือง นครศรีธรรมราช พวกเข้ารีดของเราทุกคนต้องถูกเกณฑ์ไปทัพ ตามเสด็จ
ข้าพเจ้าอยู่ในกรุงเทพ ฯ คนเดียวกับบุตรภรรยาของพวกเข้ารีดที่ไปทัพ เท่านั้น
นอกนั้นจะหาคนแจวเรือหรือ หาคนสำหรับตำยาผสมยา สักคนเดียวก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าก็หมดทุนรอนแล้ว เพราะฉนั้น ในปีนี้จึงไปเที่ยวให้น้ำมนต์เด็กเพื่อรับเข้ารีดไม่ได้

เมื่อครั้งพม่ามาตีกรุงนั้น ได้ทำลายวัดและพระพุทธรูปลงบ้าง แต่เล็กน้อยเท่านั้น แต่การดี อันนี้คือ
การทำลาย วัดและพระพุทธรูปนั้น พวกจีนและพวกไทย ได้ทำการ ต่อพวกพม่าอีก
การที่ได้เห็นคน ทำลายวัดและพระพุทธรูป เช่นนี้ ทำให้ นักพรตของพระเยซู มีความสบายใจมากขึ้น
เพราะเท่ากับ เห็นผู้ที่ นับถือเปรต ได้ทำลาย เปรต ซึ่งเปนที่นับถือ ของตนเอง

บรรดาพระพุทธรูปและพระเจดีย์ ซึ่งได้ปิดทองกันอย่างงดงาม บัดนี้ก็ได้ทำลายหักพังเปนผงธุลีไปหมดแล้ว ตามวัดวาอารามก็ร้างไปหมด



(หน้า ๗๙)

เพราะพวก พระสงฆ์ ได้หนีทิ้งวัดไปสิ้น ผ้าเหลืองเวลานี้ ไม่ใคร่มีใคร จะนับถือเหมือนแต่ก่อนแล้ว
และถ้ามีใคร ขืนครองผ้าเหลืองในเวลานี้ ก็ต้องอด
การที่เปนเช่นนี้ ไม่ใช่ แต่ฉเพาะในกรุงและตำบลใกล้เคียง แต่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จยกทัพไปที่แห่งใดก็เปนเช่นนี้ทั่วไป
เช่นเมือง พิษณุโลก นครราชสิมา เพ็ชรบุรี นครศรีธรรมราช และ เมืองภูเก็จ เปนต้น

การที่ วัดวาอาราม รกร้างว่างเปล่า และพระพุทธรูป ต้องทำลายลงเช่นนี้ เปนการกระทำให้เราหวังดี สำหรับสาสนาของเรา ในภายหน้าต่อไป
เพราะเวลานี้ บรรดาพระเจดีย์และพระพุทธรูปได้ถูกทำลายลงหมดแล้ว

ด้วยพวกจีนทราบได้ดีว่า ทองเงินของรูปพรรณ ได้บัญจุไว้ที่แห่งใดบ้าง และ พวกจีนก็ มิได้เลือกที่เลย
ของ มีที่ไหน ก็ทำลายสิ่งนั้นลงโดยไม่ละเว้น เมื่อทำลายแห่งนี้ลงแล้ว พวกจีนก็หยุดพอหายใจให้หายเหนื่อยสักหน่อย
ก็ไปทำลายสิ่งอื่นหาทรัพย์ต่อไปอีก

เมื่อพระเยซู ได้โปรดให้ทำลายสิ่ง ที่ทำให้คนตาบอด เช่นนี้ จะไม่ทำให้พวกนี้ใจอ่อน และรู้สึกถึงคุณความดีของพระองค์ทีเดียวหรือ
ข้าพเจ้าเห็นว่า เวลาบุคคลมิจฉาทิฐิ จะได้กลับใจได้ นั้นจวนจะมาถึงอยู่แล้ว บางทีความปราถนาของเรา จะทำให้เราหลงในสิ่งที่ผิดก็จะเปนได้
แต่เพื่อจะไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิด เราจึงต้องเล่าตามเรื่องที่เราได้เห็นแก่ตา นิสัยของคนไทยนั้น
เปนคนโกงไม่จริงต่อใคร มีน้ำใจอย่างต่ำ -



(หน้า ๘๐)

- เลวทรามและขี้ขลาด ทำการเอาหน้าแต่จะเอาจริงสักอย่างก็ไม่ได้
พวกเราต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอุบายและความหลอกลวงของคนไทย

เมื่อเราเห็นสิ่งใดถูกหรือยุติธรรม เราก็ทำไปและ ต้องระวังมิให้ไทยหลอกลวงเราได้
ถ้าไทยทำการสิ่งใดหรือพูดอย่างใด เราต้องคอยใคร่ครวญดูว่า ที่ไทยทำเช่นนั้นหรือพูดดังนั้น ไทยจะประสงค์อะไร

ได้มีคนไทยเปนอันมาก ได้มาขอให้เราสอนสาสนาให้ และ เราได้สังเกตกิริยา ทั้งประกอบกับรู้ว่า พวกนี้กำลังเดือดร้อนอยู่
จึงเชื่อว่า เขาจะมาพูดด้วยจริงใจ หาได้มาหลอกลวงไม่
และ พวกนี้ก็หมั่นสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น บาดหลวงได้ชี้แจงต่อพวกนี้ว่า
การที่จะทำหน้าแดงนั้น ไม่ควรจะทำ นอกจากตัวทำความผิด จึงควร ทำหน้าแดง ด้วยความอาย
แต่ในส่วนที่เขาต้องการมาเรียนสาสนานั้น ไม่เปนสิ่งที่ควรต้องอายเลย เพราะ การที่จะเปนลูกของพระเปนเจ้า และเปนน้องของพระเยซูนั้น
เปนสิ่งที่มี ราคามากกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของโลกนี้
กับการที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเปนคริสเตียน เปนเกียรติยศอันประเสริฐ ซึ่งเราควรจะหวังถึงอยู่เสมอ

และบรรดาพระเจ้าแผ่นดิน และพระเจ้าทั้งหลาย ทั่วไป ได้โปรดนามที่พระองค์เปนคริสเตียน ยิ่งกว่าเกียรติยศอย่างอื่นๆ มาก
การที่ได้ชี้แจงสั่งสอนดังนี้ พวกเราก็พยายามสอนให้คนไทยเข้าใจให้จงได้
และก็ดูเหมือนพระเปนเจ้า ได้บันดาลให้คนไทย ได้เข้าใจฝังใส่ใจ ไว้แล้ว
มีคนไทยคน ๑ ได้มาบอกกับ ข้าพเจ้าว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดพวกเข้ารีดมากกว่าพวกอื่น และ -



(หน้า ๘๑)

- คนไทนคนนี้ได้พูดต่อไปว่า "คนไทยต้องรักษาชาติตระกูลของตัว ไม่ควร จะไปได้สามีภรรยาต่างชาติต่างตระกูลของตัว
ถ้าคนเข้ารีด ไปได้สามีหรือภรรยาที่ไม่ได้เข้ารีดแล้ว ก็เท่ากับผู้นั้น ล้างตระกูลอันดีของตัว
จะเปนการร้ายยิ่งกว่า เอาแร่เหล็กกับเงินมาผสมกัน เสียอีก"

พวกเข้ารีดเก่า ๆ ของเรา ก็ดูดีขึ้น ได้มีผู้หญิงสาวคน ๑ ซึ่งขุนนางไทย อันมีทรัพย์มากคน ๑ ได้มาขอเปนภรรยา
หญิงผู้นี้จึงได้ตอบว่า "เกียรติยศของคนเข้ารีดสูงกว่าเกียรติยศของขุนนางผู้นี้มากนัก ถึงจะเอาเงินทองทรัพย์สมบัติมาให้สักเท่าไร
ก็ไม่ยอม เอาเกียรติยศคริศเตียนเข้าแลกเปนอันขาด
และยอมได้สามีที่เปนคริศเตียน อันยากจนดีกว่า ที่จะเปน มเหษีของพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่ได้ถือสาสนาคริศเตียน"

ว่าด้วยพระเจ้าตากเสด็จมาเยี่ยมพวกบาดหลวง 

เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคมปีนี้ (๒๓๑๓)
พระเจ้ากรุงสยาม ได้เสด็จมาเยี่ยม ข้าพเจ้าด้วยพระองค์เอง ซึ่งเปนการไม่เคยมีตัวอย่างมา(ก่อน)เลย
พวกขุนนางผู้ใหญ่ ก็ไม่กล้าจะมาสนทนากับ สังฆราช ที่บ้านบาดหลวง
พระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จมาในครั้งนี้ ได้ทอดพระเนตร์เห็นว่า ที่ของเราคับแคบมาก จึงมีรับสั่งให้รื้อศาลาซึ่งอยู่ในที่ของเราลงหลัง ๑
และรับสั่งให้ขุดคูเอาดินขึ้นถมที่ และให้ก่อผนังโบสถ์ซึ่งเปิดอยู่ทุกด้าน
แล้วได้รับสั่งสรรเสริญ ชมเชย พวกเข้ารีดเปนอันมาก คือรับสั่งว่า
"พวกเข้ารีด ลักขะโมยปล้น -


๑๑



(หน้า ๘๒)

- สดมภ์ไม่เปน และเปนคนที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญดี ทั้งสาสนาคริศเตียน ก็เปนสาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนี้"

แล้วพระเจ้ากรุงสยามจึงได้รับสั่งถามข้าพเจ้าว่า
เหตุใด เราจึงยอมให้ฆ่าสัตว์

ข้าพเจ้าจึงได้กราบทูลตอบว่า
พระเยซูเจ้าผู้เปนนายของสิ่งทั้งปวง ได้ สร้างสัตว์ไว้สำหรับให้เปนประโยชน์แก่มนุษย์ อันนี้เปนสิ่งที่เชื่อกันทุกประเทศ เพราะฉนั้นจะผิดไม่ได้

เมื่อข้าพเจ้าได้กราบทูลมา ถึงเพียงนี้ ได้สังเกตว่า ยังไม่ทรงเบื่อที่จะฟังต่อไป ข้าพเจ้าจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า
ถ้าไม่ยอมให้ฆ่าสัตว์แล้วไม่ช้าโลกเรานี้ก็จะไม่มีมนุษย์อยู่ เพราะเหตุว่า สัตว์กวางก็คงจะมารับประทานหญ้าและพันธุ์เข้าเสียหมด
ทำให้มนุษย์อดอาหารตาย ปลาก็จะตายตาม ลำน้ำลำคลอง ทำให้น้ำและอากาศเหม็นโสโครก เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นดังนี้

ในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้กราบทูลอยู่นั้น ทรงพลิกหนังสือทอดพระเนตร์อยู่ แล้วจึงรับสั่งว่า
"สาสนาคริศเตียนจะไม่ดีอย่างไรได้ อะไรของเขาดีไปหมด จนกระดาษที่เขาใช้ก็ดี "

ข้าพเจ้าจำได้ว่า แต่ก่อนได้เคยอ่านในพงศาวดาร ซึ่งเกี่ยวด้วยคณะบาดหลวงแห่ง ๑ ว่า
เมื่อครั้ง ต้นมะเดื่อใหญ่ อันเปนต้นไม้ซึ่งชาวกรุงโรมนับถือกันนักได้ล้มลงนั้น พวกบาดหลวง
ได้ถือว่าเปนลางอันดีสำหรับ การสาสนาของเราจะได้เจริญต่อไป

ว่าด้วยพระเจ้าตากทรงดำริห์จะซ่อมพระพุทธบาท

ก็ในเมืองไทย นี้มีที่อยู่แห่ง ๑ ซึ่งคนไทยนับถือกันนัก คือ เปนแห่งซึ่งไทยกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจนรอยพระบาทได้ติดอยู่ในที่นั้น -



(หน้า ๘๓)

- บัดนี้รอยพระบาทได้ทำลายพังลงมาแล้ว
พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ได้ตั้งพระไทยที่จะไปปฎิสังขรณ์ถึง ๓ ครั้ง แต่ก็คงจะเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งจะทำให้เสด็จไปไม่ได้ทุกคราว
ซึ่งทำให้ พระมารดาของพระองค์ เสียพระทัยนัก เพราะท่านพระมารดา ถือลางต่าง ๆ มาก
พวกโหร ได้ทำนายถวายว่า
ในเดือนพฤษภาคมอาหารการกิน จะมีราคาถูกลงมาก ครั้นถึงเดือน พฤษภาคมจริง อาหารการกินกลับมีราคาแพงขึ้นอีก
พระเจ้ากรุงสยามทรงมีพระราชประสงค์ จะหาวันดีสำหรับ พิธีเกศากันต์พระราชโอรส โหรได้ถวายฤกษ์ว่าวันที่ ๑๕ เมษายนเปนวันดี
แต่ในวันที่ ๑๕ เมษายน ที่โหรว่าเปนวันดีนั้น ฉเพาะเกิดเพลิงไหม้อย่างใหญ่ ซึ่งทำให้พวกจีนต้องฉิบหายเกือบหมดตัว

และยังมีการอื่นอีกหลายอย่าง ซึ่งพวกโหรได้ทำนายไว้แต่ก็ล้วนแต่ไม่จริงทั้งนั้น
พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงเห็นความเหลวไหลของพวกโหรแล้ว และพวกราษฏรพลเมือง ก็พากันล้อมพวกโหร ทั้งหมด
ถ้าข้าพเจ้าจะอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ชนิดนี้โดยละเอียดแล้ว ก็จะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย

และการเหล่านี้ก็จะเห็นได้ว่าพระเยซูได้บันดาลให้เปนเช่นนี้ เพื่อเปิดตาคนตาบอดให้สว่างขึ้น
และพวกเรา ก็คอยจับเหตุเหล่านี้ สำหรับให้เปนประโยชน์แก่สาสนาของเราอยู่เสมอ

ว่าด้วยไทยชอบทรงเจ้า

ยังมีคนเข้ารีดของเราคน ๑ ได้เอาของไปเที่ยวขายตามบ้านต่าง ๆ ครั้นเอาของไปเร่ขายในหมู่บ้านแห่ง ๑
ได้เห็นผู้คนมุงกันแน่น
คนเข้ารีดของเรา จึงได้เดิรไปดู บ้างก็เห็นคนๆ ๑ ว่า -



(หน้า ๘๔)

- เปนหมอดู ทำท่า จะกระโดดโลดเต้น เพื่อจะถามความจากเจ้า ที่จะเข้าทรง
คนเข้ารีด ของเราเคยได้ยินพูดบ่อย ๆ ถึงเรื่องหมอดูว่าดูได้แม่นยำอย่างประหลาด จึงเห็นว่าเปนโอกาศ อันดีจึงแอบเข้าไปดูบ้าง
เพื่อจะได้เห็นเท็จและจริงด้วยตาของตัวเอง แต่หมอดูคนนั้น จะกระโดดโลดเต้นสักเท่าไร เจ้าที่จะเข้าทรงก็หาเข้าไม่
จะมัวนอนหลับ หรือจะไปเที่ยวเสียแล้วก็ไม่ทราบ

คนทรงจึงร้องขึ้นว่า คงจะมีคนเข้ารีดอยู่ในที่นั่นคน ๑ เจ้ากลัวจึงไม่เข้าทรง พวกที่ดูอยู่นั้นก็เที่ยว ค้นก็มาพบคนเข้ารีดของเรา
เขาจึงเชิญคนเข้ารีดไปเสียให้พ้นจากที่นั่น คนเข้ารีดก็ต้องไปโดยไม่ได้ดูทรงเจ้าดังที่ปราถนาไว้
แต่ในเรื่องนี้ก็มีดีอยู่บ้าง เพราะผู้คนที่ดูทรงเจ้าเปนอันมากนั้น ต่างคนต่างประหลาดใจว่า คนเข้ารีดมีอำนาจมากมาย จนถึงกับเจ้ากลัว
ดังนี้

..........................


จดหมายมองซิเออร์คอร์ ว่าด้วยพรเจ้าตากตีเมืองคันเคา

จดหมายมองซิเออร์คอร์
ถึง ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๒๖ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๗๗๒ (พ.ศ. ๒๓๑๔)

ข้าพเจ้ายังรอให้มองเซนเยอร์เลอบองมาถึงเพื่อจะได้ไปยังเมือง ภูเก็จ ด้วยพวกไทยที่เมืองถลางได้เชิญให้ข้าพเจ้าไปเมืองถลาง หลายครั้งแล้ว ชาวถลางเหล่านี้เปนชาวประโมง ขอพระเปน เจ้าได้โปรดให้พวกนี้ได้นำทางในการสาสนาในประเทศนี้ เถิด อีกประการ ๑ ได้มีคนเข้ารีด ๒ คน มากับเจ้าเมืองภูเก็จก็ได้มาชักชวนให้



(หน้า ๘๕)

ข้าพเจ้าไปหาพวกเข้ารีดที่เมืองภูเก็จด้วย คนเข้ารีดทั้งสองนี้ได้มาแสดงตัวว่าเขาขึ้นอยู่ในความปกครองของพวกบาดหลวง และว่าพวกชาวเมืองภูเก็จจะมีความยินดีที่จะได้ฟังการสอนสาสนาเปนภาษาไทย ถ้าการที่ได้วุ่นวายมาแล้วได้สงบเรียบร้อยเมื่อไร ข้าพเจ้าจะมีความ ยินดีไปลองสอนสาสนาที่เมืองภูเก็จเปนอันมาก เมื่อวันที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ปีกลายนี้ (๒๓๑๔) พระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จยกทัพไปรบกับเจ้าเมืองคันเคา ทัพไทยและทัพญวน ได้สู้รบกันสามวัน ทัพไทยก็ได้เข้าไปยึดเมืองค้นเคาได้ ไทยได้ ฆ่าญวนเสียหมดสิ้น เว้นแต่พวกเข้ารีดมิได้ถูกฆ่า เพราะพวกนี้ ได้เข้าไปแอบอยู่ในวัดเข้ารีด ไทยได้ฆ่าผู้คนทำลายบ้านเรือน ทั่วไปหมด พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานพระราชานุญาตให้ ทหารเข้าปล้นบ้านเมืองมีกำหนด ๓ วัน และพระเจ้ากรุงสยามจึง ได้เก็บริบทรัพย์สมบัติในเมืองนั้นทั้งหมด สิ่งใดที่จะเอาไปไม่ได้ก็ได้ รับสั่งที่จะเอาไฟเผาและทำลายเสีย แต่เพอิญผู้ที่จะเอาไฟไปเผา บ้านเรือนนั้นได้ตายในไฟนั้นเอง ไฟได้ไหม้บ้านเมืองแต่แถบ เดียวเท่านั้นหาได้ไหม้ทั้งหมดไม่ ฝ่ายเจ้าเมืองกับบุตรนั้นหนีไป ได้ คน ๑ หนีทางบก คน ๑ หนีทางน้ำ ภายหลังเจ้าเมืองคัน เคาได้มีจดหมายมากราบทูลพระเจ้ากรุงสยาม ขอพระราชทานพระ ราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่บ้านเมืองอย่างเดิม พระเจ้ากรุงสยามก็ โปรดพระราชทานพระราชานุญาตให้เจ้าเมืองคันเคาได้กลับเข้ามา -



(หน้า ๘๖)

- อยู่ตามเดิม พวกไทยได้พาพวกญวนเข้ารีดซึ่งอยู่ในเมืองคันเคา มาด้วยรวม ๔๖ คน ล้นแต่เปนคนแก่ชราทั้งนั้น พวกเข้ารีด ๔๖ คนได้มาถึงเมืองไทยโดยอดอยากเหนื่อยล้าด้วยกันทุกคน แต่ พวกเข้ารีดของเราก็หมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้ และตัวข้าพเจ้า เองก็ยากจนยิ่งกว่าพวกนี้เสียอีก สามเณรมาแตง เปนพวกนักพรตคณะแซงฟรังซัว และเปนคนชาติเมืองสะเปนได้มากับพวกเข้ารีด ๔๖ คนนี้ด้วย สามเณรมาแตง คนนี้จะทำให้ข้าพเจ้าได้รับความลำบากเปนอันมาก แต่จะลำบากอย่างไรนั้นมองซิเออร์บัวเรต์คงจะได้เล่าให้ท่านฟังต่อไป สารเณร มาแตงคิดจะมาตั้งคณะอยู่ในเมืองนี้ และคิกจะพาพวกบาดหลวงคณะฟรังซิซแก็งมาจากมนิลาด้วย บางทีความคิดของเขาจะสำเร็จ ได้ เพราะพระเจ้ากรุงสยามก็ทรงเห็นชอบกับความคิดของเขา ขอ พระเปนเจ้าได้โปรดจัดการให้ความคิดอันนี้ได้เปนเกียรติยศต่อ พระองค์เถิด สามเเณรมาแตงกำลังคิดจะตั้งโรงพยาบาลให้สำเร็จ ก่อนมองเซนเยอเลอบองมาถึง พวกเข้ารีดในเมืองจันทบุรี ได้หนีไปหมดแล้วไม่ทราบว่าไปไหน พวกเข้ารีดของเราได้นำกระดูกของมองซเออร์อาโตมาที่นี่แล้ว



(หน้า ๘๗)

จดหมายมองเซนเยอร์เลอบองเรื่องให้ส่งมัชชันนารีเข้า ไปกรุงสยาม

การปฎิบัติของสังฆราชเลอบอง
เรื่องสังฆราชและมิชชันนารีถูกจำคุก
มองเซนเยอเลอบองมาถถึงกรุงสยาม
การต้อนรับของพระเจ้ากรุงสยาม


จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง
ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
เมืองปอนดีเชรี วันที่ ๑๓ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๗๐ (พ.ศ. ๒๓๑๓)

ตามที่ได้ข่าวมาจากมองซิเออร์กอร์ในเรื่องเมืองไทยนั้น จึงทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปเมืองไทยโดยเร็วอีกประมาณ ๑๕ วัน
ข้าพเจ้าจะได้ลงเรือแขกมัว ซึ่งจะไปยังบางกอก ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านส่งมิชชันนารีไปให้ข้าพเจ้าสักสองสามคน
เพื่อจะไปจัดการสาสนาในประเทศสยามและจัดคณะบาดหลวงในที่ต่าง ๆ ต่อไป
ข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านคงจะเปนธุระในเรื่องนี้ เพราะคณะบาดหลวงนี้ถือว่าท่านเปนหัวหน้าอยู่เสมอ


จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง ว่าด้วยเดิรทางมาสยาม

จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง9
ถึงบาดหลวงโชเวอแลง
เขียนกลางทะเล ระหว่างทางไปเกาะมะลากา วันที่ ๑๔ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๗๗๐ (พ.ศ. ๒๓๑๓)


(หน้า ๘๘)

ตามข่าวเมืองไทยที่ได้ทราบมาที่เมืองปอนดีเชรีนั้น ข้าพเจ้า ได้ทราบว่าเมืองไทยค่อยเรียบร้อยลงรอยเดิมเข้าบ้างแล้ว และว่ามิชชัน นารีของเราคน ๑ กลับไปเมืองไทยจากเมืองเขมรนั้น ไทยก็ได้ต้อนรับดีข้าพเจ้าจึงตั้งใจจะไปยังเมืองไทยเหมือนกัน มองซิเออร์ลอเจ้าเมืองปอนดีเชรี ได้มอบหนังสือให้ข้าพเจ้าฉบับ ๑ กับของต่าง ๆ มาจากประเทศยุโรป สำหรับไปถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินสยามองค์ใหม่ ในนามของประเทศฝรั่งเศส เพื่อเปนทางสำหรับจะได้ต่อพระราช ไมตรีได้มีมาแต่ก่อนในระหว่างประเทศทั้ง ๒ นั้นด้วย เพราะฉนั้นข้าพเจ้าเท่ากับได้รับตำแหน่งเปนราชทูตเหมือนกัน เมื่อวันที่ ๗ เอนมิถุยายน ข้าพเจ้าได้ออกเรือจากเมืองปอนดี เชรีจะไปเมืองมัทราส ซึ่งเปนเมืองท่าสำคัญของอังกฤษในทวีปอินเดีย เมื่อวันที่ ๑๐ ข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองมัทราส ท่านเจ้าเมืองอังกฤษได้แสดงไมตรีอันดีโดยส่งเรือให้ไปรับข้าพเจ้าขึ้นบก และได้เชื้อเชิญ ให้ข้าพเจ้าไปพักในเมือง ข้าพเจ้าได้ขอโทษในการที่จะไปตามคำ เชิญของเจ้าเมืองไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าได้รับปากว่าจะไปพักที่บ้านสังฆราชปอตุเกตเสียแล้ว และในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่เมือง มัทราส ๑๐ วัน ท่านสังฆราชปอตุเกตก็ได้เอื้อเฟื้อแก่ข้าพเจ้าทุกอย่าง เมื่อวันที่ ๒๐ ข้าพเจ้าได้ลงเรือมาจากมาเก๊าลำ ๑ เรือลำนี้จะเดิรทางเกาะมะลากา เมื่อถึงเกาะมะลากาแล้วข้าพเจ้าต้อง ถ่ายเรือสำหรับไปยังเมืองไทยต่อไป



(หน้า ๘๙)

เรือได้ตกค้างอยู่ในช่องมะลากา ๑๕ วัน เพราะเหตุว่าลมไม่ พัดมาเลย


จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง ว่าด้วยเข้าเฝ้าพระเจ้าตาก และถวายของ

จดหมายมองเซนเยอร์เลอบอง
ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
เมืองไทยวันที่ ๑ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๗๒ (พ.ศ. ๒๓๑๕)

ข้าพเจ้าได้มาถึงเมืองไทยตั้งแต่วันที่ ๒๒ เดือนพฤษภาคม ปีกลายนี้ พร้อมกับมองซิเออร์กาโนต์ มองซิเออร์คอร์ ซึ่งเปนมิชชันนารีหนีไปอยู่เมืองเขมร เมื่อครั้งไทยรบกับพม่าเมื่อปี ๑๗๖๔ (พ.ศ. ๒๓๐๘) นั้น
ได้กลับเข้ามาอยู่ในเมืองไทยกว่า ๒ ปีมาแล้ว มองซิเออร์คอร์ ได้นำเรือไปรับเราที่สันดอน ๒ ลำ และได้พาเราขึ้นไปยังบางกอก
ซึ่งเปนเมืองที่เจ้าตากได้ไปสร้างเปนราชธานีขึ้นใหม่

จดหมายของมองซิเออร์ลอ เจ้าเมืองปอนดีเชรีกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าพเจ้าได้รับมาสำหรับถวายพระเจ้าแผ่นดินนั้น ได้ส่งไป ไว้ที่เจ้าพระยาพระคลังผู้เปนเสนาบดีว่าการต่างประเทศ
ครั้นเมื่อวันที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคม ก็ได้มีพระราชโองการให้เราไปเฝ้า
ของถวายนั้นเจ้าพนักงาร ได้เอาไปกองไว้ที่ท้องพระโรงข้างพระโทรน พระเจ้ากรุงสยามได้รับสั่งถามถึงมองซิเออร์ลอ
และได้โปรดพระราชทานหมากให้กับเรารับประทาน กับพระราชทานผ้าและ -


๑๒