ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๙ หมวด ช
หมวด ช
- จดหมายมองซิเออร์ฟลอรังซ์ ว่าด้วยไทยไปตีเมืองทวาย หน้า ๑๖๙- ๑๗๐
- จดหมายมองซิเออร์วิลแมง ว่าด้วยความกันดารในเมืองไทร " ๑๗๑
- จดหมายมองซิเออรฃร์ราโบว่าด้วยพม่าตีเมืองภูเก็จ " ๑๗๑ - ๑๗๓
(หน้า ๑๖๙)
ช
จดหมายมองซิเออร์ฟลอรังซ์ ว่าด้วยไทยไปตีเมือง ทวาย
จดหมายมองซิเออร์ฟลอรังซ์
ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๒๗ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๗๙๓ (พ.ศ. ๒๓๓๖)
เวลานี้ไทยเกิดทำสงครามกับพม่าอีกแล้ว การที่ได้เกิดศึกคราวนี้ เปนด้วยเจ้าเมืองทวายเปนต้นเหตุ เมืองทวายนี้เปนเมืองขึ้นของพม่า
คือ เจ้าเมืองทวาย คิดจะล่อลวงให้พระเจ้ากรุงสยาม เสด็จมายังเมืองทวาย จึงได้คิดอ่าน เอาดินระเบิดฝังไว้ประตูเมือง และกะการไว้ว่า
ถ้าพระเจ้ากรุงสยามเสด็จผ่านเข้าประตูเมืองเมื่อใด ก็จะได้ระเบิดประตูขึ้น แต่ความคิดอันนี้ก็หาได้สำเร็จไม่
เพราะ ยังไม่ทันระเบิดประตูขึ้น อุบายอันนี้ ก็ทราบถึงพระเจ้ากรุงสยามเสียก่อนแล้ว
และพระเจ้ากรุงสยาม ได้ตีเอาเมืองได้ น้องของเจ้าเมือง ซึ่งได้เคยเปนทูต เข้าไปยังเมืองไทยกับหญิงไทยคน ๑
ซึ่งอ้างตัวว่า เปนมารดาของเจ้าดารา๑ นั้นได้ถูกตัดศีร์ษะ แต่ส่วนหญิงไทยนั้น ไม่ทราบว่าหายไปไหน
ตัวเจ้าเมืองทวายนั้น หนีเอาตัวรอดไปได้ และ ได้เลยไปบอกเจ้ากรุงพม่าว่า ไทยได้จับเมืองทวายไว้ได้แล้ว
พวกพม่า จึงได้ยกทัพมีพลเปนอันมากกับเรือฝรั่ง ๑๐ ลำ เพื่อจะมา ตีเอาเมืองทวายคืน
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยาม ก็ได้ทรงเกณฑ์ ผู้คนเข้ากองทัพมากเหมือนกัน พวกเราจะเปนอย่างไรต่อไปก็ทราบไม่ได้
ต้องแล้วแต่พระเปนเจ้าจะโปรด
................................................................
๑ ภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่า King Dara
๒๒
(หน้า ๑๗๐)
จดหมายมองซิเออร์ฟลอรังซ์ ว่าด้วยไทยไปตีเมือง ทวาย
จดหมายมองซิเออร์ฟลังรังซ์ถึง
มองซิเออร์ บัวเรต์
วันที่ ๘ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๗๙๓ (พ.ศ. ๒๓๓๔)
พระเจ้ากรุงสยาม ได้เสด็จกลับมา เมื่อปลายเดือนมกราคม แล้ว เมื่อเดือน พฤศจิกายน ได้เสด็จไปป้องกันเมืองทวาย
ซึ่งได้ทรงตีจากพม่าได้เมื่อปีกลายนี้ พวกพม่าได้กลับมา และตีเอาเมืองทวายคืนจากไทยได้
และ ได้ฆ่าไทยตายเปนอันมาก เขาพูดกันว่าไทยได้ตาย ในคราวนี้กว่า ๑๐๐๐ คน
ไทยได้เสียปืนใหญ่ไปมากเหมือนกัน พวกเข้ารีดของเรา ไม่ได้ตายเลยจนคนเดียว
(หน้า ๑๗๑)
จดหมายมองซิเออร์วิลแมง ว่าด้วยความกันดารใน เมืองไทร
เมืองไทรบุรี
จดหมายมองซิเออร์วิลแมง
ถึงมองซิเออร์ เลอตอนดาล
เมืองไทร วันที่ ๗ เดทอนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๘๖ (พ.ศ. ๒๓๒๙)
เวลานี้ ในเมืองไทรบุรี เข้ายากหมากแพงอย่างที่สุด เงิน ๑ เหรียญไม่พอที่จะซื้อเข้ารับประทาน ฉเพาะตัวข้าพเจ้ากับเด็ก ๒ คน
วันนี้ข้าพเจ้าได้ให้คนออกไปเที่ยวซื้อเข้า คนได้กลับมามือเปล่า หาซื้อเข้าไม่ได้
วันนี้ข้าพเจ้าจะต้องนอน โดยไม่ได้รับประทานอาหาร แต่ออกสงสารเด็ก ๒ คนซึ่งอดอาหารผอมลงทุกวัน
เพราะฉนั้น จำเปนจะต้องเอาหมวกใบใหม่ของข้าพเจ้า ออกขายพรุ่งนี้เช้า เพื่อหาอะไรใส่ปากใส่ท้อง และจะต้องขายของไป
จนกว่าจะเหลือแต่เสื้อเชิ้ดตัวเดียว เท่านั้น
จดหมายมองซิเออรฃร์ราโบว่าด้วยพม่าตีเมืองภูเก็จ
จดหมายมองซิเออร์ราโบ
ถึงมองซิเออร์เรกเตนวาลด์
เมืองภูเก็จวันที่ ๒๒ เดือน มราคม ค.ศ. ๑๘๑๐ (พ.ศ. ๒๓๕๓)
ที่เกาะหมาก คงจะได้ทราบข่าวกันแล้วในเรื่องที่พม่า ได้มาเผาเมืองและเปาป้อม ที่เมืองภูเก็จ
ข่าวนี้เปนข่าวที่จริง พม่าได้มาล้อมเมืองภูเก็จอยู่ ๔ อาทิตย์ ไทยกับพม่าได้สู้รบกันอย่างสามารถ ได้ล้มตายเปนอันมากทั้งสองฝ่าย
จนผลที่สุด พม่าได้แหกเข้าเมืองได้ จึงได้เอาไฟเผาป้อม ซึ่งเปนที่พักอาศรัยของชาวเกาะภูเก็จ เสียหมดสิ้น
พวกชาวบ้านได้ถูกอาวุธตายบ้างก็มี
พม่าได้จับชาวเมืองเปนเชลยก็มาก แต่โดยมาก พวกพลเมืองได้แตกหนีเข้าป่าไปหมด
(หน้า ๑๗๒)
ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ได้มาถึงเมืองภูเก็จ เมื่อวันเสาร์ เวลา ๒ ยาม รุ่งขึ้นได้ทราบว่า จะเกิดรบกันขึ้นแล้ว และว่าพม่าได้ลงจากเรือขึ้นบกมาแล้ว
ข้าพเจ้าจึงฉวยหนังสือสวดมนต์กับเครื่องยาถุง ๑ ซึ่งข้าพเจ้ามีติดตัวเสมอสำหรับรักษาคนป่วยไข้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้หนีเข้าไปอยู่ในป้อม
ในเวลาที่พม่าล้อมเมืองอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้พักอยู่ในป้อมตลอดเวลา และมีความหวาดหวั่นไม่หยุดเลย
แต่โดยที่พระเปนเจ้า ได้ช่วยข้าพเจ้าหาได้ถูกบาดเจ็บไม่
ในระหว่างนั้นข้าพเจ้า ได้เปนธุระรักษาพยาบาลคนป่วยเจ็บ และเอาพระนามของพระเยซูเที่ยวสั่งสอนคนทั่วไป
พระเปนเจ้าได้โปรดให้คนเข้ารีด มีผู้ใหญ่ ๓ คน เด็กเล็ก ๆ ๒๐ คน ในผู้ใหญ่ ๓ คนนั้นเปนพระสงฆ์เสีย ๒ คน
ในคืนที่ฆ่าศึกจะตีป้อมแตกนั้น ข้าพเจ้าได้ให้น้ำมนต์กับคนเหล่านี้ เข้ารีดก่อนที่พม่าได้เข้ามาในป้อม
เมื่อได้ปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเข้ารีด ได้ตกลงจะออกไปจากป้อม ข้าพเจ้าก็ตามพวกเข้ารีดไปด้วย แต่ครั้นไปก็ไปพบข้าศึกในค่ายพม่า
ข้าศึก ล้วนแต่ถือดาบถือหอก ทุกคน พวกเราจึงได้หนีไปซ่อนอยู่ในกระท่อมเล็กแห่ง ๑ และคอยเวลาที่เราจะต้องตาย
ข้าพเจ้าเห็นว่า จะอยู่อย่างนั้น ก็ไม่เปนประโยชน์อะไร ข้าพเจ้าจึงเดิรออกไปหาพวกข้าศึก มือขวาถือไม้กางเขนมือซ้ายถือรูปมารดาพระเยซู
ข้าพเจ้าจึงพูดกับพวกข้าศึกว่า
"ข้าพเจ้าเปนนักรบของพระเปนเจ้า อันมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำร้ายกับผู้ใดเลย "
พระเปนเจ้า ก็โปรดทำให้พวกข้าศึกใจอ่อน พวกข้าศึก จึงเอามือมาจับ ศีร์ษะข้าพเจ้า -
(หน้า ๑๗๓)
- และจับศีร์ษะพวกเข้ารีด ที่ตามข้าพเจ้าออกไป
แล้วข้าศึกก็บอกให้พวกข้าพเจ้านั่งลง จึงได้เอาเชือกมามัดพวกเรา และได้ถอดเอาเสื้อยาวของข้าพเจ้าไป ทั้งสมุดสวดมนต์ด้วย
อีกสักครู่ ๑ พวกพม่าได้มาแก้มัดออก และได้พาเราไปอยู่ในค่าย พวกพม่าจึงได้เอาเชือกมามัดเท้าเราอีก แล้วก็ปิดประตูค่ายไว้
ข้าพเจ้า ต้องอยู่กลางแจ้งจนถึงเช้า ๔ โมง พวกข้าศึกได้มาถอดเครื่องแต่งตัวของข้าพเจ้าออกหมด เหลือไว้แต่กางเกงตัวเดียว เท่านั้น
ครั้นเวลาเช้า ประมาณ ๔ โมง นายทหารพม่าคน ๑ ซึ่งเปนคนชาติ แขกคาเฟีย และพูดภาษาปอตุเกตได้ ได้มาหาพวกเรา
และได้พาพวกเราไป แต่ฉเพาะ ๓ คนไปไว้ที่อื่น และได้เอื้อเฟื้อต่อเราทุกอย่าง
ครั้นรุ่งขึ้น อีกคืน ๑ ได้มีนายทหารเข้ารีดอีกคน ๑ ซึ่งเปนคนชอบกันกับแม่ทัพพม่า ได้ให้คนมาตามพวกเราไปอยู่ในค่ายของนายทหารเข้ารีด
ซึ่งติดกับค่ายของแม่ทัพ ข้าพเจ้าได้พักอยู่ในกระโจมผ้า (เต๊น) ของ นายทหารผู้นี้ได้ ๗ วันแล้ว
เวลานี้ข้าพเจ้าพยายามแต่จะกลับไปเมืองมะริด เพื่อจะได้ไปรวบรวมพวกเข้ารีดเมืองภูเก็จให้อยู่เปนแห่งเดียวกัน
และข้าพเจ้าเชื่อว่า พม่าคงจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้ไป เมืองมะริด เปนแน่
แม่ทัพเรือ ของพม่าชื่อ ยังบาเทล์ เปนคนเกิดในชาติ ฝรั่งเศส จะเปนผู้รับจดหมายฉบับนี้ ไปส่งยังท่าน
ข้าพเจ้าขอท่านได้โปรด ต้อนรับเขาให้ดี และโปรดขอบคุณเขา ที่เขาได้ช่วยเหลือเราเปนอันมาก
——————————————