ผู้ใช้:Thastp/ทุน เล่ม 1/1/2

จาก วิกิซอร์ซ

{{หัวเรื่องงานแปล <!-- ข้อมูลหลัก --> | ชื่อ = ทุน เล่ม 1 | ศักราช = ค.ศ.| ปี = 1890 | ภาษา = de | ต้นฉบับ = Das Kapital. Band I | ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์| บรรณาธิการ = ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ | ส่วน = บทที่ 1: โภคภัณฑ์| ผู้มีส่วนร่วม = ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ | ก่อนหน้า = [[งานแปล:ทุน_เล่ม_1/v|สารบัญ]]| ถัดไป = [[งานแปล:ทุน_เล่ม_1/2|บทที่ 2: กระบวนการแลกเปลี่ยน]] | หมายเหตุ = <!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) --> | หมวดหมู่ = | แก้กำกวม = | รุ่น = | สถานีย่อย = | ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง = | วิกิพีเดีย = | คอมมอนส์ = | หมวดหมู่คอมมอนส์ = | วิกิคำคม = | วิกิข่าว = | วิกิพจนานุกรม = | วิกิตำรา = | วิกิห้องสมุด = | วิกิสนเทศ = | วิกิท่องเที่ยว = | วิกิวิทยาลัย = | วิกิสปีชีส์ = | เมทา = }}

2) ทวิลักษณะของแรงงานซึ่งแสดงอยู่ในสินค้า

เดิมทีสินค้าปรากฏต่อเราเหมือนสิ่งกำกวมระหว่างมูลค่าใช้สอยกับมูลค่าแลกเปลี่ยน ต่อมาพบว่า แรงงานก็เช่นกัน ตราบที่แสดงออกอยู่ในมูลค่า ไม่เหลือโฉมเดิมของผู้ซึ่งบังเกิดเกล้าให้แก่มูลค่าใช้สอยอีกแล้ว ผมเป็นคนแรกที่สืบพบอย่างวิพากษ์ถึงธรรมชาติที่กำกวมของแรงงานข้างในสินค้า[1] เนื่องด้วยประเด็นนี้เป็นแกนหมุนของความเข้าใจในเศรษฐศาสตร์การเมือง ต่อไปนี้จะอธิบายให้ละเอียดขึ้น

ให้เราเอาสินค้าสองอย่าง เช่นเสื้อคลุมตัวหนึ่งกับผ้าลินิน 10 หลา สมมุติอย่างแรกมีมูลค่าสองเท่าของอย่างหลัง เพื่อว่าถ้าผ้าลินิน 10 หลา แล้วเสื้อคลุม

เสื้อคลุมเป็นมูลค่าใช้สอยซึ่งสนองความต้องการแบบหนึ่ง ต้องใช้กิจกรรมการผลิตชนิดที่จำเพาะแบบหนึ่งสร้างขึ้นมา กำหนดจากเป้าหมาย วิธีทำ วัตถุ ปัจจัย และผลลัพธ์ แรงงานที่แสดงว่าตนมีประโยชน์จากมูลค่าใช้สอยของผลผลิต หรือจากการที่ผลผลิตเป็นมูลค่าใช้สอย เราเรียกสั้น ๆ ว่าแรงงานที่มีประโยชน์ จากมุมมองนี้ เราจะพิจารณาโดยคำนึงถึงผลอันเป็นประโยชน์เสมอ

เสื้อคลุมกับผ้าลินินเป็นมูลค่าใช้สอยที่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ แรงงานซึ่งเป็นตัวสื่อให้ทั้งสองดำรงอยู่ก็พลอยแตกต่างกันเชิงคุณภาพ —— การตัดเย็บกับการถักทอ หากมูลค่าใช้สอยไม่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ และฉะนั้นไม่ใช่ผลผลิตของแรงงานอันมีประโยชน์ที่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากันในฐานะสินค้าได้เลย เราไม่แลกเปลี่ยนเสื้อคลุมกับเสื้อคลุม เราไม่แลกเปลี่ยนมูลค่าใช้สอยอย่างเดียวกันกับมูลค่าใช้สอยอย่างเดียวกัน

ในบรรดามูลค่าใช้สอยหรือกายสินค้าสุดแสนจะหลากหลายทั้งปวง ปรากฏบรรดาชนิด สกุล วงศ์ ชนิดยิบย่อยของแรงงานนานาเนกประโยชน์ในทำนองเดียวกัน —— การแบ่งงานทางสังคม อันเป็นเงื่อนไขจำเป็นของการผลิตสินค้า ทว่าการผลิตสินค้าไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นของการแบ่งงานทางสังคม ในชุมชนอินเดียโบราณมีการแบ่งงานทางสังคม แต่ผลผลิตไม่กลายเป็นสินค้า หรืออย่างใกล้ตัวกว่า ในโรงงานทุกแห่งแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบ แต่ไม่ได้แบ่งผ่านการแลกเปลี่ยนผลผลิตของคนงานแต่ละคน ผลผลิตของแรงงานเอกชนที่เป็นอิสระและไม่พึ่งพากันเท่านั้นที่จะเผชิญกันเป็นสินค้า

จึงเห็นแล้วว่า: มีกิจกรรมการผลิตอันมีเป้าหมายจำเพาะหรือแรงงานอันมีประโยชน์สอดอยู่ในมูลค่าใช้สอย มูลค่าใช้สอยไม่สามารถเผชิญหน้ากันในฐานะสินค้าได้หากแรงงานอันมีประโยชน์ข้างในไม่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ ในสังคมที่ผลผลิตทั่วไปมีรูปเป็นสินค้า กล่าวคือสังคมของผู้ผลิตสินค้า ความแตกต่างเชิงคุณภาพของแรงงานอันมีประโยชน์ ซึ่งประกอบการไม่ขึ้นต่อกันฉันธุรกิจเอกชนของผู้ผลิตอิสระ จะพัฒนาเป็นระบบหลายแขนง เป็นการแบ่งงานทางสังคม

อย่างไรก็ดี เสื้อคลุมไม่สนใจว่าคนใส่เป็นช่างตัดเสื้อหรือลูกค้าของช่าง ทั้งสองกรณีทำงานเป็นมูลค่าใช้สอย ความสัมพันธ์ระหว่างเสื้อคลุมกับแรงงานที่ผลิตมันในและโดยตัวเองก็ไม่เปลี่ยนไป แม้การตัดเย็บกลายเป็นวิชาชีพเฉพาะหรือแขนงอิสระของการแบ่งงานทางสังคม เมื่อความต้องการเครื่องนุ่งห่มคาดคั้น มนุษย์ตัดเย็บเสื้อผ้ามาหลายพันปีก่อนมีใครเป็นช่างตัดเสื้อเสียอีก แต่การดำรงอยู่ของเสื้อคลุม ผ้าลินิน ทุก ๆ องค์ประกอบของความมั่งคั่งเชิงวัตถุซึ่งไม่พบในธรรมชาติ ในทุกยุคทุกสมัย ต้องสื่อผ่านกิจกรรมการผลิตที่มีเป้าหมายจำเพาะ ซึ่งกลืนกลายวัสดุธรรมชาติที่จำเพาะเข้ากับความต้องการของมนุษย์ที่จำเพาะ ในฐานะผู้สร้างมูลค่าใช้สอย ในฐานะแรงงานอันมีประโยชน์ แรงงานเช่นนี้จึงเป็นเงื่อนไขต่อการมีอยู่ของมนุษย์ โดยไม่ขึ้นกับรูปแบบของสังคม เป็นความจำเป็นสถาพรของธรรมชาติ เพื่อเป็นสื่อกลางให้วัสดุปริณาม[a]ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และจึงเป็นให้ชีวิตมนุษย์เช่นเดียวกัน

มูลค่าใช้สอยอย่างเสื้อคลุม ผ้าลินิน ฯลฯ โดยย่อว่ากายสินค้า เป็นสารประกอบของธาตุสองชนิด คือวัสดุธรรมชาติกับแรงงาน หากเราถอนแรงงานอันมีประโยชน์ที่แตกต่างกันทั้งสิ้นออกมาจากเสื้อคลุม ผ้าลินิน ฯลฯ ก็จะเหลือไว้เพียงฐานรากที่เป็นวัสดุเสมอ ซึ่งพบเจอในธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ในการผลิต มนุษย์กระทำเฉกเช่นธรรมชาติได้เท่านั้น คือทำได้เพียงเปลี่ยนรูปของวัสดุ[2] ยิ่งกว่านั้น ในแรงงานที่ใช้ก่อรูปเอง มีพลังของธรรมชาติค้ำจุนอยู่เสมอ แรงงานจึงไม่ได้เป็นบ่อเกิดอันหนึ่งอันเดียวของมูลค่าใช้สอยที่มันผลิต หรือความมั่งคั่งเชิงวัตถุ พูดแบบวิลเลียม เพตตี แรงงานเป็นบิดา โลกาเป็นมารดา

เราจะขยับจากสินค้าที่จนบัดนี้เป็นวัตถุใช้สอย ไปยังมูลค่าของสินค้า

เราสมมุติให้เสื้อคลุมมีมูลค่าเป็นสองเท่าของผ้าลินิน นี่เป็นเพียงความแตกต่างเชิงปริมาณ ซึ่งในตอนแรกเรายังไม่สนใจ ระลึกว่าถ้ามูลค่าของเสื้อคลุมตัวหนึ่งมากเป็นสองเท่าของผ้าลินิน 10 หลา ผ้าลินิน 20 หลาจะมีขนาดของมูลค่าเท่ากับเสื้อคลุมหนึ่งตัว ในฐานะมูลค่า เสื้อคลุมและผ้าลินินเป็นสิ่งของจากแก่นสารที่เหมือนกัน เป็นการแสดงออกเชิงรูปธรรมของแรงงานชนิดเดียวกัน แต่การตัดเย็บและการถักทอเป็นแรงงานที่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ ถึงอย่างนั้น ในบางสภาวะของสังคม มนุษย์คนหนึ่งคนเดียวอาจทำทั้งตัดเย็บและถักทอสลับกัน วิธีใช้แรงงานที่ต่างกันสองแบบจึงเป็นแค่การดัดแปลงแรงงานของปัจเจกคนเดียวกัน และยังไม่เป็นหน้าที่จำเพาะและถาวรของปัจเจกคนละคน ดังเช่นเสื้อคลุมที่ช่างตัดเสื้อทำวันนี้กับกางเกงที่ช่างจะทำพรุ่งนี้ ต้องการแค่แรงงานคนละรูปแบบของปัจเจกคนเดียวกัน มากไปกว่านั้น เห็นได้จากสังคมทุนนิยมของเรา ตามแนวโน้มอุปสงค์ของแรงงาน แรงงานมนุษย์บางส่วนจะสลับกันเป็นอุปทานในรูปของการตัดเย็บบ้าง ในรูปของการถักทอบ้าง การเปลี่ยนรูปของแรงงานอาจไม่เกิดขึ้นโดยไร้แรงเสียดทานเสียทีเดียว แต่จะเกิด หากเรามองข้ามความจำเพาะของกิจกรรมการผลิต และฉะนั้นคุณลักษณะอันมีประโยชน์ของแรงงาน สิ่งที่เหลือคือการเป็นการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ การตัดเย็บและการถักทอ แม้เป็นกิจกรรมการผลิตที่แตกต่างกันเชิงคุณภาพ ทั้งสองยังเป็นการใช้จ่ายของมันสมอง กล้ามเนื้อ เส้นประสาท มือ ฯลฯ ในการผลิต และในแง่นี้ทั้งสองคือแรงงานมนุษย์ เพียงการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ที่แตกต่างกันสองรูปแบบ จริงที่พลังแรงงานมนุษย์เองต้องพัฒนาแล้วไม่มากก็น้อยจึงจะใช้จ่ายในรูปแบบนี้หรือแบบนั้นได้ มูลค่าของสินค้าทว่าแสดงถึงแรงงานมนุษย์เปล่า ๆ คือการใช้จ่ายแรงงานมนุษย์ทั่วไป อย่างในสังคมกระฎุมพี นายพลและนายธนาคารแสดงบทบาทใหญ่โต แต่มนุษย์กลับแสนต่ำต้อย[3] ในที่นี้ แรงงานมนุษย์เช่นเดียวกัน เป็นการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ที่เรียบง่าย ที่เป็นค่าเฉลี่ยของมนุษย์ปุถุชน ไม่ได้พัฒนาเป็นพิเศษ และมีอยู่ในองคาพยพเนื้อหนังของเขา แน่นอนว่าแรงงานเฉลี่ยที่เรียบง่ายเองก็แตกต่างกันหากอยู่คนละประเทศคนละยุคสมัยวัฒนธรรม แต่กำหนดได้จากสังคมที่เป็นอยู่ แรงงานที่ซับซ้อนกว่านับเป็นแค่การเพิ่มกำลัง หรือให้แน่คือการทวีคูณแรงงานที่เรียบง่าย โดยแรงงานซับซ้อนในปริมาณที่น้อยกว่าจะเท่ากับแรงงานเรียบง่ายในปริมาณที่มากกว่า ประสบการณ์บ่งชี้ว่าการลดทอนเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่สม่ำเสมอ สินค้าอย่างหนึ่งอาจเป็นผลผลิตของแรงงานสุดซับซ้อน แต่มูลค่าจะเทียบตัวมันเสมอกับผลผลิตของแรงงานเรียบง่าย และจึงเพียงแสดงถึงแรงงานเรียบง่ายปริมาณหนึ่ง[4] การลดทอนแรงงานแต่ละชนิดเป็นหน่วยวัดของแรงงานเรียบง่ายในอัตราส่วนเท่าใดนั้น ตกลงกันลับหลังผู้ผลิตผ่านกระบวนการทางสังคมอย่างหนึ่ง ต่อเขาจึงดูเหมือนว่ากำหนดโดยธรรมเนียม เพื่อความเรียบง่าย สืบจากนี้เราจะนับพลังแรงงานทุกชนิดเป็นพลังแรงงานเรียบง่ายไปเลย ซึ่งเพียงแต่สงวนภาระของการลดทอนไว้ด้วยการนี้

ดังนั้น เช่นที่เพิกจากความแตกต่างของมูลค่าใช้สอยในมูลค่าอย่างเสื้อคลุมและผ้าลินิน เช่นเดียวกันจากแรงงานซึ่งแสดงอยู่ในมูลค่าเหล่านั้น จากความแตกต่างของรูปที่มีประโยชน์ของแรงงาน อาทิการตัดเย็บและการถักทอ ในขณะที่เสื้อคลุมและผ้าลินินในฐานะมูลค่าใช้สอยเป็นการผสมผสานกิจกรรมการผลิตที่เจาะจงเป้าหมายเข้ากับผ้าและด้าย ในทางตรงข้าม เสื้อคลุมและผ้าลินินในฐานะมูลค่าเป็นเพียงวุ้นของแรงงานชนิดเดียวกัน แรงงานซึ่งอยู่ในมูลค่าจึงไม่ได้มีมูลจากพฤติกรรมการผลิตที่กระทำต่อผ้าและด้าย แต่จากการเป็นการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ การตัดเย็บและการถักทอเป็นส่วนประกอบสร้างมูลค่าใช้สอยอย่างเสื้อคลุมและผ้าลินินได้ก็เนื่องด้วยมีคุณภาพแตกต่างกันนั่นเอง แต่ทั้งสองเป็นแก่นสารของมูลค่าของเสื้อคลุมและมูลค่าของผ้าลินิน ตราบที่เพิกคุณภาพที่จำเพาะออกไป และทั้งสองมีคุณภาพที่เหมือนกัน คือคุณภาพของแรงงานมนุษย์

เสื้อคลุมและผ้าลินินทว่าใช่แค่มูลค่าโดยทั่วไป แต่เป็นมูลค่าซึ่งมีขนาดแน่นอน และจากที่เราสมมุติ เสื้อคลุมมีมูลค่าเป็นสองเท่าของผ้าลินิน 10 หลา ขนาดที่แตกต่างกันของมูลค่ามาจากไหน? จากที่ในผ้าลินินมีแรงงานเพียงครึ่งหนึ่งของเสื้อคลุม โดยใช้จ่ายพลังแรงงานเพื่อผลิตอย่างหลังเป็นเวลาสองเท่าของที่ต้องใช้เพื่อผลิตอย่างแรก

ดังนั้น ในแง่ของมูลค่าใช้สอย แรงงานซึ่งอยู่ในสินค้านับจากคุณภาพเท่านั้น ในแง่ของขนาดของมูลค่า จะนับจากปริมาณเท่านั้น หลังจากลดทอนเป็นแรงงานมนุษย์โดยปราศจากคุณภาพอื่นแล้ว ก่อนนั้นเราถามว่าเป็นแรงงานอะไรและแบบใด บัดนี้เราถามว่ามากเท่าใด หรือก็คือระยะเวลาของมัน ในเมื่อขนาดของมูลค่าเพียงแสดงถึงปริมาณของแรงงานซึ่งมีอยู่ในสินค้า สินค้าต่าง ๆ ในอัตราส่วนเท่าหนึ่งย่อมเป็นมูลค่าที่มากเท่ากัน

หากพลังแรงงาน เช่นของแรงงานอันมีประโยชน์ทั้งหมดที่ต้องใช้ผลิตเสื้อคลุม คงเดิมไม่เปลี่ยนไป ขนาดของมูลค่าของเสื้อคลุมจะเพิ่มตามปริมาณ เสื้อคลุม 1 ตัวแสดงถึงวันทำงาน วัน 2 ตัว วันเป็นต้น แต่สมมุติว่าแรงงานอันจำเป็นในการผลิตเสื้อคลุมเพิ่มขึ้นสองเท่าหรือลดลงครึ่งหนึ่ง ในกรณีแรก เสื้อคลุมจะมีมูลค่าเท่ากับเสื้อคลุมสองตัวจากเมื่อก่อน และในกรณีหลัง เสื้อคลุมสองตัวจะมีมูลค่าแค่ตัวเดียวจากเมื่อก่อน ทว่าในทั้งสองกรณี เสื้อคลุมยังคงทำหน้าที่เดียวกับเมื่อก่อน และแรงงานอันมีประโยชน์ข้างในนั้นยังคุณภาพดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ปริมาณของแรงงานที่ใช้จ่ายไปในการผลิตได้เปลี่ยนไป

มูลค่าใช้สอยในปริมาณที่มากกว่าประกอบความมั่งคั่งเชิงวัตถุที่มากกว่า เสื้อคลุมสองตัวมากกว่าหนึ่งตัว เสื้อคลุมสองตัวสวมได้สองคน เสื้อคลุมหนึ่งตัวสวมได้คนเดียว ฯลฯ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในเวลาเดียวกัน ความมั่งคั่งเชิงวัตถุที่เพิ่มมากขึ้นอาจสอดคล้องกับขนาดของมูลค่าที่ลดลง การเคลื่อนไหวค้านกันเช่นนี้เกิดจากลักษณะกำกวมของแรงงาน แน่นอนว่าพลังการผลิตคือพลังการผลิตของแรงงานรูปธรรมอันมีประโยชน์เสมอ และแน่นอนว่าเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของกิจกรรมการผลิตที่มีเป้าหมายภายในห้วงเวลาหนึ่ง แรงงานอันมีประโยชน์จึงจะเป็นแหล่งของผลผลิตที่ล้นหลามหรือประปราย สัมพันธ์โดยตรงกับการขึ้นลงของพลังการผลิต ในทางตรงข้าม การเปลี่ยนแปลงของพลังการผลิตในและโดยตัวเองไม่ส่งผลใด ๆ ต่อแรงงานซึ่งแสดงอยู่ในสินค้า เพราะพลังการผลิตเป็นหนึ่งในรูปที่มีประโยชน์เชิงรูปธรรมของแรงงาน เมื่อเพิกจากรูปอันมีประโยชน์เชิงรูปธรรมของแรงงาน จึงไม่ส่งผลอะไรอีกต่อไปเป็นธรรมดา แรงงานเดียวกันในระยะเวลาเดียวกันจึงได้มูลค่าขนาดเท่ากันเสมอ ไม่ว่าพลังการผลิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร ทว่าแม้ในระยะเวลาเดียวกัน ก็จะออกผลได้มูลค่าใช้สอยในปริมาณที่ต่างกัน เพิ่มขึ้นเมื่อสูงขึ้น น้อยลงเมื่อต่ำลง การเปลี่ยนแปลงเดียวกันของพลังการผลิต ซึ่งเพิ่มดอกผลของแรงงานและฉะนั้นปริมาณของมูลค่าใช้สอยที่ออกผลมา จึงลดขนาดของมูลค่าของปริมาณโดยรวมที่เพิ่มขึ้นด้วยถ้าทำให้เวลาแรงงานอันจำเป็นในการผลิตโดยรวมสั้นลง และกลับกันในทำนองเดียวกัน

ในด้านหนึ่ง แรงงานทั้งปวงเป็นการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ในความหมายเชิงสรีรวิทยา และการเป็นแรงงานมนุษย์ที่เท่ากันหรือแรงงานมนุษย์นามธรรมคือคุณสมบัติซึ่งก่อรูปมูลค่าของสินค้า ในอีกด้านหนึ่ง แรงงานทั้งปวงเป็นการใช้จ่ายพลังแรงงานมนุษย์ในรูปที่เจาะจงเป้าหมายจำเพาะ และการเป็นแรงงานอันมีประโยชน์เชิงรูปธรรมคือคุณสมบัติซึ่งผลิตมูลค่าใช้สอย[5]


  1. เล่มเดิม หน้า 12, 13 และทุกแห่ง.
  2. „ปรากฏการณ์ทั้งปวงในจักรวาล ไม่ว่าจะผลิตด้วยน้ำมือมนุษย์ หรือด้วยกฎสากลของฟิสิกส์ มิได้มอบมโนคติของการสร้างที่แท้จริง แต่เพียงแค่การดัดแปลงสสาร ในการวิเคราะห์มโนคติการผลิตซ้ำ ปัญญามนุษย์พบเพียงองค์ประกอบของการประกบและการแยกออก และเท่ากันในการผลิตซ้ำคุณค่า (มูลค่าใช้สอย แต่ในบทโจมตีพวกฟิซิโอแครต แวร์รีเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเขากำลังพูดถึงมูลค่าชนิดไหน) และความมั่งคั่ง เมื่อดิน อากาศ และน้ำในทุ่งนาเปลี่ยนสภาพเป็นธัญพืช เมื่อกาวจากแมลงเปลี่ยนสภาพเป็นผ้ากำมะหยี่ด้วยน้ำมือมนุษย์ หรือเมื่อชิ้นส่วนโลหะถูกจัดวางเพื่อประกอบเป็นนาฬิกา“. (ปีเอโตร แวร์รี: „Meditazioni sulla economia politica“ (พิมพ์ครั้งที่หนึ่งปี 1773) ในนักเศรษฐศาสตร์อิตาเลียนฉบับของกุสโตดี, Parte Moderna, เล่ม XV หน้า 22).
  3. เปรียบเทียบ „เฮเกิล, Philosophie des Rechts“ เบอร์ลิน 1840, หน้า 250, § 190.
  4. ผู้อ่านต้องตระหนักว่าในที่นี้เราไม่ได้กำลังพูดถึงค่าจ้างหรือมูลค่าที่คนงานได้รับสำหรับวันทำงานประมาณหนึ่งวัน แต่พูดถึงมูลค่าสินค้าซึ่งหนึ่งวันทำงานกลายเป็นวัตถุอยู่ภายใน การบรรยายในขั้นนี้ยังไม่มีหมวดหมู่ชื่อค่าจ้างแรงงาน
  5. หมายเหตุในฉบับที่ 2 เพื่อพิสูจน์ว่า „เพียงแรงงานเท่านั้นที่เป็นมาตรฐานสุดท้ายและแท้จริง ซึ่งใช้ในการประมาณและเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าทั้งปวงในทุกที่ทุกเวลา“ อดัม สมิธ กล่าว: „แรงงานในปริมาณที่เท่ากัน ในทุกที่ทุกเวลา กล่าวได้ว่ามีค่าเท่ากันต่อคนงาน ในภาวะสามัญของสุขภาพ ความแข็งแรง และจิตใจของเขา ในระดับสามัญของทักษะและความชำนาญของเขา เขาจะต้องยอมเสียความสบาย ความเป็นอิสระ และความสุขของเขาในสัดส่วนเดียวกัน“ (ความมั่งคั่งของประชาชาติ เล่ม I. บทที่ V.) ในด้านหนึ่ง ตรงนี้อดัม สมิธ สับสน (แต่ไม่ใช่ทุกที่) ระหว่างการกำหนดมูลค่าด้วยปริมาณของแรงงานที่ใช้จ่ายในการผลิตสินค้า กับการกำหนดมูลค่าของสินค้าด้วยมูลค่าของแรงงาน และจึงพยายามพิสูจน์ว่าแรงงานในปริมาณที่เท่ากันมีมูลค่าเดียวกันเสมอ ในอีกด้านหนึ่ง เขาสังหรณ์ว่าแรงงานเท่าที่แสดงอยู่ในมูลค่าของสินค้านั้นนับเป็นเพียงการใช้จ่ายของพลังแรงงาน แต่เขาเข้าใจว่าการใช้จ่ายนั้นเป็นแค่การเสียสละความสะดวกสบาย ความเป็นอิสระ และความสุขเท่านั้น แทนที่จะเป็นกิจกรรมปกติในชีวิต อย่างไรก็ดี เขากำลังนึกภาพถึงคนงานรับจ้างสมัยใหม่ —— บุคคลนิรนามผู้มาก่อนอดัม สมิธ ที่ผมอ้างอิงในหมายเหตุที่ 9 กล่าวไว้ได้แหลมคมยิ่งกว่า: „คน ๆ หนึ่งใช้งานตัวเองหนึ่งสัปดาห์เพื่อหาเลี้ยงสิ่งอันจำเป็นต่อชีวิตนี้ … และผู้ใดให้อย่างอื่นอย่างใดเขามาเป็นการแลกเปลี่ยน จะประมาณว่าอะไรที่เสมอกันอย่างถูกต้องได้อย่างไร ไม่ดีไปกว่าการคำนวณว่าอะไรที่เขาต้องใช้แรงงานและเวลาเท่า ๆ กัน ซึ่งผลคือไม่มากไปกว่าการแลกเปลี่ยนแรงงานของคนหนึ่งในสิ่งหนึ่งในระยะเวลาเท่าหนึ่งสำหรับแรงงานของอีกคนหนึ่งในอีกสิ่งหนึ่งในระยะเวลาที่เท่ากัน“ (เล่มเดิม หน้า 39) —— [ในฉบับที่ 4: ภาษาอังกฤษมีข้อดีว่ามีคำที่ต่างกันสองคำสำหรับแรงงานในแง่มุมแตกต่างกันสองแบบ แรงงานที่สร้างมูลค่าใช้สอยและกำหนดจากคุณภาพเรียกว่าเวิร์ก ตรงข้ามกับเลเบอร์ แรงงานที่สร้างมูลค่าและวัดจากปริมาณเท่านั้นเรียกว่าเลเบอร์ ตรงข้ามกับเวิร์ก ดูที่หมายเหตุในฉบับแปลภาษาอังกฤษ หน้า 14 —— ฟรีดริช เอ็งเงิลส์]


  1. Stoffwechsel หมายถึง Metabolism หรือกระบวนการสร้างและสลายในร่างกาย และหมายตรงตัวว่าการเปลี่ยนวัสดุ (สถาปัตยกรรม) การเลือกแปลว่า "วัสดุปริณาม" มาจากคำว่า ปริณาม ซึ่งแปลว่าการเปลี่ยนแปลง และคำว่า ปริณามัคคี ซึ่งหมายถึงไฟย่อยอาหารในการแพทย์แผนไทย จึงเป็นการรักษานัยทั้งสอง (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)

{{สัญญาอนุญาตงานแปล | {{สาธารณสมบัติ-เก่า}} | {{CC-BY-SA-4.0}} }}