พรหมโฆสราชชาดก
ในพรหมโฆสราชชาดกนี้ ไม่มีคำปรารภความเบื้องต้น ไม่มีเรื่องที่เป็นปัจจุบัน มีแต่เรื่องที่เป็นอดีต ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ความมีอยู่ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งนามว่ากุสุมภบุรี เป็นเช่นไร? เป็นเมืองกว้างขวางประมาณหลายพันโยชน์ มีสวนและสระโบกขรณีต่างๆ เป็นที่สำราญรื่นรมย์ อุดมไปด้วยหัยรถคชพาหนะและประกอบด้วยนานารัตนะ พระราชาทรงพระนามว่าพรหมโฆส ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองกุสุมภบุรีนั้น พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่าสุนันทาเทวี สมัยหนึ่ง พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ได้อุบัติแล้วในโลก ทรงประทับอยู่ในเมืองกุสุมภบุรี พระเจ้าพรหมโฆส ทรงอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ด้วยโชนียาหารและปานียาหารประมาณได้สิบหกพรรษา และทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงมหาชนด้วยสังควัตถุสี่ประการ ประชาชนทั้งปวง ไม่มีโรคภัย เป็นสุข พระราชาสมบูรณ์ด้วยอเนกธนและธัญญาหาร เวลานั้น พระราชา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงแสดงธรรมเป็นนิรันดร์เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนธรรมาสน์ แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ปีติธรรมได้เกิดขึ้นแล้วแก่หมู่นางสนม เพราะได้ฟังธรรม ครั้นจบธรรมเทศนา เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายแปดสิบพันโกฎิได้บรรลุธรรมภิสมัย ขณะนั้น ภพแห่งท้าวโกสีย์แสดงอาการร้อน ท้าวสักกเทวราช สอดส่องดูก็รู้เหตุนั้น คิดว่า พระเจ้าพรหมโฆสนี้ ครองราสมบัติอยู่ เราจักไปทดลองดู ตรัสเรียกพระมาตลีมาสั่งว่า ท่านจงแปลงกายให้เหมือนรูปสุนัข ลงไปมนุษยโลกก่อน แล้วเราจักตามไปภายหลัง พระมาตลีรับเทวบัญชาแล้วลงมาจากเทวโลก ไปถึงเมืองกุสุมภบุรี คนเหล่านั้น ยืนอยู่ในท่ามกลางพระนคร ส่วนมาตลีเทพบุตรบันลือเสียงดังก้องกังวานขึ้นสามครั้ง แผ่นดินไหว ชาวนครตกใจ พากันวิ่งหนีไปทางโน้นทางนี้ มนุษย์บางพวกหนีไปซ่อนอยู่ตามภูเขาพุ่มไม้บ้าง ตามชายฝั่งแม่น้ำบ้าง ลำดับนั้น พระราชาสดับศัพทโฆาแล้ว ตกพระทัย เสด็จขึ้นไปประทับอยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น แล้วตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สุนัขของข้าพระบาทหิว ขอพระองค์จงประทานข้าวสุกเถิด พระราชา สดับเรื่องนั้นแล้ว บังคับพวกมนุษย์แล้ว มนุษย์ทั้งหลาย กระทำตามพระดำรัสของพระราชาแล้ว สุนัขกัดกินข้าวสุกนั้นคราวเดียวนั้นเอง ยังไม่อิ่ม สุนัขได้ทำเสียงอุโฆษขึ้น จนครั้งที่สาม มาตลีเทพบุตรทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สุนับของข้าพระบาทหิว เคี้ยวกินข้าวสุกแล้วยังไม่อิ่ม ในเมืองนี้ มีคนพวกอธรรมอยู่มาก พระองค์จงประทานคนพวกอธรรมเหล่านี้ คือ คนผู้ทำลายกุฎีวิหารและเทวสถาน คนอกตัญญู คนไม่เคารพรักมารดาบิดาครูและพี่น้องของตน และไม่ปกครองบุตร ภรรยา คนผู้เบียดเบียนสัว์มีชีวิต และตัดหัวคนเดินดงชิงเอาทรัพย์ คนที่นินทาว่าร้ายสมณพราหมณ์ คนที่ไม่คบพวกชอทาน สตรีมีครรภ์ทำให้ลูกตนไป คนที่เต็มใจยกที่ดินให้เขาแล้วภายหลังกลับคำเรียกคืนเข้าครอบครองเสียเอง คนผู้ให้โภชนะแก่ภิกษุแล้วเอามาบริโภคเสียเอง คนผู้ขับไล่ภิกษุไปเสียจากอาสนะ พวกพ่อค้าพาณิชที่รับเอาทรัพย์ของเขาไว้ขายของชำรุงเสียหายให้เขา คนไม่ยินดีฟังธรรม ไปคิดนึกการอะๆ อื่นเสีย พระองค์จงประทานให้คนพวกนั้นทั้งหมดแก่สุนัขกินเสียเถิด พระเจ้าข้า พระราชาทรงทำเช่นนั้นแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา พระมหาโพธิสัต์บำเพ็ญบุญมีทานและศีลเป็นต้น ประทานโอวามแก่มหาชน ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เมื่อสิ้นพระชนมายุแล้ว มีสวรรค์เป็นที่ดำเนินไปข้างหน้า ชนชาวนครตั้งอยู่ในโอวาทพระโพธิสัตว์แล้ว ได้ไปเกิดในเทวโลก พระศาสดาครั้นทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศจตุราริยสัจกถาทั้งปวงแล้วประชุมชาดกว่า ท้าวสักกเทวราชในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระอนุรุทธะ มาตลีเทวบุตรในกาลนั้นกลับชาติมาคือพระอานนทเถระ นางสุนันทาเทวีในกาลนั้น กลับชาติมาคือนางอุบลวรรณาเถรี มหาชนในกาลนั้น กลับชาติมาคือพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าพรหมโฆสในกาลนั้น กลับชาติมาคือเราเอง สัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนาถ ขอท่านทั้งหลาย จงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้