พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ.2502

จาก วิกิซอร์ซ

พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2502[แก้ไข]

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2502
เป็นปีที่ 14 ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยสภาวิจัยแห่งชาติ

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา 1[แก้ไข]

พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2502”

มาตรา 2[แก้ไข]

[1] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3[แก้ไข]

ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2499

บรรดาบทกฎหมาย กฎและข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน


มาตรา 4[แก้ไข]

ในพระราชบัญญัตินี้

  • การวิจัย หมายความว่า การค้นคว้าสอบสวนและเสนอผลของงานทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ในสาขาวิชาการตามพระราชบัญญัตินี้ และที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัตินี้
  • ผู้รับมอบ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น องค์การของรัฐหรือบุคคลใด ๆ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย

มาตรา 5[แก้ไข]

[2] ให้มีสภาวิจัยแห่งชาติประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน และกรรมการอื่น ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะได้แต่งตั้งขึ้น ให้เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ และรองเลขาธิการเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เป็นที่ปรึกษาสภาวิจัยแห่งชาติ

มาตรา 6[แก้ไข]

[3] สภาวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่เกี่ยวกับการวิจัยตามที่คณะรัฐมนตรีจะได้มอบหมายและพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเกี่ยวกับการที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้แล้วทำความเห็นเสนอคณะรัฐมนตรี กับมีหน้าที่เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีในกิจการเกี่ยวกับการวิจัยตามที่นายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาดำเนินการ

มาตรา 7[แก้ไข]

[4] กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกได้

เมื่อได้มีการแต่งตั้งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติแล้ว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติขึ้นอีก ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้ก่อนแล้ว

มาตรา 8[แก้ไข]

นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 7 กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

  • (1) ตาย
  • (2) ลาออก
  • (3) เป็นบุคคลล้มละลาย
  • (4) เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
  • (5) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่คดีความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท

กรรมการผู้ใดพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ คณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งตามวาระของกรรมการที่ตนแทน

มาตรา 9[แก้ไข]

ในการประชุมของสภาวิจัยแห่งชาติ ถ้าประธานไม่มาประชุม หรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานเป็นประธานในที่ประชุม

ในกรณีที่ประธานและรองประธานไม่อาจมาประชุมได้ ให้กรรมการที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นประธาน เป็นประธานในที่ประชุม

มาตรา 10[แก้ไข]

ในการประชุมสภาวิจัยแห่งชาติทุกคราว ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งจำนวนของกรรมการทั้งหมด และในจำนวนนี้ต้องมีประธานหรือรองประธาน หรือกรรมการที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นประธาน มาร่วมประชุมด้วย จึงจะเป็นองค์ประชุม

การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา 11[แก้ไข]

[5] ให้มีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และให้มีเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติคนหนึ่ง และรองเลขาธิการสองคน เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปซึ่งราชการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และบังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

  • (1) เสนอแนะแนวนโยบายและโครงการส่งเสริมการวิจัยซึ่งเห็นสมควรเสนอคณะรัฐมนตรีต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
  • (2) พิจารณาจัดตั้งสาขาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากที่ระบุไว้ในมาตรา 17 แล้วเสนอต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
  • (3) พิจารณาวิธีการหาทุนบำรุงการวิจัยและเสนอแนะต่อสภาวิจัยแห่งชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งทุนเพื่อการวิจัย
  • (4) เสนอรายงานประจำปีเกี่ยวกับผลงานการวิจัยต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
  • (5) ส่งเสริมและจัดให้มีการวิจัยและสถาบันการวิจัย
  • (6) ประสานงานวิจัยของสาขาวิชาการต่าง ๆ
  • (7) ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยส่วนราชการและส่วนบุคคล
  • (8) จัดให้มีทะเบียนนักวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาการต่าง ๆ
  • (9) มอบหมายให้ผู้รับมอบปฏิบัติการเฉพาะอย่างเกี่ยวกับการวิจัย
  • (10) พิจารณาจัดตั้งงบประมาณเกี่ยวกับการวิจัย
  • (11) จัดสรรเงินอุดหนุนและเงินรางวัลเกี่ยวกับการวิจัย
  • (12) ติดต่อและส่งเสริมการร่วมมือกับสถาบันการวิจัยและนักวิจัยในต่างประเทศ
  • (13) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสภาวิจัยแห่งชาติ หรือสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

มาตรา 12[แก้ไข]

[6] สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติอาจมีรายได้เป็นทุนเพื่อการวิจัย ดังต่อไปนี้

  • (1) เงินจากงบประมาณแผ่นดิน
  • (2) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
  • (3) เงินผลประโยชน์ของสภาวิจัยแห่งชาติ
  • (4) เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่สภาวิจัยแห่งชาติ

มาตรา 13[แก้ไข]

[7] ให้มีกรรมการบริหารคณะหนึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการสาขาวิชาการทุกสาขา เลขาธิการและรองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และบุคคลอื่นไม่เกินห้าคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ มีอำนาจและหน้าที่ตามที่สภาวิจัยแห่งชาติจะได้มอบหมาย และกำกับการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติตามมาตรา 11 วรรคสอง

ให้คณะกรรมการบริหารเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการประธานกรรมการอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี ประธานกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับเลือกอีกได้

ให้คณะกรรมการบริหารที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม่

มาตรา 14[แก้ไข]

[8] กรรมการบริหารซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี

เมื่อได้มีการแต่งตั้งกรรมการบริหารแล้ว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งกรรมการบริหารขึ้นอีก ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริหารซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้ก่อนแล้ว

มาตรา 15[แก้ไข]

นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 14 ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 8 มาใช้บังคับแก่กรรมการบริหารโดยอนุโลม

มาตรา 16[แก้ไข]

ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 10 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการบริหารโดยอนุโลม ในการประชุมใด ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน

มาตรา 17[แก้ไข]

สภาวิจัยแห่งชาติมีสาขาวิชาการ ดังต่อไปนี้

  • (1) วิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
  • (2) วิทยาศาสตร์การแพทย์
  • (3) วิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
  • (4) เกษตรศาสตร์และชีววิทยา
  • (5) วิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
  • (6) ปรัชญา
  • (7) นิติศาสตร์
  • (8) รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
  • (9) เศรษฐศาสตร์
  • (10) สังคมวิทยา

การจัดตั้งสาขาวิชาการขึ้นใหม่ ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 18[แก้ไข]

[9] คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสาขาวิชาการจากกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติตามความเหมาะสม

ให้คณะกรรมการสาขาวิชาการแต่ละสาขาคัดเลือกประธานกรรมการหนึ่งคน

มาตรา 19[แก้ไข]

[10] ประธานกรรมการและกรรมการสาขาวิชาการอยู่ในตำแหน่งตามวาระของกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ

ประธานกรรมการและกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกได้

มาตรา 20[แก้ไข]

นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 19 ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 8 มาใช้บังคับแก่ประธานกรรมการและกรรมการสาขาวิชาการโดยอนุโลม

มาตรา 21[แก้ไข]

ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 10 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการสาขาวิชาการโดยอนุโลม ในการประชุมใด ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน

มาตรา 22[แก้ไข]

สภาวิจัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารหรือคณะกรรมการสาขาวิชาการ อาจตั้งอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาและเสนอความคิดเห็นในข้อหนึ่งข้อใดอันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของตน และอาจเชิญบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาชี้แจงหรือให้ความคิดเห็นหรือคำแนะนำในกิจการอันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ตามแต่จะเห็นสมควร

มาตรา 23[แก้ไข]

[11] ในกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมอบหมายให้ผู้รับมอบปฏิบัติการใด ๆ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะโอนเงินไปตั้งจ่ายทางผู้รับมอบเช่นว่านั้นเพื่อใช้จ่ายตามรายการที่อนุมัติในงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติก็ได้

มาตรา 24[แก้ไข]

ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ[แก้ไข]

  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ความเจริญก้าวหน้าของโลกในปัจจุบันนี้ ย่อมอาศัยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นมูลฐาน งานทุกอย่างจึงจะวิวัฒนาการไปในทางก้าวหน้าด้วยความมั่นคง จึงสมควรปรับปรุงให้สภาวิจัยแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่เหมาะสมแก่รูปงานในปัจจุบันและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เชิงอรรถ[แก้ไข]

  1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 76/ตอนที่ 102/ฉบับพิเศษ หน้า 1/1 พฤศจิกายน 2502
  2. มาตรา 5 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
  3. มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
  4. มาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2507
  5. มาตรา 11 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
  6. มาตรา 12 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
  7. มาตรา 13 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
  8. มาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2507
  9. มาตรา 18 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2507
  10. มาตรา 19 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2507
  11. มาตรา 23 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 315 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515