ภูตผีปีศาจไทย/เล่ม 1/เรื่องที่ 1
เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งของนายทองคำเมื่ออายุยังน้อย และไปรับการศึกษาอยู่ที่อยุธยา เหตุการณ์เกี่ยวกับภูตผีปิศาจตอนนี้ ได้บันทึกจากปากคำของนายทองคำไว้โดยทุกประการ
เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟังตอนนี้ จะเป็นปีอะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่เวลานั้นอายุผมในราว ๑๒-๑๓ ปี เคยประสบกับเรื่องที่เกี่ยวกับผีที่ร้ายกาจตอนหนึ่ง เป็นสมัยที่ผมกำลังอยู่กับยายที่อยุธยาใกล้ตัวจังหวัด ปีนั้นเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นอย่างหนัก ชาวบ้าน ชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ตายกันอย่างหนักทุกวี่ทุกวัน ข่าวการตายของกาฬโรคแพร่สะพัดไปทั้งอยุธยา ที่โน่นก็ตายที่นี่ก็ตาย พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ละเว้น ผู้ที่ไม่ตายก็พากันหนาวสะท้านไปตาม ๆ กัน ทั้งหนาวกลัวโรคและหนาวกลัวภูตผีปิศาจที่ตายซับตายซ้อนแทบไม่เว้นแต่ละวัน ในอยุธยาเงียบเหงาเศร้าโศก ที่ใดที่เคยมีผู้ชุมนุมคับคั่งก็บางตาแทบจะไม่มีคน ไม่มีการเที่ยวเตร่ชื่นบานกันอย่างเคย เก็บตัวอยู่กับบ้าน บ้านใคร ๆ อยู่ ระวังตัวกลัวตายไปทั้งนั้น การสุขาภิบาลของเราตอนนั้นยังไม่เข้มแข็ง ชาวบ้านหันเข้าพึ่งพระ รดน้ำมนต์ปัดรังควานกันไป บ้างก็ผูกสายสิญจน์ที่คอและข้อมือ ในยามค่ำคืนจะได้ยินแต่เสียงสุนัขหอนอย่างเยือกเย็นไปทุกหนทุกแห่ง ยายของผมแกว่า เสียงอย่างนี้เป็นสัญญาณแห่งมรณะ และการไข้จะลุกลามอีกอย่างไม่หยุดหย่อน
ความตายที่จะเกิดจากโรคนั้น ตัวผมไม่รู้สึกกลัว แต่เรื่องกลัวผีนี่น่ะซีหนาวสะท้านเข้าหัวใจ ข่าวการตายได้เพิ่มแก่หูอยู่ทุกวัน รู้สึกว่าแทบทุกแห่งจะมีเงาของปิศาจวูบวาบไปทั้งหมด เข้านอนกลางคืน พอดับไฟหมดแล้ว ไม่อยากจะหายใจดัง เกรงปิศาจจะได้ยิน นอกบ้านออกไปไกลได้ยินเสียงสุนัขหอนเป็นหมู่เยือกเย็นไม่ขาดเสียง ยิ่งนึกถึงคำพูดของยายที่ว่าเสียงอย่างนี้เป็นสัญญาณแห่งมรณะ ยิ่งหนาวสะท้าน กลิ่นธูปที่ยายจุดบูชาพระตลบทั่วบ้าน ทำให้เกิดความกลัวเพิ่มขึ้นอีก ยายของผมอาจจะกลัวตายมากกว่ากลัวผี ผมไปโรงเรียนแกสั่งให้รีบกลับ ห้ามแวะเวียนไปไหนกลัวจะไปนำเชื้อโรคกลับมา ตอนเย็นจวนค่ำแกปิดประตูหน้าต่างหมด แล้วเริ่มจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วพูดดัง ๆ ขอพรพระมิให้โรคเข้ามาใกล้กราย
เช้าวันหนึ่งเป็นวันพระ ผมหยุดโรงเรียน ชะโงกหน้าต่างมองไปที่ทางเดิน เห็นคนหามโลงศพเดินผ่านไปอย่างเร่งรีบ ผมหลบหน้าวูบเข้าบังฝาเลย ใจคอสั่น นั่นหมายถึงว่า มีใครตายใกล้บ้านเราเข้าแล้วสิ ผมร้องบอกยาย แต่ยายรีบเอามืออุดปากผม ผมเลยนิ่งเงียบ ยายนั่งลงพนมมือไหว้พระแล้วสวดมนต์ ผมไม่ได้สวด แต่ก็แอบนั่งอยู่ใกล้ ๆ นั่นเอง
ตกตอนสาย ผมคงขลุกอยู่ในห้อง ลูบคลำกังหันลมที่ลองทำขึ้นเองเพราะเคยเห็นเพื่อนบ้านเขาทำกัน เวลาลมจัด ๆ กังหันชนิดนี้จะร้องหึ่ง ๆ ได้ แต่ที่ผมทำเองนั้นจะร้องได้หรือมิได้ยังหารู้ไม่ ผมพยายามทำเองอย่างไม่มีครู เห็นเขามาก็มาคิดทำเอง จึงยังไม่แน่ใจว่าจะดังหรือไม่ดัง ความจริงน้าชายห่าง ๆ ของผมคนหนึ่ง แกชื่ออั๋น บ้านแกอยู่ในคลองบางสะแก แกเคยรับปากผมว่าจะทำให้ผมเล่นสักอัน แต่นาน ๆ แกจะมาสักที ผมก็คอยแล้วคอยเล่า มือคลำกังหันที่ยังไม่สมบูรณ์ไปใจก็นึกถึงน้าอั๋นไป ก็พอดีได้ยินเสียงยายที่นั่งอยู่ท้ายครัว ตะโกนเรียกชื่อคนที่ผมคอยนักคอยหนา
“อ้าว! นั่นเจ้าอั๋นรึ” พอผมได้ยินคำนี้เท่านั้น ดีใจโดดพรวดออกจากห้อง ตรงไปที่ยาย แต่ไม่เห็นน้าอั๋น เห็นแต่ยายนั่งทำอะไรอยู่คนเดียว
“ไหนเล่ายาย น้าอั๋น ?” ผมถามแก แกกลับเลิกคิ้วมองดูผม
“อ้าว! มันไม่ได้เข้าไปหาเอ็งรึ ?”
”เปล่าจ้ะ”
“ทำมันจะเลยไปบ้านโน้นกระมัง”
“เขาแน่หรือจ๊ะยาย ?”
“บ๊ะ มันยังยิ้มกะข้านี่หว่า”
“เอ๊ะ ! ยายจ๋า เมื่อกี้ยายเห็นน้าอั๋นเขาถือกังหันมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่เห็นว่ะ ไม่เห็นมันถืออะไร มันยังยกมือไหว้ข้านี่ ไม่เห็นมันมีอะไร”
ผมเสียใจวูบ ถ้าน้าอั๋นไม่ถือกังหันติดมือมา ก็แปลว่าน้าอั๋นไม่ได้ทำให้อีกตามเคย รู้สึกเสียดายเป็นกำลัง นาน ๆ แกจะออกมาจากคลองบางสะแกสักหน ด้วยความอยากพบผมจึงเดินออกไปดูข้างนอกบ้าน เมื่อมองไม่เห็นจึงเลยไปบ้านยายอ่อง เพราะตามเคย ถ้าเขามาหายาย เขาจะเลยไปบ้านยายอ่องทุกคราว ถูกคอกันนักกับน้าสมลูกชายยายอ่องเรื่องกระบี่กระบอง คุยสามวันไม่จบ
ไม่พบน้าอั๋นที่บ้านยายอ่องอย่างคิดไว้ จึงเดินดูแถวใกล้ ๆ จนทั่วก็ไม่พบ กลับเข้ามารายงานกับยายตามนั้น
“เอ ! ตาจะฝาดไปกระมังหว่า” ยายว่า “แต่มันยืนอยู่ที่ประตูนั่นแหละ พอข้าทักมันแล้ว ข้าก็ก้มหน้าทำอะไรของข้า แล้วมันไปเสียข้างไหนหว่า” แกบ่นแล้วมองตาผมอย่างขอความเห็น
“ยายเห็นใครก็ไม่รู้” ผมพูดอย่างรำคาญใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้พบกันพูดแล้วเลยเดินเข้าห้องอย่างหมดหวัง หยิบนิทานอีสปมาอ่านด้วยความพลุ่งพล่าน ในที่สุดก็หลับไป
เป็นเวลาสักสามโมงเย็น ผมตกใจตื่นโดยมีเสียงใครมาพูดอย่างร้อนรนกับยาย และมีเสียงยายโต้ตอบบ้างบางคำ และก็เป็นเสียงตกใจเช่นกัน ผมรีบออกจากห้องไปที่เขาพูดกันนั้น ก็พบหญิงคนที่บ้านน้าอั๋น คือพี่สอน นั่งพูดอยู่กับยาย
"ข้านึกไม่ผิดเชียวอีสอนเอ๋ย พอเห็นหน้ามันมาที่ประตูเมื่อเช้านี้แล้วก็หายไป ข้านึกสังหรณ์ใจ อนิจจังทุกขัง อุตส่าห์มาให้เห็น" คำพูดของยายคำนี้สะกิดใจผมพิลึก
"อะไรจ๊ะยาย?"
"อ้ายอั๋น! ตายเมื่อเช้ามืดนี่เอง"
ผมตกใจตัวชาวูบคล้ายจะล้มลงทั้งยืน รีบทรุดลงนั่ง
"แหม ใจคอฉันไม่อยู่กับตัวเลย" พี่สอนพูดต่อ "มันเพิ่งจะเข้าไปถึงหมู่บ้านฉัน อ้ายเก๊าที่แพขายของใกล้บ้านก็ตายเมื่อวานนี้" พี่สอนหยุดพูดแล้วยกแขนตัวเองขึ้นดู "แหม! ฉันขนลุก" แล้วพูดต่อไปด้วยเสียงกระซิบ
"เมื่อคืนนี้ยายทวดแกฝันไปว่า มีใครไม่รู้มาบอกแกว่า การไข้คราวนี้จะกินคนอีกไม่น้อย จนกว่าหลุมศพจะฝังซ้อนกันนั่นแหละจึงจะหยุด" พี่สอนพูดแล้วกอดอกจนตัวลีบ ส่วนอาการของยายนั้นหน้าขาวเผือด ดวงตาเปิดกว้าง สำหรับอาการของผมนั้นเอง มองไม่เห็นตัวเอง รู้สึกเพียงว่าใจคอสั่นและเต้นไม่เป็นระเบียบ
"ไปกันเถอะยาย" พี่สอนเตือน "เขาให้รีบมาบอกยายเร็ว ๆ พอพลบจะเอาศพไปฝัง หมอหลวงเขาเร่งให้ฝังแต่กลางวัน ขอผัดเขาไว้บอกญาติให้ทั่วกันก่อน"
"ไปซี" ยายพูดแล้วลุกขึ้นจะไปแต่งตัว แล้วหันมาทางผม "อ้าว เจ้าคำ รีบหาเสื่อใส่เร็ว" ผมไม่อยากจะไปเลย กลัวเหลือเกินเรื่องความตาย แกตายแล้วยังมาหาเมื่อเช้านี้ ซ้ำยังจะไปหาศพแกอีก ใครจะกล้า แต่จะไม่ไปนั้นก็ไม่ได้ จะอยู่คนเดียวที่บ้านไม่ไหวแน่ เมื่อเช้านี้ถ้ายายตาฝาดไปก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดน้าอั๋นมาจริง ๆ ตามที่เห็น ถ้าผมเฝ้าบ้านคนเดียวแล้วน้าอั๋นสวนทางมาเยี่ยมผม ผมก็ตายเท่านั้นเอง ตกลงใจไปดีกว่าอยู่ สวมเสื้อแล้วก็ไปกันทั้งสามคนเราเดินทางโดยเรือแจวที่พี่สอนเอามารับ ตลอดทางในคลอง ผมไม่เบิกบานจะชมนกชมไม้อย่างเคย ใจมันกลุ้มมันอลเวงอยู่ตลอดเวลา ยายกลัวจะช้าคว้าพายช่วยจ้ำหัวเรืออีกคนหนึ่ง ตอนท้ายพี่สอนเป็นคนแจว ผมเองพายไม่ค่อยออกแรงเท่าใดนัก เพราะไม่คิดอยากจะถึงเร็ว คิดว่าถ้าบ้านไกลกว่านี้จะดีมาก ต้องพักหยุดค้างที่บ้านอื่นก่อนแล้วค่อยไป จะพอผ่อนความวุ่นใจลงบ้าง แต่ไม่เป็นผล เพราะบ้านน้าอั๋นจะถึงอยู่ในชั่วครู่นี่เองแล้ว
เรือเทียบตลิ่งหน้าบ้าน ซึ่งมีเรือจอดอยู่แล้วมากลำ มองขึ้นไปบนบ้าน เห็นพวกบ้านใกล้และไกลมานั่งเศร้า ๆ แววตามีทุกข์ร้อน มีคนมากก็จริงอยู่ แต่ไม่มีใครพูดจาเอะอะเหมือนศพที่ตายกันธรรมดา ตอนกลางคืนจะมีสวดพระอภิธรรม ย่อมมีเสียงเอะอะพูดจาจัดงานกัน แต่นี่เป็นศพที่จะต้องรีบนำไปฝังในตอนพลบค่ำนี้ จึงไม่มีใครจัดทำอะไรกันด้วยว่าศพก็อยู่ในโลงแล้ว เพียงแต่รอญาติพร้อมเท่านั้น บางคนนึกแช่งผู้ที่มาช้า โดยเป็นผู้ถ่วงเวลาให้พลบค่ำ ที่ไม่เหมาะแก่การจะไปฝัง จะต้องขมุกขมัวอยู่ในป่าช้า ขุดหลุมฝังกว่าจะเสร็จการก็มืดตื้อกว่า ฟืนไฟบ้านเราจะเอาที่ไหนสว่างนอกจากดวงไต้แดง ๆ ฉะนั้นทุกคนจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีบ้างก็เศร้าใจที่ตายแล้วก็ไม่ได้สวดกัน ดูคล้าย ๆ รีบหามเอาไปทิ้ง บางคนที่มีสีหน้ากังวลนั้น เห็นจะมาจากเกรงภัยของไข้คราวนี้ที่ระบาดทั่วไป จึงหวั่น ๆ ว่าจะมาถึงตัว ส่วนผมไม่มีความกังวลตรงกับใคร กังวลแต่เรื่องผีเท่านั้น ตายกันมาก ผีก็อยู่ทั่วไป และที่ใกล้ที่สุดก็คือผีน้าอั๋น การตายที่รวดเร็วและไม่ขาดวันก็เป็นที่น่าสะดุ้งใจและสลดใจอยู่ เห็น ๆ กันแล้วมาตายจากไป คนบ้านนอกอยู่ในวงแคบ ๆ ใครตายใครอยู่ก็รู้จักกันหมดทั้งบาง สุนัขบ้านตรงข้ามคลองฟากโน้นหอนโจ๋ ๆ สะท้านใจ ผมหันมองทางเรือนฝั่งคลองที่เสียงสุนัขหอน เห็นปิดประตูหน้าต่างเงียบ เขาคงไม่อยากจะสู้หน้ากับการมรณะในยามนี้ สุนัขก็มีโอกาสหอนตามใจมัน ไม่มีใครห้ามปราม ผมก้าวขึ้นบันไดตามยายขึ้นไปบนเรือนด้วยความท้อแท้ประหวั่นกลัว เลยแอบนั่งรวม ๆ กับคนแก่ ๆ ที่ระเบียง ไม่ยอมขึ้นบนห้องบน ให้ยายแกเข้าไปแต่คนเดียว เสียงญาติร้องไห้พลางรำพันความดีของน้าอั๋นระงมเยือกเย็นไปทั้งบ้าน ผมหนาวใจอยู่แล้วเลยสะท้านขึ้นมา เลย เสียงยายร้องเรียกผมอยู่ในห้อง ผมจึงย่องหลีกคนไปลับ ๆ ล่อ ๆ ที่หน้าประตู ยายบอกว่าไหว้น้าเขาเสียสิ ผมลังเลใจ แต่กลัวยายก็กลัวกลัวน้าอั๋นก็กลัว ทางดีที่สุดรีบยกมือไหว้เสียที่ประตูนั่นเอง ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรีบถอยกลับลงมาที่พื้นดิน พอพวกญาติที่แข็งแรงช่วยกันยกโลงศพลงบันได บนเรือนก็ร้องไห้กันโฮ
”เวรกรรมพ่อคุณเอ๋ย ไม่ได้สวดให้สักจบเดียว ตายแล้วก็ทิ้งไป” เสียงคนแก่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก นั่งพูดอยู่บนเรือนเสียงแหบแห้ง ผมหนาวเย็นจับใจขึ้นอีก เรือค่อย ๆ เคลื่อนจากท่าแล้วแจวไปทางวัดอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครคุยกันเลย มีแต่เสียงแจวกระทบน้ำและระลอกคลื่นที่คอเรือดังเบา ๆ เรือผ่านบ้านใคร สุนัขบ้านนั้นหอนและบ้านนั้นก็งับประตูหน้าต่างจนสิ้น ผมมีความรู้สึกครึ่งเป็นครึ่งตาย หายใจอยู่หรือเปล่าไม่ได้สังเกต พวกเด็ก ๆ บนบกพอเห็นเรือศพ ต่างวิ่งหนีหลบไป เสียงชาวบ้านพึมพำบ่นถึงการตาย ยายแก่หนังเหี่ยวร้องขอความคุ้มครองต่อเทพเจ้าออกมาดัง ๆ
“เจ้าพ่อเจ้าแม่เอ๋ย จะรุกรานไปถึงไหน ตายก็มากแล้ว ผิดสิ่งใดก็ลงโทษไปพอแล้ว ขอกรุณาหยุดแต่เพียงนี้เถิดเจ้าข้า” ยายนั่นแก่จะร้องขอโทษใครผมไม่รู้ ผมอยากร้องไห้ท่าเดียว คิดถึงบ้าน ถ้าผมขออยู่เฝ้าบ้านและอาศัยนอนกับน้าสมลูกชายยายอ่องก็ดีไปแล้ว ไม่ควรใจง่ายมากับเขา
“เอ ! ทำไมเรือหนักจริงเว้ย !” ทิดน้อยพายหัวเรือร้องบ่น ความจริงน่าฉงน ทิดก่องแจวท้ายก็มิได้ละลด รวมทั้งทิดน้อยพายหัวก็ออกแรงกันเต็มที่ แต่เรือเหมือนไม่เขยื้อน พอขาดคำของทิดน้อย ตาเถิ่งจุ๊ปากห้ามคล้ายมีอะไรเป็นความลับที่ไม่ควรพูด ผมสงสัยนัก กระซิบถามพี่สอนว่าตาเถิ่งแกห้ามทิดสอนทำไม
“ห้ามสิ” พี่สอนกระซิบตอบที่ใกล้หู
“คนตายจะมาวัด พวกที่ป่าช้าจะพากันมารับ หรืออาจจะนั่งมาในเรือเราด้วย เรือจึงหนัก” พอพี่สอนพูดดังนั้น ผมสะดุ้งทั้งตัว เหลือบตาไปดูทั่วเรือ มองไปข้างหน้าเห็นวัดไกล ๆ อากาศชักจะมัว ๆ ผมหูแว่วคล้ายว่าที่วัดมีปี่พาทย์มอญ เสียงตะโพนใหญ่ดังเท่งทึง ๆ ลอยมาตามลมเบา ๆ ทำให้นึกไปว่ามันเป็นเพลงเชิญศพที่กำลังจะไปถึง และป่านนี้ผู้ตายที่นอนในโลงมีกำลังลืมตา เงี่ยหูฟังอยู่ในโลงกระมัง ? ยิ่งคิดไปก็ยิ่งหวาดกลัวสะท้านใจไม่มีสุขเลย
เรือได้เข้าจอดหน้าวัดที่ดินงอกออกมาเป็นหาดในหน้าแล้ง คนในเรือต่างรีบจะขึ้นไปทำกิจการให้แล้วก่อนค่ำ การลุกขึ้นเก้กังนี่เอง ทำให้เรือแทบจะล่ม จึงเอะอะด่าทอกันกลุ้มไป ถ้าเรือล่มลงจริง ๆ ศพจะลงน้ำจะทำความทุลักทุเลให้อีกโขทีเดียว วัดนี้ผมไม่เคยมา เพิ่งจะเหยียบย่างเป็นครั้งแรก หน้าวัดมีเลนงอกออกมาพ้นตลิ่งมาก แต่ได้แห้งเขินเป็นชายหาดไป ต้นหญ้าขึ้นเขียวดูดังสนามหญ้าน่ารื่นเย็น มองฝั่งตรงข้ามเป็นวัดร้างชื่อวัดโกโรโกโส ทิ้งร่างเหลือแต่หลวงพ่อนั่งตากฝนตากแดดโดยโบสถ์มีแต่ฝา ไม่มีหลังคา หลังวัดโกโรโกโสเป็นทุ่งนาโล่ง เราหันหน้าเข้าวัดจะเห็นศาลาการเปรียญใหญ่อยู่ซ้ายมือเรา ศาลานี้อยู่แนวเดียวกับโบสถ์ที่อยู่ขวามือเรา ส่วนกุฏิพระทั้งหมดลึกเลยศาลาและโบสถ์เข้าไป
เมื่อศพถูกหามขึ้นบกเดินเลาะชายหาดดินไปหน้าศาลาจะสู่ป่าช้า พวกญาติเดินตามร้องไห้ไปอย่างน่าระอาใจ ผมถูกใช้ให้เฝ้าเรือ นึกเหมาะแก่ใจแล้ว ถึงเปล่าเปลี่ยวก็ยังดีกว่าการตามศพเข้าสู่ป่าช้า สุนัขที่ศาลาการเปรียญและลานโบสถ์ได้หอนต้อนรับศพที่หามไป ผมยืนขนลุกไปทั้งตัว พอศพลับมุมศาลาไปแล้ว ผมจึงทรุดตัวนั่งลงที่เนินหญ้า มองทอดตาไปทั่ว ๆ คลองนี้ช่างกระไร ยังไม่ทันค่ำไม่เห็นมีเรือมีแพพายผ่านมาบ้างเลย บ้านสองหลังถัดวัดไปทางโน้นเงียบเหงาคล้ายไม่มีคน เป็นอันว่ายามนั้นไม่มีคนเลยในที่ใกล้และไกล มองบนวัดก็มีอากาศทึมของศาลาและไม้ใหญ่
ความมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาทุกขณะ ผมเกิดไม่สบายใจขึ้นเป็นลำดับ ชักจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ครั้งจะตามเขาไปบ้างก็ห่วงเรือที่เขาให้เฝ้าไว้ ภาวนาขอให้เขารีบทำให้แล้วเร็ว ๆ จะได้กลับมา มันช่างเงียบน่าหวาดสะดุ้งเหลือประมาณ นอกจากเสียงน้ำไหลกระทบกิ่งไม้แห้ง ๆ ที่ปักไว้ข้างคลองและพงอ้อพงแขม ต้นไผ่ฝั่งตรงข้ามเบียดกันออดแอด พอเหลียวไปเจอะเรือที่มา ก็ใจหายวูบ นั่นคือเรือศพ และศพเพิ่งขึ้นไปเมื่อกี้ ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ระฆังวัดก็ดังขึ้น เขาเรียกพระลง บังสุกุล เจ้าสุนัขหกเจ็ดตัวที่ลานโบสถ์ก็หอนประสานเสียงระฆังขึ้นมาความรู้สึกของผมซู่ซ่าไปหมด ผู้ใหญ่นะผู้ใหญ่ ช่างใจดำทิ้งผมไว้คนเดียวในสภาพเช่นนี้ ฮึ ! เป็นไรเป็นกัน ทิ้งเรือละ ต้องตามไปรวมกับเขาให้ได้
ผมรีบก้าวเท้าไปทางที่หินเขาเดินกันเป็นหมู่เมื่อตอนแรก พอเข้าเขตศาลาใต้ถุนสูง ทั้งบนศาลาก็มืด ใต้ศาลาก็มืด ยืนชะงักอยู่แถวนั้นเองมองไม่ออกว่าทางไหนเขาไปป่าช้ากัน จะหาเด็กวัดสักคนก็ไม่มี จะตามไปคนเดียวโดยไม่รู้ทาง เรื่องเข้าป่าช้านั้นยากยิ่ง ผู้ใหญ่เคยพูดว่าเวลาพลบค่ำนี่แล้วเป็นเวลาที่พวกผีจะออกจากโรงจากหลุมขึ้นบนพื้นดินเพื่อดัดแข้งดัดขาให้หายเมื่อยที่นอนอัดอยู่ในโรงตลอดวันตลอดคืนยิ่งคิดใจยิ่งสั่นจะเป็นลม ตัดสินใจจะวิ่งกลับที่เก่า บนศาลามืดไม่กล้ามองขึ้นไป เกรงจะพบเอาใครเข้า เสียงตุ๊กแกร้องกระโชกขึ้น ผมสะดุ้งจนตัวลอย หัวใจเทพทะลักออกมาทางปาก อยู่เงียบ ๆ แล้วมาร้องกระโชกยังไม่รู้ตัว เสียงมันคล้ายคนแกล้งร้อง ตั้งท่าจะวิ่งกลับที่เก่าให้พ้นศาลาโดยเร็ว ก็พอดีเห็นชายผู้หนึ่งเดินอุ้มอะไรแนบอกมา ดูว่าเขาจะไปทางป่าช้า ดีใจว่าจะได้อาศัยเขาเดินไปด้วย ชายนั้นเดินใกล้เข้ามาอากาศมืดสลัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใจค่อยชื้นขึ้นที่พบคน พอเราต่างใกล้กันเข้ามาจนเห็นหน้ากันถนัด ก็รู้ว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่พวกเราที่มาด้วยกัน เขาอาจจะเป็นคนบ้านนี้ สิ่งที่เขาอุ้มมาคือเด็กแดง ๆ นั่นเอง นอนอยู่บนเบาะเล็ก ๆ
"ฝากเด็กเดี๋ยวเถอะวะหนู" ชายนั้นพูดอู้อี้และแหบแห้ง แต่ก็พอฟังรู้เรื่อง ผมนิ่งอยู่ไม่ตอบว่ากระไร ใจนึกอยู่ว่า อะไรกันพ่อเอ๋ย ฉันเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะมารับฝากเด็กเข้าไว้ผูกคอฉันอีกละก็ตายแน่
"เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว" ผมบอกกับเขาเพื่อบ่ายเบี่ยง
"จะกลับเมื่อไหร่ล่ะ" เขาถาม
"พอเขาฝังศพเสร็จก็กลับ" ผมว่า
"โอ๊ย ! งั้นละก็อีกนาน ฝากเดี๋ยวเถอะวะอ้ายพ่อคุณ แม่มันไปงานศพเขา จะเข้าไปตาม" เขาว่า
"ทำไมน้าไม่อุ้มไปเลยล่ะ ก็จะพบกันที่โน่น" ผมแย้ง
"วัดโธ่ ! เด็ก ๆ เอาเข้าป่าช้าได้เรอะ" เขาแย้งด้วยเหตุผล ทำเอาผม เห็นจริง
"น้าอย่าไปช้านะ"
"เออน่ะ ข้าจะวิ่งไป"
เป็นอันว่าผมรับเอาเด็กนั้นไว้ โดยคิดแล้วว่าแม้จะเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ยังดีกว่าจะอยู่คนเดียว ไม่พูดอะไรอีก ตรงเข้ารับเด็กเลย
"ไปเร็ว ๆ นะ ถ้ามันร้องขึ้นฉันแย่เลย"
"เออ" เขาตอบคำแล้วรีบวิ่งไปตามที่เขาบอกว่าจะรีบ
ผมรับเด็กแล้วก็กลับมาที่เนินหญ้า วางเบาะเด็กลงเพราะรู้สึกตัวว่ามันอ้วนตัวหนัก พอนั่งพักหายใจเต้นยังไม่ได้สติดี เจ้าของฝากของผมก็เริ่มสำแดงเดชคือร้องแงขึ้น ผมต้องอุ้มและหลอกล้อปลอบโยนตามแกน แต่มันไม่ยอม จะอือจะเออะไรมันไม่ฟังทั้งนั้น มันร้องดังจนแสบหู เจ้าเวรเจ้ากรรม ผมแลบลิ้นปลิ้นตาเล่นกับมันจะให้มันถูกอารมณ์ มันก็ไม่หยุดผมวางมันลงกับดิน แล้วขึ้นเต้นโขนอย่างกระฉับกระเฉง ความกลัวหายไปแล้วเวลานั้น หลวงพ่อเจ้าประคุณแผลงฤทธิ์เสียเสียงก้องไปหมด จะโอ๋จะเอ๋ฉันไม่เอา อ่อนบัดซบ ถ้าไม่อ้อนก็น่าชมมันอ้วนท้วนดี แต่อ้อนเสียจนน่าโยนทิ้ง ลงท้ายผมชักฮึด มึงร้องได้ร้องไป ปล่อยมันนอนร้องไห้สบาย
ในครู่นั้นเองเด็กเจ้ากรรมก็หยุดร้องไปเฉย ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะกิ๊ก ๆ ผมฉงนใจจึงก้มดู อากาศมันมืดลงจนมองแทบไม่เห็น จึงก้มลงใกล้มัน มันก็ชูมือไขว่คว้าหน้าผมในความมืดสลัว ทันใดนั้นผมก็ร้องขึ้นสุดเสียง อ้ายเด็กแดง ๆ นั้น หน้าตามันเป็นผู้ใหญ่แก่ ๆ หัวเราะฟันเต็มปาก แต่ฟันดำอย่างคนกินหมาก แล้วเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ นั้น กลายเป็นเสียงหญิงแก่หัวเราะ ผมกลัวจนสุดขีด กุ้งหัวเข้าพงหญ้าเอาหน้าซ่อน แล้วเลยหมดสติไปเลย
ผมมารู้ตัวต่อเมื่อรู้สึกว่าหัวผมหนุนตักใครอยู่ ผมลืมตาก็รู้ว่าตักของยายนั่นเอง แกกำลังบี้พิมเสนใส่จมูกผม ไฟดวงไต้สว่างจ้า คนทั่วไปตามถามผมว่าเป็นอะไร แต่ผมตอบไม่ออก ครั้นมาถึงบ้านแล้ว ผมล้มเจ็บเสียหลายวัน เผ้าผมร่วงจนหัวโกร๋น แล้วก็พอดีกับกาฬโรคได้ยุติลง เหลือไว้แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ใครจำได้ก็เล่าสู่กันฟังต่าง ๆ รายไป