ภูตผีปีศาจไทย/เล่ม 3/เรื่องที่ 11
เรื่องความวุ่นวายของบ้านป้าจีบ ลุงโป๊ะ เงียบลงแล้ว ศพป้าจีบก็ได้เผาไปอย่างเรียบร้อย ความเศร้าโศกของลุงโป๊ะก็คงจะมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา พี่ถนอมก็หายหน้า ไม่ได้เยี่ยมมาที่บ้านผมเลย คงเนื่องจากงานบ้านสุมตัว เมื่อป้าจีบตายไป พี่ถนอมก็ต้องรับเหมาเอาไว้คนเดียว ส่วนงานนานั้น ลุงโป๊ะต้องบุกเดี่ยว ส่วนอ้ายจ้อยที่เป็นบ้าขาพิการ มันก็ร้องโวยวายไปตามฤทธิ์ของมันที่กระต๊อบเล็กท้ายครัวตามเคยกว่าจะสิ้นใจ
ลุงโนดไปธุระไหนกลับมาไม่ทราบโดยการเดินเท้า บ้านเราเมื่อหมดหน้าน้ำแล้ว ทุกคนจะต้องพึ่งขาตัวเองโดยเดินบก ทางน้ำเลิกกัน เรือเข็นขึ้นแห้ง ลุงโนดเดินผ่านหน้าเรือนเรา ได้หยุดยืนพูดกับตาผมและยายที่กำลังร่อนรำข้าว ส่วนผมกับพี่พุกกำลังตำข้าวอยู่ ทางบ้านผมไม่นิยมส่งข้าวไปโรงสี เพราะข้าวสารตำเองกินอร่อยกว่าข้าวสารโรงสี อีกอย่างหนึ่ง คือ เรายังได้รำข้าวไว้ใช้การ เช่น เลี้ยงเป็ดและเลี้ยงปลาหลังบ้าน
ท่าทางลุงโนดคุยกับตาดูขึงขังผิดตา ผมจึงหยุดคำข้าวเพื่อฟังลุงโนดพูด
"ท่านพระครูท่านว่า จนใจจริง ๆ ถ้าไม่รับไว้ ก็จะเคืองใจกันหลายอย่าง" ลุงโนดว่า
"อือ! ก็จริงของท่าน" ตารับคำ "แล้วนี่เอาศพนอนแผ่ไว้บนศาลานั่นเรอะ?" ตาถาม ผมกับพี่พุกได้ยินคำพูดของตาคำนี้ชักสะดุ้ง เอ๊ะ มันเป็นเรื่องแปลกหู ศพใครที่ไหนกัน
"ก็ทิ้งไว้ยังงั้นน่ะซี เจ้าของศพเขาว่า ตอนเช้าจะมาจัดการว่าจ้างคนที่วัดต่อโลงศพ แต่นี่ก็ยังไม่มา เห็นจะเป็นบ่ายละมั้ง" ลุงโนดว่า
"อุวะ เมื่อคืนก็ทิ้งศพไว้เอ้กา?"
"อ๋อ เปล่า! มีคนเฝ้าอยู่สองคน" ลุงโนดบอก "มันยากใจพระครูท่านไม่ใช่เล่น ธรรมดาศพจะมาวัด มันต้องมีใบมรณบัตรมาด้วย แต่นี่รีบเอาศพมาก่อน มันยากกับทางวัดจะรับไว้โดยผิดระเบียบ แต่ทิดหาญ พี่ชายทิดกล้าคนที่ตาย เขาว่า มันกะทันหัน คนตายกลางทุ่ง จะเอาเข้าบ้านก็ไม่ได้ จึงเอามาวัดก่อน กว่าจะได้บอกกำนันและอำเภอก็เห็นจะบ่าย"
"เรื่องนี้มันน่ามีปัญหาฮิโนดฮิ" ตาว่า "ใครจะว่าตายโดยถูกคนแอบยิง หรือไปปล้นเขาแล้วถูกเจ้าทรัพย์ยิงตาย ก๊กนี้มันก็รู้ ๆ กันอยู่นะพวกเรา ถึงเดี๋ยวนี้เขาจะตั้งเนื้อตั้งตัวร่ำรวย แต่อ้ายก่อน ๆ มามันก็เสือ ๆ" ตาพูด
ทั้งหมดที่ลุงโนดพูดกับตาก็ได้ความว่า ลุงโนดไปธุระ ผ่านวัดมาพบกับท่านพระครู ก็เลยรู้เรื่องการตายของทิดกล้าว่า ถูกลอบยิงโดยกำลังขี่ม้าเดินทางกลับบ้านเขา แต่พี่ก็เอาศพมาไว้บ้านเรา ก็เพราะบ้านเขาอยู่หนองตาโล่ ย้อนกลับไปก็ลำบาก แต่เรื่องไม่มีใบมรณบัตรมันก็ลำบากแก่วัดอยู่ แต่เรื่องนี้ผมกับพี่พุกเห็นว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา เหลียวมองไปทางวัดหน่อยหนึ่งเห็นเงียบ ๆ ก็หันกลับก้มหน้าตำข้าวต่อไป
ตกบ่ายวันนั้น เรามองไปทางวัดเห็นคนขี่ม้ามากันหลายคน คงจะเป็นพวกเจ้าของศพ น่าสงสัยตามที่ตาพูดว่า ก๊กนี้เคยเป็นโจรเก่า จึงมีนิสัยชอบใช้ม้าเป็นประจำ แต่ความจริงแล้ว ทุ่งบ้านนี้ พอพ้นหน้าน้ำไปแล้ว อะไร ๆ มันก็ต้องพึ่งบก ถ้ามีม้าใช้ มันก็เร็วทันใจในการจะไปไหนมาไหน ตาก็เคยพูดว่า ก๊กนี้มีฐานะดี ก็น่าจะใช้ม้าได้อย่างสบาย
พวกเราเพียงมอง ๆ ดูเท่านั้น ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก หากแต่อยู่ใกล้วัดพอมองเห็นกัน ก็ต้องเห็นอะไร ๆ บ้างเป็นธรรมดา ตกกลางคืนเขามีสวดกันที่ศาลา และสวดกันสามคืนแล้วก็เอาลงฝังไว้ที่ในป่าช้า มิได้เผาตามที่ชาวบ้านเรานิยมทำกันโดยยึดถือเอาว่า การเผานั้นเป็นการตัดห่วง ถ้าเก็บศพไว้อีก มันก็ยืดเยื้อไปวันหน้า เมื่อศพที่เราเห็นนั้นเป็นไปโดยเรียบร้อย ก็เห็นจะมีใบมรณบัตรให้วัดแก่เรียบร้อย
เรื่องที่ผมรู้คราวหลังนี้ คนตายนั้นถูกลอบยิงตายจริง ๆ แต่ยังเอาตัวคนยิงไม่ได้ เพราะว่าเวลากลางคืนจะมองเห็นหน้าเห็นตากันได้อย่างไร ผู้ตายขี่ม้ากลับจากธุระกับลูกน้องอีกสองคน และผู้แอบยิงก็มีม้าขี่เหมือนกัน พอยิงตกม้าแล้ว ผู้ยิงก็ขับม้าหนีไปในความมืด ลูกน้องผู้ตายได้แต่เพียงยิงตามเสียงไปสุ่ม ๆ ไม่กล้าจะขี่ม้าตามให้เกิดตายกันอีก
ตัวผมนี่มันมีนิสัยอยู่ว่า เรื่องไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แต่ก็อดเก็บเอามาคิดไม่ได้ ใครจะเรียกผมว่า อ้ายเรืองขี้กลัว ก็ตามเถิด นอนกลางคืนอดจะคิดถึงทิดกล้าที่ตายไม่ได้ เพราะวัดอยู่ใกล้บ้านเรา ก็นึกเสียวอย่างไรพิลึก ศพตายโหง ผู้ใหญ่ว่า ตายอย่างไม่สงบ วิญญาณมักจะวนเวียน ตกกลางคืนจิตใจมันก็หวาดหวั่นทุกคืนไป ยิ่งตอนกลางวัน ตาพูดถึงเรื่องทิดกล้าบ่อย ๆ ในแง่สงสัยพี่น้องก๊กนี้ อ้ายคนที่มาแอบยิงอาจจะคุมแค้นในเรื่องหักหลังกันอย่างไรใครจะรู้ หรือแอบไปปล้นมาด้วยกันแล้วหักหลังฮุบเอาเสียคนเดียวจึงตามมาแก้แค้น ผมฟังแล้วก็ว้าวุ่นใจพิลึก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตอนกลางวันวันหนึ่งมีคนสองคนขี่ม้ามาหยุดที่หลังบ้านตะโกนเรียกชื่อตาของผมอยู่โหวก ๆ
"ใครวะ อ้ายเรือง?" ตาร้องถามผมมาจากห้อง ผมจะไปตอบได้อย่างไร เพราะไม่รู้จัก มองไปก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ตาจึงลงบันไดเรือนมองลอดใต้ถุนเรือนไปยังหลังบ้าน
"ใครนะมาเรียกฉัน จำไม่ได้ ใครเล่า" ตาตะโกนถามไป
"ทิดหาญจ้ะ ทิดหาญ พี่เจ้าทิดกล้าไงล่ะ" เสียงตะโกนตอบมา ตาได้ฟังแล้วสีหน้าดูไม่ค่อยสดใสนัก ทีท่าไม่ค่อยอยากจะพบปะนัก
"ขี่ม้าอ้อมกระโดงปลาเข้ามาเฮอะ" ตาตะโกนบอกไป และในครู่นั้นเองม้าทั้งสองตัวก็เข้ามาถึงลานดินหน้าเรือน ผมรำคาญหมาที่เห่าแซงเสียงคนอยู่นานแล้ว ยิ่งมีม้าเข้ามาถึงในบ้าน ก็ยิ่งขรมถมเถใหญ่ จึงรีบไล่ขับมันไปทางหลังบ้านเสีย ตาได้เชิญทั้งสองขึ้นเรือน เขาผูกม้าไว้โคนมะยมแล้วก็ขึ้นเรือนไป
"ไปไหนกันมาล่ะยะ?" ตาถาม ยายยกเชี่ยนหมากให้
"มาที่วัดนี่ละย่ะ" คนที่ชื่อหาญพูดแล้วชี้ไปที่ชายหนุ่มอีกคน "นี่เจ้ากล่อม น้องคนเล็ก เฮ้ย ไหว้น้าแม้นเสียสิ เอ็งเกิดไม่ทันหรอก เมื่อรุ่น ๆ ข้าเคยคบหาสมาคมกับน้าแกมา" คนที่ชื่อกล่อมยกมือไหว้ตายาย
"น้าแม้นคงไม่รู้เรื่องอ้ายกล้ามันถูกลอบยิงตายในทุ่งนี้เมื่อสองสามวันมานี่ ฉันเลยเอาศพฝังไว้วัดนี้" ทิดหาญพูด
"เอ๊ะ!" ตาทำร้องออกไปอย่างว่าไม่รู้เรื่อง "ยังไงกันนี่?" ตาพูดแล้วจ้องหน้าทิดหาญจะเอาความจริง
"ยังเอาตัวคนร้ายไม่ได้" ทิดหาญว่า "ฉันน่ะอยู่บ้าน เจ้ากล้าเขาไปธุระที่อำเภออุทัย ขากลับก็ค่ำโขอยู่ เลยถูกลอบยิงตาย มืดแปดด้าน เอาตัวใครไม่ได้ อยากมาถามว่า เมื่อสักสามคืนมานี้ ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใครผ่านมาทางนี้บ้างไหม"
"เอ! ไม่ได้ยินเลย" ตาพูดแล้วหันมาดูผมและพี่พุก "เอ็งได้ยินมั่งไหม?"
"ไม่ได้ยินเลยจ้ะ ฉันก็นอนดึก ๆ ถ้ามีผ่านมาก็ต้องได้ยิน เงียบ ๆ อย่างนี้ไม่พ้นหูไปได้หรอก" พี่พุกตอบ
"นี่แหละ ฉันก็ควานหาทิศทางอ้ายคนร้ายอยู่ว่า มันผ่านม้าไปทางไหนบ้าง เจ้าเด็กที่มากับอ้ายกล้ามันก็ว่า ไม่รู้เหรือนกันว่า คนยิงขับม้าหนีไปทิศใด มันมืดเหลือเกิน" ทิดหาญพูด
"ไม่มีใครติดตามบ้างรึ?" ตาถาม
"โอ๊ะ! ใครจะตามล่ะ มืดยังกะเข้าถ้ำ มันไม่ฉลาดเลยถ้าบุ่มบ่ามตามไป ได้ยิงแต่สุ่ม ๆ ไปสองสามนัดเท่านั้น เรายังจับทิศทางที่มันผ่านไม่ได้ เราสงสัยมันหลายพวกด้วยกัน" ทิดหาญว่าแล้วบ้วนน้ำหมากด้วยกิริยางุ่นง่านใจ
"ทางอำเภอว่าไงมั่ง?" ตาถาม
"ก็ยิ่งมืดไปกว่าเราอีกน่ะแหละ" ทิดหาญพูดแล้วสะบัดหน้า
"นี่มาทำไมล่ะที่วัด?" ตาถาม
"มาเยี่ยมศพเจ้ากล้าน่ะซี" ทิดหาญว่า
"ยังไม่คิดจะเผาเรอะ?" ตาถาม
"อ๋อ! ยังหรอก จะเอาไว้จนกว่าจะได้ตัวอ้ายคนร้าย คนอย่างเราน่ะ ถ้าแก้มันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางจับกุมหรือฆ่าแกงกัน มันก็เลิกไม่ได้" ทิดหาญพูดอย่างหน้าเหี้ยม ๆ นัยน์ตาดุขึ้นมาทันที ผมนึกมองเห็นภาพขึ้นมาทันทีตามที่ตาเคยพูดว่า ก๊กนี้เป็นเสือเก่า เดี๋ยวนี้แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทีท่าและดวงตายังบอกนิสัยเก่า ฉายบอกสัญชาติเดิม
"นี่ฉันมาเซ่นไหว้หลุมอ้ายกล้ามัน น้าแม้น ให้มันเข้าฝันหรือดลใจบอกว่า ใครทำร้ายมัน บอกมาเลย" ทิดหาญพูดน้นเสียง "จะเวียนมาเซ่นมาปลุกจนกว่าจะได้เรื่อง อ้ายกล้าจะตายไม่ได้ มันจะยังไม่ตาย จนกว่าจะแก้แค้นกันให้สาสม" ทิดหาญพูดจบ ทุบหัวเข่าดังปึ้ก
"ฉันก็สืบเสาะหาทิศทางที่ม้าพวกมันผ่าน ต้องควานไป ก็เท่ากับช่วยตำรวจเขาด้วย" ทิดหาญพูดจบแล้วยกมือไหว้ตาเป็นการลงเอยเอาอย่างง่าย ๆ ไม่มีพิธีอะไร "ฉันต้องกราบลาน้าแม้นละ"
ทั้งสองแก้ม้าแล้วโดดขึ้นม้าอย่างว่องไวด้วยกิริยาที่มีแค้น ๆ อยู้ไม่หาย ครู่นั้นเอง ม้าทั้งสองก็ออกพ้นบ้านเรา บ่ายหน้าไปทางอำเภออุทัย
"นี่มันจะก่อกวนปีศาจให้วุ่นวายละ อ้ายพวกนี้" ตาพูดเมื่อเขาไปกันแล้ว ลุงโนดก็ขึ้นมารวมกับพวกเรา
"ผีตายโหงน่ะ ไปปลุกไปเซ่นมันได้เรอะ" ยายพูดอย่างวุ่นวายใจ
"ก็นั่นน่ะซี" ตาว่า "เวรจริง อ้ายพวกนี้ อายุเข้ามาป่านนี้แล้ว ยังไม่รู้จักสงบเสียที มัวแต่วกวนก่อเวรอยู่ มันก็ผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ อะไร ๆ ปล่อยตำรวจเขาดีกว่า อ้ายทำเองน่ะ มันไม่พ้นการฆ่าแกงกันหรอก" ตาพูดแล้วสั่นหัว
"เจ้าคนนี้น่ะเป็นพี่คนตายเรอะ?" ยายถาม
"ใช่สิ! ก่อนนี้ก็เสือมาด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่า เป็นผู้ใหญ่บ้านที่หนองตาโล่นั่นแหละ แต่การเป็นผู้ใหญ่บ้านน่ะ ใช่มันจะลบล้างนิสัยเดิมไปได้ก็หาไม่ ถ้ามันยังไม่มีเรื่องขุ่นใจ มันก็วางตัวเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ ถ้าลงแค้นขึ้นมา อ้ายตำแหน่งนั้นจะไปคุ้มหัวอะไรมันได้" ตาออกความเห็นเพราะเคยรู้จักกันดีมาแต่เก่าก่อนเมื่อตายังเที่ยวเตร่อยู่
"แต่อะไร ๆ ไม่ร้ายเท่ามาริระยำปลุกผีปลุกสางให้ตื่นขึ้น มันผีตายโหงแท้ ๆ แถวนี้ไม่ใช่ตำบลบ้านมัน มันเป็นตำบลเรา เสือกมาทำให้วุ่น" ยายบ่นแล้วมองหน้าใครต่อใคร แต่ถ้าใครมองหน้าผมละก็ ไม่ต้องพูดละครับ มันก็หน้าจ๋อยซีดเป็นไก่ต้มไปเท่านั้น อายุผมมันก็เพียงสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ จะเอาอะไรมาตั้งสติเล่า พี่พุกหนุ่มก็จริง แต่เขายังได้เคยเป็นทหารมาแล้ว คนที่ออน ๆ ในกลุ่มนี้ก็มีผมกะเจ้าแฟงเท่านั้น
ข่าวการปลุกผีที่หลุมทิดกล้าได้รู้กันไปทั่ว ๆ ในละแวกนั้น ต่างคนต่างไม่พอใจและทุกข์ใจไปตาม ๆ กัน และเกือบทุกวันจะมีหนุ่มใหญ่หน้าเหี้ยม ๆ ขี่ม้ามาไหว้ศพและปลุกเซ่นกันอยู่เสมอ ชาวบ้านเราทั้งรู้และเห็น แต่ใครเล่าจะกล้าไปทักท้วงเขา แม้แต่ท่านพระครูยังพูดไม่ได้ เพราะเขาอ้างว่า ศพญาติเขา เขาก็มาเซ่นไหว้กันตามที่เคารพนับถือ
ต่อมาใคร ๆ ในละแวกบ้านเราไม่มีใครผ่านวัดในเวลาเย็นค่ำเลย ทุกคนหวาดหวั่นหลุมอ้ายกล้าด้วยกันทุกคน พอโพล้เพล้ดวงอาทิตย์ลับทุ่งไปแล้ว สุนัขที่วัดชักจะหอนกันเสียงยาวเยือกเย็น คล้าย ๆ มันเห็นอะไรขึ้นแล้ว เลยพาเอาสุนัขตามบ้านพากันหอนรับไปด้วย เอาละ ถ้าจะว่า มันมักจะหอนตาม ๆ กันไป แต่ก่อนที่เหตุนี้ยังไม่เกิดขึ้นทำไมไม่มีอย่างนี้เล่า ตกค่ำผมเลยถือเป็นกฎเกณฑ์เลยไม่ยอมลงจากบ้าน แม้แต่จะคิดถึงเจ้าแฟงก็งดพบกันไว้แล้ว พอเย็นก็รีบทำอะไร ๆ ที่ข้างล่างให้เสร็จและเก็บขึ้นบ้านหมด พระอาทิตย์ตกดินแล้วไม่ยอมลงจากบ้านอีก
พี่พุกเขาใจกล้ากว่าผม เขาเคยเป็นทหารมาแล้ว ตอนค่ำ ๆ เขายังไปคุยที่เรือนลุงโนดและเรือนใคร ๆ ที่ใกล้ แต่ก็ไม่อยู่นานนัก ทุ่มสองทุ่มก็กลับขึ้นเรือน เพราะสุนัขทั่ว ๆ ไปชักจะหอนรับกันน่าสะท้านใจ ทำไปทำมาหมู่บ้านที่ใกล้วัดชักจะไฟมีดเมื่อยามค่ำคืนเพราะปิดประตูหน้าต่างหมดเลยไม่มีแสงไฟลอดออกมา บางบ้านก็นอนเลยก็มี เลยดูเป็นตำบลที่น่าเกรงกลัวภูตผีปิศาจไปเลย
ตากับยายนเห็นใจผม รูู้ใจผม ไม่เคยใช้ผมลงไปจากเรือนเลยเมื่อเวลาค่ำคืน ยายก็เป็นคนหวาด ๆ ทางผี ๆ สาง ๆ เท่ากับผม ยิ่งมามีการเซ่นและปลุกผีตายโหงใกล้ ๆ บ้านเช่นนี้ แกยิ่งไม่สบายใจเลย สำหรับผมน่ะ เรื่องน้าเกียรติยังไม่ทันหายกลัว เกิดมาทิดกล้าเข้าอีกแล้ว นึกถึงกรุงเทพฯ เขาช่างสว่างไสวไปด้วยแสงไฟทั่ว ๆ ไป ไม่น่ากลัวอย่างบ้านเรา มันช่างมืดและเงียบเสียจริง ๆ หมูหมาก็พาลช่วยหอนผสม เสียงใบไม้ถูกลมไหวตัวดังเกรียวกรูในยามเงียบ หมาทางวัดก็หอนขึ้นเสียงยาว แล้วทางบ้านก็หอนรับขึ้น ผมขดตัวอยู่ในมุ้ง นึกไปว่า นี่คงเป็นเวลาที่ทิดกล้ากำลังก้าวขึ้นจากหลุม ค่อย ๆ ดัดตัวให้หายเมื่อยที่นอนนิ่งอยู่ในโลงมาทั้งวันทั้งคืน คิดไปก็หนาวสะท้านหัวอก
ในคืนต่อมา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งอยู่ชายทุ่ง ไกลบ้างใกล้บ้าง ผมตัวสั่นเทา แน่ใจว่า นั่นมันเป็นเสียงฝีเท้าม้าของทิดกล้า และทิดกล้ากำลังควบขี่เพื่อควานหาผู้ที่ทำร้ายตัว ตื่นเช้าผมกระซิบถามพี่พุกว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าหรือเปล่า ผมถามยาย ยายก็ว่า ไม่ได้ยิน แต่แกมองหน้าผมด้วยดวงตาที่ลุกวาว ผมได้ยินคนเดียวจริง ๆ และได้ยินเต็มหูเลย ทั้งหมาใต้ถุนก้หอนขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าม้าดังผ่านไป ในขณะนั้นผมแทบจะจับไข้
ในคืนหลังมาอีก เสียงนั้นและอื่น ๆ ก็เป็นไปอย่างคืนก่อน แต่รุ่งเช้ายายรับว่า ได้ยินอย่างผม และยังได้ยินม้าร้องอย่างคะนอง ลุงโนดก็รับอีกปากว่า ได้ยินเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า หูผมไม่ได้แว่วไปคนเดียว ส่วนตานั้นนิ่ง ๆ ไม่ออกความเห็น จะได้ยินไม่ได้ยินไม่พูด ดูแกยาก แต่สังเกตว่า แกก็คงใจไม่ค่อยดีเช่นเดียวกับเรา แกทำอะไรคนเดียวเงียบ ๆ คือ เอายันต์ในตู้ออกมาแขวนที่ชายคาบ้าน ผมยิ่งแน่ใจว่า ตาเองก็รู้อะไร ๆ ทั้งหมด หากแต่เป็นพ่อบ้าน ย่อมจะต้องทำกิริยาให้หนักแน่นเยือกเย็นไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดง่าย ๆ เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวแก่ลูกบ้าน
"มีอะไรที่ทิ้งอยู่ข้างล่างก็เก็บขึ้นบ้านเสียแต่วัน ๆ โว้ย อ้ายเรือง" ตาร้องบอกผม และตัวแกเองก็คว้าอะไรต่ออะไรขึ้นบ้านเกี่ยวกับของที่จะใช้สอยในตอนกลางคืน คำพูดของตาและการกระทำของตาทำให้ผมหนาวใจนัก แสดงว่า เรื่องต่าง ๆ มันถึงขนาดแล้ว มิฉะนั้น คนชั้นตาจะไม่เป็นไปอย่างพวกเรา ๆ เย็นค่ำลงตาได้สั่งปิดหน้าต่างและประตู อ้างว่า อากาศหนาว ปิดเสียดีกว่าเปิด
เสียงฝีเท้าม้าในยามดึกนั้นมันอาจเป็นไปได้สองนัย นัยหนึ่ง อาจจะเป็นม้าของทิดหาญเที่ยวควานหาความจริงของคนร้ายว่ามาจากทางไหนกันแน่ นัยที่สอง ถ้าเป็นม้าของทิดกล้าล่ะ คิดแล้วถึงกลับครางออกมา รุ่งขึ้นได้ข่าวว่า พระที่วัดองค์หนึ่งเห็นทิดกล้าเดินอยู่ในวัดอย่างช้า ๆ วนไปวนมา แล้วออกจากวัดไป
"อ้ายกล้าชักจะยุ่งเสียแล้ว!" ตาพูดงึมงำขณะที่กินข้าวอยู่
"ไม่รู้ว่าเสียงม้าใคร" พี่พุกพูด เขาเพิ่งจะพูดว่า เขาเองก็ได้ยินอย่างผมและยาย
"มึงได้ยินเรอะ?" ยายถาม
"จ้ะ ได้ยิน" พี่พุกพูดแล้วก้มหน้าเปิบข้าว
"ทำไมท่านพระครูไม่ห้ามอ้ายพวกมาปลุกผีเสียนะ" ยายว่า
"ห้ามเดี๋ยวนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ มันตื่นตัวเสียแล้ว" ตาว่า "อ้ายทิดหาญมันบ้า มันไม่คิดว่ามันเล่นกับไฟ และคนทั่ว ๆ ไปก็โกรธมันอยู่"
ยิ่งฟังไปก็ยิ่งกังวลใจ อยากจะกระอักออกมาด้วยความอัดอกอัดใจ ข่าวการปลุกผีได้กระจายไปทั่ว ๆ บ้าน ใครมีม้าขี่แทบจะบอกขายไปเลย เกรงทิดหาญจะคิดสงสัยว่าร่วมมือกับพวกที่ฆ่าทิดกล้า หากแต่หมู่บ้านเราไม่มีม้าขี่ เลยค่อยสบายใจไป
ในบ่ายวันนั้น มีชายคนหนึ่งอายุราว ๆ ห้าสิบกว่ามาถามหาตาและก็ได้พบกัน ตาก็ชวนขึ้นเรือน
"ฉันได้ข่าวว่ามีการเซ่นผีตายโหงกันที่วัดนี้เรอะ ข่าวว่าอาละวาดนัก ฉันจึงย่องมาฟังข่าวดูว่าจริงหรือไม่จริง" ชายนั้นพูดกับตาและยาย
"พ่อหิงจะมาดูทำไม?" ตาถาม
"อยากรู้ว่าจริงไหม ถ้าจริง ฉันจะมาเรียกเอาไปใช้งาน ฉันอยากได้" ตาหิงพูด
ทุกคนมองหน้าตาหิงกันทุกคน เป็นเรื่องแปลกหูและไม่เคยคิดว่าจะได้ยินดังนั้น
"อ้ายจริงน่ะจริงละ แต่พ่อหิงจะเอามันไปได้เรอะ?" ตาถามขึ้นอย่างสนใจ และมองหน้าคนที่ชื่อหิงผู้มีหน้าร่างกายผอมเกร็ง หัวหงอกประปราย
"ถ้าจริงอย่างน้าว่า ฉันจะมาสะกดเอาไปเอง" ตาหิงว่า
"โอ! พ่อคุณเถอะ ถ้าเอาไปได้ ก็ช่วยด้วยเถิด วุ่นนัก" ยายร้องและยกมือไหว้
"ต้องขอเวลาสักหน่อย" ตาหิงพูด ปากเคี้ยวหมากอย่างตรึกครอง "มันอยู่หลุมไหนแน่ จะต้องขอไปดูสักหน่อยก่อน"
"ก็ที่ป่าช้าวัดนี่แหละ" ยายว่า
"ดีละ ประเดี๋ยวจะย่องไปดู เหมาะท่าก็จะทำพิธีเสียคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้กลับเลย" ตาหิงพูด และชะโงกมองไปทางวัด "มันฝังกันด้านไหนนะ?"
"ไม่รู้สิ ฉันไม่สนใจเลย ลองไปดูก็รู้นี่ ปากหลุมจะต้องมีดอกไม้ธูปเทียนผิดตาอยู่หรอกน่ะ" ตาพูด
"งั้นฉันจะไปแอบดูท่าทีเสียก่อน นี่! พ่อแม้น ถ้าหากท่าทีมันยังไม่เหมาะ ก็ขอค้างอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งเถอะนะ" ตาหิงว่า "และขออาศัยข้าวสุกสักมื้อสุกมื้อด้วย" พูดแล้วหัวเราะ ตาก็หัวเราะ เพราะเรื่องการกินอยู่บ้านเราไม่ตกใจเลย ผมดีใจนัก ถ้ามีคนดีมาเรียกไปเสียได้ จะได้หมดความกลัวเสียที มิฉะนั้นละก็ สบายใจเพียงกลางวันเท่านั้น พอตกค่ำก็หวาดเกรงไปตลอดคืน
ตาหิงหายไปวัดสักครู่หนึ่งเดินกลับมาสั่นหัวอย่างท่าทางไม่สู้ดี
"แหม! พ่อแม้น พระที่วัดท่านตาขมึงเอาฉันเข้า พอเดินไปทางป่าช้า ท่านเรียกพระมาอีกหลายองค์เดินตามฉันและมีตะพดเสียด้วยซิ ท่าไม่เป็นการละแฮะ" ตาหิงพูด
"ท่าพระท่านจะคิดว่า พ่อหิงจะไปปลุกไปเซ่นกระมัง" ตาว่า
"ท่าอยู่แฮะ เอาละ ขอค้างสักคืนเถอะ พรุ่งนี้พ่อแม้นช่วยไปบอกพระด้วยกันว่า ฉันมาดี จะมาทำพิธีสะกดและเรียกเอาไป ไม่ได้มาทำให้วุ่นวายหรอก"
"เอา! เอายังงั้นก็เอา พรุ่งนี้จะไปหาท่านพระครู ท่านรำคาญใจ เลยควบคุมคนที่ไปก่อกวนผี" ตาว่า และรู้ว่า แกเห็นดีด้วยที่ตาหิงจะทำพิธีเรียกเอาไป
คืนนั้นเมื่อเสร็จอาหารแล้ว ผมไม่ยอมจะอยู่ฟังเขาคุยให้กลัวเปล่า ๆ รีบนอนเลย เขาคงคุยกันหลายทุ่มหน่อย ผมหลับไปนานโข ท่าจะดึกแล้ว ผมตื่นขึ้นเห็นไฟดับหมด ก็เลยเงี่ยหูฟังเหตุการณ์ตามเคย เสียงต่าง ๆ นอกเรือนมันช่างเงียบสงัดจริง และในครู่นั้นเอง เสียงหมาทางวัดก็หอนขึ้นโหยหวน ผมใจเต้นรัว โกรธตัวเองว่า ดันตื่นขึ้นมาทำไมกันไม่รู้ ตื่นแล้วต้องผจญกับเสียงที่ไม่เป็นมงคล
ทางบ้านเรายังเงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมนอนใจระรัวเงี่ยหูฟังต่อไป แต่ในครู่นั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นที่ชายทุ่งหลังบ้านใกล้ลำกระโดงปลา ผ่านไปผ่านมา นกแสกเจ้ากรรมบินร้องผ่านไปดังแซ้กเข้ากรีดหัวใจ หมาใต้ถุนเราก็หอนรับโหยหวนขึ้นประดังกับเสียงที่ได้ยิน ทั้ง ๆ ที่เสียงหมากำลังหอนทอดยาวทอดสั้นอยู่ ก็มีเสียงอะไรดังแทรกขึ้นมา มันเป็นเสียงใครไม่รู้ร้องเรียกใครฝ่าเสียงหมาขึ้นมา ผมสะท้านสั่นและร้องไห้เลย เสียงนั้นไม่ชัดว่าเป็นเสียงใคร มันแหบ ๆ แห้ง ๆ มันดังอยู่ข้างล่างทางด้านนอกชาน หมายิ่งหอนใหญ่ แน่แล้ว มันมาจากหลุมในวัด ผมสะดุ้ง หัวใจวาบเหมือนใจจะขาดและหยุดเต้น เพราะอยู่ ๆ พี่พุกกระถดตัวเข้ามาชิดโดยไม่ทันรู้ตัว แต่พอรู้ว่าเป็นพี่พุกก็ค่อยคลายใจ แต่ว่าใจมันเต้นแรงเมื่อตอนต้นอย่างสุดขีด ทำให้ทรวงอกปวดเสียวไม่หยุดลงได้ง่าย ๆ ผมเลยเบียดตัวเข้าชิดพี่พุกแน่นเลย มันเป็นคืนสำคัญในชีวิตของผมที่บ้านมาบโพธิ์ เกือบสว่างจึงได้หลับลงอย่างอ่อนเพลีย
ผมตื่นขึ้นเห็นสีหน้าคนทุกคนมีเค้าไปสบายใจ ทุกข์ใจกันทุกคน เขาคงผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนกันทุกคน
"เมื่อคืนเอ็งรู้อะไรไหม?" ยายกระซิบถามผม พี่พุกกำลังหิ้วน้ำใส่โอ่ง
"ใครมันมาไม่รู้" พอผมเอ่ยเท่านี้ ยายเอามืออุดปากผม
"เอ็งอย่าพูดอะไร ตอบว่ารู้คำเดียวก็พอ" ยายกำชับผมอย่างเด็ดขาด
"จ้ะ ฉันรู้หมด" ผมว่า
"พอแล้ว!" ยายว่า "ข้าเห็นจะต้องโจนไปอยู่บ้านอ้ายโป๊ะชั่วคราวละวะ"
"โอ้โฮ! แย่เลย" ผมร้องออกมาเมื่อได้ยินยายพูดว่าจะคิดหนี ยายแกไปเสีย ทางบ้านนี้ก็หมดความอบอุ่นลงไปอีก แกจะไปบ้านพี่ถนอม ผมก็อยากจะไป แต่ที่นั่นผมก็ยังหวั่นน้าเกียรติ ผมกลัวน้าเกียรติเท่า ๆ กับกลัวทิดกล้า เรื่องน้าเกียรติจบไปยังไม่กี่วัน ผมจะทำยังไงกันเล่า
"เอ๊ะ! ตาเรากับตาหิงไปไหนล่ะ?" ผมถามยาย
"ไปวัดกันล่ะสิ กูกลัวจริง ๆ วะ จะทำอะไรไหงไม่ไปทำกันที่อื่น ดันมายุ่งที่บ้านเรา โอย! จะขาดใจตายเสียให้ได้เมื่อคืนนี้" ยายบ่น
ผมเห็นจริงตามยายพูด ถ้าตาหิงไม่มาค้างที่นี่ เรื่องก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อคืน ผมชักหนักใจเพิ่มขึ้นอีกเสียแล้ว แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรได้ คืนนี้ต้องแย่อีกแล้ว
จวนเวลากินข้าว ตาผมกับตาหิงก็กลับมา ตาหิงซื้อเหล้าติดมือมาด้วย ตาหิงแกกิน แต่ตาเราไม่กิน พอถึงนอกชาน ตาหิงก็นั่งดื่มคนเดียว
"เมื่อคืนมันมาท้าทายฉัน" ตาหิงว่าแล้วหัวเราะ ตามีแววเหี้ยม "ดีแล้ว ท่านพระครูท่านอนุญาตให้ทำได้ คืนนี้ฉันจะลงมือทำการละ ฉันจะไปทำที่ศาลาป่าช้าเลยตลอดคืน ฉันไม่มายุ่งทางบ้านนี่หรอก พอเสร็จงาน ฉันก็จะเลยกลับไปทีเดียว ไม่แวะมาลาละนะ" ตาหิงพูดกับตาและยาย ผมเบาหัวอก มองดูยายก็เห็นหน้าตาแจ่มใสขึ้น พี่พุกถอนหายใจเฮือก ความจริงมันควรจะเป็นเช่นนั้น ชั้นแรกเราคิดว่า ตาหิงจะมานุงนัวอยู่ที่บ้านเราอีก เราก็แย่เลย เท่าที่ทิดกล้าเคยสำแดงเสียงอยู่ห่าง ๆ บ้าน ก็จะกลายเข้ามาถึงในบ้านอย่างเมื่อคืนนี้ ถ้าตาหิงยังคงนอนค้างที่นี่
วันนั้นทั้งวัน ตาผมกับตาผิงคุยกันบ้าง นอนพักบ้าง เพื่อออมกำลังไว้ตอนค่ำ พอตกบ่ายก็รีบกินข้าวกินปลากันเรียบร้อย แล้วตาหิงก็เตรียมย่ามสะพายบ่า พลางล่ำลาตายายและพวกเราทุกคน แล้วลงจากบ้านบ่ายหน้าเข้าวัดเลย เราทั้งหมดถอนใจยาวส่งท้ายตาหิง ภาวนาขอให้ตาหิงผู้วิเศษเอาวิญญาณทิดกล้าไปให้จงได้ ละแวกเราจะได้มีสุขเสียที
"กูสงสัยว่ะ!" ตาพูดขึ้นลอย ๆ "อ้ายทิดหิงจะต้องรับจ้างใครมาทำการดังนี้ให้สะกดผีตายโหงอ้ายกล้าจนสงบลง ที่อ้ายทิดหิงพูดว่า มันจะเอาผีร้ายไปไว้เองน่ะ มันจะเอาไปสุมกบาลอะไรกัน ดูมันยังไง ๆ อยู่ และทำไมมันรู้เร็วนักว่า เขาเซ่นผีปลุกผีกันที่นี่ บ้านมันอยู่ถึงทุ่งสา่มเรือน ใกล้กันเมื่อไหร่ ดูทีท่ามันจะซับซ้อนยังไงอยู่" ตาพูดไปเกาหัวไป
"เมื่อวานนี้ได้ยินแกพูดว่า แกอยากได้ผีตายโหงไปทำอะไรของแก" พี่พุกพูดเป็นเชิงออกความเห็นบ้าง
"อ้ายพูดน่ะ มันก็พูดยังงั้น ข้าสงสัยว่ะ ที่ว่ามันจะเรียกเอาไปน่ะ คงจะไม่เอาไป อ้ายทิดหิงคงมาทำพิธีเพียงสะกดอ้ายกล้าให้สงบเท่านั้น อีกฝ่ายมันอาจเกิดกลัวเกรงว่า ถ้าอ้ายกล้าขึ้นอาละวาด ก็จะรู้กันว่า ใครทำร้ายมันถึงตาย จึงคิดให้อ้ายทิดหิงมาสะกดเสีย เพื่อเรื่องจะได้เงียบ อ้ายทิดหิงจะเอาผีตายโหงไปสุมกบาลมันทำไมในสมัยนี้" ตาว่าแล้วมวนบุหรี่สูบ พวกเราฟังเหตุผลของตาก็ดูจะเข้าท่า อาจจะเป็นจริงตามนั้นก็ได้ จริงทีเดียว ใครทำอะไรร้าย ๆ ไว้ ก็ย่อมต้องการให้เรื่องเงียบ ถ้ามีการเซ่นผีกัน เรื่องมันอาจแดงขึ้น อ้ายเรื่องกลัวทางฆ่ากันน่ะ ฝ่ายเจ้าที่แอบทำร้ายหากลัวทางทิดกล้าไม่ แต่กลัวอาญาบ้านเมืองมากกว่า ถ้าเงียบเหมือนความมืด เรื่องมันก็จางหายไป
แต่จะอย่างไรก็ตาม ทางบ้านเรา พอตกเวลาโพล้เพล้ ก็ขึ้นบ้านหมด และปิดประตูหน้าต่างเงียบไปทั้งบ้าน คืนนี้คุยกันบ้างนิดหน่อย ความเงียบมันช่างปกคลุมหมู่บ้านเราจริง ๆ จิ้งหรีดเท่านั้นที่ยังมีเสียงอยู่ตามพื้นนา นอกนั้นไม่มีเสียงอะไร เสียงหมูเสียงหมาพลอยเงียบไปด้วยอย่างประหลาด ตาหิงเป็นผู้มีความศักดิ์สิทธิ์จริงตามที่แกพูด พอเราจะเข้านอน ก็ได้ยินเสียงพระมากองค์สวดมนต์บทไล่ผีดังลอยมา ดูจะเป็นพระทั้งวัดก็ไม่รู้ เสียงดังเหลือเกิน
"พระท่านลงมือร่วมกับอ้ายทิดหิงแน่ ๆ" ตาพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังนั้น
ผมนอนฟังเหตุการณ์ไปจนดึก เสียงพระได้เงียบไปแล้ว รู้สึกว่า สงบจริง ๆ หมาไม่หอน นกแสกไม่ร้อง สงบอย่างน่าชื่นใจ ผมรู้สึกสบายและหลับไปเมื่อไรไม่รู้
แต่พอเช้าขึ้นเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่เคารพ เหตุการณ์มันได้เกิดขึ้นอีกราวกับฟ้าผ่าลงมาอย่างกัมปนาท มีเสียงคนโจษกันว่า มีคนตายอยู่บนศาลาป่าช้า ตาผมแลลุงโนดอยู่ไม่ได้ รีบเผ่นไปวัด
ตอนสายหน่อย ลุงโนดกลับมาคนเดียว ร้องบอกพวกเราว่า ตาหิงนอนตายอยู่บนศาลา มีรอยบาดแผลถูกของแข็งและหนักตีตามตัวน่วมไปหมด หน้าตาเละเทะเพราะโดนตี
"โอย! คุณพระช่วย แล้วยังไงกันล่ะนี่" ยายร้อง "อนิจจัง เมื่อคืนวานก็ยังนอนอยู่บ้านเรานี่"
"กำนันและผู้ใหญ่บ้านกำลังพิสูจน์ศพอยู่" ลุงโนดว่า
"ใครมันหามาฆ่าหา?" ยายถามเสียงสั่น
"ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่า พวกที่ฆ่ามีหลายคนรุมกัน" ลุงโนดว่า ผมหนาวสะท้านเลย ดูเถิด เหตุจะสงบลงแล้วมาเป็นไปอย่างนี้ ทั้งน่ากลัวอันตรายและภูตผี กำลังที่เราพูดกัน ก็พอดีตากลับมา พวกเราต่างเซ็งแซ่ถามเรื่องกัน ตาสั่นหัว หน้าตาบอกไม่สบายใจ
"พูดไปมันก็เป็นเรื่องเดาว่ะ" ตาว่า "ข้านึกแล้วว่า อ้ายหิงหาเคราะห์ใส่ตัว มันต้องรับจ้างฝ่ายโน้นมาทำการ อ้ายฝ่ายนี้ไม่พอใจในการกระทำ ก็ฆ่าเอา มันฉลาด ฆ่าไม่ใช้ปืน มันกลัวพระและชาวบ้านจะได้ยินเสียง ศาลาที่อ้ายหิงนั่งเข้าพิธีมันห่างกับพระที่อยู่ในป่าช้า อ้ายพวกนั้นมันก็รุมกันสบายไป กูนึกไปก็เห็นตัวคนร้ายว่ะ แต่พูดไปปากจะเป็นภัยทุกทาง กูสงสัยใจอยู่เมื่อตอนเช้า กูเดินไปวัดกะอ้ายหิง มันมีใครแปลกหน้าสองคนยืนมองเราที่นอกวัด มันเห็นกูกับอ้ายหิงขึ้นกุฏิท่านพระครู ครั้นขากลับมาก็ไม่เห็นอ้ายสองคนนั่นเสียแล้ว มันคงหลบตัวอยู่แถววัดนั่นแหละ" ตาพูด ผมฟังตาพูดก็มองเรื่องออกโปร่ง เวรกรรม อะไร ๆ มันจะมาลงที่บ้านเราอีก ตาหิงมาอยู่บ้านเรา และตาร่วมไปวัดกับตาหิง เท่ากับร่วมในพิธีสะกดทิดกล้าด้วย ตาหิงมาบ้านเรานี้เท่ากับเป็นทูตมรณะแห่งบ้านเรา ทั้งคนและผีจะบุกบ้านเราอย่างไรบ้าง
"แล้วศพอ้ายทิดหิงล่ะ จะว่ายังไง?" ยายถามตา
"นั่นก็แล้วแต่ทางกำนันและทางวัดจะจัดการกัน เราไปยุ่งอะไรไม่ได้ มันจะเป็นตัวการสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายอ้ายหิง ภัยมันจะมาสู่" ตาว่า พวกเราฟังแล้วตาวาวไปตาม ๆ กัน
"เรื่องมันอีกมาก จบลงยากเหมือนกัน ทางอำเภอคงจะมาสอบสวนบ้านเราบ้าง ในฐานที่อ้ายหิงมาบ้านเรา และข้าเองพาอ้ายหิงไปวัด พยานมันมีรู้เห็น แต่นั่นแหละวะ เราถือเอาอย่างพระ เราไม่ผิดอะไร จะไปกลัวทำไม ความจริงมันมีอยู่ ก็ว่าไปตามความจริง" ตาว่า
"อนิจจัง ทุกขัง เมื่อวานมันก็ยังพูดคุยกับเราอยู่และนอนที่นี่" ยายพูดอย่างอ่อนใจ ส่วนผมก็ยิ่งอ่อนใจไปกว่ายายเป็นไหน ๆ อ้ายเรื่องสู้รบกันน่ะ ถ้ามันจำเป็นก็ต้องสู้ แม้แต่เป็นเด็ก เลือดสู้ก็ยังมี กูไม่รู้เรื่องอะไรกะมึง เมื่อมึงจะพาลระรานมา ก็ทำยังไงได้ ตาของเราก็คนเก่า เคยผ่านดีผ่านร้ายมาเหมือนกัน พวกเจ้านายหาญก็รู้จักดีอยู่ เอาก็เอากัน ถ้าเอากันแค่หมัด ๆ มวย ๆ ไม่เกี่ยวกับปืนผาหน้าไม้มาแอบยิง ถ้าประกันซึ่ง ๆ หน้า อ้ายผมนี่ แม้แต่อายุน้อย ก็มีกำลังขนาดควายเหมือนกัน กลัวมันจะไม่เอากะเราแบบนี้ นักเลงมากเท่าไหร่ ยิ่งขี้ขลาด จะหาทางแต่ได้เปรียบ เผลอก็เอามึงเสียละมาก ยิงเอาแล้วหนีไป
ทีนี้มาพูดกันเรื่องผีน่ะซี ร้ายกาจกว่าเป็นไหน ๆ ตาหิงมาตายเสีย อ้ายทิดกล้าก็ผุดขึ้นจากหลุมอีก และมันก็จะมาขี่ม้ารอบ ๆ บ้านเราอีก
"กลัวทิดกล้าจะมาขี่ม้าอีกน่ะซี" ผมพูดขึ้นลอย ๆ ทุกคนเหลียวดูผมอย่างเห็นด้วย
"ตาจ๋า ขอปืนฉันสักกระบอกเถอะน่า มันขี่ม้ามาเวียนอีก ฉันยิงเลย" ผมพูดอย่างมีโกรธหน่อย ๆ
ตาหันมองดูผมแล้วถุยน้ำลาย
"ลูกปืนมันแพงโว้ย ปะเหมาะไปยิงถูกคนเข้าติดคุก" ตาว่า ผมหมดประตูจะพูด เลยนิ่งเงียบ คิดอะไรฟุ้งซ่านไปคนเดียว