รัตนปโชตชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดาเป็นเหตุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ภิกษุนั้นอุปสมบทแล้วเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงมารดา ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนว่า การที่บรรพชิตเลี้ยงคฤหัสถ์เป็นของไม่ควร เรื่องนั้นมีความพิสดารเหมือนกับสุวรรณสามชาดกในคัมภีร์ทศชาดก ในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้ พระบรมศาสดามีดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายอย่าติเตียนภิกษุผู้เลี้ยงมารดานี้เลย นักปราชญ์แต่ก่อนก็ได้เคยบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยเพศบรรพชาเหมือนกันอย่างนี้ จึงนำเรื่องราวที่ล่วงแล้วมาอ้างดังต่อไนปี้ว่า ยังมีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่ามหารถ ณ พระนครชื่อว่าเมฆวตี พระอัครมเหศีทรงพระนามว่าสิริรัตนอาภา คราวนั้นพระบรมโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสี เมื่อพระอัครมเหสีทรงพระครรภ์บริบูรณ์แล้ว บังเอิญให้พอพระทัยจะใคร่ประพาสชมสวนราชอุทยาน พระมหารถราชกับพระราชเทวีพร้อมด้วยเสวกามาตย์ราชบริพารเสด็จไปประพาสยังราชอุทยาน ตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาค่ำ พระราชากับพระราชเทวีก็ไม่สามารถจะเสด็จกลับคืนเข้ายังพระนครได้ จึงประทับแรมอยู่ ณ อุทยานนั้นสิ้นราตรีหนึ่ง คืนวันนั้นพระราชากับพระราชเทวีบรรทม พระราชเทวีทรงพระสุบินนิมิตว่า มีบุรุษผู้หนึ่งผิวกายดำผมแดงนุ่มห่มผ้าสีแดงมือถือดาบอันคมกล้า วิ่งมาแต่ทิศปราจีน ตรงเข้าไปถึงที่บรรทมพระราชเทวี รวบรัดมวยพระเกศีฉุดกระชาดลากพระเทวีให้ล้มลง ตรงเข้าควักพระเนตรทั้งสองซ้ายขวา แล้วเอาดาบฟันทักขิณพาหาให้ขาดวิ่น แล้วรองรับโลหิตที่ไหลรินออกไป มิหนำซ้ำเชื่อดพระอุระทรวงล้วงเอาหฤทัยได้แล้ว ก็บ่ายหน้าไปยังปัจฉิมทิศ มีหฤทัยหวาดหวั่นสะดุ้งตื่นจึงกราบทูลให้พระราชสามีทรงทราบ พระเจ้ามหารถะได้ทรงฟังดังนั้น จึงดำรัสสั่งให้โหรผู้ทำนาบสุบินพิจารณา เมื่อโหรพิจารณาแล้วจึงกราบทูลว่า ด้วยพระองค์กับพระราชเวทีจักพลัดพรากจากกัน เวลาเย็นวันนี้มหาเมฆจะตั้งขึ้น ฝนจะตกใหญ่น้ำท่วมขึ้นมา ทีแรกเพียงข้อเท้าและเพียงเข่าและสะเอวเพียงนอเพียงคอเพียงศีรษะ และท่วมทวีขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล มหาชนทั้งหลายเห็นน้ำท่วมขึ้นมาดังนั้นพากันตกใจกลัวต่อมรณภัย ลูกระลอกก็พัดพานาวีให้ลอยไปตามกระแสน้ำ พระราชเทวีที่ทรงพระครรภ์แก่และเป็นหญิงขลาดไม่อาจจะดำรงกายอยู่ได้ ทรงกรแสงน้ำพระเนตรไหลโทรมพระพักตรา เมื่อพระเจ้ามหารถราชให้โอวาทปลอบพระราชเทวี ที่นั้นลูกคลื่นใหญ่พัดกระหน่ำเข้ามา นาวาก็แตกแยกออกเป็นสองภาค พระราชเทวีมีความกลัวต่อมรณะเป็นอันมากร้องไห้พระราชสามีช่วย สมเด็จพระมหารถราชจึงเปลื้องพระภูษาเฉียงพระองสา ออกผูกองค์พระราชเทวีให้มั่นกับพระองค์ คราวนั้นพระภูษาก็หลุดออกจากกัน เป็นประหนึ่งแสดงให้เห็นซึ่งกรรมก่อนของพระองค์ที่ได้ทำไว้ พระราชากับพระราชเทวีทั้งสองต่างก็พลัดลอยไปตามคลื่นแต่ลำพังพระองค์เดียว พระราชากับพระราชเทวีได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องพลัดพรากจากกันดังนี้ คือในชาติก่อนพระราชากับพระราชเทวีเสด็จสรงน้ำอยู่ ณ ฝั่งคงคาแห่งหนึ่ง มีสามเณรองค์หนึ่งพายเรือจะจอดขึ้ยฝั่งที่ตรงนั้น พระราชากับพระราชเทวีก็สักยอกโคลงเรือสามเณรเล่น สามเณรกลัวเรือจะล่ม ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ด้วยผลกรรมซึ่งพระราชากับพระราชเทวีทรงทำแก่สามเณรเท่านี้ ติดตามมาให้พระราชากับพระราชเทวีต้องพลัดพรากจากกัน พระราชเทวีพลัดพรากจากราชสามี ถูกคลื่นซัดลอยไปถึงเชิงภูเขาจันทบรรพต พระนางเธอก็เสด็จขึ้นจากน้ำได้ทรงทอดพระเนตรไม่เห็นมีผู้ใดในที่นั้น จึงทรงขยายพระภูษาทรงออกตากครึ่งหนึ่ง ทรงคลุมพระองค์ไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อแห้งหมดแล้วก็ทรงตามปรกติและประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง ด้วยอำนาจบุญญาธิการของพระมหาสัตว์เจ้า ซึ่งเสด็จอยู่ในพระครรภ์ของพระราชเทวี บันดาลให้พิภพท้าวโกสีย์เร่าร้อนขึ้นทันใด ท้าวสหัสนัยน์ใคร่ครวญไปก็ทราบเหตุนั้นทุกประการ มีเทวโองการตรัสหาตัววิสสกรรมมาสั่งว่าจงไปที่ภูเขาจันทบรรพตจงเนรมิตรสระน้ำทำให้มีบัวพร้อมทั้งห้า กับเนรมิตรบรรณศาลาหนึ่งหลังพร้อมทั้งเครื่องบริขาร ตบแต่งสถานที่ให้วิจรควรเป็นที่รื่นรมย์ยินดี วิสสุกรรมเทพบุตรรับเทพยบัญชาแล้ว จึงลงมาเนรมิตรสระกับบรรณศาลา และจารึกอักษรไว้ที่บานประตูบรรณศาลาว่า ผู้ใดต้องการบวชจงถือเอาเครื่องบรรพชิตบริขาร จงอยู่ให้สำราญในศาลานรี้เทอญ พระเจ้ามหารถราชเมื่อคลื่นลมระดมพัดให้ลอยไป ได้เสวยทุกข์ลำบากอันยิ่งใหญ่ลอยไปประมาณเจ็ดวัน จึงกลับคืนมายังพระนครของพระองค์ได้ ฝ่ายพระราชเทวีนั้นเล่าต้องทนทุกข์อยู่ ณ จันทบรรพต พระนางทรงโศกถึงพระราชาเป็นกำลัง วันหนึ่งพระเทวีเสด็จไปตามมรรคตาทอดพระเนตรเห็นบรรณศาลา ทรงอ่านพระอักษรแล้ว ทราบว่าท้าวโกสีย์ทรงสร้างให้ จึงเสด็จเข้าอาศัยบรรณศาลาทรงบรรพชาเป็นดาบสินีอยู่ ณ ที่นั้น วันหนึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน พระราชเทวีทรงประสูติพระโอรสงามปรากฎเหมือนทองคำ ครั้นรุ่งเช้าพระนางสรงน้ำชำระองค์พระมหาสัตว์แล้วให้เสวยกษิรธารา เมื่อจะขนานพระนามพระโพธิสัตว์เจ้าจึงถือเอานิมิต คืนวันประสูตรที่มีแสงแก้วสว่างทั่วไปในป่าหิมวันต์ ถือเอาเหตุนั้นเป็นพระนามว่ารัตนปโชต ครั้นถึงเวลาเช้าพระราชเทวีเจ้าให้พระบรมโพธิสัตว์อยู่ในบรรณศาลา เสด็จสู่ป่าแสวงหาผลไมม้ได้แล้วก็กลับมา แต่ทรงประพฤติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้จนพระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๕ ปี วันหนึ่งพระบรมโพธิสัตว์ตรัสถามพระชนนีว่าบิดาของตนคือใคร พระราชเทวีจึงเล่าความเบื้องหลังให้พระมหาสัตว์ฟัง พระมหาสัตว์ไม่อาจกลั้นอยู่ได้ด้วยอานุภาพความกตัญญู จึงทูลพระมารดาว่า ตั้งแต่วันนี้ต่อไปขอให้พระมารดาอยู่เฝ้าศาลา ลูกจะรับอาสาไปหาผลไม้มาเลี้ยงพระมารดาเอง เวลาเช้าพระราชเทวีเจ้าเคยเสด็จป่าเพื่อหาผลาผลไม้ทุกๆ วัน พระมหาสัตว์นั้นออกจากบรรณศาลาค่อยดำเนินตามรอยพระบาทพระมารดาไปจนจำมรรคาและทิศที่พระมารดาเสด็จไปได้แม่นยำ วันหนึ่งพระราชเทวีเสด็จไปป่าแต่เช้า เก็บผลไม้ได้เต็มกระเช้า แล้วคิดจะกลับยังบรรณศาลาจึงทรงหยุดอยู่ใต้ต้นไทรแห่งหนึ่ง พอหายเหนื่อยแล้วจะดำเนินต่อไป ขณะนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อพลาหกะสิงสู่อยู่ ณ ต้นไท้นั้น ตรงเข้าจับข้อพระหัตถ์พระราชเทวีไว้ พระราชเทวีทอดพระเนตรเห็นรูปยักษ์ก็ตกพระทัยกลัวตัวสั่นคิดถึงมรณภัย และคิดถึงพระมหาสัตว์ขึ้นมาก็ทรงโศการ่ำไร คราวนั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้านั่งคอยท่าพระมารดาอยู่ในบรรณศาลา แต่เวลาเช้าจนถึงเวลาเย็นไม่เห็นพระมารดากลับมาจึงรำพึงว่าคงจะมีเหตุเป็นแน่ คิดแล้วก็รีบออกจากบรรณศาลาเดินเรียกหาพระชนนี เดินร้องไห้ไปจนบรรลุถึงต้นไทรที่ยักษ์จับพระมารดาไว้ ส่วนพระราชเทวีทรงทราบว่าพระมหาสัตว์ตามมาหา จึงส่งสำเนียงบอกออกไป เมื่อพระมหาสัตว์แวะเข้าไป จึงเห็นพระมารดานั่งอยู่ใกล้มหายักษ์ พระมหาสัตว์เจ้าเข้าไปนั่งใกล้มหายักษ์แล้ว อ้อนวอนว่าขอเชิญท่านกินเลือดเนื้อและหัวใจของข้าพเจ้าเถิด ขอได้โปรดปล่อยมารดาของข้าพเจ้า มหายักษ์ตอบว่า ถ้าว่าท่านพูดจริงกระนั้น ท่านจงผ่าทรวงล้วงหัวใจมาให้เรากินเดี๋ยวนี้ พระมหาสัตว์จึงดำริว่าเราจักได้มีดที่ไหนเล่า คิดแล้วก็ตั้งสติระลึกถึงบารมีแหงนหน้าขึ้นเพ่งดูอากาศ แล้วจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายหน้าด้วยอำนาจความกตัญญู เดชอำนาจความสัจจริงของข้าพเจ้า ขอให้ศัสตราวุธอันคมกล้า จงบันดาลตกลงมาตรงหน้าข้าพเจ้าบัดนี้ ศัสตราอันคมกล้าลอยมาแต่อากาศตกลงมาเบื้องหน้าพระมหาบุรุษชาติ แล้วจึงตรัสว่า ถ้าเราจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาล เราขอกราบไหว้พระมารดาไปกว่าจะสิ้นชีพ ท่านจงให้ชีวิตแก่มารดาเราด้วย แล้วพระโพธิสัตว์ก็ผ่าอกของพระองค์ด้วยศัสตราควักหัวใจออกมาวางไว้ ณ หัตถ์เบื้องซ้าย ดูกรมหายักษ์เชิญท่านกินหัวใจของเราและขอชีวิตของข้าพเจ้าอย่าเพิ่งดับสิ้นไปก่อนเลย เมื่อตรัสแล้วพระองค์ก็ประสงค์จะให้หัวใจแก่ยักษ์โดยเคารพ จึงยกหัตถ์ขึ้นจบแล้ววางไว้บนฝ่ามือยักษ์ประกาศว่า เราให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนี้ ใช่จะปรารถนาสมบัติบรมจักรหรือสมบัติอินทรพรหมและพระปัจเจกพุทธ ก็หามิได้ ด้วยผลที่ให้เนื้อหัวใจนี้ ขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลภายหน้า เราจะรื้อขนนิกรชนให้เต็มนาวาคือสัทธรรม พระมหาสัตว์ตรัสดังนี้แล้ว ก็บอกให้มหายักษ์กินเนื้อหัวใจตามแต่จะประสงค์ มหายักษ์ก็ยินดีจึงนำพระชนนีมาส่งให้แก่พระมหาสัตว์ ส่วนพระราชเทวีทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์สลบไปตกพระทับลุกขึ้นประคองพระหัตถ์เข้าไว้กับพระอุระ ทรงโศการ่ำไห้ดุจประหนึ่งดวงฤทัยจะแตกออกเป็น ๒ ภาค คราวนั้นพิภพแห่งท้าวโกสีห์ก็แสดงอาการร้อน ด้วยอำนาจความกตัญญูของพระมหาบุรุษเจ้า ท้าวสหัสสนัยน์ใคร่คราญดูก็รู้เหตุ จึงรีบเสด็จจากทิพยวิมาน มาประดิษฐานอยู่บนอากาศที่ตรงมหายักษ์อยู่ ทรงขู่ตวาดว่าวลาหกยักษ์เจ้าทำกรรมหยาบหนักหนา ถ้าหากว่าพระมหาบุรุษจึกไม่เป็นขึ้นได้ ณ บัดนี้ เราจักตีศีรษะเจ้าให้แตกออกเป็น ๗ ภาคด้วยวชิราวุธ วลาหกยักษ์ได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจกลัวตัวสั่น จึงประคองพระมหาสัตว์แล้วชะโลมด้วยทิพยโอสถ พระมหาสัตว์ก็ฟื้นขึ้นทันที สมเด็จพระราชเทวีดำริว่า เราจะตั้งความสัตย์ขึ้น ณ บัดนี้ จึงมีพระเสาวณีย์ว่า โอรสของข้าพเจ้านั้น ตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญูจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลภายหน้าจริงๆ ด้วยอานุภาพความจริงของข้าพเจ้า ขอให้โอรสได้ชีวิตกลับคืนขึ้นมาโดยพลัน เมื่อจบคำสัจจาธิษฐานของราชเทวีครั้งที่หนึ่ง พระมหาบุรุษก็มีผิวพรรณผ่องใสคล้ายกับสีทอง ครั้นจบคำสัจจาธิษฐานคำรบสอง พระมหาบุรุษก็หายใจเข้าออกได้คล่อง พลิกพระองค์กลับไปมาเบื้องซ้ายขวา ครั้นจบคำสัจจาธฺษฐานคำรบสาม พระมหาสัตว์ก็ได้สติลุกขึ้นนั่งแล้ว เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จท้าวสักเทวราชเป็นประธาน จึงนฤมิตคานหามทองอัญเชิงพระราชเทวีกับพระมหาบุรุษ ให้ประทับนั่ง ณ คานหามทองนำไปส่งถึงเมืองเมฆวดี พระเจ้ามหารถราช เสด็จมาได้ทอดพระเนตรทรงจำและรำลึกได้ ทรงพระโสมนัสอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติต่อไป พระมหาสัตว์ครั้นได้ราชาภิเษกเสวยเบญจกามคุณตามสมควรแล้ว ทรงบำเพ็ญทานสิ้น ๑ เดือน จึงถวายคืนราชสมบัติแก่พระบิดา และถวายบังคมลาไปยังป่าพระหิมพานต์เพื่อทรงผนวชเป็นฤาษี พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแล้วจึงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาได้โสดาปัตติผล จึงทรงประชุมชาดกว่า พระชนนีก็คือพระนางมหามายา พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ ท้าวสักกเทวราชคือพระอนุรุทธะ วลาหกยักษ์คือองคุลีมาล พระมหาสัตว์รัตนปโชคคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้