วรวงสชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

ในวรวังสชาดกนี้ ไม่มีคำปรารภความเบื้องต้น ไม่มีเรื่องที่เป็นปัจจุบัน มีแต่เรื่องที่เป็นอดีต ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ความมีอยู่ว่า ในอดีตกาล มีกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าวงศาธิปติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในภูสานคร ทรงตั้งพระนางวงศ์สุริยาราชเทวีไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี ให้เป็นใหญ่กว่าพระสนม ๑๖,๐๐๐ คน พระมเหสีเป็นที่รักใคร่พอพระทัยของท้าวเธอเป็นอันมาก ในกาลนั้น พระเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้าได้จุติจากเทวโลกมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมเหสีนั้น ครั้นครบถ้วนทศมาสแล้ว พระนางเจ้าก็ประสูติพระราชกุมารมีพระฉวีวรรณประดุจสีทอง สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันประเสริฐ ทรงถวายพระนามพระราชกุมารนั้นว่า วงศ์สุริยามาศกุมาร หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราทั้งหลาย ได้มาปฏิสนธิในพระครรภ์ร่วมพระมารดาเดียวกัน ประสูติจากพระครรภ์แล้ว มีพระฉวีวรรณประดุจสีทอง พระประยูรญาติทั้งหลายจึงถวายพระนามว่า วรวงศ์ราชกุมาร พระราชกุมารทั้งสองเป็นผู้มีความจงรักภักดีในพระราชบิดา เปรียบเหมือนอำมาตย์ข้าบาทมูลิกาทั้งปวง มิได้มีความประมาท ทรงหมั่นไปทำราชกิจจนพระราชบิดามีพระทัยโปรดปรานมาก แต่พระเจ้าวงศาธิปติราชบรมกษัตริย์ มีพระมเหสีน้อยองค์หนึ่งทรงพระนามว่ากาไวยเทวี พระนางกาไวยเทวีมีพระราชโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ไวยทัตกุมาร ไวยทัตกุมารนั้นเป็นคนมีสันดานกระด้างหยาบช้าทารุณ ว่ายากสอนยากไม่เอาใจใส่ในราชการ ชอบข่มเหงชาวเมืองให้ได้รับความเดือดร้อน ด้วยเหตุนั้น ชาวเมืองจึงมาพันมาประชุมที่ลานพระหลวง แล้วร้องประกาศให้พระเจ้าวงศาธิปติราชบรมกษัตริย์ทราบ พระเจ้าวงศาธิปติราชบรมกษัตริย์ทราบแล้วทรงพิโรธมาก จึงตรัสว่า ไวยทัตกุมารเป็นคนพาล จะรักษาวงศ์ตระกูลไว้ไม่ได้ พระนางกาไวยเทวีได้สดับดังนั้น จึงหาอุบายกลั่นแกล้งให้พระโพธิสัตว์ทั้งสองให้พ้นไปจากเมือง เพื่อให้พระราชโอรสของตนได้ครองราชสมบัติ วันหนึ่ง พระนางได้เรียกพระกุมารทั้งสองให้เข้ามาในห้อง พูดคุยทำความสนิทสนม ๒-๓ วันแล้ว ได้ยกโทษว่า พระกุมารทั้งสองได้ทำการข่มเหงตนในเวลากลางวัน ความทราบถึงพระกรรณของพระราชา จึงรับสั่งเพชฌฆาตพาพระกุมารทั้งสองไปประหารชีวิตเสีย พระราชเทวีทรงสดับข่าวว่า พระโอรสทั้งสองของตนกำลังจะถูกประหารชีวิต จึงใช้ให้นางปริจาริกานำทองคำ ๑,๐๐๐ ตำลึงไปถ่ายตัวมาจากเพชฌฆาต พระราชทานอาหาร ขนม แก้วแหวนและมณีดวงหนึ่งมีราคาประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ตำลึง แล้วส่งไปในประเทศอื่น พระกุมารทั้งสองได้เดินทางมาจนถึงต้นไทรต้นหนึ่งในเวลาเย็น จึงเปลื้องพระภูษาปูลงบนพื้นแล้วบรรทมหลับไปจนใกล้รุ่ง ก็สดุ้งตื่นขึ้นมา ทรงแก้ห่ออาหารออกมา มองหน้ากันและกันนึกถึงพระมารดาอยู่ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่พระกุมารทั้งสองกระทำไว้ ในกาลนั้น จึงมีพระยาไก่สองตัวๆ หนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีขาวอาศัยอยู่บนต้นไทรนั้น บรรดาพระยาไก่ทั้งสองนั้น พระยาไก่สีขาวมาถึงก่อนจึงนอนที่สูง พระยาไก่สีดำมาทีหลังจึงนอนอยู่ที่ต่ำ ถึงเวลาปัจฉิมยามพระยาไก่สีขาวก็ขันขึ้น พระยาไก่สีดำได้ฟังเสียงขัน จึงถามว่า เจ้าไก่พาลคุณวิเศษของเจ้ามีอยู่หรือ จึงได้มาดูหมิ่นเรา ขึ้นไปนอนโปรยขี้ตีนลงมารดหัวเราได้ พระยาไก่สีขาวตอบว่า เจ้าไก่สีดำราวกะโจรเรามาถึงก่อนก็นอนที่สูง เจ้ามาถึงทีหลังก็นอนที่ต่ำจะมาโกรธเราเพราะเหตุอะไร คุณวิเศษของเรามีแน่ ผู้ใดกินเนื้อหัวใจของเราเมื่อเวลาเราตาย ผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าบรมจักรพรรดิราช แล้วถามพระยาไก่สีดำว่า คุณวิเศษของเจ้ามีอยู่หรือ พระยาไก่สีดำจึงตอบว่า ผู้ใดได้กินเนื้อหัวใจเรา ผู้นั้นสามารถจะยกหลักศิลาขึ้นแล้วฆ่ายักษ์ให้ตายเป็นบรมกษัตริย์ได้ ไก่ทั้งสองนั้นบันดาลโทสะตีกันจนถึงสิ้นชีวิตพลัดตกยังพื้นปฐพี พระราชกุมารได้ฟังเสียงไก่วิวาทกัน จึงปรึกษากันว่า ไก่ทั้งสองเป็นเทวดามาช่วยสงเคราะห์เราแน่แล้ว ก็ติดไฟปื้งไก่ทั้งสองตัวนั้น พระเชษฐาเสวยเนื้อหัวใจไก่สีขาว ส่วนพระอนุชาเสวยเนื้อหัวใจไก่สีดำ สมัยนั้น มีกษัตริย์ผู้ครองอัยมาศนครซึ่งเสด็จทิวงคตได้ประมาณ ๗ วัน แต่ท้าวเธอไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบขัตติยสันตติวงศ์เลย พวกราชบุรุษจึงปรึกษากันว่า สมควรจะเสี่ยงบุศยราชรถแสวงหาท่านผู้มีบุญที่สมควรจะปกครองราชสมบัติ จึงจัดุศยราชรถแล้วเสี่ยงสัตยาธิษฐานว่า ขอให้บุศยราชรถจงไปถึงสำนักท่านผู้มีบุญ แล้วปล่อยไป บุศยราชรถบ่ายหน้าออกนอกพระนคร แล่นไปถึงศาลาที่พระราชกุมารทั้งสองบรรทมอยู่ แล้วจอดเอางอนจรดแทบพระบาทของพระเชษฐราชกุมาร พวกราชบุรุษจึงพากันเข้าไปอุ้มพระเชษฐกุมารขึ้นวางบนราชรถ พาไปยังพระราชวังแล้วให้บรรทมเหนือพระแท่นสิริไสยาสน์บนปรางค์ปราสาท เมื่อพระเชษฐราชกุมารตื่นจากพระบรรทมแล้ว พวกอำมาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งปวงจึงกราบทูลเรื่องในพระนครทั้งหมดให้ทรงทราบ แล้วกราบบังคมทูลให้ทรงรับราชสมบัติในพระนครนั้น พระวงศ์สุริยามาศบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงมีพระดำรัสว่า พวกท่านไปพาแต่เรามา ก็น้องชายของเราไปไหนเล่า ราชบุรุาเหล่านั้นกราบทูลว่ พระกนิษฐาของพระองค์ทรงบรรทมอยู่บนศาลานั้น พระพุทธเจ้าข้า ทรงพระพิโรธว่า เราทั้งสองคนพี่น้องปราศจากพระนคร พลัดพรากพระมารดาบิดาได้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา เหตุไฉนท่านทิ้งน้องเราเสีย ไม่พามาด้วยเล่า เมื่อพระวรวงศ์หุมารตื่นพระบรรทมแล้ว ไม่เห็นพระเชษฐาก็ออกจากศาลาเที่ยวค้นหาจนหลงทางไม่รู้ว่าจะไปแห่งหนตำบลใดดี พอเวลาสายัณหสมัยก็เสด็จมาถึงบ้านเศรษฐแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปขออาหารกะนางทาสีของโลภันธเศรษฐี รับภาชนะใส่อาหารแล้วนั่งในที่นั่งสุดข้างหนึ่ง เปลื้องแก้วมณีออกวางบนภาชนะ แล้วเสวยพระกระยาหารด้วยแสงแห่งมณี นางทาสีเห็นดังนั้นจึงบอกแก่โลภันธเศรษฐี ส่วนโลภันธเศรษฐีเป็นคนโลภ จึงเรียกทาสกรรมกรมาเป็นอันมากสั่งให้จับพระโพธิสัตว์ไปโบยตี หาว่าเป็นโจรลักเอาแก้วมณีของตนมา จึงชิงเอาแก้วมณีนั้นไว้แล้วผูกคอพระโพธิสัตว์พาไปด้วยโซ่มอบให้แก่ทาสไป พระโพธิสัตว์เจ้าได้เสวยทุกขเวทนาอดอยากอาหารได้รับความลำบากเป็นอันมาก ในกาลนั้น ยังมีธิดาของเศรษฐีนั้นคนหนึ่งชื่อว่าคารวี ได้เห็นพระโพธิสัตว์เจ้าเสวยทุกขเวทนาเหลือเกิน จึงเกิดความสงสารสิเนหารักใคร่ ด้วยอำนาจที่ได้เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน จึงไปหาบิดาแล้วอ้อนวอนว่า ข้าแต่พ่อ พ่ออยากทำบาปกรรมเลย จงปล่อยบุรุษนั้นไปเสียเถิด เศรษฐีผู้เป็นบิดาได้ฟังวาจาของนางแล้วก็ด่าว่านางอย่างมากมาย นางคารวีจึงกลับไปใช้ให้นางทาสีคนสนิทนำทรัพย์ไปจ้างวานทางที่ควบคุมให้แก้พระโพธิสัตวืออกจากเครื่องพันธนาการ ทาสนั้นรับสินบนแล้วแก้พระโพธิสัตว์ออกจากเครื่องพันธนาการ นางจึงส่งข้าวปลาอาหารหวานคาวไปให้พระโพธิสัตว์ ต่อมา โลภันธเศรษฐีปรารถนาจะไปค้าขาย จึงพาพระโพธิสัตว์ไปด้วย นางคารวีขอติดตามไปด้วย เศรษฐีจึงพาธิดาลงเรือสำเภอไปด้วย แล้วให้พระโพธิสัตว์ถือธงโบกบนหัวเรือ พอพระโพธิสัตว์โบกธงขึ้น เรือสำเภาก็เคลื่อนออกจากที่ คนทั้งปวงได้เห็นพระโพธิสัตว์ก็เกิดโสมนัสยินดีปรีดา เรือสำเภอแล่นไปในมหาสมุทรอยู่นานหลายวัน ก็มาถึงท่าของนครหนึ่งชื่อว่า ขุรนคร (พระนครมีสระน้ำกรด) ก็ ในพระนครนั้นมีสระใหญ่ มีเสาเขื่อนเป็นศิลาอยู่ในสระนั้นและมียักษ์สิงอยู่ มีอักษรจารึกไว้ที่ศิลานั้นว่า ผู้ใดถอนหลักศิลาขึ้นได้ก็ได้พระขรรค์และสามารถจะฆ่ายักษ์ใหญ่ได้ ผู้นั้นจะเป็นผู้มีบุญมาก ในพระนครนั้นครั้นครบ ๓ ปี น้ำในสระใหญ่นั้นจะเกิดเป็นกรด มียักษ์เกิดจากเสาเขื่อนศิลานั้นมากินกษัตริย์ที่ครองราชสมบัติในพระนครนั้นเสียประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเมื่อมีกษัตริย์ครองราชสมบัติได้ ๓ ปี ยักษ์นั้นจะมาจับกินเสีย เป็นเช่นนี้เป็นลำดับมา ในขณะนั้นก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระเจ้าภูสาราช ครองราชสมบัติอยู่ในนครนั้น โลภันธเศรษฐีจึงให้คนเชิญเครื่องราชบรรณาการพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ไปถวายพระองค์ พระเจ้าภูสาราชทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของพระมหาโพธิสัตว์เจ้าแล้วก้เกิดความเลื่อมใส มีพระราชดำรัสว่า เจ้ายังหนุ่มน้อยรูปร่างงดงามนัก เจ้ามาทำโจรกรรมเช่นนี้ไม่ละอายหรือ พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นโจร แก้วมณีดวงนี้พระมารดาของข้าพระบาทประทานให้ เศรษฐีนี้มาแย่งชิงเอาไปแล้วกล่าวคำเท็จใส่โทษข้าพระบาท พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์ได้สดับประวัติจึงตรัสว่า เราสำคัญว่าเจ้าเป็นเด็กโจร ไม่ทราบเลยว่าเจ้าเป็นวงศ์กษัตริย์ เป็นเนื้อหน่อพระชินสีห์สัพพัญญูพุทธเจ้า เจ้าจงไปอ่านอักษรที่จารึกไว้ที่เสา ฆ่ายักษ์เสียให้ได้แล้วจงครองราชสมบัติเถิด พระโพธิสัตว์เจ้าไปที่ใกล้เสาอ่านอักษรจารึกทราบความแล้ว รำพึงในใจว่า เราจักถอนเสานี้ขึ้น ได้พระขรรค์แล้วจะฆ่ายักษ์เสีย ทันใดนั้นพระเจ้าภูษาบรมกษัตริย์มีรับสั่งให้โลภัรธเศรษฐีนำเอาแก้วมณีมาพระราชทานแก่พระมหาโพธิสัตว์เจ้า พระมหาโพธิสัตว์เจ้าได้แก้วมณีแล้วก็บังเกิดปิติยินดีเป็นอันมาก พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์ โปรดเกล้าให้พระโพธิสัตวืเจ้าสระสรงวารี แล้วให้ตกแต่งด้วยอลังการทั้งปวง ทรงชุบเลี้ยงพระมหาโพธิสัตว์เจ้าดุจดัจพระโอรสอันเกิดจากพระอุระ ครั้นถึงวันที่เจ็ด บรรดาชนทั้งหลาย ก็พากันมายืนประชุมกันอยู่ในพื้นที่มีพื้นเสมอกันปรารถนาจะดูยักษ์กินพระบรมกษัตริย์ พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์ จึงตรัสให้ทหารเป็นอันมากเข้าถอนหลักศิลา พวกทหารทั้งสิ้นเหล่านั้นไม่สามารถจะถอนหลักศิลาขึ้นได้ ก็พากันล้มสลบไปทุกคน พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์เกิดความหวาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงวิงวอนพระโพธิสัตว์ให้จงถอนหลักศิลานั้น พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เสาแล้ว จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ข้าแต่หมู่เทพเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าจักได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในอนาคตกาลไซร้ พอข้าพเจ้าเอามือไปแตะต้องเสาศิลาเข้าแล้ว ขอให้เสาศิลานั้นหลุดถอดขึ้นได้โดยง่ายดายเถิด ดังนี้แล้ว จึงระลึกถึงพระบารมีทั้งหลายว่า ขอทานบารมี สีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ทั้งปวงจงมาแวดล้อมข้าพเจ้าช่วยกันรบกับยักษ์เถิด ว่าแล้วก็เข้าไปถอนเสาศิลาขึ้นได้โดยสุขสวัสดิ์ แล้วได้พระขรรค์เล่มหนึ่งที่โคนเสาศิลานั้น พระโพธิสัตว์ฉวยพระขรรค์ได้แล้ว ก็โยนเสาศิลาลงในน้ำ เสาศิลาก็เปล่งเสียงดังเหมือนเสียงคั่วข้าวตอกแล้วย่อยละเอียด พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์จึงตรัสว่า การที่ท่านทำให้สำเร็จไปแล้วนี้เป็นชิ้นแรก ยังจะมียักษ์เป็นดอกปทุมชาติผุดขึ้นมาต่อภายหลัง พระมหาโพธิสัตว์เจ้าจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าเราเป็นผู้มีบุญจะได้เป็นกษัตริย์ในพระนครนี้ เราจะโยนแก้วมณีลงไปในน้ำขอแก้วมณีที่เราโยนไปแล้วอย่าได้จมเลย ครั้นอธิษฐานแล้วก็โยนแก้วมณีลงไป แก้วมณีก็ไม่จมน้ำ กลับลอยอยู่เหนือน้ำ พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ก็ถือพระขรรค์ลงไปในสระนั้น มีแก้วมณีเป็นอันมากก็แวดล้อมพระมหาโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ ส่วนยักษ์ก็เป็นดอกปทุมชาติผุดขึ้นมา พระมหาโพธิสัตว์เจ้าก็ฟาดดอกปทุมชาติด้วยพระขรรค์ ดอกปทุมชาติก็ปรากฎเป็นยักษ์ถึงความตาย เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็เกิดความโสมนัส บรรลือเสียงสรรเสริญอยู่กึกก้อง พากันอวยชัยมงคลแก่พระมหาโพธิสัตว์เจ้า พระเจ้าภูสาบรมกษัตริย์ก็เข้ากอดแล้วตรัสว่า เจ้าให้ชีวิตแก่เราๆ จะให้นางมกุฎเทวีผู้เป็นราชธิดาของเราแก่เจ้า เราจะกระทำการอภิเษกมอบราชสมบัติให้แก่เจ้า พระมหาโพธิสัตว์จึงทูลว่า ข้าพระบาทมีชายาชื่อนางคารวี ซึ่งเป็นธิดาของโลภันธเศรษฐีอยู่แล้วพระเจ้าข้า พระบรมกษัตริย์ตรัสว่า เจ้าว่ามีชายาอยู่แล้ว แต่เราก็จะยกมงกุฎเทวีธิดาของเราให้แก่เจ้า ทั้งสองนางนี้จงมีความเสน่หารักใคร่กันให้เหมือนพี่น้องร่วมพระครรภ์มารดาเดียวกัน จงช่วยกันปฏิบัติสามีเถิด บรมกษัตริย์โปรดให้กระทำการมงคลอยู่ถึงเจ็ดวัน แล้วทรงสถาปนาพระโพธิสัตว์ขึ้นครองราชสมบัติ กิตติศัพท์ของพระโพธิสัตว์ก็ได้ฟุ้งขจรไปว่า มีบรมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าวรวงศ์ ปรากฎว่าเป็นผู้มีบุญ ฆ่ายักษ์ผู้แข็งกระด้างตาย ได้ครองราชสมบัติแล้ว อยู่มาวันหนึ่งเวลาเที่ยงวัน พระเจ้าวรวงศ์บรมโพธิสัตว์เจ้าทรงหวนระลึกถึงพระเชษฐาของพระองค์ ครั้นรุ่งขึ้นก็ไปเฝ้าพระสัสสุรราช ขอถวายบังคมลาไปเที่ยวแสวงหาพระเชษฐา แล้วทรงอุ้มนางคารวีขึ้นบนตักถือเอาแก้วมณีเหาะขึ้นไปบนอากาศ พอถึงเวลาสายัณหสมัยได้เห็นศาลาพระดาบสในป่าใหญ่ ทั้งสองผัวเมียก็เหาะลงไป ไหว้พระดาบส พระดาบสถามว่า ท่านทั้งสองมาจากไหน จึงตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งสองมาจากขุรนคร จะขออาศัยอยู่ในสำนักนี้สักหน่อย แต่พออรุณขึ้นมาแล้วก็จะลาไป พระดาบสถามว่า ขุรนครอยู่ไกลเหลือเกินไฉนท่านจึงมาได้วันเดียว ข้าพเจ้ามาทางอากาศด้วยอานุภาพแก้วมณี พระดาบสได้ฟังแล้วคิดว่า เมื่อทั้งสองนอนหลับแล้วเราจะขโมยแก้วมณี ขโมยแก้วมณีได้แล้วก็เหาะไปบนอากาศ พระมหาโพธิสัตว์เจ้าตื่นแล้วไม่เห็นแก้วมณี และไม่เห็นพระดาบสอยู่ในศาลาจึงปลุกนางคารวีขึ้นบอกว่า พระดาบสลักเอาแก้วมณีของเราหนีไปแล้ว พระวรวงศ์โพธิสัตว์เจ้า ปริเทวนาการแล้วก็จูงพระหัตถ์พระราชเทวีจากไปโดยไม่ทราบว่าทิศไหนเป็นทิศน้อยใหญ่ ได้เข้าไปพักที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระยายักษ์ ในขณะนั้น พระยายักษ์ได้เห็นกษัตริย์ทั้งสองจึงวิ่งมาอย่างเร็ว พระโพธิสัตว์เห็นยักษ์แล้วก็ฉวยเอาพระหัตถ์เทวีลุกขึ้นหนีไป ยักษ์ก็ไล่เหยียบต้นไม้ใหญ่น้อยหักทำลายติดตามมา ครั้นถึงมหาสมุทรก็พากันลงไปทันที ครั้งนั้น ได้เกิดมีพายุใหญ่ มหาเมฆก็ตั้งขึ้น ฝนก็ตกลงมาท้องฟ้าอากาศก็เกิดมืดมนอนธการทั่วไป กษัตริย์ทั้งสองถูกคลื่นในมหาสมุทรซัดเอาจนเหนื่อยพระกายอ่อนกำลัง ก็พลัดพรากจากกัน ต่างคนต่างลอยไปจนเวลาแสงสว่างอรุณขึ้นมา พอเวลารุ่งเช้าคลื่นก็ซัดพระโพธิสัตว์เจ้าไปถึงฝั่ง พระโพธิสัตว์ขึ้นจากฝั่งแล้ว ก็เที่ยวค้นหาพระราชเทวีตามหาดทราย ก็ไม่พบพระราชเทวี แล้วเสด็จสัญจรไปในป่าน้อยใหญ่ถึง ๗ วัน ก็ถึงพระนครหนึ่งชื่อว่า อัยมาศนคร ฝ่ายดาบสที่ลักแก้วมณีไปนั้น ได้เหาะขึ้นไปสูงเกินประมาณถูกลมกรดพัดเอาศีรษะขาดตกลงในที่ใกล้พระนครอัยมาศกับทั้งแก้วมณี พวกพ่อค้าเก็บแก้วมณีได้เอาไปถวายพระเจ้าวงศ์สุริยมาศ ท้าวเธอก็ให้นำไปประดิษฐานไว้ในโรงทาน ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้าได้เห็นโรงทานแล้วก็จะเข้ายังโรงทานเที่ยวดูภาพที่เขาเขียนไว้ พอได้เห็นรูปภาพพี่น้องบรรทมหลับอยู่บนศาลาในห้องที่สามแล้ว ไม่สามารถจะดำรงพระกายอยู่ได้ ก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลง พวกราชบุรุษมาพบเข้าจึงพาเข้าไปหาพระเจ้าวงศ์สุริยามาศ ฝ่ายพระเจ้าวรวงศ์ผู้เป็นกนิษฐา ได้เห็นพระเจ้าวงศ์สุริยามาศผู้เป็นพระเชษฐาแล้ว ก็เข้ากอด แล้วทูลความเป็นไปทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ต้องเป็นคนกำพร้า เดินไปจนถึงบ้านโลภันธเศรษฐี ถูกโลภันธเศรษฐีชิงแก้วมณีไป แล้วโบยตีเอา ในขณะเดียวกันนั้น นางคารวีว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรถึงสามวันแล้ว ก็ลอยไปถึงฝั่ง จึงขึ้นฝั่งเที่ยวตามหาพระสามี นางปราศจากผ้านุ่งจึงกลัดใบไม้ทำเป็นผ้านุ่ง ในกาลนั้น มีนายพรานป่าคนหนึ่ง เที่ยวยิงเนื้อในป่ามาขายเลี้ยงชีวิต ได้เห็นนางแล้วจึงคิดว่า นางภูตผีปีศาจนี้มาไล่เนื้อของเราให้หนีไป เราจะยิงมันเสีย จึงชักธนูจะยิงนาง นางเกิดความกลัวจึงห้ามนายพรานว่า ฉันหลงทางมาจากเมืองพ่อ ลุงจะยิงฉันทำไม พรานป่าจึงถามว่า เจ้าเป็นหญิงเหตุไฉนจึงเที่ยวมาในป่าแต่คนเดียว นางก็ได้ตอบว่า ฉันสองผัวเมียถูกยักษ์ตามมาจึงว่ายน้ำหนี อยู่ในพระมหาสมุทรจนพลัดกัน พรานป่าจึงให้ผ้าอาบน้ำแก่นาง แล้วพาไปบ้าน ฝ่ายภรรยาของพรานป่าชื่อว่านางพันทุสา ได้เห็นนางมากับสามีก็เกิดริษยาคิดในใจว่า สามีไปเป็นผัวเมียกันกับอีนางคนนี้ทิ้งไว้ในป่าช้านานจนท้องแก่ เมื่อสามีเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังก็หายโกรธ ต่อมา พระเทวีก็ประสูติพระราชโอรสภายใต้เรือนนั้น แล้วนำเอาแก้วมณีซึ่งมีติดตัวอยู่ผูกไว้ที่พักหัตถ์เพื่อทำขวัญ ฝ่ายภรรยาของนายพรานป่าพอทราบว่าพระเทวีประสูติพระราชโอรส ก็บันดาลความโทสะขึ้นอีก ลงจากเรือนแล้วชิงเอาพระราชโอรสไปทิ้งเสียใกล้โรงทาน พอวันรุ่งขึ้น กษัตริย์ทั้งสองได้เสด็จขึ้นคอช้างพระองค์ละเชือก เสด็จเลียบพระนครไปทางโรงทานนั้น พวกราชบุรุษเห็นเด็กจึงนำมาให้ทอดพระเนตร พระเจ้าวรวงศ์ทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีที่ผูกไว้ที่พระหัตถ์ ก็ทรงทราบว่าเป็นพระโอรสของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าวงศ์สุริยามาศก็ได้ให้เขียนเรื่องราวของพระกนิษฐาและพระเทวีไว้ที่ศาลาเพื่อตามหาน้องสะใภ้ พระเทวีผ่านไป ดูภาพแล้วสลบอยู่ที่ศาลานั้น พวกราชบุรุามาพบเข้าจึงนำไปกราบทูลให้พระเจ้าวรวงศ์ทราบ ท้าวเธอจึงเสด็จมารับพระเทวีเข้าพระราชวัง ต่อมา ทรงพระลึกได้ว่า พระองค์และเชษฐาได้จากพระมารดามาถึง ๓ ปีแล้ว จึงพร้อมกันจัดทัพเพื่อเข้าเฝ้าพระมารดา ในวันที่ ๗ ก็จัดทัพเสร็จ จึงพากันเสด็จออกจากเมือง ไปถึงเมืองของพระชนกพระชนนีแล้ว จึงส่งสาส์นไปถึงพระชนกให้ยกราชสมบัติให้ ฝ่ายพระไวยทัตกุมารผู้เป็นกระกนิษฐาต่างพระมารดาได้ขันอาสาออกรบ จึงถูกพระเจ้าวรวงศ์ไสช้างเข้ารบแล้วตัดพระเศียรตกลงเหนือพื้นพสุธา พระเจ้าวรวงศ์ชนะสงครามแล้ว ก็คอยท่าพระเชษฐาอยู่ ณ ค่ายพัก พระเจ้าวงศาธิปติราชทรงตกแต่งพระเจ้าวรวงศ์ราชบุตรผู้น้องอภิเษกให้ครองราชสมบัติ พระเจ้าบรมวรวงศ์บรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จสถิตอยู่ในราชสมบัติแล้ว ทรงกระทำการตอบแทนพระคุณพระเจ้าวงศ์สุริยมาศผู้เชษฐา ส่งเสด็จกลับไปยังอัยมาศนครแล้ว ก็ครองราชสมบัติอยู่โดยธรรมจนทรงพระชราภาพ เกิดความสังเวช ยกราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้ว เสด็จออกจากพระนครไปบวชเป็นบรรพชิต บำเพ็ญสมณธรรมอยู่จนพระชนมายุสองพันพรรษา ก็เสด็จทิวงคตไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก