สมุทรโฆสชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

พระศาสดาประทับอาศัยเมืองสาวัตถีอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารถพระนางยโสธราเทวี ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ในวันหนึ่ง พวกภิกษุนั่งสนทนาธรรมกันในโรงธรรมว่า พระศาสดาเพื่อจะได้พระนางยโสธราแล้ว ถึงกับสละรัชสมบัติของพระองค์ เสด็จไปยังพระนครอื่นแสดงศิลปะ ๖๐ อย่างที่หาผู้เสมอมิได้จนได้พระนางมา ทีนั้นพระศาสดาได้สดับถ้อยคำของพวกภิกษุ ตรัสว่ามิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ครั้งก่อนเพื่อให้ได้นางยโสธรามา ก็ละรัชสมบัติพร้อมทั้งบิดามารดาไปยังนครอื่นเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า ในอดีตในแคว้ากาสีได้มีนครชื่อว่าพรหมบุรี ในเมืองนั้นมีพระราชานามว่าวินททัตครองราชย์โดยธรรม มีอัครมเหสีพระนามว่าเทวธิดา คราวนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี ในขณะประสูตรมหาสมุทรได้กระฉอกกระฉ่อน เพราะฉะนั้นจึงตั้งพระนามว่าสมุทรโฆษ พระสิริรูปสมบัติของพระองค์ได้แผ่ไปตลอดชมพูทวีป ในสมัยนั้นยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อรัมมบุรี มีพระเจ้าสีหนรคุตปกครอง มีพระมเหสีพระนามว่ากนกวดี พระนางมีพระธิดาพระนามว่าวินทุมดี มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก พระธิดาได้ฟังถึงรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตปฏิพัทธ์ติดใจ ไปนมัสการเทวสถานเป็นประจำ กระทำประทักษิณบูชาแล้วอธิษฐานขอให้บันดาลให้ได้พบพระองค์ แล้วจะกระทำการบูชาถวาย คราวนั้นพราหมณ์ ๔ คน ออกเดินทางจากเมืองรัมมบุรีไปยังคามนิคมเมืองอื่นๆ ก็ลุถึงเมืองพรหมบุรี พวกพราหมณ์ได้เห็นพระกุมารก็ได้ถวายพระพร พอพระองค์ได้ประทับแล้วจึงตรัสถามพวกพราหมณ์ถึงข่าวคราวที่น่าสนใจในเมืองนั้น พวกพราหณ์ได้ทูลเรื่องราวถวายจนถึงเรื่องของพระราชธิดาที่มีสิริโฉม รุ่งขึ้นเข้าเฝ้าพระราชบิดาพระราชมารดาทูลขอลาไปยังเมืองรัมมบุรี โดยทูลถึงเรื่องราวของพระราชธิดาที่สิริโฉม จึงใคร่จะได้เห็นยิ่งนัก ฝ่ายพระบิดามารดาพอฟังคำพระโพธิสัตว์ตรัสห้าม แต่จะส่งทูตไปขอ พระโพธิสัตว์ยังทูลขอและลาพระราชบิดามารดา ก็พระองค์ยังเป็นผู้ฉลาดในการดีดพิณ จึงนำพิณออกจากนครไป คืนเดียวก็เดินทางได้ ๗ โยชน์ พอสว่างก็ถึงเมืองรัมมบุรี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งพระธิดาวินทุมดีก็เสด็จไปยังเทวสถาน ประทับนั่งอยู่ในสำนักพระบิดา ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ประดับพระองค์พร้อมสรรพเสด็จไปยังเทวสถานเหมือนกัน พระโพธิสัตว์จึงได้ยืนข้างพระพักตร์พระราชา จึงทรงดีดพิณได้อย่างไพเราะจับใจ ทีนั้นพระเจ้าสีหนรคุตสดับเสียงพิณ แม้พระธิดาวินทุมดีพระเทวีก็ทอดพระเนตรเช่นกัน พระราชาเลื่อมใสพระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยมาก อภิเสก ณ เทวสถานนั้นนั่นเอง จากนั้นได้จัดเตรียมบรรณาการมากมายส่งทูตไปพรหมบุรี พระเจ้าวินททัตได้สดับเรื่องแล้วก็พอพระทับ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยสุขอย่างยิ่งดังทิพสุข หนึ่งปีผ่านไปพระโพธิสัตว์ประสงค์จะประพาสอุทยานจึงเสด็จไปกับพระเทวี คราวนั้นยังมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะเที่ยวเล่นกับภรรยาตนที่เขาไกรลาส เก็บดอกไม้มาประดับตนกับภรรยา คราวนั้นเองยังมีวิทยาธรอีกตนหนึ่งที่เขาสุทัศน์พร้อมกับภรรยาเที่ยวเก็บดอกมณฑารพต่างๆ ประดับตน ตนเองก็ถือพระขรรค์เหาะไป พอเห็นวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสเหาะไปอย่างนั้นก็ร้องถามไปว่า เราคือมรณาปัต ท่านไม่รู้จักเราหรือ ? ฝ่ายวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสก็ร้องท้าทาย ทีนั้นทั้งคู่ต่างสู้รบกันในอากาศ วิทยาธรมรณาภิมุขที่อยู่เขาไกรลาสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มรณาปัตได้ชัยชนะจึงจับเอาภรรยาของเขาไปด้วย ทั้งตัวของมรณาภิมุขเป็นรูพรุนด้วยพระขรรค์เหมือนอาบด้วยน้ำครั่ง จึงตกลงท่ามกลางอุทยานของพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งพระขรรค์ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประพาสอุทยานแล้วก็ประทับอยู่ที่ปราสาทกลางอุทยาน แล้วชวนบุตรปุโรหิตและอำมาตย์ไปเล่นในป่า ก็ได้พบวิทยาธรแต่ไกล จึงให้อุ้มเขาไปปราสามเรียกหมอมารักษา พอหายแล้ววิทยาธรจึงได้ถวายพระขรรค์ พร้อมทูลว่าพระขรรค์มีอานุภาพมาก ถือพระขรรค์นี้แล้วจะเหาะได้เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วลาไป ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์จึงเรียกพระเทวีมาชวนไปเที่ยวที่ป่าหิมพานต์จากนั้นได้เผลอหลับไป ทีนั้นมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะมา เห็นว่านอนหลับจึงค่อยขโมยพระขรรค์หนีไป พอตื่นบรรทมไม่เห็นพระขรรค์ก็เที่ยวหาแต่ไม่พบ พระโพธิสัตว์คิดหาวิธีกลับ ตรัสว่าต้องข้ามด้วยเรือ มองหาเรือก็ไม่พบเห็นขอนไม้งิ้ว จึงจับโคน พระเทวีจับปลาย ทั้งสองพระองค์ลอยไปถึงกลางมหาสมุทร คลื่นลมแรกกระแทกขอนไม้แตกออกเป็นสองท่อน สองกษัตริย์พรัดพรากกันไป พระเทวีได้แพจึงถึงฝั่งคร่ำครวญจนสลบไป พอฟื้นมาก็เที่ยวหาร้องไห้คร่ำครวญไป พระนางตากผ้าแห้งแล้วจึงห่อเครื่องประดับเดินไปตามรอยช้างลุถึงเมืองทัททรัฐ จึงเอาเขม่าไฟทาพระองค์เข้าเมือง คราวนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งพบพระนางจึงไต่ถามแล้วชักชวนให้มาอยู่ที่บ้านตน รุ่งขึ้นพระนางถอดธำมรงค์สีแดงให้หญิงชราไปขายแก่เศรษฐี พอเศรษฐีเห็นเข้าก็บอกว่าสิ่งนี้มีค่ามากยิ่งนัก นางบอกว่าทั้งเมืองก็ไม่พอ แต่ขอแค่ทองเต็มห้าเกวียนแล้วนำกลับมาให้พระนาง พระนางจึงซื้อทาสขายหญิง ไม้ สร้างปราสาท จากนั้นสร้างศาลาแล้วเขียนภาพตั้งแต่เทวสถาน เรื่อยมาจนถึงภาพขอนไม้งิ้วแตกเป็นสองท่อน ให้เลี้ยงสมณพราหมณ์มากมาย แล้วคอยบอกพวกนางสาวใช้ ให้สังเกตดูและบอกกิริยาของคนเหล่านั้นให้ทราบ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถูกคลื่นซัดไปถึงกลางมหาสมุทร มีคำถามว่าทำไมพระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์ขนาดนี้ ? เพราะครั้งก่อนพระองค์เป็นคนเมืองพาราณสี ฤดูร้อนชวนภรรษาไปอาบน้ำ คราวนั้นมีสามเณรรูปหนึ่งเล่นน้ำอยู พายเรือเล่นอยู่ สองสามีภรรยาช่วยกันตีฟองน้ำเกิดเป็นคลื่นทำให้เรือล่ม ทำให้สามเณรจมน้ำ กลัวร้องไห้ แต่ได้ช่วยขึ้นมา ด้วยวิบากนั้นใน ๕๐๐ ชาติจึงเกิดมาเสวยทุกข์ในทะเล พระโพธิสัตว์ถูกน้ำพัดไปอยู่อย่างนี้ คราวนั้นมีนางมณีเมขลา ไปเทวสมาคมตลอด ๗ วัน วันที่ ๗ จึงได้มาตรวจดูที่ที่ตนดูแล ได้เห็นพระมหาสัตว์ลอยอยู่ จึงไปสำนักของท้าวสักกะทูลให้ทราบ ท้าวสักกะสดับแล้วก็ตำหนินางมณีเมขลา จึงได้ไปช่วยพระโพธิสัตว์ขึ้นมาไว้บนฝั่ง นางมณีเมขลาทูลอีกว่าวิทยาธรมาขโมยพระขรรค์ของพระโพธิสัตว์ไป ท้าวสักกะจึงหยิบวชิราวุธลงจากเทวโลกขว้างให้หมุนอยู่บนกระหม่อมของวิทยาธร วิทยาธรกลัวสั้นสะท้านจึงนำพระขรรค์ไปคืนพระโพธิสัตว์ หลังจากรับพระขรรค์แล้วพระโพธิสัตว์เหาะไปที่ฝั่งมหาสมุทรถึงเมืองมัททรัฐ คิดว่าเราอดข้าวมาหลายวันควรจะพักที่เมืองนี้ก่อน จึงลงมาคิดจะถามเรื่องราวของพระเทวี แปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าเมือง ชาวเมืองเห็นเข้าก็บอกถึงศาลาของพระนาง จึงเข้าไปกินอาหารแล้วดูรูปภาพ พอเห็นก็ร้องไห้แล้วหัวเราะอีก ทีนั้นพวกสาวใช้จึงไปบอกพระเทวี พระนางรีบเสด็จมาเห็นพระโพธิสัตว์ก็ดีพระทัยอย่างยิ่ง จากนั้น ๒-๓ วัน ก็ออกไปถึงเมืองรัมมทบุรี พระราชาก็ทรงจัดตกแต่งพระนครต้อนรับการกลับมา อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ก็เข้าป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีทำฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระเจ้าวินททัตสดับการมาของพระโพธิสัตว์แล้วมอบรัชสมบัติให้ พระองค์เองออกไปป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีเจริญฌานสมาบัติแล้วเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้สร้างศาลาโรงทานที่เมืองพรหมบุรรีบริจาคทาน แม้ที่เมืองรัมมบุรีก็ให้สร้างโรงทานบริจาค พระโพธิสัตว์ครองราชย์โดยธรรม ชาวเมืองก็ตั้งมั่นในศีล ๕ ในคราวหมดอายุขัย ก็ได้บำเพ็ญทางสวรรค์ไว้บริบูรณ์แล้ว ในตอนจบเทศนาทรงพระกาศอริยสัจ ๔ เมื่อจบอริยสัจ ๔ จึงทรงประชุมชาดกว่า วิทยาธรผู้ขโมยพระขรรค์คือเทวทัตในบัดนี้ บุตรของปุโรหิตคืออานนท์พุทธอนุชา บุตรของอำมาตย์คือราหุลโอรส พระเจ้าสีหนรคุตคือพระสารีบุตรผู้มีปัญญา พระนางกนกวดีคือพระนางมหาปชาบดีโคตมี กินรทุมราชคือพระโมคคัลลานาะผู้มีฤทธิ์ ท้าวสหัสเนตรจอมเทพคืออนุรุทธจักษุทิพย์ นางมณีเมขลาคืออุบลวรรณา นางวินทุมดีเทวีคือยโสธราเทวี ส่วนสมุทรโฆษคือเราสัมมาสัมพุทธเจ้า