สามก๊ก/ตอนที่ ๒
สารบัญ ลง
หน้า | ||
เรื่อง | ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
วันหนึ่ง เล่าปี่จึงชวนกวนอู เตียวหุยไปเที่ยวชมบ้านเมืองจะให้หายรำคาญใจ พอพบเตียวกิ๋นซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าเลนเต้ขี่เกวียนมา เล่าปี่มีความยินดียกมือขึ้นคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้านี้มีความชอบ ได้ช่วยจูฮีทำการปราบโจร หาผู้ใดจะทูลเสนอความชอบให้ไม่ เตียวกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงพาเล่าปี่เข้าไปเฝ้าแล้วทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นทั้งนี้เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎรกลับจริงเป็นเท็จเท็จเป็นจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเป็นยุติธรรมนั้นให้ถอดเสียเอาสินบน ผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจล อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุ้มเท้าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า จะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดศีรษะตระเวนประกาศแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้ทั่วทุกเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเป็นยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเป็นขุนนางโดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ขันทีสิบคนเฝ้าอยู่ได้ยินจึงกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า เตียวกิ๋นเป็นแต่ขุนนางผู้น้อยบังอาจมิได้กลัวพระราชอาญาเข้ามาทูลสั่งสอนพระองค์นั้นไม่ควร พระเจ้าเลนเต้จึงสั่งบู๋ซูให้ขับเตียวกิ๋นออกไปเสียจากที่เฝ้า ขันทีสิบคนจึงคิดกันว่า เตียวกิ๋นมากราบทูลกล่าวโทษเราทั้งนี้เป็นข้อใหญ่ ชะรอยมันไปทำการศึกรบโจรมีความชอบหาผู้ใดจะทูลความชอบให้ไม่ มันจึงโกรธอาจใจเข้ามาทูลเองดังนี้ ครั้นเราจะให้ทำโทษตอบ บัดนี้ ความนินทาก็จะมีแก่เรา อย่าเลย เราจะนิ่งไว้ก่อน ต่อนานไปจึงคิดอ่านฆ่าเสียก็จะไม่พ้นมือเรา พระเจ้าเลนเต้จึงทรงพระดำริว่า เล่าปี่ก็มีความชอบอยู่ จึงสั่งให้เสนาบดีปูนบำเหน็จเล่าปี่ เสนาบดีปรึกษาให้เล่าปี่เป็นผู้รักษาเมืองอันห้อก้วน เล่าปี่จึงให้ทหารซึ่งมาด้วยนั้นกลับไปที่อยู่ จัดเอาแต่คนสนิทประมาณยี่สิบคนไว้ แล้วพากวนอู เตียวหุย กับคนยี่สิบคนนั้นไปอยู่ ณ เมืองอันห้อก้วนได้ประมาณเดือนเศษ เล่าปี่เกลี่ยไกล่อาณาประชาราษฎรซึ่งวิวาทมีคดีแก่กันนั้นมากให้น้อยลง น้อยนั้นให้หายเสีย ราษฎรทั้งปวงได้ความสุข ยกมือไหว้สรรเสริญเล่าปี่เป็นอันมาก แล้วกวนอู เตียวหุยนั้นมีใจภักดีต่อเล่าปี่เป็นอันมาก เวลาเล่าปี่ออกว่าราชการ กวนอู เตียวหุยมิได้ขาดหน้าอุตส่าห์พิทักษ์รักษากัน ครั้นอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง มีหนังสือรับสั่งให้ต๊กอิ้วถือมาถึงเล่าปี่ว่า ถ้าเป็นไพร่ได้เลื่อนที่เป็นขุนนางหัวเมืองขึ้นแล้วจะเรียกเอาส่วย เล่าปี่รู้ข่าวก็ออกไปรับถึงนอกเมือง เล่าปี่คำนับหนังสือรับสั่งตามธรรมเนียม แล้วถามข้อราชการแก่ต๊กอิ้ว ต๊กอิ้วมิได้เกรงเล่าปี่บอกข้อราชการแล้วเอาแส้ม้าชี้หน้าเล่าปี่ กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็โกรธแต่มิได้ว่าประการใด แล้วเล่าปี่เชิญต๊กอิ้วเข้าไปในเมืองจัดแจงที่ให้อยู่ตามธรรมเนียม แลต๊กอิ้วนั่งอยู่บนที่สูง เล่าปี่นั้นยืนอยู่ตามตำแหน่ง ต๊กอิ้วจึงถามเล่าปี่ว่า ตัวมีความชอบสิ่งใดจึงได้เป็นผู้รักษาเมือง เล่าปี่ตอบว่า ข้าเป็นเชื้อพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่ แต่ว่าบุญน้อยจึงได้เป็นผู้น้อยอยู่ ณ เมืองตุ้นก้วน ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองเป็นขบถนั้น ข้าก็ได้อาสาแผ่นดินออกรบโจนถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้ง มีความชอบหน่อยหนึ่ง จึงโปรดให้มารักษาเมืองนี้ ต๊กอิ้วได้ยินดังนั้นตวาดเพิดให้เล่าปี่แล้วว่า เอ็งนี้ทะนงศักดิ์อ้างอวดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้อว่าได้ไปรบโจรถึงสามสิบสี่สามสิบห้าครั้งนั้น เราพิเคราะห์ดูรูปร่างเช่นนี้ไม่เห็นสมทำการศึก อย่าพูดโกหก เราหาเชื่อตัวท่านไม่ ซึ่งว่าเป็นผู้รักษาเมืองก็ดีแล้ว บัดนี้ มีรับสั่งให้เราลงมาเรียกเอาส่วยแก่ขุนหมื่นที่เป็นขึ้นใหม่ เล่าปี่รับคำแล้วมิได้ตอบคำประการใดก็ลาไปที่อยู่ เล่าปี่ให้หาปลัดมาปรึกษาว่า ต๊กอิ๊วถือรับสั่งมาว่าดังนี้ เราจะทำประการใด ปลัดจึงว่า ต๊กอิ้วทำสง่าทั้งนี้ปรารถนาจะเอาสินบนเป็นประโยชน์แก่ตัว เล่าปี่จึงว่า ตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้ จะได้ค่าธรรมเนียมแลเบียดเบียนด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งแก่อาณาประชาราษฎรให้รับความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบนแก่ต๊กอิ้วนั้นก็ขัดสนอยู่แล้ว ครั้นรุ่งขึ้น ต๊กอิ้วจึงเอาตัวปลัดลอบมาขู่เข็ญโบยตีจะให้ปลัดนั้นว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ปลัดจะได้ว่าตามคำต๊กอิ้วหามิได้ เล่าปี่รู้ก็มาจะเข้าไปหาต๊กอิ้ว นายประตูห้ามมิให้เข้าไป เล่าก็กลับมาที่อยู่
ฝ่ายเตียวหุยเสพสุราแล้วขี่ม้าจะไปเที่ยวเล่น ครั้นมาถึงตรงประตูที่อยู่ต๊กอิ้วเห็นคนแก่ยืนร้องไห้อยู่ประมาณห้าสิบหกสิบคน เตียวหุยจึงถามว่า มาร้องไห้อยู่นี่ด้วยเหตุอันใด คนทั้งปวงจึงบอกว่า ต๊กอิ้วให้เอาปลัดมาโบยตีให้ซัดว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร ครั้นข้าพเจ้าชวนกันจะเข้าไปขอโทษ นายประตูมิให้เข้าไปแล้วซ้ำตีข้าพเจ้าอีกเล่า ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายจึงร้องไห้อยู่ฉะนี้ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ โจนลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปถึงประตู นายประตูห้ามก็มิฟัง ครั้นเตียวหุยเข้าไปในประตู เห็นปลัดต้องมัดมือมัดเท้าอยู่ ต๊กอิ้วนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เตียวหุยตวาดแล้วร้องว่า อ้ายขี้ฉ้อใหญ่ มึงรู้จักกูหรือไม่ ต๊กอิ้วตกใจเงยหน้าขึ้นเห็นเตียวหุยยังมิทันจะตอบประการใด เตียวหุยเข้าจับจิกผมกระชากต๊กอิ้วตกลงจากเก้าอี้ แล้วเอาผมกระหมวดมือลากออกมาถึงศาลากลาง จึงเอาผมต๊กอิ้วผูกกับหลักม้า แล้วหักเอากิ่งสนมาตีต๊กอิ้วเจ็บปวดเป็นสาหัส ฝ่ายเล่าปี่กลับเข้ามานั่งทุกข์อยู่พอได้ยินเสียงต๊กอิ้วร้องอื้ออึงขึ้นจึงถามทนายว่า เสียงอันใดอึงอยู่นั้น ทนายบอกว่า เสียงเตียวจงกุ๋นน้องท่านเอาผู้ใดมาตีนั้นไม่แจ้ง เล่าปี่กริ่งใจเดินออกไปเห็นเตียวหุยเอาต๊กอิ้วมาผูกตีอยู่ เล่าปี่ตกใจจึงวิ่งเข้าไปถามเตียวหุยว่า เอาท่านข้าหลวงมาตีด้วยเหตุใด เตียวหุยจึงบอกว่า อ้ายนี่มันขี้ฉ้อใหญ่แล้วเป็นคนหยาบช้า ไว้มันมิได้ ชอบตีเสียให้ตาย ต๊กอิ้วเห็นเล่าปี่มาจึงร้องว่า เล่าปี่เอ๋ย ช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นมีใจเมตตาสัตว์หาความพยาบาทมิได้จึงห้ามเตียวหุย เตียวหุยก็หยุดมือลง พอกวนอูเดินออกมาจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเป็นหลายครั้งก็ได้เป็นแต่เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้าดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมาประดุจหงส์ ซึ่งจะอาศัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศัยแห่งเราดีกว่า ภายหลังจึงจะค่อยคิดการใหญ่สืบไป เล่าปี่ได้ยินกวนอูว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงกลับเข้าไปเอาตราสำหรับที่มาผูกคอต๊กอิ้วไว้แล้วจึงว่า ตัวเอ็งเป็นข้าหลวงมาทำขี้ฉ้อดังนี้ ควรแต่เราจะตัดศีรษะเสีย นี่เราให้ชีวิตตัวไว้ บัดนี้ เราไม่พอใจอยู่ทำราชการแล้ว เอ็งจงเอาตรานี้กลับไปเมืองด้วยเถิด เราก็จะไปบ้านเมืองที่อาศัยแห่งเรา แล้วเล่าปี่ก็พากวนอู เตียวหุย กับพรรคพวกยี่สิบคนนั้นออกจากเมืองอันห้อก้วน
ฝ่ายต๊กอิ้วจึงเอาตราสำหรับที่เล่าปี่พาพรรคพวกมาถึงเมืองเต๊งจิ๋ว แล้วเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วจึงให้มีหนังสือไปทุกหัวเมืองให้จับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สามคนผู้กระทำผิดส่งเข้ามา ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงกลางทางได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งเจ้าเมืองเต๊กจิ๋วให้มีหนังสือมาให้จับตัวส่งนั้น ครั้นจะไปให้ถึงเมืองตุ้นก้วนเห็นจะไม่ทันที เล่าปี่รู้ว่าเล่าเก๊งซึ่งเป็นเจ้าเมืองไต้จิ๋วนั้นเป็นแซ่เดียวกันจึงคิดว่า อย่าเลย จะเข้าไปอาศัยเล่าเก๊งเห็นจะพ้นภัย คิดแล้วก็พากวนอู เตียวหุย กับพรรคพวกเข้าไปหาเล่าเก๊ง ณ เมืองไต้จิ๋ว แล้วบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟัง เล่าเก๊งนั้นแจ้งในหนังสือเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วซึ่งให้มา ครั้นแจ้งคำซึ่งเล่าปี่บอกมาดังนั้นก็คิดสงสารว่าเป็นแซ่เดียวกันแล้วเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่ เล่าเก๊งจึงเอาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเปลี่ยนชื่อเสียซ่อนไว้ในบ้าน
ฝ่ายขันทีสิบคนนั้นพระเจ้าเลนโต้โปรดปรานนัก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาด แลเตียวต๋ง เตียวเหยียง ขันทีสองนายนั้นจึงใช้ทนายสองคนไปว่ากล่าวแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงซึ่งได้ไปรบโจรโพกผ้าเหลืองนั้นว่า ถ้าผู้ใดมีทรัพย์ข้าวของเงินทองเอาไปให้แก่ขันทีนายเราแล้ว นายเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้ ถ้าใครมิได้ให้ นายเราจะทูลให้ถอดเสียจากที่ขุนนาง ฝ่ายห้องหูโก๋แลจูฮีซึ่งเป็นทหารผู้ใหญ่นั้นมิได้ทำตามคำทนายทั้งสองว่านั้น เตียวต๋ง เตียวเหยียงจึงกราบทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ให้ถอดห้องหูโก๋ จูฮีออกเสียจากที่ขุนนาง พระเจ้าเลนเต้ก็ทำตาม แล้วตั้งให้เตียวต๋ง เตียวเหยียงเป็นที่แทนห้องหูโก๋ แลขันทีแปดคนเลื่อนขึ้นไปเป็นขุนนางผู้ใหญ่สิ้น ราชการนั้นก็ฟั่นเฟือนไป ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน
ฝ่ายคูเสงเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลืองหนีมาอยู่ ณ เมืองเตียงสา เกลี้ยกล่อมชักชวนพวกเพื่อนปล้นตีอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเป็นหลายตำบล หาผู้ใดจะต้านต่อจับกุมมิได้ แลเตียวกี เตียวซุ่นอยู่ ณ เมืองยีหยง เกลี้ยกล่อมผู้คนได้เป็นอันมาก คิดขบถ เตียวกีนั้นตั้งตัวเป็นเจ้า เตียวซุ่นเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ทำการหยาบช้าต่าง ๆ แลหัวเมืองทั้งปวงรู้จึงบอกหนังสือขึ้นไปถึงเมืองหลวงเป็นหลายครั้ง ขันทีสิบคนปิดเสียมิได้เอาเนื้อความกราบทูล
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าเลนเต้เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ จึงเสวยชัยบานอยู่ แลขันทีสิบคนก็กินสุราอยู่หน้าที่นั่ง แลเล่าโต๋ พระพี่เลี้ยงพระเจ้าเลนเต้นั้น รู้ว่าพวกโจรเป็นขบถขึ้นอีก พระเจ้าเลนเต้มิทราบ เล่าโต๋ตกใจจึงตามเสด็จเข้าไปในสวน พระเจ้าเลนเต้เห็นจึงตรัสถามว่า เล่าโต๋ทำหน้าตื่นตกใจเข้ามาว่าไร เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า พระองค์ไม่แจ้งหรือ บัดนี้ หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจลขึ้นอีก บ้านเมืองจะเป็นอันตรายอยู่แล้ว พระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีกเล่า พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่า หัวเมืองทั้งปวงเกิดจลาจล เราใช้ให้ทหารไปปราบสงบแล้ว เป็นไฉนมาซ้ำว่าดังนี้เล่า เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า หัวเมืองทั้งปวงซึ่งเกิดจลาจลครั้งนี้เพราะเหตุขันทีสิบคนว่าราชการตัดสินคดีราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความแล้วครั้นจะมิกราบทูลก็เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูต่อพระองค์ไม่ แลขันทีสิบคนได้ยินเล่าโต๋ทูลก็ตกใจเข้าไปหน้าที่นั่งทำอุบายถอดหมวกแล้วร้องไห้ทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงเห็นว่าพระองค์โปรดเลี้ยงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำราชการโดยสุจริต ขุนนางทั้งปวงกับเล่าโต๋มีใจริษยาข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้นเห็นจะไม่รอดชีวิต ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้จะขอออกจากที่ เอาแต่ชีวิตรอดไว้ แลทรัพย์สิ่งสินของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้นขอถวายพระองค์ให้พระราชทานทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอกราบถวายบังคมไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังขันทีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธเล่าโต๋นักจึงตรัสว่า ตัวเป็นพี่เลี้ยง ที่บ้านเรือนของตัวนั้นก็ย่อมมีคนสนิทใช้สอยอยู่ แลตัวเราเป็นเจ้าอยู่ในราชสมบัติ มีคนซึ่งสนิทใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคืองดังนี้ ซึ่งว่ามีกตัญญูนั้นเราเห็นไม่จริง แล้วสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวเล่าโต๋ไปฆ่าเสีย บู๋ซูก็ลากเอาตัวเล่าโต๋ เล่าโต๋จึงร้องขึ้นหน้าพระที่นั่งว่า ซึ่งรับสั่งให้ฆ่าข้าพเจ้านั้นไม่เสียดายชีวิต ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจซึ่งสั่งสมมาแต่ก่อนได้ถึงสี่ร้อยปีเศษมาแล้ว[1] บ้านเมืองหาเป็นจลาจลมิได้ ครั้งนี้ จะเป็นอันตรายเสียมั่นคง บู๋ซูก็พาตัวเล่าโต๋ออกไปถึงตำแหน่งฆ่า คนเงื้อดาบขึ้นจะฆ่า พอตันต๋ำเห็นก็ร้องห้ามไว้ว่า อย่าเพ่อฆ่าเสียก่อน เราจะเข้าไปทูลสนองพระเจ้าเลนเต้ให้รู้ความผิดแลชอบก่อน ตันต๋ำเข้าไปยังสวนดอกไม้ทูลถามพระเจ้าเลนเต้ว่า เล่าโต๋เป็นพระพี่เลี้ยง ได้ทำนุบำรุงสั่งสอนพระองค์มาแต่ก่อน แลเล่าโต๋กระทำความผิดสิ่งใด พระองค์จึงสั่งให้ประหารชีวิต พระเจ้าเลนเต้ได้ฟังตันต๋ำทูลถามดังนี้จึงตรัสว่า เล่าโต๋เป็นผู้ใหญ่หาความคิดมิได้ เอาความมิจริงมาว่ากล่าวยุยงใส่โทษขันทีสิบคนซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่แล้วหยาบช้าต่อเรา ตันต๋ำจึงทูลว่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งอาณาประชาราษฎรในเมืองแลหัวเมืองได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก มีใจชังจะใคร่กินเนื้อขันทีสิบคนเสีย แลพระองค์มีพระทัยรักขันทีสิบคนดุจหนึ่งพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ แลจะได้มีความชอบสิ่งใดหามิได้ พระองค์ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร อนึ่ง ฮองสีขันทีก็คิดการขบถเป็นไส้ศึกเข้าด้วยพวกโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้มากราบทูลพระองค์มิได้ชำระให้เห็นเท็จจริง พระองค์แกล้งนิ่งเสีย จะให้ราชสมบัติเป็นอันตราย พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่า มีผู้มากราบทูลว่าฮองสีเป็นขบถนั้นหาจริงไม่ แลขันทีสิบคนนี้เราเลี้ยงถึงขนาด ถ้าฮองสีเป็นขบถจริง ขันทีเก้าคนหาเป็นขบถสิ้นไม่ ดีร้ายจะมีใจสุจริตต่อเราสักคนหนึ่งสองคน เห็นจะเอาเนื้อความมาบอกเรา ตันต๋ำเห็นว่าพระเจ้าเลนเต้รักขันทีสิบคนอยู่ ซึ่งจะพิดทูลว่ากล่าวไปนั้นเห็นขัดสน ตันต๋ำมีความแค้นใจจึงเอาศีรษะชนแทนซึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จประทับอยู่นั้นจนศีรษะแตกโลหิตไหล พระเจ้าเลนเต้ทรงพระโกรธจึงสั่งบู๋ซูฝ่ายซ้ายให้เอาตัวตันต๋ำกับเล่าโต๋ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้นไปจำใส่คุกไว้ ครั้นเวลาค่ำ ขันทีสิบคนคิดกันแล้วจึงเรียกผู้คุมมาสั่งว่า ถ้าเวลาเที่ยงคืนให้ลอบฆ่าตันต๋ำ เล่าโต๋เสีย ผู้คุมก็ไปทำตามขันทีสั่ง แล้วขันทีสิบคนจึงแต่งเป็นหนังสือรับสั่งไปถึงซุนเกี๋ยนว่า ให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองเตียงสาแล้วให้ปราบคูเสงซึ่งเป็นพวกโจรนั้นเสียให้ราบคาบ แลซุนเกี๋ยนรู้หนังสือรับสั่งแล้วก็ยกไปปราบพวกโจร ปราบแล้วก็บอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทราบจึงทรงพระดำริว่า ซุนเกี๋ยนมีความชอบ เมืองกังแฮเป็นหัวเมืองเอก จึงให้แต่งหนังสือรับสั่งให้ซุนเกี๋ยนไปกินเมืองกันแฮ แล้วให้เล่าหงีเป็นเจ้าเมืองอิจิ๋ว ให้ยกไปตีเตียวกี เตียวซุ่นซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้า ณ เมืองยีหยง
ฝ่ายเล่าเก๊งรู้ในรับสั่งว่า เล่าหงีจะไปรบเตียวกี เตียวซุน เล่าเก๊งจึงเขียนหนังสือให้เล่าปี่ถือไปหาเล่าหงี ในหนังสือนั้นว่า เล่าเก๊ง เล่าปี่ กับเล่าหงีเป็นแซ่เดียวกัน จะขอให้เล่าปี่ไปทำการศึกด้วย เล่าหงีรู้หนังสือนั้นแล้วก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารทั้งปวง ตั้งให้เล่าปี่เป็นนายทหาร แล้วยกไปตีเมืองยีหยง เล่าหงีจึงให้เล่าปี่คุมทหารเข้าหักค่ายเมืองยีหยงเป็นสามารถ ทหารทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก แลเล่าปี่ตั้งรบอยู่นั้นเป็นหลายวัน แลเตียวซุ่นนั้นใจหยาบช้าร้ายกาจนัก พรรคพวกบ่าวไพร่ทั้งปวงมีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก ครั้นเวลากลางคืน เตียวซุ่นนอนหลับอยู่ ทหารซึ่งสนิทนั้นจึงลอบฆ่าเตียวซุ่นเสียแล้วตัดเอาศีรษะพาพวกเพื่อนออกไปให้เล่าปี่ เตียวกีครั้นเห็นเตียวซุ่นตายแลทหารทั้งปวงเอาใจออกหากเป็นอันมากก็สิ้นความคิด จึงเอาดาบเชือดคอตาย แลราษฎรในเมืองยีหยงค่อยมีความสุขราบคาบ
เล่าหงีจึงแต่งหนังสือบอกความชอบเล่าปี่ไปให้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสว่า เล่าปี่มีความผิดอยู่ครั้งตีต๊กอิ้ว เอาความชอบนั้นยกโทษให้เสีย แล้วให้ไปรักษาบ้านแฮปิดปลายด่าน กองซุนจ้านจึงทูลว่า เล่าปี่นี้แต่ก่อนก็มีความชอบอยู่ ขอให้ไปกินเมืองเพงงวนก๋วนเถิด พระเจ้าเลนเต้ก็โปรดให้ เล่าปี่ก็ไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วน เมืองนั้นมีทหารเป็นอันมาก ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ เล่าปี่ค่อยมีใจกว้างขวางกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้จึงให้เล่าหงีซึ่งมีความชอบมาเป็นนายทหารอยู่ในเมืองหลวง
พระเจ้าเลนเต้มีอัครมเหสีคนหนึ่งชื่อ นางโฮเฮา มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อ หองจูเปียน แลนางอองบีหยิน สนมเอก มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อ หองจูเหียบ แลนางโฮเฮานั้นมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ โฮจิ๋น โฮจิ๋นนั้นพระเจ้าเลนเต้ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่ปรึกษาแต่พระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์ได้หกปีเศษแล้ว แลนางโฮเฮานั้นมีความหึงสาแก่นางอองบีหยิน นางโฮเฮาจึงพาลเอาความผิดเป็นข้อใหญ่ สั่งให้เอานางอองบีหยินไปฆ่าเสีย นางตังไทฮอผู้เป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้นั้นจึงเอาหองจูเจียบผู้เป็นหลานไปเลี้ยงไว้ แล้วขึ้นไปว่าแก่พระเจ้าเลนเต้ว่า สมบัตินี้ขอให้หองจูเหียบเสวยราชย์เถิด แต่นางตังไทฮอขึ้นอ้อนวอนพระเจ้าเลนเต้เป็นหลายครั้ง พระเจ้าเลนเต้มีความรักแก่หองจูเหียบจึงรับคำนางตังไทฮอผู้มารดา
ครั้นอยู่มา ณ เดือนหก พระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนัก จึงมีขันทีคนหนึ่งชื่อ เกนหวน นอกจากขันทีสิบคน กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ซึ่งพระองค์รับคำตังไทฮอผู้เป็นมารดาว่าจะให้หองจูเหียบเสวยราชสมบัตินั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วย แต่ว่าจะมิฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อนนั้นเห็นไม่ได้ พระเจ้าเลนเต้เห็นชอบด้วยจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาจะปรึกษาราชการด้วย โฮจิ๋นก็เข้ามาถึงประตูวัง พอพบขุนนางพัวอิ๋นจึงบอกว่า บัดนี้ เกนหวนคิดอ่านจะฆ่าท่านเสีย ท่านอย่าเข้าไปเลย โฮจิ๋นได้ยินข่าวก็ตกใจกลับมาบ้าน จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมากินโต๊ะแล้วปรึกษาว่า เราจะคิดฆ่าเกนหวนเสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่า อันเกนหวนนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็โปรดปราน พรรคพวกในวังก็มีเป็นอันมาก ท่านคิดการทั้งนี้เกลือกจะมิสำเร็จ จะไม่ตายแต่ตัว จะพาญาติพี่น้องตายเสียสิ้น ขอท่านจงดำริดูให้ควรก่อน โฮจิ๋นได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวเป็นแต่ผู้น้อย เราคิดการใหญ่หลวง ตัวไม่รู้ ตัวมาว่าดังนี้ไม่ควร ขุนนางทั้งปวงยังนิ่งอยู่
ฝ่ายพระเจ้าเลนเต้ทรงพระประชวรหนักก็สวรรคต พัวอินแจ้งเนื้อความซึ่งขันทีคิดนั้นไปบอกโฮจิ๋นว่า บัดนี้ พระเจ้าเลนเต้สวรรคตแล้ว ขันทีสิบคนกับเกนหวนคิดกันปิดเนื้อความเสีย จะให้มีรับสั่งพระเจ้าเลนเต้มาหาท่านให้เข้าไปในวังแล้วจะจับฆ่าเสีย เพราะจะให้หองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัติจึงจะสิ้นเสี้ยนหนามไปภายหน้า โฮจิ๋นยังมิได้ตอบประการใด พอขันทีเลวมาบอกว่า มีรับสั่งให้หาโฮจิ๋นเข้าไปข้างในจะปรึกษาราชการเป็นการเร็ว โจโฉจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า เราจำจะตั้งให้หองจูเปียนผู้เป็นราชบุตรเอกให้เสวยราชสมบัติเสียก่อน เราจึงคิดฆ่าเกนหวนกับพรรคพวกเหล่าร้ายเสีย โฮจิ๋นจึงตอบว่า เมื่อเป็นดังนี้ผู้ใดจะอาสาฆ่าอ้ายเหล่าศัตรูราชสมบัติเสียได้บ้าง อ้วนเสี้ยวได้ยินโฮจิ๋นว่าดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารห้าพันเข้าทำการจับขันทีสิบคนกับเกนหวนฆ่าเสีย แล้วจึงยกหองจูเปียนขึ้นเสวยราชสมบัติตามราชประเพณี โฮจิ๋นได้ยินมีความยินดีนัก จึงจัดทหารห้าพันถือเครื่องศัสตราวุธครบมือกันให้แก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารเข้าไป โฮจิ๋นให้โหหยอง ซุนสิว แตะถ้าย กับขุนนางใหญ่น้อยสามสิบเศษ ตามอ้วนเสี้ยวเข้าไปถึงตำหนักซึ่งไว้พระศพพระเจ้าเลนเต้ แล้วเชิญเสด็จหองจูเปียนขึ้น ณ ที่นั่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จออก ขุนนางทั้งปวงกราบถวายบังคมแล้วเฝ้าที่นั้น แต่อ้วนเสี้ยวกับโฮจิ๋นคุมทหารห้าพันเปิดประตูเข้าไปไล่จับเกนหวน เกนหวนรู้ตัวหนีเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้ที่ข้างใน แลกุยเสงขันหนึ่งคนหนึ่งนอกกว่าขันทีสิบคนมีใจพยาบาทเกนหวน ครั้นเกนหวนหนี กุยเสงก็ฆ่าเกนหวนตายในสวนดอกไม้ เหล่าทหารล้อมวังซึ่งเกนหวนได้คุมอยู่นั้นครั้นเห็นเกนหวนตายต่างคนต่างวิ่งเข้าหาอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า ได้ทำการถึงเพียงนี้แล้ว จำจะฆ่าขันทีสิบคนกับพรรคพวกของมันเสียให้สิ้นทีเดียว ราชการจึงจะปรกติ แลเตียวเหยียงพวกขันทีสิบคนได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าแก่โฮจิ๋นดังนั้นก็ตกใจกลัว วิ่งหนีไปหานางโฮเฮาผู้เป็นน้องโฮจิ๋น แล้วทูลอ้อนวอนว่า การซึ่งจะยกหองจูเหียบให้เป็นใหญ่นั้น ข้าพเจ้าทั้งสิบคนหาได้คบคิดรู้เห็นด้วยไม่ การทั้งนี้เกนหวนคิดอ่านแต่เพียงผู้เดียว บัดนี้ โฮจิ๋นกับอ้วนเสี้ยวคิดอ่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย พระองค์จงช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งนี้ให้รอดไว้ด้วย นางโฮเฮาจึงว่า เตียวเหยียงอย่าเป็นทุกข์ เราจะช่วย จึงสั่งให้ไปเชิญโฮจิ๋นเข้ามาแล้วว่า เตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนหาความผิดมิได้ เป็นไฉนพี่จะให้อ้วนเสี้ยวฆ่าเสียว แลเกนหวนซึ่งคิดมิชอบก็ตายแล้ว อันขันทีสิบคนนี้พี่อย่าทำวุ่นวายเลย โฮจิ๋นก็รับคำนางโฮเฮาแล้วก็ออกมาว่าแก่อ้วนเสี้ยวแลขุนนางทั้งปวงว่า เกนหวนซึ่งคิดร้ายต่อหองจูเปียนกับเรานั้นก็ตายแล้ว แลขันทีสิบคนนั้นจะได้คบคิดกับเกนหวนนั้นหามิได้ เราจะฆ่าเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ธรรมดาจะทำการสิ่งใด การนั้นมิสำเร็จ ก็หาสิ้นวิตกไม่ เกนหวนกับขันทีสิบคนเป็นพวกเดียวกัน เกนหวนคิดการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พวกท่านรู้ตัวจึงรอดชีวิตอยู่ ซึ่งฆ่าเกนหวนเสียนั้นเหมือนหนึ่งฟันต้นหญ้าจะให้ตาย ขันทีสิบคนเปรียบเหมือนหนึ่งรากหญ้า ตายแต่ต้นนั้นเห็นไม่สิ้นเชิง รากก็จะงอกแทนขึ้นมา ภายหน้าไปเห็นอันตรายจะมีแก่ท่านเป็นมั่นคง โฮจิ๋นจึงตอบว่า ความข้อนี้ท่ายอย่าวิตกเลย ไว้เป็นธุระเรา แล้วต่างคนก็ออกไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งขึ้นเช้า นางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาปรึกษาราชการ แล้วตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ แล้วตั้งขุนนางทั้งปวงซึ่งขันทีสิบคนถอดออกเสียจากราชการนั้นให้คงอยู่ตามตำแหน่งที่แต่ก่อน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางตังไทฮอจึงให้หาเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนมาว่า แต่ก่อน เราก็ได้ทำนุบำรุงนางโฮเฮาให้อยู่เย็นเป็นสุขจนได้เป็นพระมเหสีพระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบุตรเรา บัดนี้ หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่ หองจูเปียนได้ว่าราชการเมือง นางโฮเฮาดูหมิ่นเรา ตั้งขุนนางผู้ใหญ่น้อยมิได้ปรึกษาเรา แล้วเห็นกิริยานางโฮเฮากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน เรามีความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงเห็นประการใด เตียวเหยียงจึงทูลว่า เวลาพรุ่งนี้เช้า เชิญพระองค์เสด็จออกไปยังพระแกลที่พระเจ้าเลนเต้เสด็จออกแล้วจึงตรัสว่า ให้หองจูเหียบเป็นเจ้าชื่อ ตัวลิวอ๋อง แปลภาษาไทยว่า ต่างกรม แล้วให้ตั๋งต๋งผู้น้องพระองค์เป็นเสนาบดีผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร ขอให้ตั้งข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งราชการทั้งปวงนั้นจะได้คิดการสืบไป นางตังไทฮอได้ฟังแล้วมีความยินดีนัก ครั้นเวลาเช้า จึงอุ้มหองจูเหียบเสด็จออกไป ณ ที่พระแกลมิได้เปิดมู่ลี่ขึ้น จึงตรัสตามคำเตียวเหยียงว่าทุกประการ แล้วเสด็จเข้า ฝ่ายนางโฮเฮาเห็นนางตังไทฮอทำดังนั้นจึงคิดเห็นว่า ราชการเมืองจะแก่งแย่งกัน จึงแต่งโต๊ะแล้วเชิญนางตังไทฮอมากินโต๊ะ จึงเอาจอกสุราคำนับส่งให้นางตังไทฮอแล้วว่า แผ่นดินแต่ก่อนครั้งนางลิเฮาซึ่งเป็นพระมเหสีพระเจ้าเล่าปัง[2] พระเจ้าเล่าปังสวรรคต นางลิเฮาออกว่าราชการเมืองให้ผิดขนบธรรมเนียม ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนจึงเกิดจลาจลขึ้น นางลิเฮากับญาติวงศ์ทั้งปวงก็ตายเป็นอันมาก แลพระองค์กับข้าพเจ้าเป็นสตรี จะออกว่าราชการเมืองนั้นไม่ควร ถ้ามิฟัง ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นอันตรายเหมือนนางลิเฮา ฝ่ายนางตังไทฮอได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า ตัวมิได้มีสัตย์ กอปรด้วยหึงสา พาลเอาความผิดนางอองบีหยินแล้วให้เอาไปฆ่าเสีย บัดนี้ ลูกของตัวได้เป็นใหญ่ ตัวมิได้ยำเกรงเรา มาว่ากล่าวถ้อยคำหยาบช้าดูหมิ่นเปรียบเทียบเราดังนี้ เราหาฟังไม่ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นพี่ของตัวซึ่งได้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่นั้น เพียงแต่ตั๋งต๋งผู้น้องเราจะตัดเอาศีรษะโฮจิ๋นก็จะได้ในลัดนิ้วมือเดียวด้วยง่าย นางโฮเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธแล้วตอบว่า เราเห็นผิดช่วยเตือนสติกลับมาโกรธเราอีกเล่า นางตังไทฮอจึงว่า ตัวเป็นผู้น้อยแต่ก่อนมาหาผู้ใดนับถือไม่ แลตัวได้เป็นพระมเหสีพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรเรา ตัวก็เคยอ่อนง้อเรา มาบัดนี้ ลูกของตัวได้ว่าราชการเมือง ตัวตั้งตัวว่ารู้ขนบธรรมเนียมแผ่นดิน
ขณะนั้น เตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนรู้ก็มาห้ามทั้งสองข้าง นางตังไทฮอก็กลับไปที่อยู่ ครั้นเวลาค่ำ นางโฮเฮาจึงให้หาโฮจิ๋นเข้ามาแล้วบอกเนื้อความซึ่งนางตังไทฮอว่ากล่าวให้โฮจิ๋นฟัง โฮจิ๋นได้ฟังแล้วกลับมาบ้าน จึงหาขุนนางผู้ใหญ่มาปรึกษาว่า นางตังไทฮอนั้นจะได้เป็นพระมเหสีพระเจ้าฮั่นเต้หามิได้ ซึ่งเข้ามาอยู่ในพระราชวังนี้เพราะพระเจ้าเลนเต้ผู้บุตรได้เสวยราชสมบัติ นี่หาบุญพระเจ้าเลนเต้ไม่แล้ว ซึ่งจะให้นางตังไทฮออยู่ในพระราชวังนั้น ราชการเมืองจะเสียไป เราจะให้ออกอยู่ ณ ตำหนักกลางสระ นอกเมือง ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย ครั้นเวลาเช้าจึงชวนกันไปเฝ้านางตังไทฮอ นางไตฮอเสด็จมา ขุนนางจึงเชิญเสด็จนางตังไทฮอให้ออกไปอยู่ ณ ตำหนักกลางสระ นอกเมือง แล้วโฮจิ๋นจึงแต่งทหารไปล้อมบ้านตั๋งต๋งผู้น้องนางตังไทฮอ ตั๋งต๋งเห็นก็ตกใจหนีไปเชือดคอตาย ณ สวนดอกไม้หลังตึก แลทหารโฮจิ๋นนั้นก็ริบราชบาตรข้าวยองแลตราสำหรับที่มาส่งให้โฮจิ๋น
ฝ่ายเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนจึงคิดพร้อมกันว่า บัดนี้ นางตังไทฮอออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว เราหาที่พึ่งมิได้ จึงเอาเงินทองไปให้โฮเบี้ยวผู้น้องโฮจิ๋นหวังจะฝากตัว แล้วจัดทรัพย์สิ่งของทั้งปวงซึ่งมีราคามากนั้นไปให้นางบูยงกุ๋นผู้มารดาโฮจิ๋นว่า ท่านจงกรุณาข้าพเจ้าทั้งสิบคนด้วย ช่วยว่ากล่าวเสนอความชอบความดีข้าพเจ้าให้นางโฮเฮามีความกรุณาข้าพเจ้าด้วย นางบูยงกุ๋นรับคำแล้วไปว่ากล่าวนางโฮเฮาผู้บุตรตามคำขันทีสิบคน ขันทีสิบคนก็ได้ทำราชการปรกติอยู่ในพระราชวังเหมือนแต่ก่อน
ครั้นอยู่มา ณ เดือนแปด โฮจิ๋นจึงแต่งทหารซึ่งสนิทไปลอบฆ่านางตังไทฮอ ณ ตำหนักกลางสระ เจ้าพนักงานแลขุนนางทั้งปวงไปส่งสักการะศพนางตังไทฮอ แต่โฮจิ๋นนั้นทำเฉยเสียมิได้ไป อ้วนเสี้ยวจึงมาเยือนแล้วบอกว่า ขันทีสิบคนนินทาว่า ท่านให้ทหารไปลอบฆ่านางตังไทฮอเสียหวังจะคิดเอาราชสมบัติ ซึ่งท่านจะนอนใจอยู่จะมิคิดฆ่าขันทีสิบคนเสีย ภายหน้าไปเห็นจะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง ครั้งนี้ ท่านกับโฮเบี้ยวผู้น้องก็เป็นผู้สำเร็จราชการสิทธิ์ขาด ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่านสิ้น ถ้าท่านคิดประการใดก็เห็นจะสมปรารถนาอุปมาเหมือนพลิกแผ่นดินกลับ ขอให้เร่งคิดฆ่าขันทีสิบคนเสียจงได้ โฮจิ๋นจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราขอทุเลาตรึกตรองดูสักเวลาหนึ่งก่อน แลคนใช้โฮจิ๋นได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้น คิดเอาใจออกหากโฮจิ๋น จึงเอาเนื้อความลอบไปบอกเตียวเหยียง เตียวเหยียงรู้เนื้อความดังนี้จึงคิดกับขันทีสิบคน แล้วจัดหาเงินทองของตระการไปให้โฮเบี้ยว แล้วบอกว่า โฮจิ๋นนั้นทำการหยาบช้าฆ่าผู้ฟันคนเสียตามอำเภอใจ เห็นจะเสียขนบแผ่นดินไป อนึ่ง ข้าพเจ้าสิบคนนี้หามีความผิดสิ่งใดไม่ โฮจิ๋นฟังคำคนยุยงจะฆ่าข้าพเจ้าทั้งสิบคนเสีย ขอท่านได้เอาเนื้อความทั้งนี้ไปทูลนางโฮเฮาให้แจ้ง ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงจะรอดชีวิต โฮเบี้ยวรับคำเตียวเหยียงแล้วเข้าไปทูลนางโฮเฮาตามคำเตียวเหยียง
ฝ่ายนางโฮเฮาได้ยินดังนั้นมิได้พิจารณาก็เชื่อ พอโฮจิ๋นเข้าไปหานางโฮเฮาแล้วบอกเนื้อความว่า ขันทีสิบคนนี้ถ้าเอาไว้สืบไปจะมีอันตราย เราจะคิดฆ่าเสียให้สิ้น นางโฮเฮาตอบว่า ขันทีสิบคนได้ทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเลนเต้ จะได้มีความผิดสิ่งใดหามิได้ จะมาฆ่าเขาเสียนั้นไม่ควร ซึ่งว่าจะช่วยทำนุบำรุงการแผ่นดินนั้นไม่เห็นสม เหมือนหนึ่งจะแกล้งให้บ้านเมืองเป็นจลาจล โฮจิ๋นมิได้ตอบประการใดก็กลับมาบ้าน อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่านั้นได้คิดประการใด โฮจิ๋นจึงตอบว่า เราเข้าไปบอกนางโฮเฮา นางโฮเฮาไม่ยอม แลการทั้งนี้เราจะคิดประการใดดี อ้วนเสี้ยวจึงว่า ขอให้มีหนีงสือท่านออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาเป็นกระบวนทัพแล้วประกาศว่าจะเอาตัวขันทีสิบคนฆ่าเสีย นางโฮเฮากลัวจะเป็นอันตรายเห็นจะให้จับขันทีส่งออกมาให้โดยสะดวก โฮจิ๋นเห็นชอบด้วยจะทำตามอ้วนเสี้ยวว่า แลตันหลิมได้ยินดังนั้นจึงเขียนเป็นกระบวนโคลงบทหนึ่งว่า ผู้หนึ่งกำเริบใจว่าตัวชำนาญการกระสุน หลับตายิงนก ถ้ากระสุนถูกมือเข้าก็จะเสียการ แล้วตันหลิมจึงทักโฮจิ๋นว่า ตัวท่านทุกวันนี้ราชการเมืองก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน อันขันทีสิบคนเหมือนหนึ่งแมลงเม่า ตัวท่านเหมือนกองเพลิงอันใหญ่ แมลงเม่าหรือจะสู้เพลิงได้ ถ้าท่านจะคิดประการใดก็จะสมดังปรารถนา ตัวท่านเหมือนพญาหงส์ คิดการใหญ่แล้วจะมาเคร่าท่าฝูงกาอยู่นั้นไม่ควร อันหัวเมืองทั้งปวงจะยกทหารเป็นกระบวนทัพเข้ามา ถ้าได้ตัวขันทีสิบคนแล้ว เห็นหัวเมืองทั้งปวงจะกำเริบเกิดศึกกลางเมืองขึ้น การซึ่งคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นก็จะเสียท่วงทีไป โฮจิ๋นได้ยินดังนั้นหัวเราะเยาะแล้วตอบว่า ตัวท่านจะมาร่วมคิดการใหญ่กับเรานั้น ความคิดท่านน้อยนัก อุปมาดังเด็กเลี้ยงโค พอโจโฉก็อยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินตันหลิมกับโฮจิ๋นตอบกันดังนั้น โจโฉตบมือหัวเราะแล้วว่า การลัดนิ้วมือเดียวไม่ควรที่จะเถียงกันอื้ออึง อย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อนก็มีมา พระมหากษัตริย์เชื่อฟังแต่งตั้งขันทีเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ราชการเมืองก็ผันแปรไป มีเนือง ๆ มาอยู่ ครั้งนี้ ขันทีสิบคนซึ่งหยาบช้านั้นมีสติปัญญาเป็นใหญ่อยู่คนเดียวสองคนดอก ถ้าจะคิดจับเอาแต่นายใหญ่นั้นฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย ทำไมจะให้ร้อนถึงหัวเมืองยกเป็นกระบวนทัพเอิกเกริกมาเล่า โฮจิ๋นได้ฟังโจโฮว่าก็โกรธแล้วตอบว่า เราจะทำการใหญ่ ตัวมาว่าดังนี้ คบคิดเป็นใจเดียวกันกับขันทีสิบคนหรือ โจโฉได้ยินก็โกรธมิได้ตอบประการใด จึงเดินออกมาถึงนอกบ้านแล้วว่า แผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเพราะโฮจิ๋น ฝ่ายโฮจิ๋นก็แต่งเป็นหนังสือรับสั่งลอบให้ทนายรีบถือไปให้แก่หัวเมืองทั้งปวงตามซึ่งคิดไว้แต่ก่อนนั้น
เชิงอรรถ
[แก้ไข]