สุธนชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ได้พบสตรีสาวสวยนางหนึ่งเกิดปฏิพัทธ์ พอกลับจากบิณฑบาต ก็วางบาตรไว้นั่งก้มหน้าเสียใจ คราวนั้นพระสหายของท่านเห็นจึงถามว่าไม่สบายอะไร ท่านจึงเล่าเรื่องให้ทราบ พวกภิกษุจึงพาท่านไปเฝ้าพระศาสดา พอพระองค์ตรัสว่า ทำไมจึงได้ทำอย่างนี้ ทั้งที่เธอก็บวชด้วยศรัทธา ละสมบัติมาบวชในพระศาสดา ยังหวนคืนถึงเรื่องสตรีได้ และตรัสถึงเรื่องสตรีว่าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ดังเรื่องอดีตที่แม้บัณฑิตในครั้งก่อน เพราะสตรีจึงได้ละทิ้งบิดามารดารัชสมบัติ แม้ชีวิตตนเองก็มิได้คำนึง จนประสบทุกข์มากมาย ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ครองราชย์อยู่ในเมืองอุตตรปัญจาลนคร มีพระมเหสีพระนามว่าจันทาเทวี สมัยนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของนาง พระนางก็ประสูตรพระโอรสมีพระฉวีดังพระปติมาทอง ก็ในวันที่ประสูตรทั้งสี่ด้านของปราสาทได้มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นทั้ง ๔ ทิศ เพราะเห็นอัศจรรย์นั้นพระราชาจึงขนานพระนามว่า สุธนกุมาร ต่อมาได้เรียนศิลปธนู มีพละกำลังมาก ก็ในทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละ มีสระอยู่สระหนึ่ง ณ ที่นั้นเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อท้าวชมพูจิต เพราะฉะนั้นนครจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาก ในครั้งนั้นทางทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละยังมีอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า มหาปัญจาลนครได้เกิดทุพภิกขภัยแสนสาหัส ชาวเมืองต่างขัดสนจนยาก ต่างอพยพออกไปทีละ ๑๐๐ ทีละ ๕๐๐ ทีละ ๑,๐๐๐ หนีไปเมืองอุตตรปัญจาละมากขึ้น เมือ่มหาปัญจาละจึงมีผู้คนร่อยหรอลงทุกที ในพระนครมีพระราชาพระนามว่านันทะครองราชย์อยู่ พระองค์ได้ทรงทราบข่าวความเดือนร้อนผู้คนอพยพไป จึงถามพวอำมาตย์จนได้ความแล้ว ทราบว่าเมืองอุตตรปัญจาละอุดมสมบูรณ์เพราะพญานาคชมพูจิต จึงมีความประสงค์จะฆ่าพญานาคเสีย จึงคิดหาอุบาย พวกอำมาตย์ทูลว่าจะฆ่าด้วยคนธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้ผู้มีเวทมนต์ จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศให้ชุมนุมพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ คัดพราหมณ์จาก ๑,๐๐๐ ให้เหลือ ๕๐๐ และลดลงมาจนได้พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์คนเดียว ทรงสั่งว่าหากฆ่าได้จะยกรัชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง พราหมณ์เองก็มีวิชาและมีความโลภด้วยจึงรับพระดำรัส พราหมณ์ก็พอใจในความสำเร็จ สะกดมนต์ไว้แล้วนอนหลับไป รุ่งเช้าจึงเข้าป่าหายา ฝ่ายพญานาคออกจากนาคพิภพแปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ริมสระน้ำ คราวนั้นยังมีพรานชื่อบุณฑริก (พรานบุญ) บังเอิญผ่านไปถึงเขตนั้น พญานาคจึงถามได้ความว่าเป็นชาวอุตตรปัญจาละ มีความเคารพในตน พญานาคจึงแสดงตนและขอร้องให้ช่วยเหลือ พรานก็เต็มใจช่วย พญานาคพอพ้นจากมนต์ก็สบายขึ้น คิดถึงการช่วยเหลือของพรานจึงนำไปชมนาคพิภพ กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพราหมณ์เข้าป่าล่าสัตว์จนถึงเขตป่าหิมพานต์ พบอาศรมหลังหนึ่ง พระฤๅษีถามความเป็นมาก็บอกกล่าวเรื่องราว จากนั้นก็ลาท่านเดินทางต่อไป คราวนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอุโบสถ ธิดาทั้ง ๗ ของพระเจ้าทุมราชแห่งเขาไกรลาสพาบริวาร ๑,๐๐๐ มาลงเล่นน้ำในสระ นายพรานเห็นนางกินรีรูปงามนางหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนจึงตกตะลึง คิดจะพานางกินรีนั้นมาถวายพระสุธนกุมารหวังจะได้บรรณาการ จึงกลับไปถามพระฤาษีว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ พระดาบสตอบว่าต้องได้บ่วงนาคบาส พรานถามว่าจะได้บ่วงจากที่ใด พระฤาษีตอบว่าอยู่ที่นาคพิภพ พรานพอได้ฟังก็ดีใจ ขอลาไปยังสระน้ำแล้วระลึกถึงพญานาคชมพูจิตขอบ่วงนาคบาส พญานาคไม่อาจทานได้จึงมอบให้ไป นายพรานออกจากที่ซ่อนขว้างบ่วงไป บ่วงมิได้ไปคล้องนางอื่นๆ คล้องแต่มือของนางมโนราห์ธิดาคนโตเท่านั้น นางกินรีทั้งหมดเห็นนายพรานต่างกลัว บินหนีไป พรานคิดว่าจะพาไปถวายพระสุธนกุมาร วันนั้นพระโพธิสัตว์ทรงช้างสมุททกหัตถีที่สง่างามเสด็จออกประพาสอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นมโนห์ราตามมาข้างหลัง พอได้เห็นเท่านั้นได้เกิดความรักขึ้นมาอย่างจับใจ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อยู่ร่วมกับนางมโนห์ราอัครมเหสีอย่างมีความสุข เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป พราหมณ์ผู้ทรงเวทคนหนึ่งอยากจะรับใช้พระมหากษัตริย์ จึงเข้าไปเสนอตัวรับใช้ กล่าวว่าหากพระราชบิดาองพระองค์ทิวงคตแล้ว ตนเองขอเป็นปุโรหิตคนต่อไป พระมหากษัตริย์ก็รับคำ ทีนั้นปุโรหิตที่เป็นบิดาของเขา ได้ฟังเรื่องจากคนอื่น จึงผูกใจเจ็บผูกเวรในพระโพธิสัตว์ ได้ยุยงให้แตกกันกับพระบิดาว่า พระสุธนกุมารจะลอบปลงพระชนม์ยึดรัชสมบัติ พระราชามิได้ทรงเชื่อเลย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเมื่อเมืองรอบนอกเกิดกำเริบขึ้น พระราชาเสด็จไปปราบปรามด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถปราบได้ เมื่อพบปุโรหิตจึงตรัสถามวิธีที่จะจัดการให้สงบ ปุโรหิตได้ทีทูลว่าให้ส่งพระโอรสไป พระราชาทัดทานว่าพระโอรสไม่รู้เรื่องการรบ แต่ไม่อาจทานได้จึงยอมตามคำปุโรหิตส่งพระโอรสไป วันนั้นเองพระราชาอาทิจวงศ์ได้สุบินนิมิตเห็นว่า ลำไส้ของพระองค์ออกมาจากพระอุทร พันรอบชมพูทวีปสามรอบแล้วกลับเข้าไปดังเดิม ทรงสดุ้งตื่นบรรทม รับสั่งให้หาปุโรหิตแต่เช้าเล่าสุบินนิมิตให้ฟัง ปุโรหิตได้ทีคิดว่าเป็นไปตามใจมุ่งหวังของตนแล้ว วันนี้จะได้จัดการกับพระกุมารเสีย จึงทูลด้วยความกระหยิ่มใจว่า สุบินนิมิตนั้นไม่ดี จะเป็นเหตุให้พระเทวี รัชสมบัติ พระโอรส หรือพระองค์เองพินาศ พระราชาได้สดับก็กพระทับตรัสถามว่าจะทำอย่างไรดี พราหมณ์ทูลว่าควรบูชายัญด้วยสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเคราะห์จึงจะหาย พระราชาพอได้สดับก็ให้รับสั่งให้จัดหาให้คบทุกอย่างเพื่อบูชายัญ ฝ่ายปุโรหิตว่ายังมีอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไปคือกินระ พระราชาตรัสว่ากินระหาได้ยาก ปุโรหิตทูลว่ามีอยู่ก็คือพระสุณิสาของพระองค์นั่นเอง พระราชาก็ทรงทัดทานด้วยเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่รักของพระกุมาร พระราชาไม่สามารถทัดทานได้จึงทรงนิ่งอยู่ ปุโรหิตจึงให้ทหารไปจับนาง นางจึงให้พระเทวีช่วยบอกที่เก็บปีกให้แล้วสวมปีกบินไปยังป่าหิมพานต์ ไปหาพระกัสสปะฤาษี แจ้งเรื่องราวต่างๆ ให้ทราบ และฝากบอกพระสุธนกุมารด้วยว่า หากเสด็จตามหาให้มอบผ้ากัมพลและธำมรงค์เพชรให้เสด็จกลับเสีย เพราะว่าหนทางที่จะไปตามหานางนั้นมีอันตรายมากมาย แล้วมุ่งหน้าไปทางใต้ เดินทางถึงเขาไกรลาสเข้าเฝ้าพระบิดา คราวนั้นพระเจ้าทุมราชได้สดับการมาของธิดาดำริว่า ธิดาไปอยู่กับมนุษย์นาน จะกลับมาอยู่กับกินนรอีกไม่สมควร ควรสร้างปราสาทให้นางอยู่ต่างหาก คราวนั้นพระโพธิสัตว์ปราบปัจจันตประเทศราบคาบแล้ว พระมารดาทอดพระเนตรเห็นพระโอรสเสด็จมาต้อนรับพระโอรสสวมกอดกรรแสงร้องไห้ พอพระกุมารถามก็ได้บอกเรื่องราวให้ฟัง หลังจากได้ฟังพระมหาสัตว์ปานประหนึ่งใจจะขาด จะออกตามหานางให้ได้ แม้พระมารดาจะห้ามปรามอย่างไรก็มิอาจทัดทาน พระโพธิสัตว์ออกจากพระนครไปกับพรานป่า ได้เดินทางไปถึงที่อยู่ของกัสสปฤาษีจึงเข้าไปถาม พระฤาษีทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ และมอบผ้ากัมพลแดงธำมรงค์ให้ พระมหาสัตว์พอได้เห็นเท่านั้นก็โศกสลดพระทัยประหนึ่งว่าได้พบหน้า มโนห์ราอีกครั้ง พระดาบสทูลให้เสด็จกลับ แต่พระกุมารตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวที่จะติดตามนางต่อไป พระดาบสเห็นถึงความรักมีพลานุภาพจึงบอกตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ให้ทราบโดยละเอียด พระโพธิสัตว์จึงลาพระฤาษีเดินทาง ได้พบกับสิ่งต่างๆ ตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ นางพอทราบว่าพระสวามีมาถึงแล้ว นางจึงเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาจึงซักถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าสวามีของนางเป็นเช่นไร นางมโนห์ราก็ทูลตามความจริงว่าสวามีเป็นบุรุษผู้มีบุญญาธิการ พระบิดาจึงว่าทำไมไม่ติดตามนางมาเล่า พระธิดาทูลว่าพระสวามีมาถึงแล้ว พระเจ้าทุมราชแปลกพระทัย เพราะหนทางมานั้นแสนยากยิ่งนัก เมื่อมาแล้วให้รีบพามา สาวใช้ไปเชิญพระกุมารเสด็จมา พอพระสุธนกุมารเสด็จมาถึง เหล่าวิทยาธรกินนรต่างจ้องมองอย่างสนใจ พระโพธิสัตว์ทูลว่าใช้เวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงมาถึง พระเจ้าทุมราชตรัสถามถึงความสามารถอื่น โดยเฉพาะวิชายิงธนู รับสั่งให้ทดลองด้วยการให้ยิ่งให้ทะลุต้นตาล ๗ ต้น กระดานไม้มะเดื่อ ๗ แผ่นซึ่งกว้างยาวถึง ๓ ศอก แผ่นทองแดง ๗ แผ่น เกวียนบรรทุกทราบ ๗ เล่มวางต่อกัน พระสุธนกุมารก็ยิ่งได้ทะลุ ตรัสทดสอบอีกว่านี้เป็นแผ่นหินที่คนตั้งพันจึงจะยกได้ให้พระโพธิสัตว์ยก แล้วให้พระธิดาทั้ง ๗ แต่งพระองค์เหมือนกันให้นั่งตามลำดับ พระมหาสัตว์ตรวจดูแต่จำนางไม่ได้จึงคิดหาวิธี จึงอธิษฐานว่าหากมิได้ทำผิดในภรรยาผู้อื่นในที่ไหน ขอให้เทวดาช่วยบอกให้ทราบด้วย ร้อนถึงท้าวสักกะต้องลงมาบอกให้ทราบว่า หากกินรีนางใดเป็นมโนห์รา จะแปลงเป็นผึ้งบินรอบนางนั้น พระโพธิสัตว์จึงทราบว่านางคือมโนห์รา พระเจ้าทุมราชพอพระทัยจึงจัดพิธีอภิเสกที่พระลานหลวงมอบรัชสมบัติให้ พระโพธิสัตว์จึงได้อยู่ร่วมกับมโนห์รา ต่อมาได้คิดถึงมารดาบิดา รุ่งเช้าจึงเข้าเฝ้า พระบิดามารดาแจ้งเรื่องทั้งหมด พระเจ้าทุมราชก็อำนวยตามได้พากันมายังมนุษย์โลกอยู่ได้ ๗ วันก็ลากลับ พระเจ้าอาทิจวงศ์ได้อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ออกผนวชเจริญฌานสมาบัติ ไปเกิดในพรหมโลกแล้ว พระโพธิสัตว์ทำบุญถวายทาน เลี้ยงมารดาบิดา สิ้นพระชนม์ไปเกิดในดุสิตภพแล้ว มหาชนตั้งอยู่ในพระโอวาท จนสิ้นชีพตักษัยไปบังเกิดในสวรรค์ พระศาสดาครั้นนำเทศนานี้มาแล้วประชุมชาดก ประกาศอริยสัจแล้ว พระที่กระสั้นนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดาเมื่อจะประกาศความนั้นจึงตรัสว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ครั้งนั้นคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางจันทาเทวีคือพระนางมหามายาเทวี ทุมราชาคือพระสารีบุตร ดาบสกัสสปฤาษีคือพระมหากัสสปะ นาคราชคือพระมหาโมคคัฟลลานะ พรานบุณฑริกคือพระอานนท์ ท้าวสักกะคือพระอนุรุทธ ปุโรหิตคือพระเทวทัต มโนห์ราคือราหุลมารดา ที่เหลือคือเหล่าพุทธบริษัท สุธนกุมารคือตถาคตผู้เป็นเลิศประเสริฐในหมู่มนุษย์ ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้