๏ส่วนสมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าตรัศปฤกษาแก่มุขมาตยาทั้งปวงว่า ศึกมหาอุปราชยกมาครั้งนี้ เราจะกรีธาพลออกต่อยุทธนาการกลางแปลงดีฤๅ ๆ จะตั้งมั่นรับในพระนครดี มุขมนตรีกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าทราบอยู่ว่า พระมหาอุปราชาเกรงพระเดชเดชานุภาพสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวครั้งเสด็จไปช่วยงานพระราชสงครามกรุงหงษาวดีตีเมืองรุม เมืองคัง ครั้งหนึ่งแล้ว แลครั้งเมื่อสมเด็จพระเจ้าหงษาวดีกับพระมหาอุปราชาคิดการเปนลับลวงให้เสด็จขึ้นไปจะทำร้าย ทำมิได้ จนทัพหลวงกวาดเอามหาเถรคันฉ่อง พระยาพระราม พระยาเกียรติ์ ญาติโยมครัวอพยพในชนบทประเทศขอบขัณฑเสมากรุงหงษาวดีมาข้ามฝั่งน้ำสโตง พระมหาอุปราชาตามทันฅนละฝั่งฟาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระแสงปืนนกสับยิงข้ามฝั่งมหานทีอันกว้าง ต้องสุรกำมานายกองน่าตาย พระมหาอุปราชาแลท้าวพระยาสมิงรามัญก็ขยาดฝีพระหัตถ์เกรงพระเดชเดชานุภาพเปนสองครั้งแล้ว แลซึ่งพระมหาอุปราชายกมาครั้งนี้ปลาดนัก ด้วยศึกพ่ายเดือนเจ็ดยังไม่ทันบำรุงช้างม้ารี้พลถึงขนาด แลเดือนยี่ยกมาถึงพระนครนี้เห็นเร็วนัก ดีร้ายจะได้ข่าวว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคต คิดว่า แผ่นดินเปนจลาจล จึงรุดมาโดยทำนองศึก ครั้นจะรับมั่นในกรุง ข้าศึกจะได้ใจ ขอเชิญเสด็จทัพหลวงออกตั้งรับนอกพระนคร แต่งกองทัพเข้าปะทะฟังกำลังดู ถ้าศึกหนัก จึงทัพหลวงเสด็จหักต่อภายหลัง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ได้ทรงฟังมุขมนตรีทูลดังนั้น ชอบพระไทยนัก แย้มพระโอฐดำรัศว่า ซึ่งปฤกษาการสงครามครั้งนี้ต้องความดำริห์เรา บัดนี้ ทัพเตรียมอยู่ณทุ่งบางขวด
หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/212
หน้าตา