ส่วนการรบแย่งเมืองของผู้อื่น ก็ได้ทรงทำด้วยความสามารถ มิช้าก็มีอาณาจักรไปในสกลโลก
วันหนึ่ง พระวิกรมาทิตย์เสด็จออกว่าราชการเมือง มีพ่อค้าคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าในท้องพระโรง พ่อค้าคนนี้มาจากเมืองไกล ขึ้นชื่อว่า มั่งมีนัก ครั้นได้เข้าเฝ้า ก็นำผลไม้ผลหนึ่งถวายพระราชาแล้วทูลลาไป เมื่อพ่อค้าไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงดำริว่า คนที่ยักษ์บอกให้เราระวังนั้นอาจเป็นคนนี้ก็ได้ ไม่ควรเราจะกินผลไม้นี้ ทรงดำริฉะนั้นแล้ว ก็ตรัสเรียกชาวคลังมารับผลไม้ไปรักษาไว้ รุ่งขึ้น พ่อค้าก็เข้าไปเฝ้าอีก และถวายผลไม้อีกผลหนึ่ง พระราชาก็ตรัสให้ชาวคลังรับผลไม้นั้นไปเก็บไว้อีก เป็นดังนี้ทุกวัน จนผลไม้มีอยู่ในคลังกองใหญ่
วันหนึ่ง พระวิกรมาทิตย์เสด็จลงไปทอดพระเนตรม้าณโรงม้าต้น ประสพเวลาที่พ่อค้าไปเฝ้า พ่อค้าก็ถวายผลไม้ที่โรงม้า พระราชาทรงรับแล้วก็ทรงเดาะผลไม้นั้นเล่นและทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ เพอินผลไม้ตกจากพระหัตถ์กลิ้งไปใกล้ลิงซึ่งผูกไว้ในโรงม้าต้นสำหรับคอยรับอุปัทวันตรายต่าง ๆ มิให้เกิดแก่ม้า ลิงเห็นผลไม้กลิ้งไปใกล้ก็ฉวยเอาไปฉีกกิน ทับทิมเมล็ดใหญ่งามช่วงโชติก็ตกจากผลไม้นั้น พระราชาและข้าราชการที่ตามเสด็จต่างก็พิศวง เพราะไม่มีใครเห็นทับทิมงามเช่นนี้เลย
พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตรพิศทับทิมอยู่สักครู่หนึ่ง ก็ระแวงพระหฤทัย ตรัสถามพ่อค้าว่า "เหตุไรเจ้าจึ่งให้ทรัพย์แก่เราถึงเช่นทับทิมเมล็ดนี้"
พ่อค้าทูลว่า "คัมภีร์โบราณสอนว่า เมื่อจะไปเฝ้าพระราชา ๑ ไปหาอุปัชฌาย์ ๑ ไปหาตุลาการ ๑ ไปหาหญิงสาว ๑ ไปหาหญิงแก่